ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [1]Binary[0]

    ลำดับตอนที่ #7 : Files 7::Truth of the Integer

    • อัปเดตล่าสุด 9 มิ.ย. 47


        ยามเช้าวันอาทิตย์  แสงแดดของเช้าวันใหม่สาดส่องไปทั่วกรุงเทพมหานคร  ทุกชีวิตเริ่มต้นกับวงจรเดิมๆ  อีกครั้งหนึ่ง  ดีเลว  ถูกผิด  ขาวดำ  ดำเนินไปตามวิถีทางของมัน  แต่สำหรับเขา, ชัยวัฒน์  เขาไม่เคยรู้สึกเท่าครั้งนี้เลยว่าการที่จะผ่านพ้นความสาหัสจากอุปสรรค  จะยากเย็นถึงเพียงนี้   เขานั่งอยู่ที่มุมห้องมาทั้งคืน  นอนไม่หลับ  ในหัวของเขายังติดตราตรึงอยู่กับภาพเหตุการณ์  ทั้งจากเมื่อวันก่อน  ทั้งจากเมื่อคืน  ทั้งภาพข่าวทางโทรทัศน์  มันคอยตามมาหลอกหลอนเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อเวลา  แม้กระทั่งชุดที่เขาใส่ก็ยังไม่เปลี่ยน  ยังคงเป็นชุดเดิมจากเมื่อวันศุกร์  ตอนนี้เขาแทบนึกอะไรไม่ออกแล้ว  เขาอาจจะต้องหนี ?  มันอาจจะเป็นหนทางเดียวที่น่าจะดีที่สุดสำหรับตอนนี้   ชัยวัฒน์ลุกขึ้น  รู้สึกซังกะตายกับชีวิตตัวเองมากขึ้นทุกขณะ  สิ่งแรกที่เขานึกออกในตอนนี้คือ  ไปธนาคาร  อาจจะต้องเบิกเงินออกมาจากบัญชี  ทั้งหมด......... ต่อไปอาจจะต้องทำพาสปอร์ทปลอม  ออกนอกประเทศไปเลยเป็นยังไง  ด้วยฝีมือแบบเรา  อยู่ที่ไหนก็คงได้มั้ง  ชัยวัฒน์นึก  ใช่   ที่ไหนก็เหมือนกัน   เฮงซวยพอกัน  เต็มไปด้วยปัญหาเหมือนๆ กัน  ชัยวัฒน์นึกพลางเดินตรงไปที่ห้องน้ำ  เขาอาบน้ำ  โกนหนวดเครา   ใส่ชุดสุภาพสะพายเป้ใบใหญ่   เดินออกจากห้องพักตัวเองอย่างซังกะตาย  ระหว่างนั้นเขาเห็นไอ้รูปหล่อข้างห้องที่เคยมีปัญหากับเขา  ยืนตากลมอยู่ริมระเบียง  สูบบุหรี่    เขารีบเดินผ่านมันอย่างรวดเร็ว  รับรู้ได้ถึงสายตาที่มาดร้ายของมันตามหลังมา   ช่างหัวมัน เขาคิด  อีกไม่นานก็ไม่ได้เจอมันแล้ว  เขารีบๆ เดินลงบันไดลงไป  พยายามเดินโดยไม่สนใจใคร  แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงของเถ้าแก่โกวทักมาจากด้านหลัง



    “อาชัยวัฒน์อ่า  ลื้อมาสอนอั๊วะใช้โปรแกรมบังชีหน่อยซี่  นะนะอาชัยวัฒน์นะ “ เถ้าแก่โกวทวง  ชัยวัฒน์รู้สึกเหนื่อยหน่ายอยากจะหนีให้พ้นๆ จากที่นี่ให้เร็วที่สุด  เพราะเขาคงไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว



    “ วันนี้ผมติดธุระน่ะเถ้าแก่  ขอโทษนะครับ” ชัยวัฒน์พยายามบอกปัด  แต่เถ้าแก่โกวก็ยังคงรบเร้าน่ารำคาญ



    “ ไม่ได้นะ  อั๊วะไม่ยอมหรอกนะ  ลื้อสัญญากะอั๊วะเมื่อวานแล้วนี่นา  อีคอมเมิกก็ไม่ได้  ถ้าลื้อไม่สอนให้อั๊วะไม่ยอมจริงๆ ด้วย”  เถ้าแก่โกวรบเร้าดื้อด้าน  น่าเบื่อสุดๆ ไอ้แป๊ะ  ชั้นเสียเวลากับเรื่องแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ  



    “เดี๋ยวผมกลับมาสอนให้แล้วกันครับ  ขอผมไปจัดการธุระให้เรียบร้อยก่อนละกัน” ชัยวัฒน์ตอบอย่างเนือยๆ  ก่อนจะเดินต่อไปไม่ฟังเสียง   เขาเดินต่อไป  วันอาทิตย์  แต่ก็ยังคงน่าเบื่อ  เสียงอึกทึกครึกโครม  อากาศร้อน มลภาวะ   น่าเบื่อทุกวินาที  แต่ในวันนี้  ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจกับมันมากดังเช่นวันก่อนๆ  อาจจะเพราะเรื่องราวต่างๆ นั้น  มันช่างยิ่งใหญ่เกินกว่าเรื่องราวสามัญที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไป  เขาเดินออกไปด้านหน้าซอย  ป้ายรถเมล์ยังคงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน  พ่อค้าขายผลไม้  ผู้คนมากหน้าหลายตายืนเบียดเสียดกัน  ราวกับมีกำแพงที่กั้นระหว่างผู้คนแต่ละคน   เขาก้าวขึ้นรถเมล์พร้อมด้วยผู้คนที่แย่งกันขึ้นรถเมล์  เขาพยายามจะเบียดผู้คนเพื่อที่จะได้นั่งเก้าอี้ข้างหน้าต่าง  แต่เนื่องด้วยจำนวนคนที่เนืองแน่นในวันอาทิตย์เช่นนี้  ความคิดที่ว่าจะได้นั่งนั้นดูแทบจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้   เขาจึงได้แต่ยืนอยู่ด้านในตรงกลางเท่านั้น   เขาพยายามจะหลับตา  มองไปเรื่อยๆ  จนสะดุดสายตาที่แม่ลูกคู่หนึ่ง  กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน



    “วันนี้  เสร็จจากไปซื้อของแล้ว  เราจะไปรับคุณพ่อด้วยกันนะจ๊ะ”



    “ไชโย  !! หนูไม่เคยไปที่ทำงานคุณพ่อมาก่อนเลย  ดีใจจัง ” เด็กน้อยตอบ  แล้วทั้งคู่ก็ยิ้มหัวเราะให้กัน  เป็นภาพที่น่ารักที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในสังคมเมืองอันคับคั่งวุ่นวายแบบนี้  เด็กน้อยจะรุ้หรือไม่  หากเมื่อวันใดเธอเติบโตขึ้น  เธอจะยังรักษาความสดใสร่าเริงดุจผ้าขาวนี้ไม่ให้ถูกแปดเปื้อนโดยสังคมบัดซบอย่างที่เป็นอยู่ทุกวัน  ไม่ให้ตกอยู่ในวังวนแห่งการแก่งแย่งชิงดีได้รึเปล่า   ชัยวัฒน์ได้แต่นึกและทอดถอนใจ  ไม่ใช่ธุระอะไรของเขาที่จะไปคิดถึงคนอื่น  ตอนนี้รถเมล์เกือบมาถึงที่หมายของเขาแล้ว  ชัยวัฒน์พยายามจะเบียดผู้คนออกไป  คับคั่งน่าเบื่อหน่าย  แต่ช่างเถอะ อีกไม่นานก็แทบจะไม่ต้องทนแล้ว  เขาเดินฝ่าฝูงชนออกไปได้สำเร็จในที่สุด  ธนาคารข้ามชาติ  กิจการของชาวต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทย  และขนเงินออกจากประเทศไปนับพันล้าน  จุดเริ่มต้นมันอยู่ตรงไหนกันนะ  ใช่แล้ว  มันก็เริ่มจากการควบคกิจการรวมนั่นแหล่ะ  แต่ท้ายที่สุด  กิจการทั้งหมดก็ตกเป็นของชาวต่างชาติทั้งหมด  และเท่าที่จำได้  มันก็มาจากการกระทำฉากหลัง...........ฝีมือของเขาเอง  ในการที่ช่วยให้ชาวต่างชาติได้กิจการนี้มาไว้ในกำมือ  เขาจึงมีที่สำรองไว้ในธนาคารนี้  ไว้คอยเก็บเงินที่ได้จากภารกิจ  แต่เขาก็ไม่ได้นิ่งนอนใจนัก  เอาล่ะวะ  มาดูกันว่ามันจะโกงกูรึเปล่า  ชัยวัฒน์นึก  พลางเดินเข้าไป  พื้นหินอ่อนหรูหราโอ่อ่า ดูผิดกันกับสภาพของชัยวัฒน์ยิ่งนัก   เขาสะพายกระเป๋าเป้  รองเท้าหนังสีดำเก่าๆ โทรมๆ คู่หนึ่ง  ชุดสุภาพของเขาที่ดีกว่าคำว่าโทรมอยู่หน่อยหนึ่ง  เขาเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์  หยิบเอาใบสำคัญถอนเงินออกมาแล้วกรอกรายละเอียดลงไป   พนักงานสาวรับไปพิจารณาครู่หนึ่ง  แล้วตามมาด้วยอาการตกใจ  เธอรีบเดินเข้าไปที่ห้องด้านหลัง  สักครู่ใหญ่ๆ เธอเดินออกมาอีกครั้งหนึ่ง  ตามด้วยชายชาวต่างชาติในชุดสูทหรู  พิจารณาจากท่าทางแล้ว  เป็นผุ้จัดการธนาคารอย่างไม่ต้องสงสัย  



    “Good  morning ,  mr.Rujidamrongtum” ผู้จัดการกล่าวทัก



    “Good morning ,  mr.johnson. would you mind to speak in thai ?” ชัยวัฒน์กล่าว  



    “ ย่อมไม่เปนปัญหาครับ  คุณรุจิดำรงธรรม เอ  ผมเรียกคุณว่าชัยวัฒน์ได้มั้ยครั่บนี่?\" ผู้จัดการกล่าวถาม



    “ ไม่มีปัญหาครับ “ ชัยวัฒน์ตอบเสียงเนือยๆ  กูไม่ได้อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพวกมึงบ่อยนักหรอก ไอ้พวกฝรั่งตาน้ำข้าว  เขานึกบ่นอุบ



    “ ขอเชิญคุณไปที่ห้องด้านหลังเลยนาครั่บ  ตามผมมา” ผู้จัดการชาวต่างชาติเดินนำหน้าไป  ชัยวัฒน์รีบเดินตามไปทันที  เขาค่อยๆ เข้าไปลึกลงไปชั้นล่างเรื่อยๆ   ระหว่างนั้นผู้จัดการธนาคารก็ชวนเขาคุยด้วยอยู่ตลอดเวลา



    “ แต่ไม่นึกเลยนะครับว่าคุณตัดสินใจจะมาถอนเงินออกจากบัญชีของทางธนาคารเราเร็วกว่าที่คิดไว้ขนาดนี้ “ ผู้จัดการกล่าว



    “ ผมเองก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะต้องมาเร็วแบบนี้  แต่มันมีเหตุจำเป็นน่ะครับ “ ชัยวัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ ตอนนี้ทั้งคู่เดินลงไปจนถึงชั้นล่าง  ปรากฏให้เห็นประตูเหล็กขนาดใหญ่กั้นอยู่  ผู้จัดการเดินตรงไปใส่รหัส  สักพัก  ประตูเหล็กก็ค่อยๆ เปิดออก สำหรับชัยวัฒน์นั้น  เขาเองไม่แน่ใจว่าทำไมตัวเขาถึงต้องทำให้เป็นเรื่องราวใหญ่โตได้ถึงขนาดนี้   ตอนนี้ประตูห้องนิรภัยเปิดออกแล้ว   ผู้จัดการเดินนำหน้าชัยวัฒน์ตรงไปที่ประตูที่อยู่ด้านในสุด  ไขกุญแจเข้าไป  



    “ เชิญครั่บ  ใส่รหัสยืนยันการถอนเงิน  แล้วผมจะได้นำเงินทั้งหมดออกมาให้คุณครั่บ “ ผู้จัดการกล่าว



    “ ครับผม  ขอผมอยู่คนเดียวได้มั้ยครับ?” ชัยวัฒน์ถามด้วยน้ำเสียงเนือยๆ  ก่อนที่ผู้จัดการธนาคารจะเดินออกไป   ตอนนี้เขาอยู่ในห้องคนเดียว  มีเครื่องคอมพิวเตอร์กับคีย์บอร์ดตั้งไว้อยู่  เขาเดินตรงไปที่หน้าจอ  ที่ปรากฏเป็นกล่องสีเหลี่ยมสีขาวตัวอักษรสีดำ



            ชื่อบัญชี   ::  

                    รหัสผ่าน  ::




    เขานึกไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะมาถึง  วันที่เขาจะมายุ่งกับเงินที่เขาเก็บสะสมไว้  แล้วหายหน้าไปจากที่นี่  ไปให้พ้นๆ จากเรื่องราวความยุ่งยากทั้งหลายทั้งปวง  เขาค่อยๆ พิมพ์ชื่อบัญชีและรหัสผ่านลงไป



            ชื่อบัญชี  ::  [1]Binary[0]

            รหัสผ่าน ::  *******************




    เสร็จสิ้นการใส่รหัส  เครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เวลาประมวลผลอยู่เพียงชั่วครู่  แต่เขากลับรู้สึกว่ามันยาวนานเอามากๆ  ช้ากว่าใจของเขา  กว่าความกังวลที่สุมอยู่ภายใน   จนกระทั่งหน้าจอขึ้นตัวอักษรสำคัญขึ้นมา



                Access  Grant , Please insert amount of money

                    ::  




    จำนวนเงินอย่างนั้นเหรอ  ชัยวัฒน์นึก  เขารู้สึกขำอยู่ในใจ  ไอ้คนโทรมๆ คนนึงแบบเขา  กับจำนวนเงินที่จะใส่ลงไปต่อไปนี้  มันช่างเหลือเชื่อเกินกว่าจะจินตนาการถึงจริงๆ  เขาค่อยๆ เคาะแป้นพิมพ์ใส่จำนวนลงไปที ละ ตัว



                    40000000.00



    สี่สิบล้าน  เงินที่เขาสะสมมาตลอดการทำงานที่ผ่านมาของเขา  มากกว่าทั้งชีวิตของใครบางคนจะทำได้ซะอีก  เขากดปุ่มยืนยันจำนวนเงิน  แล้วเดินออกจากห้องนิรภัย  ผู้จัดการรอท่าอยู่ก่อนแล้ว



    “ รอสักครู่นาครั่บ  ผมจะไปเบิกจำนวนเงินมาให้ “ ผู้จัดการกล่าว  พร้อมทั้งเดินตรงไปที่ทางออก  แต่แล้วชัยวัฒน์กลับรั้งเขาไว้ก่อน



    “ เดี๋ยวก่อน”



    “ ครั่บ  มีอะไรเหรอครั่บ ?” ผู้จัดการถาม



    “ เงินจำนวนที่ผมใส่ไป  แยกเป็นธนบัตรจำนวนห้าล้าน  กับพันธบัตรอีกห้าล้าน  ส่วนที่เหลือ  ผมโอนเข้าบัญชีที่ธนาคารอังกฤษ  คุณพอจะช่วยผมได้มั้ย “ ชัยวัฒน์ถาม



    “ ไม่มีปัญหาครั่บ  เราพร้อมจะจัดการให้เสร็จสรรพในทันที “ เขากล่าว  พร้อมทั้งเดินนำหน้าขึ้นบันไดไป  ชัยวัฒน์เดินตามขึ้นไป  นึกสยองใจอยู่บ้างที่ต้องเดินสะพายกระเป๋าที่มีเงินอยู่สิบล้านบาทเดินไปมาข้างนอกนั่น  เอาเถอะ  คงไม่นานนักหรอก  ไม่ต้องห่วง  ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ  เชื่อสิ  มั่นใจสิ  ชัยวัฒน์นึกตริตรองอยู่ในใจ  เขาค่อยๆ เดินขึ้นบันไดตามผู้จัดการธนาคารตามไปที่ห้องเก็บเงิน   ผู้จัดการและเด็กผู้ช่วยหน้าตาออกภูธร น่าจะเป็นคนที่จ้างมาเป็นกรณีชั่วคราว  ด้านหลังมียามถืออาวุธปืนเฝ้าอยู่  ดูเหมือนว่าจะเป็นยามรักษาการณ์ชั้นดีที่รับการว่าจ้างเป็นพิเศษ  เขามองดูเด็กผู้ช่วยที่ค่อยๆ ขนเงินและพันธบัตรออกมาวางกองกันไว้ที่โต๊ะ  สายตาที่เด็กพวกนั้นจ้องมองมาทางเขา  คงไม่ใช่สายตาที่ชื่นชมเป็นแน่  เขามองออก  สายตาเหล่านั้นจ้องมองเขา ราวกับจะถามว่า  ทำไม  เพราะอะไร  ทำไมพวกเขาถึงได้แตกต่างอะไรจากชายปอนๆ คนนี้ที่ยืนอยู่  ทำไมมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ต้องมาขนเงิน  ทำงานเยี่ยงกรรมกร  ในขณะที่อีกคนยืนลอยชาย  รับเงินสบายใจ  ไอ้พวกบ้า  พวกแกรู้เหรอว่าชั้นลำบากอะไร  ว่าชั้นมีความลำบากที่มากกว่าพวกแกแค่ไหน  ชั้นก็ต้องรับความเสี่ยงในหลายๆ แง่เหมือนกันนั่นล่ะ  ใช่แล้ว.............ความเสี่ยงที่พวกแกแทบทนรับไม่ได้  ที่พวกแกผ่านมันไม่ได้  ชัยวัฒน์นึก  รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจ  เหตุการณ์ณ์ที่ผ่านมาทำให้เขารู้สึกหดหู่และเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน   กองธนบัตรและพันธบัตรออกมาตั้งวางไว้  มัดเป็นปึกๆ  เงินห้าล้านแรก  ธนบัตรหนึ่งพันบาทห้าพันใบ  แยกเป็นห้ากอง กองละพันใบ  ส่วนพันธบัตรที่เหลือ  จำนวนไม่มาก  เพราะแทบจะใช้แทนเงินตราได้  พันธบัตรนี้สามารถเอาไปขึ้นเงินสกุลอื่นๆ ได้เลยโดยไม่มีปัญหา  เขาเดินไปตรวจนับจำนวนและความเรียบร้อย  ก่อนจะเก็บใส่กระเป๋าเป้  ในตอนนั้นที่ผู้จัดการตรงมาทางเขา  พร้อมกับเอกสารสำคัญ



    “ กรุณาเซ็นตรงนี้ก่อนนะครั่บ  คุณชัยวัฒน์  ยืนยันอีกสามสิบล้านที่เหลือ เข้าบัญชีที่ธนาคารอังกฤษที่ลอนดอน” ผู้จัดการกล่าว  ชัยวัฒน์รับเอกสารไปตรวจสอบความเรียบร้อย   ก่อนจะใช้ปากกาเซ็นรับรองความถูกต้อง และส่งคืนให้ผู้จัดการธนาคาร



    “ เรียบร้อยแล้วครั่บ  ขอบคุณที่ใช้บริการของพวกเรามาโดยตลอด  นี่เป็นของกำนัลเล็กๆ น้อยๆ จากทางเราครั่บ เรายินดีต้อนรับคุณเสมอ “ ผู้จัดการกล่าว พร้อมทั้งนำที่เขี่ยบุหรี่ทำจากแก้วเจียระไนอย่างดีในกล่องสวยหรูมาให้กับชัยวัฒน์   เขารับไว้แล้วหย่อนใส่กระเป๋าเป้ของตัวเอง  แล้วเดินออกมาจากห้องเก็บเงินผ่านบริเวณเคาน์เตอร์  เขาสะดุดกับเสียงร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง  ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่เป็นคนอื่นๆ ที่มาทำธุรกรรมที่ธนาคารนี้ด้วย



    “ ได้โปรดเถอะครับ  ลูกสาวผมกำลังจะตาย เธอต้องผ่าตัดวันนี้แล้ว  ผม  ผมไม่มีเงินค่ารักษา ผมจำเป็นต้องใช้เงินครับ  ได้โปรดเถอะ !!”  เสียงของชายวัยกลางคนพยายามบอกกับพนักงานสาวที่อยู่ที่เคาน์เตอร์  แต่เธอกลับบอกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย



    “ ต้องขอโทษนะคะ   ทางธนาคารไม่สามารถให้คุณกู้ยืมเงินได้อีกแล้ว  ไปเถอะค่ะ “ เธอตอบด้วยเสียงเย็นชา



    “ ปั่ดโธ่ว้อย คุณไม่เข้าใจเหรอ  ลูกสาวผมกำลังจะตาย  เธอต้องผ่าตัดหัวใจวันนี้แล้ว  ได้โปรดเถอะ  ผมจำเป็นต้องใช้เงินเหลือเกิน !!” เขายังพยายามยืนกรานต่อไป  จนพนักงานรักษาความปลอดภัยต้องมาหิ้วปีกเขาออก  ตามด้วยเสียงของผู้จัดการธนาคาร



    “ ได้โปรดออกไปก่อนที่ทางผมจะแจ้งตำรวจเถอะครั่บ  อย่าให้มันยุ่งยากนักเลย “ เขากล่าว  พร้อมทั้งส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เหล่าพนักงานรักษาความปลอดภัยหิ้วชายผู้น่าสงสารคนนั้นออกไป  ชายคนนั้นพยายามขัดขืนแต่ก็สู้แรงไม่ได้  เขาได้แต่ตะโกนไล่หลังอย่างบ้าคลั่ง



    “ ไอ้บัดซบ  ไอ้พวกฝรั่ง  มึงกำลังทำให้ชาติเราพินาศ  ไอ้พวกเหลือบไร  ไอ้พวกสวะ  ไอ้เฮงซวย  ว้อยยยย  ฮือๆๆๆๆ ปล่อยกู  บอกให้ปล่อย  ปล่อยสิโว้ยยย  พวกมึงก็เหมือนกัน  ไอ้พวกขายชาติ  ทำงานให้พวกฝรั่งมัน  ชาติพินาศเพราะพวกมัน  แกไม่คิดหรือสำนึกบ้างเหรอ  ไอ้พวกขายชาติ ปล่อยกูนะ ปล่อยกู!!” ชายคนนั้นตะโกนอย่างบ้าคลั่ง  คำพูดของเขา  พวกขายชาติงั้นเหรอ  ชัยวัฒน์นึก  แล้วยังไงกัน  เขาก็ทำไปเพื่อปากท้องและชีวิตของเขาเองเหมือนกัน  ทำไมเขาต้องแคร์ด้วย  ทำไมต้องใส่ใจด้วย  ชัยวัฒน์ค่อยๆ เดินออกไปจากธนาคารด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง  ทำไมเขาต้องแคร์คำพูดนี้ด้วยนะ  ทำไมกัน  เขาเดินออกไปจนเห็นชายผู้น่าสงสารคนนั้นนั่งร้องไห้หมดอาลัยตายอยาก  ลูกสาวกำลังจะตายอย่างนั้นเหรอ  ชีวิตคนเรานี่มันมีสองด้าน  ขาวกับดำ  ไม่แตกต่าง  ไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย  ชายผู้นี้   เป็นคนที่โดนสังคมอันเน่าเฟะกัดกร่อนจนเกือบถึงราก  หมดสิ้นหนทางในโลกแห่งความโหดร้ายนี้  ใช่ มันไม่มีทางเลือกเลย  แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกหนักอึ้งในหัวใจแบบนี้นะ  ชัยวัฒน์นึก  ก่อนจะเปิดประเป๋าและหยิบเอาธนบัตรใบละพันออกมาสองร้อยใบ  เดินตรงไปที่ชายคนนั้น ที่กำลังร้องไห้หมดอาลัยตายอยากอยู่  



    “ ฮือๆๆๆๆๆ   ลูกพ่อ  พ่อขอโทษ  พ่อขอโทษ  พ่อช่วยลูกไม่ได้  ลูกรักของพ่อ  ฮือออออ” เขายังคงร้องไห้อยู่ จนชัยวัฒน์วางเงินจำนวนสองแสนให้เขา



    “ เอาไป  แล้วเอาไปรักษาลูกของคุณ” ชัยวัฒน์กล่าวด้วยน้ำเสียงเนือยๆ แต่คราวนี้ มันมีอะไรบางอย่างที่ผิดไปจากเดิม ทำไมกันนะ  ชายคนนั้นรับเงินมามองอย่างไม่เชื่อสายตา  เขาหยุดร้องไห้  ตาค้าง  เหมือนรู้สึกฝันไป



    “ นะ  นะ นี่ ให้ผมจริงๆ เหรอครับ  เงินมากมายขนาดนี้  โอออออ ขอบคุณครับ  ขอบคุณครับ  ฮือออออ ผมช่วยลูกผมได้แล้ว ขอบคุณจริงๆ พระผู้เป็นเจ้า “  เขากล่าวด้วยความดีใจทั้งน้ำตา  ชัยวัฒน์สังเกตเห็นไม้กางเขนที่หน้าอกของเขา  เป็นคริสเตียนเหรอ  พระเจ้า  หึ   สรุป  ที่ชายคนนี้ได้มีโอกาสช่วยเหลือลูกตัวเอง  เพราะเชื่อมั่นในพระเจ้า  หรือว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง  มีแต่เขาเท่านั้น  ที่ช่วยได้มากกว่าพระองค์บนสวรรค์ซะอีก  ชัยวัฒน์เดินหันหลังเรียกแท็กซี่เพื่อจะกลับอพาร์ทเมนต์   ชายคนนั้นวิ่งตามมา



    “ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครกันครับ?  ผมรู้สึกขอบคุณมากๆ เลย  ขอให้พระเจ้าคุ้มครองคุณครับ “ ชายคนนั้นบอก  ชัยวัฒน์ทำหน้าเนือยๆ ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ



    “ ผม...........คนขายชาติคนหนึ่ง  ก็เท่านั้น”  ชัยวัฒน์ตอบ  ก่อนจะขึ้นรถแท็กซี่และทิ้งชายคนนั้นให้ยืนงงอยู่ที่นั้น  ตอนนี้ชัยวัฒน์นั่งอยู่ในรถแท็กซี่  รู้สึกงงๆ กับการกระทำของตัวเองไปบ้างเหมือนกั  แต่ช่างมัน  เงินจำนวนนี้........... มันก็ไม่ใช่ของเขาแต่แรกแล้ว  เขาไม่เคยคิดแคร์หรือใส่ใจกับมันนักหรอก    รถแท็กซี่เคลื่อนตัวผ่านการจราจรอันติดขัดบนถนนของกรุงเทพมหานคร  ภาพวิถีชีวิตเดิมๆ  ซ้ำซาก  วนเวียนหลอกหลอนเขาราวกับหนังที่ฉายซ้ำไปมาอย่างไม่รู้จบ  เขานั่งอยู่ที่เบาะหลัง  มองออกไปนอกหน้าต่าง  แสงแดดยามบ่ายสาดส่องจนแสบตา  ตอนนี้เวลาที่นาฬิกาของเขาบอกเวลาสี่โมงกว่าๆ  ตอนนี้เขามีเรื่องที่ต้องกลับไปจัดการให้เรียบร้อย  คิดว่าคงพร้อมเดินทางออกนอกประเทศได้ในสองสามวัน   ไหนจะหนังสือเดินทางปลอม  ไหนจะตั๋วเครื่องบิน   มันมีเรื่องราวอีกร้อยแปดพันเก้าให้ขบคิดกันจนเหนื่อย   รถแท็กซี่ค่อยๆ เคลื่อนตัวต่อไป  นานเท่าไหร่ เขาไม่อาจจะจำแนกได้  เขาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างรถ  มองทิวทัศน์มหานครเมืองใหญ่  เขากลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน  เขาเบื่อโลกนี้  สังคมนี้  ตั้งแต่เมื่อไหร่  เขาเป็นแบบนี้มานานแล้วเหรอ  หรือจริงๆ เขาเคยมีความสดใส  มีความรู้สึกดีๆ ที่ให้แก่โลกใบนี้  โลกแสนเฮงซวยใบนี้  เขาเคยรึเปล่า เคยมีมันบ้างมั้ย  เขาล่องลอยไปไกล  คนขับรถก็เปิดวิทยุไปเจอกับเพลงของนักร้องวัยรุ่นหนุ่มคนหนึ่ง  เขาจำได้ดี  เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน  เด็กคนนี้เคยสดใสน่ารัก  เป็นหนูน้อยที่น่ารักของใครๆ  แล้วตอนนี้ล่ะ  ข่าวที่ออกมาแต่ละครั้ง  ติดยา  บ้าบอล  เที่ยวหญิง  หลงระเริง  สังคมเมืองนี้มันเป็นที่ๆ คนกินคนจริง  ๆ  และตรงไปตรงมาไม่เปลี่ยน  กินกันอย่างตรงไปตรงมา  ชัยวัฒน์รู้สึกทอดถอนใจ  เด็กคนนี้ก็เหมือนกัน  ความสดใสทั้งหลายก็ถูกทำลายเพราะสังคมเมือง  เขานั่งเหม่อลอยต่อไป  จนกระทั่งแท็กซี่หยุดที่หน้าซอยทางเข้าอพาร์ทเมนต์ของเขา  เขาจ่ายเงินให้คนขับ รับเงินทอน แล้วเดินตรงเข้าไปจนถึงอพาร์ทเมนต์ของตัวเอง  คิดจะนอนหลับซักงีบ  แล้วค่อยติดต่อกับนักทำพาสปอร์ทปลอมซักคน   เขาเดินตรงไปที่บันได  จิตใจล่องลอยไร้สติ  ได้ยินแว่วๆ ว่าเถ้าแก่โกวเรียกเขา  แต่เขาก็ไม่ได้ยิน  ไม่สนใจ เขาเหนื่อยเหลือเกิน  เหนื่อยมากๆ   เขาเดินขึ้นบันไดอย่างเหนื่อยอ่อน  จนกระทั่งได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมจากห้องของไอ้รูปหล่อ  แล้วประตูก็พลันเปิดออก  เป็นเด็กสาวคนนั้น  ในสภาพกึ่งเปลือย  สะอื้นไห้นั่งอยู่ที่หน้าประตู  พยายามจะวิ่งลงบันได   ตามมาด้วยไอ้หล่อที่มีแต่เสื้อ  แต่เปลือยท่อนล่างอยู่



    “ จะหนีไปไหน  มานี่  กูจะเอามึงให้ได้วันนี้แหล่ะ “ ไอ้หล่อคำรามเสียงเหี้ยม คว้าตัวเด็กสาวไว้ได้  เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาชัยวัฒน์ทุกอย่าง   เด็กสาวได้แต่ร้องไห้  และร้องให้คนช่วย



    “ ช่วยด้วย  ช่วยหนูด้วย  ปล่อยหนูนะ   ปล่อยแอนไปน้า  !!” เธอสะอื้นไห้  แต่ดูเหมือนจะสู้แรงไอ้หล่อไม่ได้



    “ ถึงป่านนี้แล้วยังจะพูดดีดดิ้นอีกเหรอ  ยอมเข้าห้องผู้ชายมันก็หมายถึงยอมให้เย็ดแล้ว  นังโง่ “ ไอ้หล่อคำรามออกมาอีกครั้งหนึ่ง   ชัยวัฒน์พยายามจะเดินผ่านไป  ไม่สนใจกับเหตุการณ์ณ์  แต่สายตาไม่อาจละออกไปจากภาพกึ่งเปลือยของสาวน้อยได้  มันแทบจะทำให้ความเป็นชายของเขาตื่นตัวขึ้นมาในทันที   จนไอ้หล่อเริ่มสังเกตเห็นเขา  ปล่อยตัวเด็กสาวและตรงเข้ามาคว้าคอเสื้อของชัยวัฒน์ทันที



    “ เห้ย  มึงอีกแล้วเหรอ  คราวที่แล้วกูถีบแค่ประตู  คราวนี้ไม่ใช่แค่ประตูแน่ไอ้โง่ !!” มันตะคอกใส่  พร้อมทั้งผลักหน้าอกชัยวัฒน์ล้มลงกับพื้น  เขาเซถลาล้มลง ประเป๋าเป้หลุดออกจากบ่า  ซิบเปิด เผยให้เห็นที่เขี่ยบุหรี่ทำจากแก้วเจียระไนโผล่ออกมา  ในตอนนั้น  ชัยวัฒน์เกิดความรู้สึกแปลกๆ  ราวกับอะไรบางอย่างมันพุ่งพล่านออกมา จังหวะเดียวกันกับที่ไอ้หน้าหล่อพุ่งเข้ามาหาเค้า  ชัยวัฒน์คว้าที่เขี่ยบุหรี่ออกมาฟาดไปที่ศีรษะของมันโดยทันที  มันเสียหลักล้มล้ง  ชัยวัฒน์ตามไปฟาดต่ออีกหลายที  หนี่งที  สองที สามที  จนที่เขี่ยบุหรี่แก้วเจียระไนอาบด้วยสีแดงของเลือด  จนแดงฉาน  ไอ้หล่อหมดสติ  ดั้งหัก  ตาบวม เลือดกบปาก   ชัยวัฒน์ทุบมันจนหมดสติ เขาไม่พูดอะไรออกมาสักคำ  เขาเหวี่ยงที่เขี่ยบุหรี่ออกไปอีกทางหนึ่ง  จับศีรษะของมันฟาดกระแทกกับพื้นอีกหลายที แล้วจับมันยกมากระแทกกับระเบียงอีกสองสามที  ตอนนี้ทุกคนในอพาร์ทเมนต์เห็นเหตุการณ์ณ์นี้กับตา  ทุกคนตื่นตะลึงไปหมด   ยายเม้าท์ที่ขึ้นมาดูเหตุการณ์  ชาวบ้านในห้องอื่นๆ  ยายเจ๊เจ้าของตึก  รวมถึงเด็กสาวคนนั้นด้วย   ชัยวัฒน์กระหน่ำร่างอันไร้สติของมันจนสาแก่ใจแล้ว  เขาปล่อยร่างนั้นล้มลงกับพื้น ความเป็นชายของมันที่เคยตั้งจนแทบจะทะลุเสื้อออกมา  บัดนี้หดลง  สงบราวกับคนตาย  ชัยวัฒน์สายตาเลื่อนลอย  มือของเขาเต็มไปด้วยเลือด  ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครกล้าขยับไปไหน ยืนนิ่งแข็งทื่ออยู่กับที่  ชัยวัฒน์หยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองมาไว้กับมือ  สายตามองตรงไปที่เจ๊เจ้าของตึก



    “ เจ๊   มาทางนี้หน่อยครับ “ ชัยวัฒน์พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา  สายตาเลื่อนลอย  จนเจ๊สั่นเกือบเยี่ยวราด  



    “ อะ  อะ  อะ ....อะ “ เจ๊ตะกุกตะกักพูดอะไรไม่ออก  



    “ กูบอกให้มึงมา   อีดอก!   อย่าให้ต้องพูดซ้ำซาก  เดี๋ยวพ่อจับเชือดแม่งหมดตึกนี่ซะเลย หอกเอ๊ย !!” ชัยวัฒน์ตะคอกอย่างหมดความอดทน  ตอนนี้น้ำใสๆ อุ่นๆ ไหลออกมาจากหว่างขาของเจ๊  เจ๊เดินตรงมาด้วยท่าทีหวาดๆ  ก่อนที่ชัยวัฒน์จะหยิบเอาธนบัตรฉบับพันบาทออกมาหนึ่งร้อยใบ  โยนขึ้นไปบนอากาศ  ธนบัตรปลิวว่อนไปทั่ว   โดยที่ชัยวัฒน์ไม่ได้แคร์มันด้วยซ้ำไป



    “ หนึ่งแสน  ค่าชดเชย  ค่าทำขวัญ  ค่าพยาบาล และค่าห่าเหวอื่นๆ  มีอะไรยังไง ที่เหลือ  ใช้หนึ่งแสนนี่จ่ายไปให้หมด แล้วไม่ต้องมายุ่งกับผมอีก “ ชัยวัฒน์พูดเสียงเย็น  ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องตัวเองเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น   ทิ้งให้เด็กสาวผุ้โชคร้ายอยู่กับภาพสะเทือนขวัญ  ทิ้งให้เจ๊นั่งเข่าอ่อนต่อไป  ทิ้งให้คนอื่นๆ อยู่ในภวังค์แห่งความตกตะลึง  ทิ้งให้ไอ้หล่ออยู่ในสภาพปางตาย    ตอนนี้ชัยวัฒน์ไม่เหลืออะไรแล้ว  ไม่  อีกเดี๋ยวตำรวจจะมาลากเขาไปเข้าตะรางแน่ๆ  มันต้องมีใครซักคนโทรบอกตำรวจ  ให้ตายเถอะ  มีแต่เรื่องเฮงซวยมาได้ไม่หยุดหย่อน  ชัยวัฒน์เหวี่ยงกระเป๋าเป้ลงที่เตียง  หรือต้องฆ่าแม่งให้หมดตึกไปเลยวะ  จะได้รักษาสวัสดิภาพตัวเองไว้ได้  ชัยวัฒน์รู้สึกฟุ้งซ่าน  ใช่  เขาไม่เหลืออะไรแล้ว  แค่เรื่องๆ เดียว  งานเดียว ภารกิจเดียว  เขาอยู่กับความหลอกหลอนในใจถึงขีดสุด  ตอนนี้นาฬิกาฝาผนังบอกเวลาได้ห้าโมงเย็นแล้ว  เขาไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป  เขาเดินไปหยิบคอมพิวเตอร์โน้ทบุ๊คของตัวเอง  ต่อเข้ากับสายโทรศัพท์  เซทระบบคอมพิวเตอร์เครื่องที่เหลือ  ต่อสายแพร์เชื่อมฮาร์ดดิสก์ของเครื่องที่พังไปแล้ว  เขาพร้อมจะเสี่ยงกับมันอีกสักตั้ง  ก็แน่ล่ะ  มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วนี่  เขาบ่นพึมพำออกมาอย่างไร้สติสัมปชัญญะ  



    “ ศูนย์  หนึ่ง  ศูนย์  หนึ่ง  ศูนย์  หนึ่ง ศูนย์ ...............”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×