คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 1st/ C H A P T E R - ( my order )
CHAPTER 01
… MY ORDER …
ดวงตาสีเข้มที่มองเห็นเพียงภาพพร่าเลือนของร่างสูงค่อยๆกระพริบถี่เพื่อปรับโฟกัส โครงหน้าหล่อเหลาที่ซีดเผือดเพราะอาการเสียเลือดอย่างหนักดูซูบซีดไม่ชวนมอง ริมฝีปากสีอ่อนแห้งผากและปรากฎรอยแตกอยู่อย่างเห็นได้ชัด ข้างๆกันมีรอยช้ำสีม่วงวงใหญ่แต้มอยู่ใกล้ๆกับปลายคาง เจ้าของร่างที่กำลังพยายามฟื้นคืนสติรับรู้เพียงอาการชาที่แล่นไปทั่วจากหัวจรดปลายเท้า สมองส่วนสำหรับการประมวลผลยังไม่ถูกเปิดขึ้นใช้งาน มีเพียงการสั่งให้ร่างกายลองพยายามขยับดู
- - แกร๊ง - -
เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นอย่างน่าประหลาด ร่างสูงโปร่งขมวดคิ้วอย่างงุนงง ก่อนจะหันมองไปรอบบริเวณเพื่อสังเกตหาสิ่งที่สามารถบอกได้ว่า ตอนนี้เขากำลังอยู่ที่ไหน?
ดวงตาเรียวคมสีน้ำตาลอมทองกวาดมองไปทั่วทั้งซ้ายและขวา ทว่าสิ่งที่พบกลับมีเพียงความมืดมิดที่ชวนอึดอัด กลิ่นเปียกๆและเสียงน้ำหยดที่อยู่ไม่ไกลออกไป ทุกอย่างนั้นยิ่งทำให้เขาอยากจะอ้วกออกมา
“คะ....แค่กๆ” แรงขย้อนลมที่พุ่งขึ้นมาจากท้องนำพาความวิงเวียนและอาการไอที่ทำให้เจ็บซี่โครงพุ่งตามขึ้นมาด้วย คนผมสีเข้มไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากล้มตัวลงนอนนิ่งไม่ขยับไปไหนอยู่บนสิ่งที่มีสภาพคล้ายกับเตียง
“ฟื้นแล้วหรอ? เหอะ...นึกว่าจะสำออยตายไปแล้วซะอีก” แต่แล้วประสาทหูก็สัมผัสเข้ากับน้ำเสียงสูงที่เย็นจัดจนคนฟังรู้สึกหนาวไปถึงกระดูก คนเจ็บยังคงมองไม่เห็นอะไรเช่นเดิม แต่เขารับรู้แล้วว่าในสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีเขาอยู่เพียงแค่คนเดียวอย่างที่เคยเข้าใจ
“คุณ....ปะ......เป็นใคร?”
“เสือก” พยายามถามออกไปอย่างยากลำบากเพราะอาการเจ็บที่ปอดยังไม่ทุเลา แต่สิ่งที่เขาได้กลับมากลับเป็นคำพูดจาที่กลั้วเสียงหัวเราะดูถูกดูแคลนไว้อย่างเต็มเปี่ยม ซ้ำยังดูราวกับว่าอีกคนไม่ใส่ใจที่จะตอบคำถามของเขาสักนิดเลย ตรงกันข้าม...
“เป็นแค่หมา ถ้ากูไม่ถาม ไม่ต้องสะเออะพูดอะไรออกมา!!”
- - ปั้ก!! - -
หมาในร่างคนถูกกระชากลงมาจากเตียงนอนแข็งกระด้าง ร่างกายที่ยังไม่ฟื้นตัวดีฟาดเข้ากับพื้นหินเย็นเฉียบอย่างจัง ชายหนุ่มตัวใหญ่เจ็บจนอยากจะร้องตะโกน แต่ก็ทำไม่ได้...
เมื่อมือเรียวฉกเข้ามาบีบแก้มเขาอย่างแรง !
“ไค! เปิดไฟ!! กูจะดูหน้ามัน”
“ครับคุณเล่ย” สิ้นเสียงรับคำของคนที่ถูกเรียกว่าไค แสงไฟจากหลอดนีออนก็สว่างจ้าขึ้นมาจนดวงตาของร่างสูงพร่ามัว เพราะอยู่ในความมืดมานานจึงทำให้สายตาปรับรับกับสถานการณ์ได้ไม่ทัน ตรงกันข้ามกับคนมาใหม่ที่ดึงปลายคางของเขาจนหน้าแหงนขึ้นมาเหนือพื้น ฝ่ายนั้นดูจะไม่สะทกสะท้านอะไรกับแสงไฟที่สาดไปทั่วห้องเลยแม้แต่นิดเดียว
“สีหน้าดูดีนี่ ทำไม? แสบตาหรอ? หรือว่าเจ็บแผล?”
“........”
“ไม่ตอบ?”
“........”
“มึงอยากเจ็บตัวหรอ? พอกูไม่ถามเสือกอยากจะพูด พอกูต้องการคำตอบมึงจะปิดปากทำซากอะไร?” จางเล่ยอยากจะฟาดมือลงไปบนหน้าเปื้อนโคลนของ ‘หมา’ ตัวใหม่เสียให้มันตายคาที่ แต่เพราะความตั้งใจเดิมที่กะจะเก็บมันมาเป็นของเล่นแก้เซ็งจึงทำให้ไม่สามารถลงไม้ลงมือได้อย่างที่ต้องการ
เอาน่ะเล่ย...รอให้มันฟื้นสภาพเต็มที่ก่อน
แล้วจะลงแรงกับมันเท่าไหร่ก็ใส่ได้ไม่ต้องยั้งมือ !!!
แม้จะคิดได้แบบนั้นแต่อาการหงุดหงิดที่โดนเหยื่อของตัวเองลูบคมก็ไม่ได้จางหายไป มือบางผละออกจากปลายคางสาก ก่อนจะเหยียดตัวลุกขึ้นยืน แล้วออกคำสั่งไปในทันที
“ขังมัน!!”
“อยะ...อย่า”
“อ้อ? พูดได้แล้วหรอ? ทีเมื่อกี้กูถามทำไมไม่ตอบล่ะ?”
“ผะ..ผมไม่รู้....จะ....จะตอบอะไร”
“รู้หรือไม่รู้ถ้ากูถามมึงก็ต้องตอบ!”
“ตะ..แต่....”
“มึงเป็นหมาของกู กูสั่งอะไรมึงก็ต้องทำ” แสยะยิ้มเหี้ยม พลางสาวเท้าก้าวเข้าหาร่างสูงที่นอนเหยียดยาวหมดแรงอยู่กับพื้นสกปรก จางเล่ยยกเท้าที่สวมรองเท้าหนังจระเข้มันปลาบขึ้นมาสูง ก่อนจะตัดสินใจฟาดมันลงไปกลางหลังของหมาตัวใหญ่เข้าเต็มๆ
“อั๊ก!!!” ความเจ็บที่เกิดจากส้นรองเท้าหนาหนักกระแทกเข้ามาจนทำให้คนถูกทำร้ายถึงกับจุกจนพูดไม่ออก ใบหน้าหล่อเหลาดูซีดเซียวไร้สีเลือดขึ้นไปทุกขณะ
“จำไว้ อย่าได้สะเออะกับกู!” ไม่พูดเปล่า ปลายเท้ายังขยี้แผ่นหลังกว้างด้วยความสะใจ จางเล่ยหัวเราะสนุกสนาน ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มที่กลายสภาพมาเป็นพรมเช็ดเท้าจำเป็น
เขาไม่เข้าใจ...นี่เขาไปทำอะไรให้ผู้ชายคนนี้ไม่พอใจงั้นหรือ?
จู่ๆก็ถูกจับตัวมา จู่ๆก็ต้องมาถูกทำร้าย... ถูกทรมานทั้งๆที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาทำอะไรผิดตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วไหนจะยังคำพูดที่แสนจะโหดร้ายนั่นอีก
หมางั้นเหรอ?
หน้าตาเขามันไปคล้ายกับสัตว์โลกสี่ขาชนิดนั้นตรงไหนกัน?
“ผม...มะ...ผมมีชื่อนะ มีบะ...บ้าน...เป็นคนไม่ใช่....หมา”
“อะไรนะ?”
“ผมไม่...ชะ....ไม่ใช่หมาของคุณ” พูดออกไปแล้วก็ต้องรีบสูดลมเข้าปอดเฮือกใหญ่ เมื่อความเจ็บร้าวภายในตัวยังไม่มีทีท่าว่าจะบรรเทาลง แต่ยังไม่ทันได้ผ่อนลมหายใจออก ร่างสูงก็รู้สึกถึงแรงกดหนักๆที่ทับลงมาบนหัวอย่างแรง
“ซวยแล้ว....” แม้หูจะทันได้ยินเสียงพึมพัมแผ่วๆของคนชื่อไคที่ยืนอยู่ไม่ห่าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีสิทธิ์จะแปลความหมายของประโยคนั้นได้ทัน เมื่อสัมผัสหนักๆของรองเท้าหนังคู่เดิมของใครอีกคนกดลงมาชนิดที่เรียกว่าไม่มีการยั้งมือ
จางเล่ยในตอนนี้ดูไม่ต่างอะไรไปจากปีศาจในหนังสือนิยายเลยสักนิด ไคลอบกลืนน้ำลายลงคอซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในใจนึกสวดภาวนาให้ผู้ชายโชคร้ายคนนั้นรีบๆชิงตายหนีความทรมานนี้ไปโดยเร็ว มีบ้างที่บอดี้การ์ดหนุ่มทำท่าจะเข้าห้าม แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาที่ลุกโชนด้วยเพลิงแห่งความโกรธของร่างบางแล้ว เขาก็ได้แต่ก้าวเท้าถอยหลังออกมา
จะให้สู้กับคุณเล่ยเนี่ยนะ?
บรึ้ย...ฆ่าตัวตายชัดๆเลย!
เจ้านายหนุ่มของเขากดฝ่าเท้าไปบนหัวสีเข้มยุ่งเหยิงของคนเบื้องล่าง กดหนักเสียจนใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำนั้นแทบจะจมลงไปกับพื้นปูนสีเทาหม่นแล้วคุณเล่ยก็ยังไม่พอใจ
“ผม...ผมทำอะไรผะ....ผิด อ๊ากกกก!!!”
“เปล่า มึงไม่ได้ผิดอะไรเลย”
“ละ...แล้วคุณจับ....ผมมาทำอะไร?”
“จะให้กูพูดซ้ำอีกกี่ครั้ง?”
“........”
“กูบอกแล้วไงว่ามึงน่ะมันเป็น หมา ของกู!”
จางเล่ยหัวเราะชอบใจยามเมื่อเห็นของเหลวสีแดงเข้มค่อยๆไหลลงมาจากศรีษะที่โดนส้นรองเท้าหนังคู่โปรดของเขาฟาดเข้าไป คุณชายของบ้านตระกูลจางเหยียดยิ้มเหี้ยมตามแบบฉบับของตน เขานึกชังผ้าขี้ริ้วมีชีวิตที่เผลอเก็บมาจากข้างทางนัก นอกจากจะมีแววไม่เชื่อฟังกันแล้ว ยังทำท่าราวกับว่าไม่กลัวเขาอีกต่างหากด้วย
ดูสายตามันสิ!
ทำไม? คิดว่าเขาจะยอมอ่อนให้งั้นหรือ?
ฝันไปเหอะไอ้เวร!!!
คนตัวเล็กดันลิ้นไปดุนกระพุ้งแก้มแก้การหงุดหงิด ก่อนจะต้องปรี๊ดแตกขึ้นมาอีกเมื่อได้ยินเสียงนุ่มคุ้นหูของใครบางคนลอดผ่าน ‘ลูกกรง’ เข้ามา
“เด็ก...”
“ใครเด็ก!!?”
“นายไงเล่ย” คนมาใหม่ที่เดินสาวเท้าเข้ามาพร้อมใบหน้าที่นิ่งขรึมเย็นชาราวกับรูปสลักน้ำแข็ง ดวงตาสีสนิมของร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีดำยี่ห้อดังค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าใกล้จางเล่ยมากขึ้นไปทุกที
“ปากดีแบบนี้อยากตายหรอไอ้หมอ?” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่คิดว่ากวนประสาทที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว แต่ในสายตาของคนที่ถูกเรียกว่า ‘ไอ้หมอ’ ยังไงเสียก็ดูคล้ายกับแมวตัวจ้อยที่กำลังขู่ฟ่อๆใส่เขาเพียงเท่านั้น
...ไม่เห็นจะดูน่ากลัวตรงไหนเลย...
“คนไหนล่ะที่นายเก็บมา?” เบือนหน้าไม่ใส่ใจคำพูดของร่างบาง ก่อนจะเอ่ยถามถึงจุดประสงค์ที่เขาถูกเรียกตัว
“ก็อยู่ใต้ตีนกูนี่ไง” นิ้วเรียวชี้ลงไปที่หมาตัวใหญ่ ซึ่งกำลังนอนหายใจรวยรินอย่างอ่อนแรง
“พูดไม่เพราะ”
“อย่าเสือก”
“เล่ย...”
“อะไร?”
“นายนี่มันเด็กจริงๆ” พูดแล้วก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย ดวงตาไร้ความรู้สึกคู่เดิมปาดมองเลยผ่านเด็กที่กำลังทำสีหน้าก้าวร้าวส่งมาให้เขาอย่างเปิดเผยไปแบบไม่เสียเวลาใส่ใจ คุณหมอหนุ่มยืนประเมินสถานการณ์ ก่อนจะตัดสินใจย่อกายลงไปสำรวจสภาพของผู้ชายใต้เท้าของใครอีกคน
“เด็กร้ายกาจซะด้วย” ป่วยการจะบ่น หมอตัวสูงเอื้อมมือไปผลักขาของจางเล่ยออก ก่อนจะยื่นนิ้วไปสัมผัสเส้นชีพจรที่ลำคอของคนเจ็บ
“คุณหมอโอต้องการอุปกรณ์พิเศษอะไรรึเปล่าครับ?” บอดี้การ์ดผิวเข้มที่ยืนสงบปากสงบคำมานานเอ่ยถามขึ้น คุณหมอโอหรือโอเซฮุนเป็นหมอหนุ่มที่เข้ามาทำงานให้กับตระกูลจางตั้งแต่เพิ่งเรียนจบมาใหม่ๆ ด้วยความสามารถและทักษะที่โดดเด่นทำให้คุณชายใหญ่ไม่พลาดที่จะไปคว้าเขามาทำงานให้กับครอบครัว
อย่างไรก็ตามในบรรดาพี่น้องทั้งหมดสามคน ดูจะมีแค่คุณเล่ยเท่านั้นล่ะมั้งที่ตั้งแง่กับคุณหมอโอเขาเสียจนออกนอกหน้า
“ผมต้องการห้องที่สะอาดและมีอากาศถ่ายเทได้ครับ อ้อ..ต้องการคนแข็งแรงสักสองสามคนมาช่วยหามร่างคนเจ็บขึ้นไปข้างบนด้วย”
“ใครอนุญาตให้พาตัวหมาของกูขึ้นไป?”
“หรือนายอยากให้เขาตาย?”
“ก็แล้วทำไมรักษามันที่นี่ไม่ได้? เอาขึ้นไปข้างบนมันสกปรกบ้านกู!!” จางเล่ยเริ่มหงุดหงิด พยายามขัดขวางคำสั่งของหมอหน้านิ่งอย่างสุดความสามารถ
เป็นแค่หมาข้างทาง อยู่แค่ข้างล่างนี่ก็สูงส่งเกินไปแล้ว!
“มันสกปรก แผลเขาอาจจะติดเชื้อได้”
“ก็สมกับตัวมันดีออก หมาสกปรกก็ต้องอยู่ในห้องสกปรกๆสิ”
“งั้นฉันกลับล่ะ ที่เหลือจะเอายังไงก็เชิญจัดการตามใจนายละกัน”
“เฮ้ย!! เดี๋ยวดิ่วะ ทำงานยังไม่คุ้มค่าจ้างเลยจะกลับได้ยังไง?”
“ก็มีเด็กบางคนขวางทาง...ทำงานไม่ได้”
“ไอ้เชี่ยหมอ!! แม่ง...โอ๊ย! เออๆ มึงจะทำอะไรก็ทำ ไคมึงคอยช่วยแม่งละกัน กูจะขึ้นไปข้างบนแล้ว” ฮึดฮัดฟึดฟัดขัดใจ! จางเล่ยกดเท้าขยี้หัวเหยื่อที่จับมาได้เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะผละออกไปทิ้งสิทธิ์ในการจัดการทุกอย่างให้กับคนหน้าตายข้างหลังแทน
สองขาเรียวก้าวเร็วๆผ่านลูกกรงเหล็กสีดำที่เต็มไปด้วยคราบน้ำสกปรกและร่องรอยของสนิมที่เกาะกินเนื้อเหล็กไปบางส่วน ใบหน้าขาวเชิดขึ้นอย่างถือดี แต่ก็ต้องหยุดลงเมื่อดวงตากลมเหลือบไปเจอบางสิ่งที่น่าสนใจกองอยู่ไม่ไกลจากซี่กรง
“ไค”
“......”
“ไค”
“......”
“ไค!!!!!!!”
“คะ...ครับคุณเล่ย” บอดี้การ์ดหัวสีทองซีดตกใจกับเสียงเรียกที่แผดดังลั่น เมื่อกี้เขาแค่หันไปช่วยหมอโอพลิกตัวคนป่วยสำรวจบาดแผลเท่านั้น เลยไม่ทันได้ฟังว่าเจ้านายต้องการตัว
ซวย... ซวยชิบหายเลย
“มึงเอาอีกแล้วนะไค จะให้กูหงุดหงิดจนอยากยิงหัวมึงตายขึ้นมาจริงๆใช่มั๊ย?” เจ้านายตัวเล็กกว่าเดาะลิ้นเสียงดัง ดวงตาสีน้ำตาลกวาดมองร่างของคนสนิทอย่างพินิจพิจารณา ไม่รู้ทำไมพี่ชายของเขาถึงไปเลือกคนห่วยๆ ที่ทั้งขี้ขลาด ขี้กลัว แถมยังช้ายิ่งกว่าเต่าแบบนี้มาเป็นมือขวาของเขาได้?
คิดยังไง...จางเล่ยก็ไม่เข้าใจเลยจริงๆ
“เดี๋ยวปั๊ดแม่ง!!” อยากจะสั่งให้มันไปกระโดดน้ำตายที่ไหนก็ไป ยิ่งมองหน้าโง่ๆที่เต็มไปด้วยความกลัวของมันยิ่งแล้วใหญ่ อยากจะถามออกไปนักว่านี่มันผ่านการฝึกเป็นบอดี้การ์ดมาได้ยังไงกัน?
“ขอโทษครับคุณเล่ย”
“เดี๋ยวเรื่องมึงเอาไว้จัดการทีหลัง ตอนนี้ไปแบก ‘ไอ้นั่น’ มาให้กูเร็วๆ” นิ้วชี้ไปทางกองเส้นโซ่โลหะที่ถูกทิ้งให้ฝุ่นเกาะเพราะขาดการใช้งานมาหลายเดือน ในขณะที่คนรับคำสั่งขมวดคิ้วแน่นด้วยความงุนงง
“คุณเล่ยจะ...”
“ถ้ามึงถามกูอีกคำ กูจะส่งมึงไปเป็นคนไข้ของไอ้หมอโออีกคน”
“ครับๆ ไปเดี๋ยวนี้ครับคุณเล่ย”
เกือบไปแล้วแม่ง! กูเกือบตายคาตีนเจ้านายแล้ว...
วิ่งไปที่กองโซ่พร้อมกับถอนหายใจยาวยืด นึกตำหนิตัวเองที่เป็นคนซื่อบื้อแต่ยังเสือกจะขี้สงสัย ท่องไว้ไค คำสั่งของเจ้านายแค่ทำตามอย่างไร้คำถามก็พอ !
“ลากมาทางนี้” ออกคำสั่งเสร็จก็ไปยืนรอข้างๆหมอหนุ่มที่กำลังพยายามคุยกับคนไข้อยู่ ดูเหมือนว่าหมาของเขาเองก็ยังพอมีสติ แม้ว่าจะเจ็บหนักเข้าขั้นสาหัส แต่ได้ไคห้ามเลือดให้ไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ก็เลยพอประคองชีวิตรอดมา
“หลบซิไอ้หมอ”
“จะทำอะไร?”
“อย่าเสือก”
“เล่ย...”
“อย่าเรียกกูด้วย รำคาญ” เหล่ตาไปสบเข้ากับดวงตาเรียวสีสนิมนั่นแล้วก็รีบเบือนกลับ จางเล่ยโน้มตัวลงไปดึงใบหน้าของผู้ชายร่างสูงให้แหงนขึ้นอีกครั้ง แล้วเอ่ยปากออกคำสั่งเสียงห้วน
“เห่า”
“.......”
“เห่าสิ”
“อะ....อะไร?”
“กูบอกให้มึงเห่า!” เมื่อไหร่คนพวกนี้จะเข้าใจว่าเขาไม่ชอบพูดอะไรซ้ำๆ ทำไมไม่ยอมฟังอะไรให้เข้าใจในครั้งเดียวบ้าง?
ความโกรธที่พุ่งขึ้นแล้วพุ่งขึ้นอีกของจางเล่ยทำให้ใบหน้าขาวเนียนเริ่มบิดเบี้ยวไปตามแรงอารมณ์ ริมฝีปากสีสดเบ้ขึ้นอย่างคนกำลังหงุดหงิดจนกลั้นไม่ไหว มือเล็กตะปบเข้าที่ข้างแก้มสาก ไม่สนใจคราบเลือดที่ไหลลงมาเปื้อนตน ในสายตาของเขาตอนนี้มีเพียงดวงตาถือดีที่ถูกส่งมาจากหมาที่ไม่รู้จักเจียมตัว
“เห่าเดี๋ยวนี้”
“ไม่”
“กูให้โอกาสมึงเลือกอีกครั้ง จะเห่าหรือไม่เห่า?”
“ไม่” ยืนยันคำเดิม ดวงตาคมที่แม้จะอ่อนแรงลงกว่าเมื่อวาน แต่ก็ไม่ได้ลดแววต่อต้านในนั้นลงสักนิดเลย ร่างสูงเงยหน้ามองคนออกคำสั่งอย่างไม่มีทีท่าจะหวาดกลัว หนำซ้ำยังพยายามสะบัดหน้าให้หลุดออกจากกรงเล็บคมที่จิกลงบนเนื้อของเขาจนได้แผลอีกด้วย
“ดี! มึงตอบได้ดี” ไม่ใช่แค่ไคที่ตกใจ แม้แต่คุณหมอโอยังงงจนอ้าปากค้าง ทำไมจางเล่ยคนเจ้าอารมณ์ถึงได้ยอมง่ายๆ ทั้งที่ไม่เคยปล่อยให้คนที่ขัดคำสั่งตนเองมีชีวิตรอด แต่ทำไมถึงได้ยิ้มออกมาอย่างถูกอกถูกใจเสียขนาดนั้น แม้ว่าจะเพิ่งถูกหมาของตัวเองปฏิเสธมา?
“ไค! เอาโซ่มาให้กู” และก็ได้คำตอบของทุกคำถาม เมื่อร่างเล็กชี้นิ้วสั่งให้ไคเดินลากเอาโซ่กองใหญ่เข้ามาในสะภาพทุลักทุเล มือเรียวกระชากข้อโซ่ที่อยู่ในกำมือของบอดี้การ์ดไป ก่อนจะออกแรงสะบัดให้เกิดเสียงโลหะกระทบกัน
- - แกร๊ง แกร๊ง - -
“หมาไม่เชื่อง ก็ต้องดัดนิสัยกันหน่อย” ว่าแล้วก็ตวัดสายโซ่ขึ้นรอบลำคอแกร่ง นิ้วเรียวดึงปลายด้านหนึ่งมาล็อกเข้าไว้กับข้อโซ่อีกข้อด้วยแม่กุญแจสีดำที่ทั้งหนักทั้งแข็ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วกระตุกโซ่ส่วนที่เหลือเข้าหาตัว
“คลาน”
“.......”
“กูบอกให้มึงคลาน!!” เมื่อหมาตัวเดิมยังไม่ยอมทำตามคำสั่ง คุณชายเล็กตระกูลจางก็ยิ่งออกแรงดึงที่ข้อมือ ดึงเสียจนปลายโซ่อีกด้านสีเข้ากับเนื้อของร่างสูงจนเลือดค่อยๆไหลซึมออกมา
“พอแล้วเล่ย”
“มึงอย่าเสือกเรื่องของกูโอเซฮุน!”
“แต่เขายังเจ็บหนักอยู่ แขนซ้ายเขาหัก นายจะทำอะไรรอให้เขาหายก่อนไม่ได้รึไง?” คุณหมอหน้านิ่งยกมือขึ้นเสยผมที่ปรกลงมาบนหน้าผาก ส่งผลให้ดวงตาเรียวแสดงความรู้สึกระอาใจออกมาให้อีกคนเห็นได้อย่างชัดเจน
“กูก็อุตส่าห์ให้มึงมารักษามันแล้วไง เห็นมั๊ย? เจ้านายอย่างกูใจดีจะแย่อยู่แล้ว... ไค! พาไอ้หมอไปรอที่ห้องด้านบน เดี๋ยวกูจะจูงหมากูตามขึ้นไปเอง”
“ครับคุณเล่ย” คราวนี้ไคไม่เอ่ยปากถามอะไรให้นำภัยมาถึงตัวเองอีก บอดี้การ์ดผิวเข้มค้อมตัวให้กับคุณหมอโอ ก่อนจะผายมือเชิญให้เจ้าของเส้นผมสีเทายอมเดินขึ้นไปด้านบนตามที่เจ้านายของตนต้องการ
“เด็กดื้อ” ทิ้งคำพูดสุดท้ายไว้ แล้วหันหลังเดินตามไคไปอย่างจำยอม
“วอนตีนหรอไอ้หมอ!?” ตะโกนถามไล่หลังไปด้วยความหงุดหงิด เจอหน้าหมอบ้านี่ทีไรประสาทของจางเล่ยยิ่งจะได้เสียมากขึ้นกว่าเดิม
...เกลียดขี้หน้ามันชิบหายเลย...
“ถ้ามึงยังไม่อยากตายก็รีบๆคลานตามกูมา”
“ไม่”
“กูไม่ได้ถาม กูสั่ง!” เบือนหน้ากลับมามองหมาใกล้ตายที่นอนแหม่บอยู่บนพื้น เล่ยออกแรงกระชากโซ่สุดตัว จนร่างสูงโปร่งที่กำลังอ่อนแรงต้านไม่ไหว จึงล้มหน้าไถลครูดกับพื้นตามมา
“โอ๊ย...”
“สมน้ำหน้า! จะเสือกพยศทำไมนักหนา?”
“ผม..เป็นคนนะ ไม่ใช่...หมาขะ....ของคุณ” หมาตัวสูงเค้นเอาคำพูดออกมาโต้แย้งอย่างยากลำบาก สติของเขายังคงไม่มั่นคง ดวงตาของเขาก็ยังพร่ามัวเพราะอาการเสียเลือดมาก แขนซ้ายก็หักจนขยับไม่ไหว มีแค่ขาสองข้างที่ยังพอใช้การได้ปกติดี
แม้จะรู้ว่าตัวเองอาจไม่รอดในเงื้อมมือของคนจิตไม่ปกติ แต่นัยน์ตาสีดำสนิทของคนเจ็บก็ยังไม่วายมองตรงไปข้างหน้าแบบถือดี เขาเองก็มีศักดิ์ศรี มีชีวิตมีจิตใจ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีใครปฏิบัติกับเขาได้ไร้มนุษยธรรมแบบนี้ ร่างสูงขอยอมรับความตายที่กำลังจะก้าวเข้ามา ดีกว่ายอมคลานหรือเห่าเป็นหมาให้ใครอีกคนพอใจ
...ถ้าจะตาย เขาก็ขอตายแบบคน...
“ตกลงมึงจะไม่คลาน?”
“เออ!!” กระแทกเสียงตอบเพราะอารมณ์ที่เริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว แต่คนตัวใหญ่ไม่ทันได้คิด ว่าโทษของการกระแทกเสียงใส่คนตรงหน้า จะร้ายแรงเสียจนโลกของเขาดับวูบไปในพริบตาเดียว
ปลายเท้าที่หุ้มด้วยรองเท้าหนังจระเข้เนื้อแข็งกระแทกเสยเข้าเต็มๆที่ปลายคางสาก จางเล่ยสะบัดเท้าซ้ำอีกครั้งเพื่อให้มันกระแทกเข้ากลางใบหน้าของอีกคนอย่างแรง!!
- - ผัวะ!! - -
เสียงหนังกระแทกกับเนื้อดังลั่นห้องอับชื้นที่โอบล้อมไปด้วยผนังสีเทาทะมึน และซี่ลูกกรงสนิมเขรอะยังคงดังต่อเนื่องซ้ำไปซ้ำมา ดูราวกับว่าคนที่ลงแรงอยู่นั้นจะขาดสติไปโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว อารมณ์ร้ายที่พุ่งขึ้นมาในหัวมีมากพอจะกระทืบซ้ำลงไปกลางตัวของร่างสูงอีกหลายสิบที
“คุณเล่ยครับ! คุณเล่ย!!” ไคที่วิ่งลงมาดูเจ้านายถึงกับร้องเสียงลั่น เขาถลาตัวเข้าไปล็อกคนตัวเล็กกว่าไว้จากด้านหลัง ก่อนจะส่งเสียงตะโกนเรียกเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆที่เฝ้าอยู่ใกล้ประตูให้ตามเข้ามา
“มึงรีบลากไอ้ยักษ์นั่นขึ้นไปบนตึก คุณหมอโอรออยู่แล้ว เฮ้ย! กูบอกให้เร็วๆ เดี๋ยวคุณเล่ยก็หลุดไปฆ่าแม่งตายหรอก!” สั่งได้สมกับเป็นหัวหน้าบอดี้การ์ดของคุณชายคนเล็ก แม้ไคจะดูไม่สู้คนเมื่ออยู่กับจางเล่ย แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขายอมลงให้คนอื่นนอกเหนือจากเจ้านายเสียหน่อยนี่
“เชี่ย!! ปล่อย!! กูจะฆ่าแม่งให้ตาย!!” คุณชายเล่ยของเขาในตอนนี้โกรธจัดจนขาดสติไปเรียบร้อยแล้ว มือขาวฟาดสะเปะสะปะไปทั่ว แม้แต่ขาก็ยกขึ้นเตะอากาศไปมา
“ยกดีๆ อย่าให้มันตายเด็ดขาด” ไคออกคำสั่งกับบอดี้การ์ดคนอื่นๆเสียงเข้ม เขาลากเล่ยถอยห่างออกไป ก่อนจะลอบถอนหายใจเมื่อการขนย้ายคนเจ็บเป็นไปอย่างเรียบร้อยดี
“คุณเล่ยครับ...คุณเล่ย”
“มึงปล่อยกูเดี๋ยวนี้เลยไค ถ้ามันไม่ตายวันนี้ไม่ต้องมาเรียกกูจางเล่ย!!”
“แต่คุณเก็บมันมาเป็นของเล่นแก้เครียดไม่ใช่หรอครับ? ถ้าฆ่ามันตายวันนี้แล้วจะเหลืออะไรให้เล่นอีก” ถ้าเป็นเวลาปกติไคคงไม่กล้ายุ่งเรื่องของเจ้านาย แต่เพราะรู้ว่าตอนนี้คุณชายคนเล็กกำลังปล่อยให้ความโกรธเข้าครอบงำสติ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่พวกพี่ๆของคุณชายส่งตัวเขามาอยู่ข้างๆ
ใช่...
ไคไม่ได้มีแค่หน้าที่ดูแลความปลอดภัยให้จางเล่ย แต่ยังมีหน้าที่คอยจัดการเวลาอีกคนเริ่มอาละวาดจนอยู่เหนือการควบคุม
คนตัวสูงลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้งและอีกครั้ง ก่อนจะสูดปากเสียงลั่น เมื่อเล็บยาวๆของคนขี้โมโหพุ่งมาข่วนแก้มเขาเสียจนขึ้นรอยทางยาว
“เฮ้อ...เห็นทีจะเอาไม่อยู่ ขอโทษนะครับเจ้านาย แต่ผมจำเป็นต้องทำจริงๆ” พูดจบก็ตวัดนิ้วขึ้นมาฟาดลงไปที่หลังคอเนียน ร่างบางที่กำลังดิ้นหนีให้หลุดจากการเกาะกุมก็หยุดนิ่ง คอพับ หมดสติร่วงลงมา
- - ฟุ่บ! - -
แขนแกร่งของบอดี้การ์ดเจ้าของผมสีบลอนด์ซีดเอื้อมไปคว้าร่างเจ้านายเข้ามากอดไว้แน่นอย่างรวดเร็วก่อนที่หัวสวยๆจะหล่นลงไปกระแทกกับพื้นปูนสกปรก ไคส่ายหัวก่อนจะแอบยิ้มออกมานิดๆ เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่พี่ชายจางคนโตผู้ควบคุมดูแลกิจการและเป็นม้ามืดในวงการธุกิจที่ไม่ว่าใครก็ต้องเคยได้ยินชื่อคนนั้นเคยพูดกับเขาเอาไว้
‘ฉันไม่ได้ให้นายมาทำงานบอดี้การ์ดหรอกไค’
‘หมายความว่ายังไงครับ?’
‘ฉันอยากให้นายมาเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้คุณชายคนเล็กแห่งบ้านตระกูลจาง’
เขาคิดผิดหรือคิดถูกก็ไม่รู้ที่รับงานนี้?
แต่ที่รู้คือตอนนี้คงต้องรีบหนีไปซ่อนไกลๆ ไม่งั้นลองเจ้านายฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่...
เขาคงได้ถูกยิงเจาะทะลุกบาล!!!
=============================================
(.__.)\ ได้แต่คิดแล้วก็สงสัย.. ทำไมแต่งแล้วมันไม่ดาร์กอย่างที่คิด?
ขอโทษด้วยนะคะถ้าตอนนี้ทำให้ใครต้องผิดหวัง ถ้ามันไม่แรงอย่างที่ทุกคนคิดไว้
แต่ตอนหน้าพี่คริสหายเจ็บแล้วอี้มาจัดเต็มกว่านี้แน่นอนค่ะ <3 อิอิอิ /*สัญญา*/
อ่านแล้วฝากเม้นท์นิดนึงนะจ๊า J
1 เม้นท์ของคนอ่าน เท่ากับล้านกำลังใจของคนเขียน..
หรือจะสกรีมในทวิตติดแท็ก #ฟิคสารละลาย ก็ได้ไม่ว่ากันจ้า >w< จุ้บๆ
ความคิดเห็น