ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กางเกงลิงตัวนั้น ของฉันใช่ไหม!!? [อ่านฟรี]

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2 คืนเถอะ ขอร้อง

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.ค. 66


    ทันทีที่สองตาเหลือบเห็น สองเท้าก็ยืนขึ้นอย่างกังขา ยิ่งสาวเท้าเข้าไปยืนใกล้ ๆ ยิ่งสงสัยจนไม่อาจยั้งคิด ลมหนาวพุ่งเข้าไปยืนประจันหน้ากับคนที่คิดว่าอาจเป็นคนขโมยเครื่องรางของตัวเองไป

    “ขอดูกางเกงลิงหน่อยสิ”

    คนทั้งแก๊งต่างมองลมหนาวเป็นตาเดียว คำขอของเขาทำเอาทุกคนช็อกไม่เว้นแม้แต่เพื่อนข้างตัว

    “หนาวววว เมื่อกี้แกพูดอะไรรู้ตัวบ้างไหม?”

    อาร์มว่าพลางพยายามดึงลมหนาวออกห่างจากกลุ่มคนตรงหน้า แต่ลมหนาวกลับไม่ยอมแล้วยืนต่อพลางจ้องหน้าคนผิดจนเจ้าตัวรู้ว่าอีกฝ่ายหมายถึงใคร

    “เรารู้สิ แล้วก็อยากรู้ด้วยว่ากางเกงลิงที่เขาใส่มันเป็นของใคร!”

    “หา?”

    คนทั้งแก๊งทำหน้าสงสัยแบบเดียวกับที่คนถูกกล่าวหาทำ เอ็คผู้ดึงสติกลับมาได้ก็หันไปมองเพื่อนข้างกายที่เคยจับล็อกเขาไว้ก่อนหันไปกระซิบ

    “ไอ้ทิว เมื่อเช้าแกไปเอากางเกงในนั่นมาจากไหนวะ?”

    “ฉันเห็นมันติดอยู่ในรังนกบนราวตากผ้าอะ เลยไม่คิดว่าจะมีเจ้าของมาตาม”

    เอ็คถึงกับจิปากอย่างหมดคำจะพูด เขาหันไปมองลมหนาวอีกครั้งก่อนเท้าเอวขึ้นกร่างคล้ายไม่ยอมรับความผิด

    “แล้วรู้ได้ไงว่าเกงในที่ฉันใส่เป็นของแก ไหนล่ะหลักฐาน?”

    เมื่ออีกฝ่ายดูท่าจะไม่ยอมรับ ลมหนาวจึงกอดอกเชิดหน้าขึ้นเหมือนไม่ยอมอ่อนข้อหากอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับผิดแล้วคืนของที่เอาไปมาให้

    “กางเกงลิงของเรามีรอยเย็บรูปดาวปักอยู่ เรารู้เพราะเราเป็นคนปักมันกับมือเอง”

    “กางเกงในฉันก็มีรูปดาวปักไว้อยู่ ฉันให้แม่ปักไว้กับมือเลย”

    เพื่อนรอบตัวถึงกับกลั้นขำเมื่อจับได้ว่าเอ็คกำลังโกหกอยู่ พี่เพชรผู้ดูสถานการณ์ก็เริ่มเอ่ยออกมาบ้างเพราะต้องการให้ทั้งคู่ไกล่เกลี่ย

    “เอาอย่างนี้ ใครพอจะมีหลักฐานยืนยันบ้างว่ากางเกงในตัวนี้เป็นของตัวเองอย่างพวกใบสลิป หรือภาพรีวิวตอนเปิดพัสดุอะไรทำนองนั้น”

    “ผมมี แต่อีกฝ่ายมีรึเปล่าเถอะถึงมาอ้างว่าเป็นของตัวเอง”

    “ไหนหลักฐานว่าเป็นของตัวเองอะ? ลองเอาออกมาโชว์ดิ”

    ลมหนาวเดินกลับไปหยิบโทรศัพท์ของตัวเองพร้อมเปิดหลักฐานที่เคยเตรียมไว้เผื่อเกิดกรณีต้องตามหาของหายขึ้นมา

    กริ๊ง กริ๊ง

    เสียงประตูหน้าร้านถูกเปิดทำให้ลมหนาวต้องระสายตาไปดูและเห็นผู้ต้องสงสัยกำลังวิ่งออกไปพร้อมเพื่อนอีกคน

    “อย่าหนีนะ!”

    ด้วยความโมโหลมหนาวทิ้งสัมภาระแล้วรีบวิ่งตามโจรกับผู้สมรู้ร่วมคิดไป แม้ร่างกายจะไม่ได้สูงใหญ่เท่าทั้งสอง แต่ลมหนาวก็เป็นถึงนักวิ่งกรีฑาของโรงเรียนคนหนึ่ง เรื่องวิ่งจึงไม่แพ้ใครทั้งนั้น

    “แฮก แฮก เห้ย! มันตามมาข้างหลังแล้ว!!”

    “ไม่ไหว ไปต่อไม่ไหวแล้ว ฉันขอพลีชีพว่ะ!”

    “ไอ้ทิว!! ไม่นะ!!!”

    ทิวชะลอความเร็วลงแล้วพยายามคว้าตัวลมหนาวไว้ ทว่าลมหนาวจับทางได้จึงชะลอเท้าแล้วหมุนตัวหลบวงแขนได้อย่างฉิวเฉียดก่อนดันตัวทิวให้หลบการวิ่งเพียงเล็กน้อยเขาก็เสียหลักล้มเพราะกะจังหวะคว้าผิดพลาดทำให้ล้มกลิ้งลงกับพื้น นอนนิ่งอย่างคนไร้เรี่ยวแรง

    เอ็คเห็นเพื่อนอุตส่าห์เสียสละตัวเองให้เขาได้วิ่งนำไกลอีกนิด แม้จะซาบซึ้งใจ ทว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีเริ่มหดหายเพราะใช้ไปกับเกมฟุตบอลหมดแล้ว

    “แกจะหวงอะไรนักหนาวะ? กับอีแค่เกงใน ทำเป็นลืม ๆ ไปไม่ได้เหรอวะ!?”

    “ไม่ได้!!”

    “แต่ฉันไม่คืน!! อยากได้ก็ไปแจ้งความเอาเซ่!!”

    คำยั่วยุทำเอาลมหนาวโมโหสุดขีด ของตัวเองก็ไม่ใช่ พอเจ้าของอยากได้คืนกลับไม่ให้ ช่างเป็นคนหน้าด้านหน้าทนอะไรอย่างนี้

    ยิ่งความโกรธมีมากขึ้น สองเท้ายิ่งเพิ่มสปีดให้ทันคนข้างหน้า ในจังหวะที่คิดว่าน่าจะจับได้ ลมหนาวจึงทุ่มตัวสุดแรงเกิดกระโจนไปด้านหน้าพยายามคว้าตัวเขาเอาไว้

    พรืด ตุบ!

    เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะจนเสียงรถมอเตอร์ไซค์ที่ขับตามมาจอดลง แต่ยังคงเงียบอยู่เหมือนไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา

    ลมหนาวหยัดตัวลุกขึ้นด้วยความจุกเพราะเจ็บตัวจากเรื่องเมื่อกี้ทำให้เจ้าตัวเพิ่งนึกได้ว่าอาจทำเกินกว่าเหตุ ยังไงซะเขาก็รู้จักหอที่อีกฝ่ายอยู่จะไปเจรจาขอคืนทีหลังก็ไม่น่าเป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ พอคิดได้ดังนั้นจึงหันไปมองคู่กรณีและต้องอึ้งกับสิ่งที่ทำไป

    ผิวเนื้อของแก้มก้นแกร่งถูกโชว์เด่นต่อหน้าธารกำนัล ทั้งเพื่อน ทั้งรุ่นพี่ที่เล่นบอลด้วยกัน หรือแม้แต่น้องสาวรุ่นพี่ที่เขาแอบชอบอย่างพลอยก็อยู่ด้วย เอ็คหยัดตัวลุกขึ้นชันเข่าก่อนดึงเอากางเกงออกจากมือลมหนาวแล้วดึงขึ้นสวม สองรูจมูกเบ่งบานสูดเอาอากาศเข้าปลอดลึก ๆ เหมือนกำลังระงับความรู้สึกอันพลุ่งพล่านยากเกินจะกลั้นไหว

    “ขะ ขอโทษ เราแค่จะเกาะตัวให้หยุดเฉย ๆ ไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องมันเป็นอย่างนี้”

    “ขอโทษ? ขอโทษทำไม เราผิดเองที่ไปเอาของคนอื่นมาใช้ทั้งที่ไม่ใช่ของตัวเอง…”

    คนพูดยิ้มทั้งเดินเข้าไปใกล้จนลมหนาวต้องรีบลุกขึ้นยืนเพราะเหมือนเขาจะเข้ามาประชิดจนแทบจะข้ามหัวเขาอยู่แล้ว

    “แกคิดว่าฉันจะพูดคำนี้ออกมาเหรอวะ? ฮะ?”

    “ก็เพิ่งพูดไปเมื่อกี้…”

    “อะไรนะ?!!”

    เอ็คกัดฟันกรอดพลางเอาหัวดันหน้าผากลมหนาวแล้วกดจนหน้าใกล้จนแทบจะสิงเป็นร่างเดียวกัน ลมหนาวคิดจะถอยออกอีกฝ่ายก็รั้งคอเสื้อเอาไว้แล้วดันหัวชิดต่อไม่ยอมให้ปล่อยแม้แต่เซนติเมตรเดียว

    “ฉันบอกว่าไม่คืนให้ ก็คือไม่คืนให้”

    “คืนเถอะ ขอร้อง”

    “นี่แกไม่เข้าใจเหรอวะ? ถ้าอยากได้ก็ไปแจ้งตำรวจเอาสิ หวังว่าหลักฐานมันจะยังอยู่จนถึงวันนั้นนะ”

    “คืนกางเกงลิงเราเถอะ เราขอร้อง”

    ลมหนาวหดคอจนแทบมิดเสื้อ ส่วนเอ็คยังคงกดดันเขาต่อเหมือนนี่เป็นทางเดียวที่เขาจะระบายอารมณ์โกรธได้โดยไม่ทำให้ใครเจ็บตัว

    “เอ็คพอแค่นี้เหอะ ถ้าเอ่อ… แกเอาของเขามาจริง ๆ ก็คืนให้เขาเถอะ มันคงเป็นของสำคัญของเขาจริง ๆ”

    เพชรเริ่มเจรจาให้รุ่นน้องยอมหยุด อาร์มที่เพิ่งวิ่งตามหลังมาก็หอบหายใจพลางสงสัยกับเหตุการณ์ตรงหน้า

    “พี่ให้ผมพอเหรอ? แล้วทีมันมาถามผมต่อหน้าเพื่อน ต่อหน้าคนทั้งร้าน พี่ไม่คิดว่าผมอายบ้างเหรอ?”

    “พี่เข้าใจเอ็ค แต่แกปล่อยเขาออกก่อนเถอะ เขากลัวจนหน้าซีดหมดแล้ว”

    “ไม่! จนกว่ามันจะเลิกทวงกางเกงในกับผม”

    “ไม่เลิก! ก็มันเป็นของของเรา เราอยากได้คืนก็ไม่ผิดรึเปล่าอะ?” ลมหนาวพูด

    พอเอ็คเห็นอีกคนยังดื้อรั้นก็เริ่มคิดบางอย่างได้ก่อนจะปล่อยมือออกจากลมหนาวแล้วกอดตัวเองไว้เหมือนหวงตัว

    “อย่าบอกนะว่าที่อยากได้คืนเพราะจะเอาไป… คนผีทะเล!”

    เอ็คว่าพลางเดินเข้าไปหลบหลังเพชรให้ยืนกั้นกลางระหว่างพวกเขา

    “เอ็คเอ้ย เอาคืนเขาไปเถอะ พี่ขอร้อง”

    “ไม่เอาหรอกพี่ คนเขาใส่ไปแล้วยังจะเอาคืนอีก พี่ว่ามันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ”

    “ที่แปลกคือแกเอาของเขามาใส่ต่างหาก งั้นเอางี้…” เพชรหันไปหาลมหนาวก่อนพูดถาม “ถ้าน้องพี่มันซักให้ก่อนคืน น้องจะว่าอะไรไหม?”

    ลมหนาวส่ายหน้าให้เห็นว่าไม่ถือก่อนเพชรจะหันไปคุยกับรุ่นน้องต่อ

    “ถ้าซักให้ก่อนคืนก็ไม่มีปัญหาแล้ว แกก็คืน ๆ เขาไปเถอะ จะกั๊กไว้ทำไม”

    “เออใช่ คืนไปเหอะ”

    เพื่อน ๆ ช่วยกันพูดโน้มน้าวให้เอ็คเปลี่ยนใจ เขาเชิดหน้ามองฟ้าอยู่นานก่อนเสียงหวาน ๆ ของพลอยจะเอ่ยบ้างเพราะอยากกลับบ้านไว ๆ

    “คืนเขาไปเถอะนะเอ็ค”

    “...เอางั้นก็ได้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ซักคืนให้ แต่อย่าคิดว่าฉันจะลืมเรื่องที่แกทำฉันขายหน้าในร้านคาเฟ่ แล้วยังดึงกางเกงฉันอีก แค้นนี้อย่าคิดว่ามันจะจบง่าย ๆ”

    คำขู่ที่ว่าทำเอาลมหนาวรู้ชะตาว่าคงอยู่หออย่างสงบสุขไม่ได้แน่ แต่อย่างน้อยเขาก็คุยจนได้กางเกงลิงกลับคืนมาแล้ว ที่เหลือก็คงไม่ยากเพียงแต่ต้องผ่านมันไปให้ได้

    “แล้วจะให้คืนยังไงล่ะ?” เอ็คว่า

    “เอ่อ เอิ่ม หอโอลีฟที่ล็อกเกอร์ห้องเจ็ดหนึ่งสามอะ”

    ลมหนาวพูดพลางเหล่มองไปทางอื่น เอ็คถึงกับหรี่ตาในท่าทีนั้นก่อนพูดตอบ

    “ชั้นเดียวกันหนิ เดี๋ยวเอาไปให้ที่ห้อง”

    “มะ ไม่เป็นไร ยังไงนายก็เอาไปซักชั้นล่างอยู่แล้ว ใส่ในล็อกเกอร์เลยก็ได้”

    “จะเอาไม่เอา ก็บอกว่าจะให้ที่ห้อง อย่าทำให้มันยุ่งยากว่ะ”

    อีกคนพูดอย่างคนเหนือกว่าทั้งที่เป็นผู้ต้องหาแท้ ๆ ทุกคนต่างระอากับเรื่องที่ทั้งคู่ก่อจนเริ่มทยอยเดินกลับ เหลือเพียงไม่กี่คนที่อยากรู้ตอนจบของเรื่องนี้

    “อึก ที่ห้องก็ได้”

    “เออ อยู่รอรับด้วยละกัน อย่าให้ต้องรอนาน”

    พูดจบอีกคนก็เดินกลับไปหากลุ่มเพื่อนแล้วหันไปคุยกับรุ่นพี่ที่คอยดูสถานการณ์

    “ลมหนาว แกโอเคไหม?”

    คนถูกพูดถึงส่ายหน้าเป็นการบอก อาร์มเดินเข้ามากอดพลางลูบหลังปลอบใจให้หายขวัญเสีย เรื่องที่ลมหนาวเป็นคนขี้หวงเขาเองก็รู้ ถึงแม้ว่าเพิ่งจะคบกันได้ไม่กี่เดือนก็พอเดาออกจากที่ของใช้ทุกชิ้นของลมหนาวจะต้องมีสัญลักษณ์หรือชื่อของเจ้าตัวแปะไว้ แม้ว่าอาร์มจะไม่เคยไปก้าวก่าย แต่เพื่อนสนิทอย่างมิ้นเคยหยิบของลมหนาวไปโดยไม่กล่าว เจ้าตัวถึงกับงอนไม่ยอมพูดจาด้วยถึงสองชั่วโมง

    “ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวก็ได้ของคืนแล้ว”

    “แกว่าเราทำเกินไปไหม? ของนั่นมันก็ของเรา ทำไมเราจะขอคืนไม่ได้?”

    “ฉันเข้าใจแกนะเว้ย แต่วิธีการทวงที่แกใช้มันออกจะไม่น่ารักไปสักหน่อย ใจจริงเขาอาจคิดว่าเป็นของตัวเองก็ได้ถึงได้เอาไปใส่ การที่แกไปทำเหมือนว่าเขาเป็นคนร้ายตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เขาก็อาจตั้งแง่กับแก แล้วไม่ยอมรับความจริงก็ได้”

    พอได้ยินอย่างนั้นลมหนาวก็เหมือนเริ่มเข้าใจก่อนผละตัวออกจากเพื่อนแล้วหันมายิ้มให้

    “ขอบใจนะที่ช่วยเตือนสติแล้วก็อยู่เป็นเพื่อนเราจนถึงตอนนี้ด้วย”

    “ไม่เป็นไร เรื่องแค่นี้เอง”

    อาร์มลูบหลังลมหนาวเบา ๆ พลางพาเดินกลับไปที่ร้านคาเฟ่ เมื่อทั้งคู่มาถึงก็เห็นมิ้นกลับมานั่งที่โต๊ะแล้ว แต่สิ่งที่แปลกไปจากเดิมคือมิ้นกำลังสะอื้นตัวโยนทั้งน้ำตาไหลพราก ทั้งคู่รีบเดินไปหาเพื่อนทันทีเมื่อไม่รู้ว่าอีกคนกำลังร้องไห้เพราะอะไร

    “มิ้น แกเป็นอะไร? ใครทำอะไรแก?” อาร์มกล่าวพลางหาทิชชูมาซับหน้าซับตาเพื่อน

    “ก็แฟนเราอะดิ สัญญาว่าอาทิตย์นี้จะมาอยู่ด้วยกัน แต่เมื่อกี้เขาเพิ่งโทรมายกเลิกนัดทั้งที่ก็ไม่ได้มีอะไร แกคิดว่าเขาจะมีคนใหม่ไหมวะ?”

    อาร์มถึงกับพ่นลมหายใจเมื่อคนที่เพื่อนกำลังเสียใจให้เป็นแค่ผู้ชายไม่รักดี

    “โอ๊ย เขาก็คงยุ่งแหละ แค่ผิดนัดครั้งเดียวแกจะอะไรนักหนา”

    “แต่เราอยากให้เขามาอะ พวกเราไม่ได้เจอกันตั้งเดือนกว่า แค่โผล่หน้ามาให้เห็นแค่แวบเดียวจะเป็นอะไรไป”

    ลมหนาวถึงกับนิ่งเมื่อได้ยินประโยคนั้น เขาเข้าใจความเจ็บปวดของความคิดถึงเป็นอย่างดี ช่วงวัยเด็กของลมหนาวเป็นช่วงที่แม่ยุ่งจนแทบไม่มีเวลามากินข้าวด้วย ลมหนาวต้องอยู่เพียงลำพังในบ้านกับกล้องดูแมวที่แม่เอาไว้คุยกับลมหนาว เขาจะคอยเฝ้ากล้องเพื่อรอได้ยินเสียงแม่คุยตอบจนบางวันถึงกับผล็อยหลับตรงกล้องนั้นระหว่างรอ แต่อย่างน้อยตอนตื่นเขาก็เห็นแม่มานอนด้วยข้าง ๆ เพียงแค่นั้นความเหงาที่เคยกัดกินจิตใจก็หายเป็นปลิดทิ้ง

    “เราทำอะไรไม่ได้ไปมากกว่ารอหรอกนะ”

    ลมหนาวพูดนิ่ง ๆ เมื่อไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาปลอบเพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวคงปลอบใจตัวเองด้วยทุกเหตุผลที่มีบนโลกนี้แล้ว ทว่าความคิดถึงกลับไม่ลดลงเลย

    “ก็จริงของแก”

    มิ้นพูดทั้งสะอื้นก่อนเริ่มซับน้ำตาที่เลอะหน้าให้หายแล้วหันมาหาลมหนาวใหม่

    “แล้วแฟนแกเขามาหาแกบ้างไหมตั้งแต่เปิดเทอมอะ”

    “พอลเขาไม่ว่างเลยอะดิ แต่ก็แชตคุยตลอดนะ”

    “แค่แชตคุยเองเหรอ แล้วแกจะรู้ได้ไงว่าเขาไม่นอกใจอะ”

    “เรื่องนั้นเราไม่รู้หรอก แต่เขาคงไม่มีใครหรอก เขายุ่งเรื่องเรียนจะตาย”

    มิ้นเริ่มหายสะอื้นพลางเช็ดน้ำมูกออก คงเพราะมีคนร่วมชะตากรรมคล้ายกัน เจ้าตัวเลยวางใจเรื่องที่เขาไม่มา มันคงไม่มีอะไร เขาแค่อาจมีงานต้องทำหรือยุ่งมาก ๆ ก็เท่านั้นเอง

    “แล้วหนาวไม่คิดถึงแฟนบ้างเหรอ ไม่ได้เจอกันอย่างนี้”

    “ก็คิดถึงนะ ถ้าได้เจอกันก็คงดี”

    “หนาวเนี่ย ไม่ค่อยหวงแฟนเลยเนอะ มิน่าถึงคบกันนาน”

    ลมหนาวยิ้มบาง ๆ บนริมฝีปากเมื่อนึกถึงแฟนตัวเอง ทั้งคู่รู้จักกันตั้งแต่มัธยมต้นในงานกีฬาระดับเขต เพราะพวกเขาแข่งวิ่งกรีฑาเหมือนกันเลยได้พูดคุยกันบ่อย ๆ

    กระทั่งทั้งคู่ได้เรียนมัธยมปลายที่เดียวกัน ได้เจอกันมากขึ้นจนอีกฝ่ายขอคบหา ทั้งสองได้คบกันหลังจากนั้นโดยที่แม่ลมหนาวอนุญาตให้มีแฟนได้ แต่ผลการเรียนต้องไม่ต่ำกว่าเกณฑ์เข้ามหาลัยที่แม่กับลมหนาววางแผนไว้ และห้ามอยู่กันตามลำพังสองต่อสอง แม่ให้เหตุผลกับข้อห้ามสุดท้ายไว้ว่า

    ‘ตามกฎหมายแล้วคนที่อายุไม่ถึงยี่สิบปีคือผู้เยาว์ ในตอนนี้ลมหนาวกำลังอ่อนประสบการณ์และวุฒิภาวะ ยังควบคุมสภาพจิตใจตัวเองได้ไม่สมบูรณ์ อาจมีอารมณ์ฉุนเฉียว หรืออาจทำอะไรโดยขาดความยั้งคิด แม่ไม่ได้อยากดูถูกความคิดความรู้สึกของลมหนาวหรอกนะ แต่เรื่องนี้มันอยู่ในระบบการเจริญเติบโตของเด็กทุกคน เพราะงั้นช่วยเผื่อใจ รักษาร่างกายและสุขภาพจนกว่าจะถึงอายุสิบแปดปีก่อนเถอะนะ ช่วงนั้นเป็นวัยก้ำกึ่งระหว่างวัยรุ่นกับช่วงก่อนขึ้นสู่การเป็นผู้ใหญ่ ยังพอมีสติคิดอะไรได้ และยังไม่เสียช่วงชีวิตของวัยรุ่นไปด้วย แม่ไม่อยากให้มีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นกับลมหนาวหรอกนะ ตอนนี้พวกเรามีกันแค่สองคนแม่ลูก ลมหนาวช่วยเห็นใจแม่หน่อยนะ’

    แม้จะยาวไปสักหน่อย ลมหนาวก็อุตส่าห์จำได้ และระวังเรื่องนี้อยู่ตลอด ยิ่งเพื่อนข้างกายอย่างมิ้นคอยมานั่งเสียใจให้คนที่แค่ไม่มีเวลาให้ ลมหนาวก็เริ่มมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่แม่พูดมานั้นถูก

    “ถ้ามิ้นไม่เป็นอะไรแล้วงั้นเรากลับกันเถอะ ฟ้ายิ่งครึ้ม ๆ อยู่ จะตกเอาตอนไหนก็ไม่รู้”

    “อื้อ”

     

    ****

     

    ลมหนาวเดินทางกลับหออย่างปลอดภัยและได้เห็นลุงยามคนเดิมนั่งอยู่กับโต๊ะคอยรักษาความปลอดภัย เพราะนึกขอบคุณเขาอยู่ที่ช่วยหากางเกงลิงเมื่อเช้าให้ ลมหนาวจึงซื้อเครื่องดื่มชูกำลังไว้ หากว่าเจอเมื่อไหร่ก็ให้เป็นสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นการตอบแทน

    “ลุงครับ สวัสดีครับ ผมเอานี่มาฝาก ขอบคุณนะครับที่ช่วยหากางเกงลิงเมื่อเช้า”

    “โอ๊ย เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก แต่ซื้อมาแล้วลุงก็รับไว้ละกัน หนูอยู่ห้องเจ็ดหนึ่งสี่ใช่ไหม? ถ้าเจอกางเกงลิงสีขาวแดงเมื่อไหร่เดี๋ยวเอาไปให้ดู”

    “เรื่องนั้นผมหาเจอแล้วล่ะครับ”

    “หืม? ไปเจอตรงไหนล่ะ? ลุงว่าลุงดูดีแล้วนะแต่ไม่ยักเจอ”

    “เรื่องมันยาวน่ะครับ แต่ก็ขอบคุณนะครับที่ช่วยดูให้”

    “อืม ๆ เจอแล้วก็ดีไป”

    ลมหนาวยิ้มแล้วไหว้ลาลุงอีกครั้งก่อนเดินไปที่ลิฟต์ ระหว่างรอก็เหม่อมองตัวเลขชั้นกำลังลงมาพลางนึกเรื่องที่เพิ่งผ่านไปเมื่อเย็น เขายังคิดไม่ตกเรื่องที่โกหกเพื่อนข้างห้องว่าอยู่ห้องอื่น แถมยังไม่รู้อีกว่าเขาจะคืนกางเกงลิงตอนไหนด้วย ลมหนาวอาจต้องรอนอกห้องตลอดเพื่อให้เขาเห็นหน้าปุ๊บแล้วคืนปั๊บก่อนตีเนียนไปซื้อของชั้นล่างและรอให้เขาเดินกลับเข้าห้องตัวเองไป

    “ไหนบอกว่าอยู่ห้องเจ็ดหนึ่งสาม…”

    “อ๊าาาก”

    หนาวถึงกับสะดุ้งเมื่อจู่ ๆ มีเสียงเหี้ยมดังข้างหูจากด้านหลัง พอเด้งตัวออกแล้วหันไปดูถึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

    “อะ เออ คือว่า…”

    ลมหนาวนึกคำแก้ตัวไม่ออกก่อนก้มหน้าไม่กล้าสบตากับอีกฝ่าย

    “คืออะไร? ที่โกหกเพราะกลัวโดนรังควานเหรอ ฮะ?”

    ลมหนาวพยักหน้ารับแต่ไม่กล้าสบตาตอบ

    “หึ งั้นแกก็คิดถูกแล้วล่ะ อย่าหวังว่าจะอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบเลย ฉันจะทำทุกอย่างให้แกรู้ซึ้งว่าอย่าหยามหน้าไอ้คนชื่อเอ็ค…”

    ติ๊ง!

    เสียงลิฟต์ดังขัดจังหวะ แต่สายตาของคนตรงหน้ายังกดดันและเริ่มก้าวเข้าหาเรื่อย ๆ จนลมหนาวต้องถอยหลังเข้าไปในลิฟต์ อีกฝ่ายยังคงจ้องไม่ละสายตาแล้วเอื้อมนิ้วไปกดชั้นทั้งที่ไม่มอง

    “เอ่อ นั่นมันชั้นหกอะ”

    ลมหนาวว่าเมื่อเห็นเขากดผิดจนเอ็คต้องเหลือบไปดูใหม่แล้วกดเลขชั้นที่ตัวเองอยู่ก่อนหันมาจ้องหน้าอีกฝ่ายตาไม่กะพริบจนลูกตาแทบจะถลน ลมหนาวตัวหดตัวลีบไม่กล้าแม้แต่จะขยับ แต่แล้วก็นึกถึงคำเตือนที่แม่เคยกล่าวไว้

    ‘ลมหนาว ถ้าวันหนึ่งมีคนมาแกล้งทั้งที่ลมหนาวไม่ผิด หรือถึงจะผิดแต่ขอโทษไปแล้วเขาไม่รับ ลมหนาวต้องสู้กลับให้เขาเห็นว่าตัวเองไม่ยอมนะ อย่าปล่อยให้อีกฝ่ายได้ใจจนถึงขั้นทำร้ายร่างกายและจิตใจได้ หรือถ้าสู้ไม่ได้ก็บอกแม่ แม่จะจัดการเอง’

    ช่วงชีวิตที่ใช้ตั้งแต่เด็กจนโต ไม่มีเลยสักครั้งที่ลมหนาวจะโดนกลั่นแกล้งอย่างรุนแรง ถึงจะโดนแขวะเรื่องหวงของไปบ้าง แต่พอบอกสาเหตุที่ต้องหวงไปหลายคนก็เข้าใจและให้อภัย ผิดกับคนตรงหน้าที่เจ้าตัวยังไม่ทันได้อธิบายอะไรเขาก็ไม่ฟังแล้ว แม้แต่คำขอโทษเขาก็ไม่รับ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ฟังก็ต้องสู้กลับ ต้องทำให้รู้ว่าลมหนาวไม่ยอมถูกรังแกฝ่ายเดียว

    ทันทีที่คิดได้ เขาเริ่มแข็งใจสู้และหันไปจ้องหน้าอีกฝ่ายตอบ ปล่อยให้ดวงตากลมบอกเป็นนัยว่าอีกคนจะทำอย่างนี้กับเขาไม่ได้ ยิ่งจ้องนานความรู้สึกกดดันยิ่งทวีคูณ ความรู้สึกอึดอัดเอ่อล้นจนปริ่มในตาทำให้ความพร่าเบลอเข้าบดบังคนตรงหน้า คลื่นลมของความรู้สึกแน่นในอกส่งผลให้ลมหนาวต้องพองแก้มแล้วเม้มปากแน่นไม่ให้เสียงของความวิตกกังวลเล็ดลอด

    และได้ผลเอ็คถึงกับผงะถอยหลังจนชิดผนังเพราะสองตาเว้าวอนอ้อนนั้นขอให้เขาหยุด แล้วเขาดันหยุด ทั้งที่อีกฝ่ายทำเขาขายหน้าในร้านคาเฟ่ แถมยังเปิดก้นเขาในที่สาธารณะอีก

    แค้นนี้มันต้องชำระสิ!

    ขวับ!

    เขาหันไปจ้องอีกรอบและพบดวงตาหมาน้อยยังคงจ้องเขาต่ออย่างไม่ลดละ ทำเอาใจสั่นไม่เป็นจังหวะราวกับเจอตุ๊กตาตัวที่ถูกใจในวัยเด็ก

    ยอมก็ได้วะ

    เอ็คคิดพลางตัดใจจะจ้องต่อพยายามควบคุมจังหวะหัวใจให้เป็นปกติจนกระทั่งลิฟต์ขึ้นมาถึงชั้นบนสุด

    ลมหนาวรีบก้าวเท้าออกก่อนเร่งสปีดในตอนที่เอ็คไม่สนใจเขาแล้ว รีบเปิดประตูเข้าห้องอย่างไวไม่ให้อีกฝ่ายตามทัน

    พอกลับมาถึงห้อง ลมหนาวได้ระลึกถึงตอนอยู่ในลิฟต์ จดจำสายตาน่ากลัวแทบถลนของอีกฝ่ายใต้เงาร่างที่บดบังแสงไฟจนมิดก็ขนลุกอย่างหวาดหวั่นจนใจสั่นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

    สาธุ ขออย่าให้เจออะไรอย่างนี้อีกเลย

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×