ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [EXO] MELTING SNOW ♡ ( KRISLAY )

    ลำดับตอนที่ #2 : 1st/ C H A P T E R - ( my order )

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 57




    CHAPTER 01

    … MY ORDER …






     






     

     

    ดวงตาสีเข้มที่มองเห็นเพียงภาพพร่าเลือนของร่างสูงค่อยๆกระพริบถี่เพื่อปรับโฟกัส โครงหน้าหล่อเหลาที่ซีดเผือดเพราะอาการเสียเลือดอย่างหนักดูซูบซีดไม่ชวนมอง ริมฝีปากสีอ่อนแห้งผากและปรากฎรอยแตกอยู่อย่างเห็นได้ชัด ข้างๆกันมีรอยช้ำสีม่วงวงใหญ่แต้มอยู่ใกล้ๆกับปลายคาง เจ้าของร่างที่กำลังพยายามฟื้นคืนสติรับรู้เพียงอาการชาที่แล่นไปทั่วจากหัวจรดปลายเท้า สมองส่วนสำหรับการประมวลผลยังไม่ถูกเปิดขึ้นใช้งาน มีเพียงการสั่งให้ร่างกายลองพยายามขยับดู

     

    - - แกร๊ง - -

     

    เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นอย่างน่าประหลาด ร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะหันมองไปรอบบริเวณเพื่อสังเกตหาสิ่งที่สามารถบอกได้ว่า ตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน?

     

    ดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลอมทองกวาดมองไปทั่วทั้งซ้ายและขวา ทว่าสิ่งที่พบกลับมีเพียงความมืดมิดที่ชวนอึดอัด กลิ่นเปียกๆและเสียงน้ำหยดที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทุกอย่างนั้นยิ่งทำให้เขาอยากจะอ้วกออกมา

     

    “คะ....แค่กๆ” แรงขย้อนลมที่พุ่งขึ้นมาจากท้องนำพาความวิงเวียนและอาการไอที่ทำให้เจ็บซี่โครงพุ่งตามขึ้นมาด้วย คนผมสีเข้มไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากล้มตัวลงนอนนิ่งไม่ขยับไปไหนอยู่บนสิ่งที่มีสภาพคล้ายกับเตียง

     

    “ฟื้นแล้วหรอ? เหอะ...นึกว่าจะสำออยตายไปแล้วซะอีก” แต่แล้วประสาทหูก็สัมผัสเข้ากับน้ำเสียงสูงที่เย็นจัดจนคนฟังรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก คนเจ็บยังคงมองไม่เห็นอะไรเช่นเดิม แต่เขารับรู้แล้วว่าในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเขาอยู่เพียงแค่คนเดียวอย่างที่เคยเข้าใจ

     

    “คุณ....ปะ......เป็นใคร?”

     

    “เสือก” พยายามถามออกไปอย่างยากลำบากเพราะอาการเจ็บที่ปอดยังไม่ทุเลา แต่สิ่งที่เขาได้กลับมากลับเป็นคำพูดจาที่กลั้วเสียงหัวเราะดูถูกดูแคลนไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซ้ำยังดูราวกับว่าอีกคนไม่ใส่ใจที่จะตอบคำถามของเขาสักนิดเลย ตรงกันข้าม...

     

    “เป็นแค่หมา ถ้ากูไม่ถาม ไม่ต้องสะเออะพูดอะไรออกมา!!

     

     

     

     

    - - ปั้ก!! - -

     

    หมาในร่างคนถูกกระชากลงมาจากเตียงนอนแข็งกระด้าง ร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวดีฟาดเข้ากับพื้นหินเย็นเฉียบอย่างจัง ชายหนุ่มตัวใหญ่เจ็บจนอยากจะร้องตะโกน แต่ก็ทำไม่ได้...

     

    เมื่อมือเรียวฉกเข้ามาบีบแก้มเขาอย่างแรง !

     

     

    “ไค! เปิดไฟ!! กูจะดูหน้ามัน”

     

    “ครับคุณเล่ย” สิ้นเสียงรับคำของคนที่ถูกเรียกว่าไค แสงไฟจากหลอดนีออนก็สว่างจ้าขึ้นมาจนดวงตาของร่างสูงพร่ามัว เพราะอยู่ในความมืดมานานจึงทำให้สายตาปรับรับกับสถานการณ์ได้ไม่ทัน ตรงกันข้ามกับคนมาใหม่ที่ดึงปลายคางของเขาจนหน้าแหงนขึ้นมาเหนือพื้น ฝ่ายนั้นดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับแสงไฟที่สาดไปทั่วห้องเลยแม้แต่นิดเดียว

     

    “สีหน้าดูดีนี่ ทำไม? แสบตาหรอ? หรือว่าเจ็บแผล?”

     

    “........”

     

    “ไม่ตอบ?”

     

    “........”

     

    “มึงอยากเจ็บตัวหรอ? พอกูไม่ถามเสือกอยากจะพูด พอกูต้องการคำตอบมึงจะปิดปากทำซากอะไร?” จางเล่ยอยากจะฟาดมือลงไปบนหน้าเปื้อนโคลนของ หมาตัวใหม่เสียให้มันตายคาที่ แต่เพราะความตั้งใจเดิมที่กะจะเก็บมันมาเป็นของเล่นแก้เซ็งจึงทำให้ไม่สามารถลงไม้ลงมือได้อย่างที่ต้องการ

     

     

    เอาน่ะเล่ย...รอให้มันฟื้นสภาพเต็มที่ก่อน

     

    แล้วจะลงแรงกับมันเท่าไหร่ก็ใส่ได้ไม่ต้องยั้งมือ !!!

     

     

    แม้จะคิดได้แบบนั้นแต่อาการหงุดหงิดที่โดนเหยื่อของตัวเองลูบคมก็ไม่ได้จางหายไป มือบางผละออกจากปลายคางสาก ก่อนจะเหยียดตัวลุกขึ้นยืน แล้วออกคำสั่งไปในทันที

     

    “ขังมัน!!

     

    “อยะ...อย่า”

     

    “อ้อ? พูดได้แล้วหรอ? ทีเมื่อกี้กูถามทำไมไม่ตอบล่ะ?”

     

    “ผะ..ผมไม่รู้....จะ....จะตอบอะไร”

     

    “รู้หรือไม่รู้ถ้ากูถามมึงก็ต้องตอบ!

     

    “ตะ..แต่....”

     

    “มึงเป็นหมาของกู กูสั่งอะไรมึงก็ต้องทำ” แสยะยิ้มเหี้ยม พลางสาวเท้าก้าวเข้าหาร่างสูงที่นอนเหยียดยาวหมดแรงอยู่กับพื้นสกปรก จางเล่ยยกเท้าที่สวมรองเท้าหนังจระเข้มันปลาบขึ้นมาสูง ก่อนจะตัดสินใจฟาดมันลงไปกลางหลังของหมาตัวใหญ่เข้าเต็มๆ

     

    “อั๊ก!!!” ความเจ็บที่เกิดจากส้นรองเท้าหนาหนักกระแทกเข้ามาจนทำให้คนถูกทำร้ายถึงกับจุกจนพูดไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาดูซีดเซียวไร้สีเลือดขึ้นไปทุกขณะ

     

    “จำไว้ อย่าได้สะเออะกับกู!” ไม่พูดเปล่า ปลายเท้ายังขยี้แผ่นหลังกว้างด้วยความสะใจ จางเล่ยหัวเราะสนุกสนาน ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มที่กลายสภาพมาเป็นพรมเช็ดเท้าจำเป็น

     

     

    เขาไม่เข้าใจ...นี่เขาไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้ไม่พอใจงั้นหรือ?

     

     

    จู่ๆก็ถูกจับตัวมา จู่ๆก็ต้องมาถูกทำร้าย... ถูกทรมานทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรผิดตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไหนจะยังคำพูดที่แสนจะโหดร้ายนั่นอีก

     

     

    หมางั้นเหรอ?

     

     

    หน้าตาเขามันไปคล้ายกับสัตว์โลกสี่ขาชนิดนั้นตรงไหนกัน?

     

     

    “ผม...มะ...ผมมีชื่อนะ มีบะ...บ้าน...เป็นคนไม่ใช่....หมา”

     

    “อะไรนะ?”

     

    “ผมไม่...ชะ....ไม่ใช่หมาของคุณ” พูดออกไปแล้วก็ต้องรีบสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ เมื่อความเจ็บร้าวภายในตัวยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลง แต่ยังไม่ทันได้ผ่อนลมหายใจออก ร่างสูงก็รู้สึกถึงแรงกดหนักๆที่ทับลงมาบนหัวอย่างแรง

     

    “ซวยแล้ว....” แม้หูจะทันได้ยินเสียงพึมพัมแผ่วๆของคนชื่อไคที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีสิทธิ์จะแปลความหมายของประโยคนั้นได้ทัน เมื่อสัมผัสหนักๆของรองเท้าหนังคู่เดิมของใครอีกคนกดลงมาชนิดที่เรียกว่าไม่มีการยั้งมือ

     

    จางเล่ยในตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจในหนังสือนิยายเลยสักนิด ไคลอบกลืนน้ำลายลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจนึกสวดภาวนาให้ผู้ชายโชคร้ายคนนั้นรีบๆชิงตายหนีความทรมานนี้ไปโดยเร็ว มีบ้างที่บอดี้การ์ดหนุ่มทำท่าจะเข้าห้าม แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาที่ลุกโชนด้วยเพลิงแห่งความโกรธของร่างบางแล้ว เขาก็ได้แต่ก้าวเท้าถอยหลังออกมา

     

     

    จะให้สู้กับคุณเล่ยเนี่ยนะ?

     

    บรึ้ย...ฆ่าตัวตายชัดๆเลย!

     

     

    เจ้านายหนุ่มของเขากดฝ่าเท้าไปบนหัวสีเข้มยุ่งเหยิงของคนเบื้องล่าง กดหนักเสียจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำนั้นแทบจะจมลงไปกับพื้นปูนสีเทาหม่นแล้วคุณเล่ยก็ยังไม่พอใจ

     

    “ผม...ผมทำอะไรผะ....ผิด อ๊ากกกก!!!

     

    “เปล่า มึงไม่ได้ผิดอะไรเลย”

     

    “ละ...แล้วคุณจับ....ผมมาทำอะไร?”

     

    “จะให้กูพูดซ้ำอีกกี่ครั้ง?”

     

    “........”

     

    “กูบอกแล้วไงว่ามึงน่ะมันเป็น หมา ของกู!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    จางเล่ยหัวเราะชอบใจยามเมื่อเห็นของเหลวสีแดงเข้มค่อยๆไหลลงมาจากศรีษะที่โดนส้นรองเท้าหนังคู่โปรดของเขาฟาดเข้าไป คุณชายของบ้านตระกูลจางเหยียดยิ้มเหี้ยมตามแบบฉบับของตน เขานึกชังผ้าขี้ริ้วมีชีวิตที่เผลอเก็บมาจากข้างทางนัก นอกจากจะมีแววไม่เชื่อฟังกันแล้ว ยังทำท่าราวกับว่าไม่กลัวเขาอีกต่างหากด้วย

     

     

     

    ดูสายตามันสิ!

     

    ทำไม? คิดว่าเขาจะยอมอ่อนให้งั้นหรือ?

     

    ฝันไปเหอะไอ้เวร!!!

     

     

     

    คนตัวเล็กดันลิ้นไปดุนกระพุ้งแก้มแก้การหงุดหงิด ก่อนจะต้องปรี๊ดแตกขึ้นมาอีกเมื่อได้ยินเสียงนุ่มคุ้นหูของใครบางคนลอดผ่าน ลูกกรง เข้ามา

     

     

    “เด็ก...”

     

    “ใครเด็ก!!?

     

    “นายไงเล่ย” คนมาใหม่ที่เดินสาวเท้าเข้ามาพร้อมใบหน้าที่นิ่งขรึมเย็นชาราวกับรูปสลักน้ำแข็ง ดวงตาสีสนิมของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำยี่ห้อดังค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าใกล้จางเล่ยมากขึ้นไปทุกที

     

    “ปากดีแบบนี้อยากตายหรอไอ้หมอ?” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ในสายตาของคนที่ถูกเรียกว่า ไอ้หมอยังไงเสียก็ดูคล้ายกับแมวตัวจ้อยที่กำลังขู่ฟ่อๆใส่เขาเพียงเท่านั้น

     

     

    ...ไม่เห็นจะดูน่ากลัวตรงไหนเลย...

     

     

    “คนไหนล่ะที่นายเก็บมา?” เบือนหน้าไม่ใส่ใจคำพูดของร่างบาง ก่อนจะเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ที่เขาถูกเรียกตัว

     

    “ก็อยู่ใต้ตีนกูนี่ไง” นิ้วเรียวชี้ลงไปที่หมาตัวใหญ่ ซึ่งกำลังนอนหายใจรวยรินอย่างอ่อนแรง

     

    “พูดไม่เพราะ”

     

    “อย่าเสือก”

     

    “เล่ย...”

     

    “อะไร?”

     

    “นายนี่มันเด็กจริงๆ” พูดแล้วก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดวงตาไร้ความรู้สึกคู่เดิมปาดมองเลยผ่านเด็กที่กำลังทำสีหน้าก้าวร้าวส่งมาให้เขาอย่างเปิดเผยไปแบบไม่เสียเวลาใส่ใจ คุณหมอหนุ่มยืนประเมินสถานการณ์ ก่อนจะตัดสินใจย่อกายลงไปสำรวจสภาพของผู้ชายใต้เท้าของใครอีกคน

     

    “เด็กร้ายกาจซะด้วย” ป่วยการจะบ่น หมอตัวสูงเอื้อมมือไปผลักขาของจางเล่ยออก ก่อนจะยื่นนิ้วไปสัมผัสเส้นชีพจรที่ลำคอของคนเจ็บ

     

    “คุณหมอโอต้องการอุปกรณ์พิเศษอะไรรึเปล่าครับ?” บอดี้การ์ดผิวเข้มที่ยืนสงบปากสงบคำมานานเอ่ยถามขึ้น คุณหมอโอหรือโอเซฮุนเป็นหมอหนุ่มที่เข้ามาทำงานให้กับตระกูลจางตั้งแต่เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ด้วยความสามารถและทักษะที่โดดเด่นทำให้คุณชายใหญ่ไม่พลาดที่จะไปคว้าเขามาทำงานให้กับครอบครัว

     

    อย่างไรก็ตามในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสามคน ดูจะมีแค่คุณเล่ยเท่านั้นล่ะมั้งที่ตั้งแง่กับคุณหมอโอเขาเสียจนออกนอกหน้า

     

    “ผมต้องการห้องที่สะอาดและมีอากาศถ่ายเทได้ครับ อ้อ..ต้องการคนแข็งแรงสักสองสามคนมาช่วยหามร่างคนเจ็บขึ้นไปข้างบนด้วย”

     

    “ใครอนุญาตให้พาตัวหมาของกูขึ้นไป?”

     

    “หรือนายอยากให้เขาตาย?”

     

    “ก็แล้วทำไมรักษามันที่นี่ไม่ได้? เอาขึ้นไปข้างบนมันสกปรกบ้านกู!!” จางเล่ยเริ่มหงุดหงิด พยายามขัดขวางคำสั่งของหมอหน้านิ่งอย่างสุดความสามารถ

     

     

     

    เป็นแค่หมาข้างทาง อยู่แค่ข้างล่างนี่ก็สูงส่งเกินไปแล้ว!

     

     

     

    “มันสกปรก แผลเขาอาจจะติดเชื้อได้”

     

    “ก็สมกับตัวมันดีออก หมาสกปรกก็ต้องอยู่ในห้องสกปรกๆสิ”

     

    “งั้นฉันกลับล่ะ ที่เหลือจะเอายังไงก็เชิญจัดการตามใจนายละกัน”

     

    “เฮ้ย!! เดี๋ยวดิ่วะ ทำงานยังไม่คุ้มค่าจ้างเลยจะกลับได้ยังไง?”

     

    “ก็มีเด็กบางคนขวางทาง...ทำงานไม่ได้”

     

    “ไอ้เชี่ยหมอ!! แม่ง...โอ๊ย! เออๆ มึงจะทำอะไรก็ทำ ไคมึงคอยช่วยแม่งละกัน กูจะขึ้นไปข้างบนแล้ว” ฮึดฮัดฟึดฟัดขัดใจ! จางเล่ยกดเท้าขยี้หัวเหยื่อที่จับมาได้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะผละออกไปทิ้งสิทธิ์ในการจัดการทุกอย่างให้กับคนหน้าตายข้างหลังแทน

     

    สองขาเรียวก้าวเร็วๆผ่านลูกกรงเหล็กสีดำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำสกปรกและร่องรอยของสนิมที่เกาะกินเนื้อเหล็กไปบางส่วน ใบหน้าขาวเชิดขึ้นอย่างถือดี แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อดวงตากลมเหลือบไปเจอบางสิ่งที่น่าสนใจกองอยู่ไม่ไกลจากซี่กรง

     

    “ไค”

     

    “......”

     

    “ไค”

     

    “......”

     

    “ไค!!!!!!!

     

    “คะ...ครับคุณเล่ย” บอดี้การ์ดหัวสีทองซีดตกใจกับเสียงเรียกที่แผดดังลั่น เมื่อกี้เขาแค่หันไปช่วยหมอโอพลิกตัวคนป่วยสำรวจบาดแผลเท่านั้น เลยไม่ทันได้ฟังว่าเจ้านายต้องการตัว

     

     

    ซวย... ซวยชิบหายเลย

     

     

    “มึงเอาอีกแล้วนะไค จะให้กูหงุดหงิดจนอยากยิงหัวมึงตายขึ้นมาจริงๆใช่มั๊ย?” เจ้านายตัวเล็กกว่าเดาะลิ้นเสียงดัง ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองร่างของคนสนิทอย่างพินิจพิจารณา ไม่รู้ทำไมพี่ชายของเขาถึงไปเลือกคนห่วยๆ ที่ทั้งขี้ขลาด ขี้กลัว แถมยังช้ายิ่งกว่าเต่าแบบนี้มาเป็นมือขวาของเขาได้?

     

    คิดยังไง...จางเล่ยก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ

     

    “เดี๋ยวปั๊ดแม่ง!!” อยากจะสั่งให้มันไปกระโดดน้ำตายที่ไหนก็ไป ยิ่งมองหน้าโง่ๆที่เต็มไปด้วยความกลัวของมันยิ่งแล้วใหญ่ อยากจะถามออกไปนักว่านี่มันผ่านการฝึกเป็นบอดี้การ์ดมาได้ยังไงกัน?

     

    “ขอโทษครับคุณเล่ย”

     

    “เดี๋ยวเรื่องมึงเอาไว้จัดการทีหลัง ตอนนี้ไปแบก ไอ้นั่นมาให้กูเร็วๆ” นิ้วชี้ไปทางกองเส้นโซ่โลหะที่ถูกทิ้งให้ฝุ่นเกาะเพราะขาดการใช้งานมาหลายเดือน ในขณะที่คนรับคำสั่งขมวดคิ้วแน่นด้วยความงุนงง

     

    “คุณเล่ยจะ...”

     

    “ถ้ามึงถามกูอีกคำ กูจะส่งมึงไปเป็นคนไข้ของไอ้หมอโออีกคน”

     

    “ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ครับคุณเล่ย”

     

     

    เกือบไปแล้วแม่ง! กูเกือบตายคาตีนเจ้านายแล้ว...

     

     

    วิ่งไปที่กองโซ่พร้อมกับถอนหายใจยาวยืด นึกตำหนิตัวเองที่เป็นคนซื่อบื้อแต่ยังเสือกจะขี้สงสัย ท่องไว้ไค คำสั่งของเจ้านายแค่ทำตามอย่างไร้คำถามก็พอ !

     

    “ลากมาทางนี้” ออกคำสั่งเสร็จก็ไปยืนรอข้างๆหมอหนุ่มที่กำลังพยายามคุยกับคนไข้อยู่ ดูเหมือนว่าหมาของเขาเองก็ยังพอมีสติ แม้ว่าจะเจ็บหนักเข้าขั้นสาหัส แต่ได้ไคห้ามเลือดให้ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ก็เลยพอประคองชีวิตรอดมา

     

    “หลบซิไอ้หมอ”

     

    “จะทำอะไร?”

     

    “อย่าเสือก”

     

    “เล่ย...”

     

    “อย่าเรียกกูด้วย รำคาญ” เหล่ตาไปสบเข้ากับดวงตาเรียวสีสนิมนั่นแล้วก็รีบเบือนกลับ จางเล่ยโน้มตัวลงไปดึงใบหน้าของผู้ชายร่างสูงให้แหงนขึ้นอีกครั้ง แล้วเอ่ยปากออกคำสั่งเสียงห้วน

     

    “เห่า”

     

    “.......”

     

    “เห่าสิ”

     

    “อะ....อะไร?”

     

    “กูบอกให้มึงเห่า!” เมื่อไหร่คนพวกนี้จะเข้าใจว่าเขาไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ ทำไมไม่ยอมฟังอะไรให้เข้าใจในครั้งเดียวบ้าง?

     

    ความโกรธที่พุ่งขึ้นแล้วพุ่งขึ้นอีกของจางเล่ยทำให้ใบหน้าขาวเนียนเริ่มบิดเบี้ยวไปตามแรงอารมณ์ ริมฝีปากสีสดเบ้ขึ้นอย่างคนกำลังหงุดหงิดจนกลั้นไม่ไหว มือเล็กตะปบเข้าที่ข้างแก้มสาก ไม่สนใจคราบเลือดที่ไหลลงมาเปื้อนตน ในสายตาของเขาตอนนี้มีเพียงดวงตาถือดีที่ถูกส่งมาจากหมาที่ไม่รู้จักเจียมตัว

     

    “เห่าเดี๋ยวนี้”

     

    “ไม่”

     

    “กูให้โอกาสมึงเลือกอีกครั้ง จะเห่าหรือไม่เห่า?”

     

    “ไม่” ยืนยันคำเดิม ดวงตาคมที่แม้จะอ่อนแรงลงกว่าเมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้ลดแววต่อต้านในนั้นลงสักนิดเลย ร่างสูงเงยหน้ามองคนออกคำสั่งอย่างไม่มีทีท่าจะหวาดกลัว หนำซ้ำยังพยายามสะบัดหน้าให้หลุดออกจากกรงเล็บคมที่จิกลงบนเนื้อของเขาจนได้แผลอีกด้วย

     

    “ดี! มึงตอบได้ดี” ไม่ใช่แค่ไคที่ตกใจ แม้แต่คุณหมอโอยังงงจนอ้าปากค้าง ทำไมจางเล่ยคนเจ้าอารมณ์ถึงได้ยอมง่ายๆ ทั้งที่ไม่เคยปล่อยให้คนที่ขัดคำสั่งตนเองมีชีวิตรอด แต่ทำไมถึงได้ยิ้มออกมาอย่างถูกอกถูกใจเสียขนาดนั้น แม้ว่าจะเพิ่งถูกหมาของตัวเองปฏิเสธมา?

     

    “ไค! เอาโซ่มาให้กู” และก็ได้คำตอบของทุกคำถาม เมื่อร่างเล็กชี้นิ้วสั่งให้ไคเดินลากเอาโซ่กองใหญ่เข้ามาในสะภาพทุลักทุเล มือเรียวกระชากข้อโซ่ที่อยู่ในกำมือของบอดี้การ์ดไป ก่อนจะออกแรงสะบัดให้เกิดเสียงโลหะกระทบกัน

     

     

    - - แกร๊ง แกร๊ง - -

     

     

    “หมาไม่เชื่อง ก็ต้องดัดนิสัยกันหน่อย” ว่าแล้วก็ตวัดสายโซ่ขึ้นรอบลำคอแกร่ง นิ้วเรียวดึงปลายด้านหนึ่งมาล็อกเข้าไว้กับข้อโซ่อีกข้อด้วยแม่กุญแจสีดำที่ทั้งหนักทั้งแข็ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระตุกโซ่ส่วนที่เหลือเข้าหาตัว

     

    “คลาน”

     

    “.......”

     

    “กูบอกให้มึงคลาน!!” เมื่อหมาตัวเดิมยังไม่ยอมทำตามคำสั่ง คุณชายเล็กตระกูลจางก็ยิ่งออกแรงดึงที่ข้อมือ ดึงเสียจนปลายโซ่อีกด้านสีเข้ากับเนื้อของร่างสูงจนเลือดค่อยๆไหลซึมออกมา

     

    “พอแล้วเล่ย”

     

    “มึงอย่าเสือกเรื่องของกูโอเซฮุน!

     

    “แต่เขายังเจ็บหนักอยู่ แขนซ้ายเขาหัก นายจะทำอะไรรอให้เขาหายก่อนไม่ได้รึไง?” คุณหมอหน้านิ่งยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกลงมาบนหน้าผาก ส่งผลให้ดวงตาเรียวแสดงความรู้สึกระอาใจออกมาให้อีกคนเห็นได้อย่างชัดเจน

     

    “กูก็อุตส่าห์ให้มึงมารักษามันแล้วไง เห็นมั๊ย? เจ้านายอย่างกูใจดีจะแย่อยู่แล้ว... ไค! พาไอ้หมอไปรอที่ห้องด้านบน เดี๋ยวกูจะจูงหมากูตามขึ้นไปเอง”

     

    “ครับคุณเล่ย” คราวนี้ไคไม่เอ่ยปากถามอะไรให้นำภัยมาถึงตัวเองอีก บอดี้การ์ดผิวเข้มค้อมตัวให้กับคุณหมอโอ ก่อนจะผายมือเชิญให้เจ้าของเส้นผมสีเทายอมเดินขึ้นไปด้านบนตามที่เจ้านายของตนต้องการ

     

    “เด็กดื้อ” ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ แล้วหันหลังเดินตามไคไปอย่างจำยอม

     

    “วอนตีนหรอไอ้หมอ!?” ตะโกนถามไล่หลังไปด้วยความหงุดหงิด เจอหน้าหมอบ้านี่ทีไรประสาทของจางเล่ยยิ่งจะได้เสียมากขึ้นกว่าเดิม

     

     

     

    ...เกลียดขี้หน้ามันชิบหายเลย...

     

     

     

    “ถ้ามึงยังไม่อยากตายก็รีบๆคลานตามกูมา”

     

    “ไม่”

     

    “กูไม่ได้ถาม กูสั่ง!” เบือนหน้ากลับมามองหมาใกล้ตายที่นอนแหม่บอยู่บนพื้น เล่ยออกแรงกระชากโซ่สุดตัว จนร่างสูงโปร่งที่กำลังอ่อนแรงต้านไม่ไหว จึงล้มหน้าไถลครูดกับพื้นตามมา

     

    “โอ๊ย...”

     

    “สมน้ำหน้า! จะเสือกพยศทำไมนักหนา?”

     

    “ผม..เป็นคนนะ ไม่ใช่...หมาขะ....ของคุณ” หมาตัวสูงเค้นเอาคำพูดออกมาโต้แย้งอย่างยากลำบาก สติของเขายังคงไม่มั่นคง ดวงตาของเขาก็ยังพร่ามัวเพราะอาการเสียเลือดมาก แขนซ้ายก็หักจนขยับไม่ไหว มีแค่ขาสองข้างที่ยังพอใช้การได้ปกติดี

     

    แม้จะรู้ว่าตัวเองอาจไม่รอดในเงื้อมมือของคนจิตไม่ปกติ แต่นัยน์ตาสีดำสนิทของคนเจ็บก็ยังไม่วายมองตรงไปข้างหน้าแบบถือดี เขาเองก็มีศักดิ์ศรี มีชีวิตมีจิตใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาได้ไร้มนุษยธรรมแบบนี้ ร่างสูงขอยอมรับความตายที่กำลังจะก้าวเข้ามา ดีกว่ายอมคลานหรือเห่าเป็นหมาให้ใครอีกคนพอใจ

     

     

    ...ถ้าจะตาย เขาก็ขอตายแบบคน...

     

     

    “ตกลงมึงจะไม่คลาน?”

     

    “เออ!!” กระแทกเสียงตอบเพราะอารมณ์ที่เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว แต่คนตัวใหญ่ไม่ทันได้คิด ว่าโทษของการกระแทกเสียงใส่คนตรงหน้า จะร้ายแรงเสียจนโลกของเขาดับวูบไปในพริบตาเดียว

     

    ปลายเท้าที่หุ้มด้วยรองเท้าหนังจระเข้เนื้อแข็งกระแทกเสยเข้าเต็มๆที่ปลายคางสาก จางเล่ยสะบัดเท้าซ้ำอีกครั้งเพื่อให้มันกระแทกเข้ากลางใบหน้าของอีกคนอย่างแรง!!

     

    - - ผัวะ!! - -

     

    เสียงหนังกระแทกกับเนื้อดังลั่นห้องอับชื้นที่โอบล้อมไปด้วยผนังสีเทาทะมึน และซี่ลูกกรงสนิมเขรอะยังคงดังต่อเนื่องซ้ำไปซ้ำมา ดูราวกับว่าคนที่ลงแรงอยู่นั้นจะขาดสติไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว อารมณ์ร้ายที่พุ่งขึ้นมาในหัวมีมากพอจะกระทืบซ้ำลงไปกลางตัวของร่างสูงอีกหลายสิบที

     

    “คุณเล่ยครับ! คุณเล่ย!!” ไคที่วิ่งลงมาดูเจ้านายถึงกับร้องเสียงลั่น เขาถลาตัวเข้าไปล็อกคนตัวเล็กกว่าไว้จากด้านหลัง ก่อนจะส่งเสียงตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆที่เฝ้าอยู่ใกล้ประตูให้ตามเข้ามา

     

    “มึงรีบลากไอ้ยักษ์นั่นขึ้นไปบนตึก คุณหมอโอรออยู่แล้ว เฮ้ย! กูบอกให้เร็วๆ เดี๋ยวคุณเล่ยก็หลุดไปฆ่าแม่งตายหรอก!” สั่งได้สมกับเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดของคุณชายคนเล็ก แม้ไคจะดูไม่สู้คนเมื่ออยู่กับจางเล่ย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขายอมลงให้คนอื่นนอกเหนือจากเจ้านายเสียหน่อยนี่

     

    “เชี่ย!! ปล่อย!! กูจะฆ่าแม่งให้ตาย!!” คุณชายเล่ยของเขาในตอนนี้โกรธจัดจนขาดสติไปเรียบร้อยแล้ว มือขาวฟาดสะเปะสะปะไปทั่ว แม้แต่ขาก็ยกขึ้นเตะอากาศไปมา

     

    “ยกดีๆ อย่าให้มันตายเด็ดขาด” ไคออกคำสั่งกับบอดี้การ์ดคนอื่นๆเสียงเข้ม เขาลากเล่ยถอยห่างออกไป ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อการขนย้ายคนเจ็บเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี

     

    “คุณเล่ยครับ...คุณเล่ย”

     

    “มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้เลยไค ถ้ามันไม่ตายวันนี้ไม่ต้องมาเรียกกูจางเล่ย!!

     

    “แต่คุณเก็บมันมาเป็นของเล่นแก้เครียดไม่ใช่หรอครับ? ถ้าฆ่ามันตายวันนี้แล้วจะเหลืออะไรให้เล่นอีก” ถ้าเป็นเวลาปกติไคคงไม่กล้ายุ่งเรื่องของเจ้านาย แต่เพราะรู้ว่าตอนนี้คุณชายคนเล็กกำลังปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำสติ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่พวกพี่ๆของคุณชายส่งตัวเขามาอยู่ข้างๆ

     

     

     

     

     

     

     

     

    ใช่...

     

    ไคไม่ได้มีแค่หน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้จางเล่ย แต่ยังมีหน้าที่คอยจัดการเวลาอีกคนเริ่มอาละวาดจนอยู่เหนือการควบคุม

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    คนตัวสูงลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้งและอีกครั้ง ก่อนจะสูดปากเสียงลั่น เมื่อเล็บยาวๆของคนขี้โมโหพุ่งมาข่วนแก้มเขาเสียจนขึ้นรอยทางยาว

     

    “เฮ้อ...เห็นทีจะเอาไม่อยู่ ขอโทษนะครับเจ้านาย แต่ผมจำเป็นต้องทำจริงๆ” พูดจบก็ตวัดนิ้วขึ้นมาฟาดลงไปที่หลังคอเนียน ร่างบางที่กำลังดิ้นหนีให้หลุดจากการเกาะกุมก็หยุดนิ่ง คอพับ หมดสติร่วงลงมา

     

     

    - - ฟุ่บ! -  -

     

     

    แขนแกร่งของบอดี้การ์ดเจ้าของผมสีบลอนด์ซีดเอื้อมไปคว้าร่างเจ้านายเข้ามากอดไว้แน่นอย่างรวดเร็วก่อนที่หัวสวยๆจะหล่นลงไปกระแทกกับพื้นปูนสกปรก ไคส่ายหัวก่อนจะแอบยิ้มออกมานิดๆ เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่พี่ชายจางคนโตผู้ควบคุมดูแลกิจการและเป็นม้ามืดในวงการธุกิจที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินชื่อคนนั้นเคยพูดกับเขาเอาไว้

     

     

     

     

     

     

    ฉันไม่ได้ให้นายมาทำงานบอดี้การ์ดหรอกไค

     

    หมายความว่ายังไงครับ?

     

    ฉันอยากให้นายมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้คุณชายคนเล็กแห่งบ้านตระกูลจาง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เขาคิดผิดหรือคิดถูกก็ไม่รู้ที่รับงานนี้?

     

     

     

     

     

     

     

    แต่ที่รู้คือตอนนี้คงต้องรีบหนีไปซ่อนไกลๆ ไม่งั้นลองเจ้านายฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เขาคงได้ถูกยิงเจาะทะลุกบาล!!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    =============================================

    (.__.)\ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย.. ทำไมแต่งแล้วมันไม่ดาร์กอย่างที่คิด?

    ขอโทษด้วยนะคะถ้าตอนนี้ทำให้ใครต้องผิดหวัง ถ้ามันไม่แรงอย่างที่ทุกคนคิดไว้

    แต่ตอนหน้าพี่คริสหายเจ็บแล้วอี้มาจัดเต็มกว่านี้แน่นอนค่ะ <3 อิอิอิ /*สัญญา*/

     

    อ่านแล้วฝากเม้นท์นิดนึงนะจ๊า J

    1 เม้นท์ของคนอ่าน เท่ากับล้านกำลังใจของคนเขียน..

    หรือจะสกรีมในทวิตติดแท็ก #ฟิคสารละลาย ก็ได้ไม่ว่ากันจ้า >w< จุ้บๆ

     






    themy butter


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×