คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 กางเกงลิงตัวนั้น!
กา~ กา~ กา~
เสียงนกร้องขับกล่อมยามเช้าให้สดใส ลมหนาวลืมตาตื่นขึ้นเต็มอิ่มพร้อมเหลือบดูนาฬิกา เมื่อเห็นว่าเวลานี้หกโมงเช้าแล้วจึงลุกขึ้นไปล้างหน้า แปรงฟันและเดินไปหุงข้าวเตรียมทำอาหาร ทุกอย่างเป็นไปตามกิจวัตรประจำวันที่ลมหนาวทำจนเคยชิน พอเสร็จสิ้นทุกอย่างถึงเพิ่งนึกได้ว่าต้องไปเก็บกางเกงลิงที่ตากไว้ก่อนเตรียมไปอาบน้ำต่อ
ทว่า… สิ่งที่เห็นตรงหน้าของนอกระเบียงห้องกลับเป็นท้องฟ้ายามเช้ากำลังทอแสงสีส้มสว่างไสวสมเป็นวันใหม่ของโลกใบนี้
หว๋า สวยจังเลย~ แต่… เอ๊ะ?
บนราวตากผ้าไร้เงาร่างของกางเกงลิงทรงสี่เหลี่ยมลายขาวแดงแนวนอนตัวนั้น
มันหายไปไหน?
ด้วยความรีบร้อนใจลมหนาวจึงเดินออกไปดูนอกระเบียง ทั้งด้านบน ด้านล่าง ด้านซ้ายและขวากลับไม่เห็นกางเกงลิงทรงสี่เหลี่ยมลายขาวแดงแนวนอนตัวนั้นเลย เขาชะโงกหัวไปดูชั้นล่างซึ่งเป็นด้านหน้าของหอก็ไม่เห็นสิ่งที่มีสีขาวแดงเลยสักชิ้น
หรือมันจะปลิวเข้าไปในตึก?
พอคิดได้อย่างนั้นลมหนาวจึงเดินลงไปชั้นล่างแล้วเดินหากางเกงลิงให้ทั่ว ยิ่งเจ้าตัวดูลนลานเหมือนร้อนใจ ยิ่งทำให้ลุงยามสงสัยจนต้องเดินเข้ามาถาม
“ไอ้หนุ่ม เอ็งกำลังหาอะไรอยู่เหรอ?”
ลมหนาวหันไปมองคนถามก็รีบตอบในทันทีเผื่อว่าเขาจะเคยเห็นของที่ตัวเองตามหา
“กางเกงลิงผมปลิวจากราวตากผ้าน่ะครับ มันเป็นทรงสี่เหลี่ยมลายขาวแดงแนวนอน ผมไม่รู้ว่าปลิวตกไปทางไหนด้วย? ลุงเคยเห็นบ้างไหมครับ?”
“เอ้าเหรอ? ตอนลุงกวาดพื้นหน้าหอก็ไม่เจอเสื้อผ้าใครปลิวลงมานะ ถ้าลุงไม่เห็นมันแถวนี้ก็คงปลิวไปตกที่ไกล ๆ แล้วล่ะ”
พอได้ยินอย่างนั้นความผิดหวังก็ปรากฏบนใบหน้า ลุงรับรู้ความรู้สึกนั้นเลยอยากปลอบให้วางใจจึงเอ่ยขึ้น
“ถ้าลุงหาเจอเดี๋ยวลุงเอาไปให้ดีไหม? แล้วเอ็งอยู่ห้องไหนล่ะ?”
“ผมอยู่ชั้นเจ็ด ห้องเจ็ดหนึ่งสี่ครับ”
“อืม ๆ ลุงจะจำไว้นะ สีขาวแดงใช่ไหม?”
“ครับ ลายทางแนวนอนด้วยครับ”
หลังจากลุงรับปากว่าถ้าเจอจะเอาไปคืนให้ ลมหนาวจึงวางใจแล้วกลับมาเตรียมตัวไปมหาลัยต่อ ตอนไปหากางเกงลิงดันกินเวลาไปตั้งชั่วโมงกว่า ยังดีที่ลมหนาวมีสอบตอนสิบโมงเช้าเลยไม่ได้รีบร้อนอะไร
ระหว่างทางเดินกลับเข้าที่พัก ลมหนาวเห็นคนข้างห้องของตัวเองรีบร้อนวิ่งออกมาสองคนแถมยังส่งเสียงดังโวยวายอีก คนไม่สู้ใครอย่างลมหนาวจึงรีบเดินหลบให้ทั้งคู่ผ่านไปไม่ขัดขวาง
“ไอ้เอ็ค รอก่อนสิวะ”
“เร็ว ๆ ไอ้ทิว เดี๋ยวไปสอบไม่ทัน!”
“รู้แล้วเว้ย! แต่ให้เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้ว มันคันขาหนีบ!”
เรื่องที่ทั้งคู่คุยกันทำเอาลมหนาวจินตนาการถึงขาหนีบกำลังถูกเกา เขาถึงกับทำหน้าเหยเกทันทีที่เห็นภาพ
ต้องสกปรกขนาดไหนตรงนั้นถึงคันได้?
ลมหนาวสะบัดหน้าไล่ความคิดออกจากหัว เรื่องของตัวเองยังแทบไม่รอดไม่มีเวลาเป็นห่วงคนอื่นแล้ว เขาต้องเดินทางไปสอบทั้งที่ไม่มีกางเกงลิงนำโชค คงต้องรีบออกจากห้องตั้งแต่ก่อนเก้าโมงเผื่ออุบัติเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้น และอาจเป็นเหตุให้เขาเข้าสอบไม่ทัน
****
Whatever can go wrong, will go wrong
(อะไรก็ตามที่สามารถพลาดได้ มันจะพลาด)
น่าแปลกที่กฎของเมอร์ฟีถูกพูดถึงตั้งแต่ปี 1949 นั้นยังใช้ได้มาจนถึงทุกวันนี้
ตั้งแต่ลมหนาวก้าวเท้าออกจากห้อง เขาก็ต้องลื่นล้มก้นจ้ำเบ้าเพราะพื้นบนทางเดินเลอะด้วยน้ำโคลนจากห้องข้าง ๆ ก้นเขาเปียกจากน้ำนั่นจนต้องกลับไปเปลี่ยนกางเกงตัวใหม่ เมื่อออกมาอีกรอบจนเดินลงไปถึงชั้นล่าง ซุ้มพี่วินที่ปกติมักจะว่างกลับมีคนยืนต่อแถวอยู่เต็ม เรื่องนี้ลมหนาวไม่ค่อยแปลกใจเพราะช่วงนี้มีสอบ คนจะทยอยเข้ามหาลัยกันเยอะจึงไม่แปลก แต่ที่แปลกคือคนยืนรอเป็นสิบกลับมีลมหนาวคนเดียวที่โดนขี้นกตกใส่ ยังดีที่ลมหนาวสวมเสื้อคลุมไว้ทำให้เสื้อตัวในไม่เปื้อนขี้นกนั่นไปด้วย
ค่อยยังชั่ว ดีนะที่คิดไว้อยู่แล้ว ทีนี้ก็เหลือรองเท้าหลุด สะดุดล้ม จมอึหมา ฝนฟ้าตก เครื่องดื่มหก ตกบันได ไปสอบไม่ทัน!
ยิ่งนึกยิ่งปวดหัว ลมหนาวไล่ความคิดแง่ลบออกจนหมดก่อนมุ่งมั่นว่าต่อให้ไม่มีกางเกงลิงตัวนั้น วันนี้เขาก็ต้องไปสอบให้ได้
จนแล้วจนรอดลมหนาวได้หอบร่างไร้เรี่ยวแรงมานั่งจุ้มปุ๊กอยู่หน้าห้องสอบ สองตาเลื่อนลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเมื่อนึกถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมา ทั้งเรื่องที่เดินอยู่ดี ๆ หัวรองเท้ากลับขาดทำให้นิ้วเท้าหลุดออกมาดูโลกจนสะดุดแล้วจุ่มลงกองอึน้องหมาเหมือนมีคนตั้งใจวางไว้ให้เขาเหยียบ ยังดีที่ลมหนาวมาถึงอาคารสอบทันก่อนห่าฝนจะลงเม็ดอย่างบ้าคลั่งราวกับพายุเข้าทั้งที่เมื่อเช้าอากาศออกจะดี
หลังจากลมหนาวเปลี่ยนถุงเท้าที่พกมาเผื่อเรียบร้อยแล้วก็รอลิฟต์เตรียมขึ้น ทว่าลิฟต์ที่ปกติมีสองตัว แต่วันนี้มันกลับเสียไปอีกตัวทำให้คนต่อแถวขึ้นลิฟต์ยาวยิ่งกว่าหางว่าวจนเจ้าตัวจนใจจะรอก่อนเลือกเดินขึ้นบันไดแม้ว่าจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันเสี่ยง
ด้วยความที่มีสติทุกย่างก้าว ลมหนาวจึงไม่ได้สะดุดล้มจนตกบันไดอย่างที่คิด เพียงแต่ข้อเสียเพียงอย่างเดียวของการขึ้นบันไดคืออาการเหนื่อยหอบจนต้องมานั่งหมดแรงอยู่ข้างทางเดินแถวหน้าห้องสอบ
เมื่อคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา อยู่ ๆ สองตาของลมหนาวก็เริ่มปริ่มน้ำพลางตระหนักได้ว่าเขาต้องมีเครื่องราง ชีวิตจะได้ไม่ยากลำบากขนาดนี้
“หนาวไหวเปล่า? เดินขึ้นบันไดมาเลยเหรอ? น้ำไหม?”
“อืม ขอบคุณนะอาร์ม”
ลมหนาวว่าพลางหยิบน้ำที่เพื่อนยื่นให้มากระดก แต่ยกดื่มได้เพียงสองอึกกลับต้องสำลักเพราะรีบเกินไปจนหายใจไม่ทัน
อ้าาา ลืมไปเลยว่าต้องระวังเรื่องนี้!
“ค่อย ๆ กินก็ได้ ไม่มีใครแย่งแกหรอก”
อาร์มว่าพลางหาทิชชูมาซับให้ เขาเป็นเพื่อนที่เพิ่งมารู้จักกันตอนเข้ามหาลัย แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน แต่เพราะความเฟรนด์ลีของอาร์มจึงทำให้ทั้งสองสนิทกันไวขึ้น
“หายากนะเนี่ยที่ลมหนาวจะมาเอาป่านนี้ ปกติต้องมานั่งอ่านหนังสือรอสอบหน้าห้องแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“งืมมม มีเรื่องนิดหน่อยอะ แค่มาทันก็ถือว่าดีแล้วล่ะ แล้วมิ้นเตรียมดินสอปากกามาครบรึเปล่า ถ้าไม่มีเราจะได้ให้ยืมก่อน”
พอเพื่อนทักเรื่องปากกา มิ้นเพื่อนสาวก็รีบควานหาจากกระเป๋าทันที เธอหานานอยู่หลายครั้งก่อนหันมายิ้มแห้ง ๆ ให้ลมหนาว
“แฮะ ๆ ลืมอีกแล้วอะ”
ลมหนาวได้แต่ส่ายหัวระอา เพื่อนคนนี้เขารู้จักตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลายในสายวิทย์ด้วยกัน ถึงแม้เธอจะหัวดีอยู่บ้าง แต่กลับชอบลืมของสำคัญอยู่ตลอดเวลาจนลมหนาวต้องคอยคาดเดาว่าเรื่องอะไรบ้างที่เธออาจลืม
“อะ นี่ปากกา ดินสอ ยางลบ ลิควิด แล้วก็บัตรนักศึกษาที่ตัวฝากไว้”
ลมหนาวยื่นทั้งหมดให้อย่างรู้งานก่อนอีกคนจะรับไปอย่างว่าง่าย มิ้นเองรู้ตัวดีว่าเป็นคนขี้ลืม แต่เพราะมีลมหนาวคอยดูแลอยู่ตลอดเขาเลยค่อนข้างวางใจ แม้แต่เอกสารสำคัญบางอย่างที่รู้ว่าต้องใช้ ก็มักจะฝากกับลมหนาวไว้ก่อนวันใช้งานจริง
“ขอบคุณงับ”
พอได้เห็นรอยยิ้มดีใจของเพื่อน ความเครียดและความกดดันทุกอย่างได้มลายหายสิ้น อาจเป็นเพราะเรื่องนี้ที่ลมหนาวต้องคอยแบกรับความรับผิดชอบแทนคนอื่น คนคิดมากและกลัวความผิดพลาดเพราะความเสียหายที่มีมันมากกว่าแค่เรื่องของตัวเองอย่างลมหนาวถึงต้องคอยพึ่งบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกว่าไม่ได้แบกรับอยู่คนเดียวอย่างกางเกงลิงลายขาวแดง
ถึงเครื่องรางชิ้นนั้นจะหายไป แต่ความตั้งใจเดิมที่อยากช่วยเหลือเพื่อนคนอื่น ๆ ยังไม่หาย แม้จะถูกความโชคร้ายในหัวคอยขัดขวาง ลมหนาวก็แค่ต้องคิดให้หนักขึ้นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่อาจเกิด
ขอให้เจอเครื่องรางไว ๆ ด้วยเถอะ ไม่อยากเจอเรื่องโชคร้ายอย่างวันนี้อีกแล้ว
****
หลังสอบเสร็จสามเพื่อนซี้พากันไปนั่งร้านคาเฟ่ปรึกษาเรื่องการสอบวันพรุ่งนี้ ระหว่างที่นั่งอ่านหนังสือก็หันไปมองนอกร้านพลางพักสายตากับลานกว้างของสนามบอลเช่า ภาพเหล่านักบอลมือสมัครเล่นกำลังวิ่งไล่บอลพลางตะโกนสั่งเพื่อนร่วมทีมเสียงเข้มอย่างจริงจังทำเอาเพื่อนข้างกายลมหนาวเคลิ้มจนไม่เป็นอันอ่านหนังสือ
“ซ้ายก็ดี ขวาก็หล่อ เลือกไม่ถูกเลยอะหนาว”
ลมหนาวหันไปมองบ้างและเห็นด้วยเรื่องความหล่อที่อาร์มพูด ทว่าเรื่องเรียนนั้นสำคัญกว่า ลมหนาวเลยไม่ทำเป็นเห็นด้วยกับเพื่อน
“ไหนบอกว่าจะอ่านหนังสือ มัวแต่มองผู้ชายเดี๋ยวความรู้ก็ไม่เข้าหัวพอดี”
“หนังสืออ่านตอนไหนก็ได้ความรู้ทั้งนั้นแหละถ้าตั้งใจอ่าน แต่ตอนนี้ไม่อยากตั้งใจอะ อยากส่องผู้ชายมากกว่า”
อาร์มว่าพลางหันไปมองนักบอลต่อ ลมหนาวได้แต่ส่ายหน้าระอาเมื่อห้ามอะไรเพื่อนไม่ได้เพราะเรื่องที่เขาว่ามาก็ไม่ผิด
“ลมหนาวดูคนนั้นดิ นั่นใช่พี่เพชรรึเปล่า”
เมื่อพูดชื่อใครบางคน ลมหนาวถึงกับทิ้งหนังสือที่อ่านแล้วหันไปมองทันที
“ไหน ๆ”
“นั่นไง คนที่เฝ้าโกลอยู่อะ”
เมื่อได้มองอย่างเต็มตา จ้องอย่างละเอียดก็รู้ได้ทันทีว่าใช่ เขาคนนั้นคือพี่เพชรที่ทั้งคู่กำลังคลั่งไคล้อยู่ตอนนี้
“ใช่จริง ๆ ด้วยอะอาร์ม นึกว่าช่วงนี้เขางานยุ่งซะอีก ไม่ค่อยเห็นเขาถ่ายรูปลงไอจีเลย”
“เนอะ เฮ้อ~ คนอะไร น่ารักแถมยังเก่งอีก ไม่รู้ว่าคนที่ได้เป็นแฟนจะโชคดีแค่ไหน”
“เดี๋ยว ๆ หนาว ไม่ใช่ว่าเมื่อกี้เพิ่งว่าเพื่อนให้อ่านหนังสืออยู่เลยไม่ใช่เหรอ ไหงตอนนี้มาบ้าผู้ชายไปด้วยอะ?” มิ้นว่าพลางทำหน้าไม่เข้าใจ
“พี่เพชรถือเป็นข้อยกเว้นน่ะ” ลมหนาวกล่าว
“ใช่ พี่เพชรต้องมาก่อนอะไรทั้งนั้น เขาเป็นนายเอกซีรีส์วายที่เรากำลังตามอยู่ แถมยังช่วยผลักดันกฎหมายสมรสเท่าเทียมด้วยนะเผื่อไม่รู้ คนน่ารักที่ใช้ความดังของตัวเองเป็นกระบอกเสียงให้คนอื่นก็ต้องได้รับความรักเยอะ ๆ สิถึงจะถูก” อาร์มพูดต่อ
“ช่าย ๆ”
ทั้งคู่พูดขานรับกันเองจนมิ้นถึงกับขมวดคิ้วเป็นปม เรื่องที่สองคนนี้เล่ามาทำไมเธอไม่เคยรู้มาก่อนทั้งที่ก็เป็นเพื่อนสนิทของลมหนาวแท้ ๆ
“อ้าว ทำไมเรื่องนี้พวกแกรู้กันแค่สองคนอะ ไม่บอกกันมั่งเลยเหรอ?”
“ก่อนจะว่าฉันแกควรถามตัวเองก่อนว่าทำไมถึงไม่ว่างรับสายเพื่อน โทรไปทีไรก็ติดสายคนอื่นตลอด หวงแฟนขนาดนั้นจะตกข่าวก็ไม่แปลกหรอกย่ะ”
“น่า ๆ เรื่องนี้เราคิดว่ามิ้นคงไม่สนใจด้วยแหละ ก็เลยไม่ได้เล่าให้ฟัง ปกติมิ้นเองก็ไม่ได้ดูซีรีส์วายอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ จะไม่รู้จักพี่เพชรก็ไม่แปลก”
แม้ลมหนาวจะช่วยปลอบแต่ดูเหมือนมิ้นยังคงหน้าบึ้งเพราะงอนเรื่องเพื่อนไม่เล่าอะไรให้ฟังบ้าง กลายเป็นว่าตอนนี้ลมหนาวแทบจะสนิทกับอาร์มมากกว่าตัวเองซะแล้ว
(เสียงโทรศัพท์)
ระหว่างที่ทั้งสองต่างหน้าบึ้งเพราะความน้อยใจและทิฐิ เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋าถือสีครีมได้ดังขึ้นกลบเสียงปลอบของลมหนาวให้ปลิวหาย มิ้นยกมือถือขึ้นมาดูเบอร์ก่อนจะเด้งตัวนั่งตรงแล้วลุกออกจากโต๊ะไปรับสายดังกล่าวทันที
“เห็นไหม? เพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่าให้สนใจเพื่อนบ้าง นางก็หันไปรับโทรศัพท์ไม่แม้แต่จะบอกลากันเลย”
“ไม่เอาน่า เดี๋ยวมิ้นก็กลับมาเองแหละ แล้วสายนั่นอาจจะสำคัญจริง ๆ ก็ได้”
อาร์มมองหน้าลมหนาวนิ่งก่อนจะหันไปมองสนามฟุตบอลต่อเพื่อหวีดพี่เพชรเบา ๆ ลมหนาวเองก็มองศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบด้วยพลางเห็นคนสองคนดูคุ้นตาเหมือนเพิ่งเคยเห็นหน้ามาเมื่อเช้า
เพื่อนข้างห้อง!
พอเห็นหน้าทั้งคู่วิ่งเล่นบอลอย่างสนุกสนาน ความเจ็บที่เคยล้มก้นจ้ำเบ้าเมื่อเช้าก็เริ่มปวดขึ้นมา ความเกรงใจสู้อุตส่าห์เก็บไว้เริ่มเหือดหาย ลมหนาวหยิบเอาโทรศัพท์ขึ้นทักหาไลน์เจ้าของหอเพื่อฟ้องเรื่องที่ทั้งคู่ทำพื้นหน้าห้องเลอะและชอบส่งเสียงดังรบกวนคนอื่นตอนกลางคืน ยังไงเรื่องนี้ก็ต้องเตือนให้รู้สำนึกซะบ้าง และพวกเขาต้องรู้มารยาทในการอยู่ร่วมหอกับคนอื่น
ไลน์!
เสียงไลน์ดังเป็นการตอบรับเรื่องร้องเรียนที่ลมหนาวกล่าวไป ไม่นานหลังจากนี้เจ้าของหอคงส่งจดหมายเตือน หรือไม่ก็เข้าไปคุยด้วยตัวเอง คราวนี้ลมหนาวต้องมาลุ้นอีกทีว่าพวกเขาจะจับได้หรือเปล่าว่าเจ้าตัวเป็นคนร้องเรียนไป ถ้าหากว่าลมหนาวเกิดถูกระรานขึ้นมา ไม่พวกเขาก็ลมหนาวจะต้องย้ายออก
ยังไงก็ดีกว่าอยู่ใกล้คนนิสัยไม่ดีก็แล้วกัน!
จากที่ก่อนหน้านี้ลมหนาวจะสนใจพี่เพชร กลับต้องจับตาดูคนทั้งคู่ว่ามีพฤติกรรมแบบไหน
จวบจนเกมฟุตบอลจบและคนในสนามเริ่มทยอยเดินออกไปหาสัมภาระของตัวเอง
“ลมหนาว พี่เพชรกำลังเดินมาทางนี้แล้ว เอาไงดี? ขอเขาถ่ายรูปดีไหม?”
เสียงของเพื่อนเร่งเร้าทำเอาลมหนาวหลุดโฟกัสจากเพื่อนข้างห้อง เขาหันมามองทางพี่เพชรที่เดินอ้อมมาหน้าร้านก่อนเปิดประตูเข้า แม้ทั้งคู่จะตื่นเต้น แต่เหมือนจะเพิ่งสังเกตเห็นป้ายไฟเล็ก ๆ ของกลุ่มแฟนคลับโต๊ะอื่นมานั่งมองรอพี่เพชรอยู่ไม่ต่าง
“ฉันว่าหมดหวังแล้วล่ะ” อาร์มบอก
“ไม่ได้ถ่ายรูปก็ไม่เห็นเป็นไรเลย ยังไงเราก็ยังชื่นชมเขาอยู่นี่เนอะ จริงไหม?”
อาร์มพยักหน้าเห็นด้วยพลางเหม่อมองพี่เพชรยืนยิ้มถ่ายรูปคู่กับบรรดาแฟนคลับ กระทั่งคนกลุ่มนั้นได้รูปจนพอใจถึงแยกย้ายจากศิลปินที่ชอบ แต่น่าแปลกตรงที่ยังเหลือน้องผู้หญิงอีกคนที่ยืนไม่ห่าง เหมือนเธอไม่ได้เป็นแฟนคลับของเขา แต่กลับมายืนรอเหมือนต้องการอะไรบางอย่าง
“คราวหลังไม่ต้องบอกให้เค้ารอเลยนะ กว่าพี่จะกลับเค้านั่งจนเมื่อยตูดหมดแล้วเนี่ย”
“โอ๋ ๆ ขอโทษคร้าบ คราวหลังจะไม่พามานั่งรออย่างนี้แล้วคร้าบ”
ทั้งสองพูดทักกันอย่างสนิทสนม เดาว่าคงเป็นคนรู้จักกันก่อนอาร์มจะสะกิดแขนลมหนาวให้หันไปหาอีกที
“นั่นน่าจะเป็นน้องสาวพี่เพชรที่ชื่อพลอยอะ ได้ยินเขาเล่าถึงตอนออกรายการวาไรตี้อยู่ แต่ฉันเพิ่งจะเคยเห็นหน้าก็วันนี้นี่แหละ”
“หืม? งี้นี่เอง หน้าตาดีทั้งพี่ทั้งน้องเลยเนาะ ถ้าพลอยอยากเข้าวงการบันเทิง เราว่าเขาคงเข้าได้ไม่ยากเลยอะ”
ระหว่างที่สายตากำลังมองสองพี่น้องน่ารักอยู่ก็มีกลุ่มชายในชุดบอลแบบเดียวกับพี่เพชรเดินเข้ามาในร้านพลางส่งเสียงดังเฮฮา
“พี่เพชรจะกลับแล้วเหรอครับ? นึกว่าจะไปต่อกับพี่กันต์ซะอีก”
“ไปต่ออะไร ช่วงนี้สอบไม่ใช่เหรอ หลังสอบนู่นค่อยเจอกัน”
“หงอออ พี่พูดแล้วนะ ถ้าหลังสอบพี่ไม่มีคิว ผมแบกไปห้องพี่กันต์แน่”
“โห แกกล้าขนาดนั้นเลยเหรอวะ? ฮะไอ้เอ็ค?”
พูดจบพี่เพชรก็จี้เอวชายชื่อเอ็คจนสะดุ้ง และจี้อีกหลายทีจนเจ้าตัวหัวเราะงองุ้มเหมือนทนไม่ไหว”
“พอพี่ ผมขอร้อง ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
คนโดนกระทำดิ้นหนีนิ้วของพี่เพชร แต่กลับถูกเพื่อนอีกคนจับล็อกเอาไว้เหมือนให้ท้ายคนจี้
“เอาเลยพี่ อย่าหยุด เอาให้มันหัวเราะตายไปเลย”
“หยุดก่อนพี่ ไม่ไหว หายใจไม่ทัน ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”
แม้ปกติลมหนาวจะเป็นคนช่างสงสาร แต่แปลกที่เห็นเขาถูกทรมานกลับสะใจชอบกล ระหว่างที่มองกลุ่มคนกำลังยืนหัวเราะทั้งสามอยู่ จู่ ๆ สายตากลับต้องสะดุดค้างเมื่อคนถูกจี้ดิ้นหลบนิ้วจนเสื้อเลิกขึ้นเผยพุงพลุ้ยน้อย ๆ กับขอบกางเกงลิงสีขาวที่มีรอยเย็บยู่ยี่รูปดาวอยู่
กางเกงลิงตัวนั้น!
ความคิดเห็น