ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ϟ.Keeping room ' ห้ามเข้าเด็ดขาด !

    ลำดับตอนที่ #137 : ใครไม่เกี่ยวห้ามจุ้นนะ ! >[]

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 202
      0
      2 พ.ค. 53

    nu eng
    When you're in love…
     Life is like a romance novel that you never want to end.
    เมื่อคุณอยู่ในห้วงแห่งรัก...
    ชีวิตก็เหมือนดั่งนิยายที่คุณอ่านไม่จบ
     

    .
    .
     
    “เจ้าเชื่อในความรักจริงๆ งั้นหรอนังหนู?” เสียงแหบแห้งของหญิงชราวัย 80 ที่ใกล้จะหยุดหายใจเต็มทนเอ่ยถามหลานสาวเพียงคนเดียวของนาง
     
                    “ข้าควรเชื่องั้นหรอคะท่านยาย?” หญิงสาวย้อนถามผู้เป็นยายด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ ตัวเธอเองไม่ใคร่จะศรัทธาในสิ่งที่เรียกว่าความรักนั่นเท่าใดนัก ด้วยเพราะความที่พ่อและแม่ของเธอเลิกรากันไปตั้งแต่เธอยังมีอายุได้เพียง 8 ขวบเท่านั้น
     
                    “เจ้าไม่ควรเก็บเอาอดีตแย่ๆ ของคนอื่นมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของตัวเจ้าเองนะ เด็กโง่เอ๋ย...”
     
                    “งั้นท่านยายอยากจะให้ข้าเชื่อในความรู้สึกจอมปลอมที่ผู้คนทั้งหลายนำมาเล่นละครใส่กันงั้นรึคะ?” เมื่อเห็นหลานสาวยังไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใจ หญิงชราก็ถอดถอนหายใจให้กับอนาคตอันใกล้นี้
     
                    “เจ้าก็ไม่ควรยึดติดกับสิ่งที่เห็นด้วยเช่นกัน”
     
                    “ท่านยายต้องการจะบอกอะไรข้ากันแน่คะ?”
     
                    “ข้าแก่มากแล้ว...วันพรุ่งนี้ของข้าไม่มีอีกต่อไป จะมีก็แต่วันของเจ้า ชีวิตของเจ้า”
     
                    “แต่ข้าอยู่โดยไม่มีท่านไม่ได้นะคะท่านยาย!!” เสียงหวานยืนกรานอย่างจริงจัง ยิ่งสร้างความหนักใจให้แก่หญิงชรามากขึ้นเป็นเท่าทวี
     
                    “งั้นเจ้าก็หาคนมาดูแลซี่ หลานยาย.... เจ้าต้องหาคนที่รักเจ้า หาคนที่พร้อมจะหายใจเพื่อเจ้าให้พบ ข้าจะได้...” พูดได้เท่านั้นหญิงชราก็ปิดเปลือกตาลงอย่างเหนื่อยอ่อน
     
                    “จะได้อะไรงั้นหรอคะท่านยาย?”
     
                    “จะได้...ตาย.....ตาหลับ...เสียที” จังหวะหายใจที่ค่อยๆ ช้าลงๆ เรียกความตื่นตระหนกจากหญิงสาวอ่อนวัยกว่าได้เป็นอย่างดี
     
                    “จำไว้นะหลานรัก....การมีชีวิตอยู่โดยปราศจากคนที่รักเจ้า มันทรมานราวกับตายทั้งเป็นทีเดียวเชียว” มือเหี่ยวย่นคลายออกจากมือเรียวช้าๆ หญิงสาวที่กำลังอยู่ในอาการตกใจ ยังคงนิ่งอึ้งอย่างคนที่ทำอะไรไม่ถูก ในขณะที่หญิงชราผู้มีผมสีดอกเลา ส่งยิ้มบางเบาราวขนนกให้เด็กสาวสายเลือดเดียวกันกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย พลางนึกย้อนไปถึง ‘คนรัก’ ที่ล่วงหน้าไปรอนางยังดินแดนสุดปลายฟ้านั่นอยู่ก่อนแล้ว
     
                    “ข้ากำลังจะไปหาท่านแล้ว...ยอดดวงใจของข้า” ประโยคสุดท้ายลอดผ่านริมฝีปากแตกแห้งของหญิงสูงวัย ในขณะที่ลมหายใจสุดท้ายหลุดลอยไปกับสายลมบางเบา
     
     
     
    ‘ข้ามิอาจอยู่ได้โดยปราศจากท่าน...’
     
     
     
    “ท่านยาย!!! อย่าทิ้งข้าไปแบบนี้...ฮึก..ฮือ....” หลานสาวทิ้งตัวลงนั่งกับพื้น เมื่อเห็นว่าญาติเพียงคนเดียวของเธอไม่หายใจอีกต่อไป
     
    “ข้าไม่อาจอยู่ได้!! หากไม่มีท่านแล้ว...ข้าคนนี้จะอยู่เช่นไรกัน? ฮือ..ท่านยายคะ” สองมือเรียวยกขึ้นมาปิดใบหน้าที่ชื้นไปด้วยหยาดน้ำตา พลางเรียกหาแต่หญิงชราอันเป็นที่ยึดเหนี่ยวสุดท้ายของตน แต่ทันใดนั้น..
     
     
    ก๊อก ก๊อก ก๊อก
     
     
    เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างผิดปกติ ไม่เคยมีใครมาเยี่ยมเธอกับยายเลยซักครั้ง แม้แต่จดหมายซักฉบับก็ยังไม่เคยถูกส่งมาถึง แล้วนี่...
     
    ถึงจะยังหวาดระแวงในความผิดปกตินี้อยู่บ้าง แต่ด้วยนิสัยที่ไม่ค่อยจะกลัวอะไรนักของหญิงสาว ทำให้เธอตัดสินใจละจากร่างไร้ลมหายใจของผู้เป็นยาย แล้วยกชายแขนเสื้อขึ้นมาซับน้ำตาบนใบหน้าเพื่อรักษาท่าที ก่อนจะเปิดประตูรับผู้มาเยือนคนแรกในรอบหลายสิบปี
     
    “มาหาใครคะ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ พลางพยายามข่มความเศร้าที่เกิดจากการสูญเสียบุคคลสำคัญไปอย่างไม่มีวันกลับ ในขณะที่ตาสีฟ้าสว่างคู่นั้นจับจ้องที่ใบหน้าคมคายของผู้มาเยือนอย่างนึกฉงน
     
    “คุณใช่เรซิสรึเปล่าครับ?” เสียงทุ้มของคนตรงหน้าเอ่ยถาม ดวงตาสีดำสนิทของเขาจ้องตรงมายังเธออย่างแน่วแน่
     
    “ค่ะ” เจ้าตัวเอ่ยตอบ พลางลืมความหวาดระแวงไปชั่วครู่
     
     
    เหตุใด? ดวงตาคู่นั้น จึงดึงดูดใจข้าเสียเหลือเกิน...
     
     
    รู้สึกตัวอีกที เธอก็เชิญเขาเข้ามาในบ้านเสียแล้ว... จะให้ไล่กลับไปตอนนี้ ก็เห็นทีว่าจะเป็นการเสียมารยาท หญิงสาวจึงได้แต่ลอบถอนหายใจกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะหยุดชะงักเมื่อหันกลับมาเห็นร่างที่นอนแน่นิ่งของหญิงชราอีกครั้ง
     
    “ไม่ทราบว่านั่นใช่ยายของคุณรึเปล่าครับ?” ชายหนุ่มปริศนาถามขึ้นอีกครั้ง หลังจากนิ่งเงียบไปนาน เขาถือโอกาสวางถุงกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่ลงหลังจากที่ถือมาเนิ่นนานพร้อมๆ กับการเดินทางไกลหลายชั่วโมง
     
    “ใช่ค่ะ...ท่าน....เพิ่งจะเสียไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง” หากแต่เมื่อเธออยู่ต่อหน้าคนไม่รู้จักที่ทำท่าว่าคล้ายจะรู้จักเธอดี น้ำตาที่พาลจะไหลก็เหือดแห้งไปอย่างไม่รู้สาเหตุ ไม่ใช่ว่าตัวเธอไม่รู้สึกอะไรกับการสูญเสียท่านยายไป แต่เป็นเพราะความรู้สึกแปลกๆ ที่พุ่งออกมาจากตัวของผู้ชายคนนี้ต่างหาก ที่ทำให้เธอรู้สึกลำบากแม้แต่จะหายใจ
     
    “เสียใจด้วยนะครับ”
     
    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ท่านคงกำลังมีความสุขอยู่ที่ไหนซักแห่งแล้วล่ะค่ะตอนนี้” สีหน้าของเรซิสดูดีขึ้น เมื่อเธอนึกถึงคำพูดเก่าๆ ของหญิงชราที่เคยบอกไว้ว่า... เมื่อความตายมาถึง นางจะได้พบคนรักของนางอีกครั้ง
     
    “ท่านยายคงจะอยากไปมานานแล้วด้วย” ท้ายเสียงพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปส่งยิ้มให้กับแขกผู้มาเยือน แล้วเอ่ยเชื้อเชิญให้เขานั่งลงที่เก้าอี้ไม้แกะสลักในห้องรับแขก ถัดจากห้องเดิมที่ยายของเธอยังไม่ถูกย้ายไปไหน
     
    “แล้ววันนี้คุณมาหาฉันด้วยธุระอะไรกันล่ะคะ?” เสียงหวานเปิดประเด็น พลางแทนตัวด้วยคำสุภาพให้สมกับที่เขาใช้กับเธอเช่นกัน มือบางเอื้อมไปหยิบถ้วยน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะเล็กด้านข้าง ด้วยหมายจะรินชารสเลิศให้ชายหนุ่มตามมารยาทที่ตนได้รับการฝึกสอนมา
     
    “ไม่รบกวนดีกว่าครับ ผมแค่มาเพื่อขอของสำคัญชิ้นสุดท้ายจากคุณเท่านั้น” เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทดังท้องฟ้ายามราตรีเอ่ยปฏิเสธด้วยท่าทีที่สุภาพ แล้วหันไปคว้ากระดาษสีเหลืองกรอบขึ้นมาจากถุงสีน้ำตาลใบเดิม เขาคลี่มันออกช้าๆ ราวกับว่ากลัวมันจะฉีกขาดไปเสียก่อน
     
    “อะไรหรือคะ?” เรซิสถามขึ้นเบาๆ พลางนึกย้อนไปว่าชายหนุ่มผู้แสนจะหล่อเหลาตรงหน้า ยังไม่แม้แต่จะเอ่ยแนะนำตัวกับเธอ
     
    “ก่อนอื่นผมคงต้องขอโทษที่เสียมารยาทนะครับ ผม คาร์ลีน ไดเลนคัส ยินดีที่ได้พบคุณนะครับ” เรซิสสะดุ้งเล็กน้อยด้วยความตกใจที่เขาทำท่าเหมือนจะล่วงรู้ความคิดของเธอ หากแต่อีกใจก็ค่อนขอดกลับไปว่า มันช่างช้าเกินไปสำหรับการแนะนำตัว!
     
    “ยินดีที่ได้พบคุณค่ะ” หากแต่เมื่อมารยาทค้ำคอ เธอจะเอ่ยอะไรกลับไปได้อีก นอกจากรับคำของเขาก็เท่านั้น
     
    “เข้าเรื่องเลยนะครับ...นี่เป็นบันทึกสุดท้ายจากคุณย่าของผม ท่านบอกให้ผมซึ่งเป็นหลานคนเดียวออกตามหาความหมายของเรื่องราวในอดีตที่เคยเกิดขึ้นกับตระกูลของผม อ๊ะๆ อย่าเพิ่งมองหน้าผมแบบนั้นสิครับ ผมก็แค่ทำตามคำขอของท่านย่า แต่จะได้ผลอย่างไร ก็คงขึ้นอยู่กับคุณแล้ว” มือหนาวางกระดาษสีเหลืองกรอบลงบนโต๊ะน้ำชาเบาๆ ก่อนจะใช้ดวงตาสีดำสนิทนั่นย้อนกลับมาจ้องเรซิสอีกครั้ง เล่นเอาเธอผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะแย้มยิ้มสดใสในวินาทีถัดมา
     
    “อะไรกันละคะ? ที่คุณว่าขึ้นอยู่กับฉัน”
     
    “สมุดบันทึกเล่มสีฟ้า เล่มสุดท้ายที่ผมตามหา!” ร่างบางตัวแข็งทื่อ ทำไมเธอจะไม่รู้จัก! สมุดบันทึกสีฟ้าสดใสที่เหมือนกับสีตาของเธอไม่มีผิดเพี้ยน สมุดบันทึกเล่มที่ท่านยายรักหนักหนา แล้วนี่...ผู้ชายแปลกหน้าคนนี้จะมาขอจากเธอไปง่ายๆอย่างนั้นเหรอ?
     
    “ขอปฏิเสธค่ะ”
     
    “ทำไมล่ะครับ? หรือคุณจะ...” คาร์ลีนพูดแค่นั้น คล้ายกับจะเว้นช่วงไว้ให้หญิงสาวเจ้าของบ้านต่อประโยคเองซะมากกว่า
     
    “ฉันไม่รู้หรอกนะคะ ว่าคุณจะเอามันไปทำไม แต่มันเป็นสมบัติชิ้นที่ท่านยายรักมาก! เกรงว่าคุณคงจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะค่ะ” เรซิสพูดเสียงเรียบ ก่อนจะคว้าถ้วยชาสีเปลือกไข่ของเธอขึ้นมาแตะที่ริมฝีปาก ด้วยหมายจะจบการสนทนากับผู้ชายแปลกหน้าที่แสนจะมีอิทธิพลต่อหัวใจเธอโดยเร็ว
     
    “ผมสัญญาว่าจะคืนให้กับคุณเมื่อค้นพบปริศนานั้นแล้วครับ” คนผมดำส่งยิ้มจางๆมาให้เจ้าบ้านสาว ที่บัดนี้ทำท่าจะตกหลุมพรางของเจ้ารอยยิ้มน้อยๆนี่เข้าให้แล้ว
     
    “แล้ว...แล้วฉันจะเชื่อคุณได้ยังไงกันล่ะคะ?” หากแต่หล่อนก็ยังมิวายใจแข็งสินะ!
     
    “ถ้าคุณไม่เชื่อ งั้นเอาอย่างนี้! ผมจะให้คุณดูปริศนาต่อไปกับผมด้วย” คาร์ลีนเริ่มต่อรอง
     
    “แต่ฉันไม่อยากรู้นี่คะ”
     
    “งั้นคุณก็ส่งบันทึกนั่นมาสิครับ”
     
    “เอ๊ะ! คุณนี่..ก็ได้ค่ะ เพื่อความสบายใจ และเพื่อที่ธุระของคุณกับฉันจะได้จบสิ้นกันไป ฉันจะอยู่ดูปริศนากับคุณก็ได้” เรซิสตอบเสียงสูงด้วยความไม่พอใจนิดๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอยังไม่ได้จัดการเรื่องงานศพของท่านยาย ใบหน้าหวานใสก็หม่นลงอย่างเห็นได้ชัด
     
    “แต่ฉันยังไม่ได้จัดการเรื่องท่านยายเลยนะคะ”
     
    “ไม่เป็นไรครับ ผมคิดว่าคงจะใช้เวลาไม่นาน เท่าที่อ่านรายละเอียดคร่าวๆดูแล้ว ปริศนาต่อไปอยู่ที่บันทึกเล่มของคุณนั่นแหละครับ”
     
    “งั้นหรอคะ? เอ่อ..รอสักครู่นะคะ ฉันจะไปหยิบออกมาให้” ว่าพลางลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ เธอต้องการจะรู้จริงๆว่าปริศนาที่เขาพูดถึงนั้นมันสำคัญอะไรนักหนา? มือบางคว้าบันทึกเล่มหนาที่ถูกสอดอยู่ใต้หมอนของท่านยายออกมาอย่างเบามือ แล้วเดินกลับไปที่โต๊ะน้ำชาอีกครั้ง
     
    “นี่ค่ะ” ดวงตาสีดำของชายหนุ่มฉายประกายยินดีออกมาอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าคมคายของเขาเงยขึ้นมองเรซิสอย่างพึงพอใจ
     
    “งั้นอย่ารอช้าเลยครับ รีบเอาบันทึกทั้งหมดมารวมกันดีกว่า” ร่างสูงที่ดูสุภาพและสุขุมเมื่อแรกเจออันตรธานหายไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้ก็เพียงชายหนุ่มที่ดูจะสนุกกับการออกตามล่าปริศนานั้นเสียเต็มประดา
     
    “เยอะจังนะคะ” เรซิสอุทานเบาๆ เมื่อเห็นกองบันทึกที่ชายหนุ่มข้างกายหอบหิ้วมาเป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ บันทึกแต่ละเล่ม มีสีไม่เหมือนกัน และเล่มที่ชายหนุ่มหยิบขึ้นมาวางที่ตักของเขานั้นกลับเป็นสีดำสนิท เช่นเดียวกับสีดวงตาของเขาไม่มีผิด
     
    “สีดำนี่...เหมือนกับตาของคุณเลยนะคะ”
     
    “สีฟ้าก็เป็นสีของตาคุณเช่นเดียวกันครับ”
     
    “ฉันว่าที่ตรงนี้มันชักจะแคบเกินไปแล้วล่ะค่ะ แถมบนโต๊ะนี่ยังวางสมุดบันทึกได้ไม่ถึงครึ่งจากที่คุณเอาออกมาด้วยซ้ำ ถ้าไม่รังเกียจ...”
     
    “ไม่รังเกียจหรอกครับ” คาร์ลีนตอบกลับก่อนที่เจ้าบ้านหน้าหวานจะมีโอกาสได้ทันพูดจบ เขาจัดการหอบข้าวของลงมาวางกองไว้ที่พื้นอย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะส่งมือหนาให้กับหญิงสาว ด้วยหมายจะให้เธอใช้เป็นหลักในการนั่งลงบนพื้นที่ถูกปูไว้ด้วยพรมสีขาวสะอาดเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะเขารู้ดีว่าชายกระโปรงยาวลากพื้นนั่นอาจจะทำให้เธอนั่งลงต่ำเช่นนี้ได้ลำบากมากกว่าปกติ
     
    “ขอบคุณค่ะ” เธอยินยอมรับความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ ก่อนจะลงนั่งได้อย่างไม่ติดขัดเท่าที่มันควรจะเป็น
     
    “นำสมุดบันทึกทั้งหมดมาวางเรียงกัน” คาร์ลีนอ่านบันทึกหน้าสุดท้ายของเรซิสเสียงดัง จากนั้นเขาก็จัดแจงเรียงบันทึกทุกเล่มไว้ด้วยกันตามลำดับที่ได้รับบันทึกเล่มนั้นๆมา
     
    “แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นหรอคะ?”
     
    “เราคงจะรู้เมื่อทำตามคำใบ้สุดท้ายนี้เสร็จล่ะครับ” ทว่า..ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงนิ่งสนิท ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่มีเลย
     
    “ทำไม?” ชายหนุ่มพึมพำกับตัวของเขาเองอย่างนึกสงสัย หรือว่าเขาจะทำอะไรผิดนะ
     
    “คุณคาร์ลีนคะ..เห็นนั่นมั๊ย?” หญิงสาวช่างสังเกตอย่างเรซิส ชี้ชวนให้คาร์ลีนมองปกหลังของหนังสือแต่ละเล่มอย่างตื่นตระหนก
     
    “เส้นพวกนี้มัน...” เรซิสเว้นช่วง ในขณะที่นิ้วเรียวของเธอลากไปตามเส้นสีทองบนสมุดบันทึกเล่มสีม่วงสวยนั้นอย่างหลงใหล
     
    “ต่อกัน!” คนตัวสูงตะโกนออกมา เขาคว้าตัวเรซิสเข้ามากอดด้วยความดีใจ ก่อนจะจัดแจงเรียงสมุดบันทึกทุกเล่มเสียใหม่ โดยมีหญิงสาวคนสวยคอยช่วยชี้จุดที่เธอคิดว่าชายหนุ่มวางไม่ถูกตำแหน่ง
     
    “นี่มัน!!!” ทั้งสองอุทานออกมาพร้อมกับ แต่ยังไม่มีใครได้ทันพูดอะไร แสงสีทองสว่างแสบตาก็ฉายชัดขึ้นมาทั่วทั้งบริเวณที่สามารถส่องไปถึงได้
     
    “คุณคาร์ลีน! นี่มันอะไรกันคะ?” เรซิสร้องถามด้วยความตื่นตระหนก
     
    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” พูดจบชายหนุ่มก็คว้าข้อมือบางของหญิงสาวไว้ ก่อนที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะดับวูบลง เหมือนกับไม่เคยมีใคร หรืออะไรอยู่ที่นั่นมาก่อน ทิ้งไว้เพียงเศษกระดาษชิ้นเล็กๆเพียงชิ้นเดียว ที่จารึกข้อความอันแสนคุ้นเคยไว้ว่า...
     
     
    ‘ข้ามิอาจอยู่ได้โดยปราศจากท่าน...’
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×