ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

    ลำดับตอนที่ #8 : CHAPTER 7 :: GALAXY OF LOVE ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 192
      22
      24 พ.ค. 62

    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

     

    CHAPTER 7 :: GALAXY OF LOVE ::

     

    "ฮาโหล ..."

     

    น้ำเสียงงัวเงียกรอกลงโทรศัพท์มือถือราคาแพง เปลือกตาของมินโฮยังคงปิดเข้าหากันไม่มีทีท่าว่าจะลืมขึ้นมามองโลกยามเช้าแสนสดใส แสงอรุณพยายามสาดสีทองเหลืองเข้ามาภายในทะลุช่องว่างของเนื้อผ้าม่านสีเทาเข้มที่เจ้าตัวปิดเอาไว้ เขาเพิ่งได้นอนหลับพักผ่อนอย่างสนิทเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน การต้องกำจัดเสียงน่าหนวกหูของริงโทนโทรศัพท์มือถือจึงเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดไม่น้อย ชีวิตคนกลางคืนอย่างเขาน่ะ หากถูกรบกวนช่วงเวลาการนอนอันมีค่าตั้งแต่ไก่โห่ มินโฮจะเซ็งและจิตตกไปเลยตลอดช่วงวันนั้น

     

    [ซงมินโฮ กลับมาเอาโทรศัพท์ของนายคืนไปเลยนะ กล้าดียังไงเอาของแบบนี้มาฟาดหัวฉันน่ะ]

     

    เสียงแวดแหลมแผดมาตามคลื่นสัญญาณปลุกให้มินโฮตื่นได้อย่างเต็มตา มือหนาเลื่อนเอาอุปกรณ์สื่อสารเครื่องบางออกจากใบหู เรียวตาคมเปิดโพล่ง พลางขยับกายหนากึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหลังกว้างกับพนักหัวเตียงนอนบุด้วยกำมะหยี่สีแดงเลือดนก อาการง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง หลงเหลือเพียงอาการชาในหูเนื่องจากรับฟังเสียงเกินร้อยเดซิเบลตั้งแต่ร่างกายยังไม่ทันตื่นเต็มร้อย

     

    แต่มินโฮกลับไม่รู้สึกหงุดหงิดใดๆ หลังจากได้ยินเสียงคนปลายสายตรงกันข้าม เขากลับยิ้มกริ่มอย่างมีความสุข เลื่อนมืออีกข้างที่ว่างอยู่ขึ้นขยี้ตา

     

    "ใจเย็นๆ สิครับคุณอีซึงฮุน โทรศัพท์ที่อยู่ในมือนายน่ะ ฉันแค่อยากแสดงความรับผิดชอบ ฉันทำเครื่องเก่าของนายพังจนนายไม่มีโทรศัพท์ใช้นะ ..."

     

    [แต่มันแพงมากเลยนะ นายเล่นแขวนเอาไว้หน้าประตูแบบนี้ ถ้ามีคนมาเห็นแล้วมันหายไป นายจะทำยังไง ?]

     

    "ก็แค่ซื้อใหม่" มินโฮไม่ได้อยากโอ้อวดว่าตัวเองร่ำรวยเงินทองมาจากไหนหรอกนะ เพียงแต่เขามีกำลังมากพอที่จะซื้อของทุกอย่างบนโลกใบนี้เพียงชี้นิ้วสั่งเท่านั้น อย่างที่รู้ๆ กันว่าชเวซึงฮยอนพ่อเลี้ยงของเขานั้นมีอำนาจมาดใหญ่ในวงการธุรกิจมืดมากเพียงใด "อีกอย่างนะ ... ทั้งชั้นนั้นก็มีแค่ห้องของนายและห้องของฉัน นายลืมเรื่องของหายไปได้เลย ถ้าหายเราก็สามารถเช็คกล้องวงจรปิดได้ไม่ยาก ตึกนั้นมีกล้องวงจรปิดทุกจุด"

     

    [ห้องนายงั้นหรอ ?] ปากหยักสีเข้มยิ้มกว้างขึ้นจนดันโหนกแก้มให้ยกสูงขึ้นอีกเมื่อในสายสะท้อนเสียงปิดประตูเสียงดังพร้อมเสียงรองเท้าหนังกระทบกับพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบก้องไปทั่วทั้งโถงทางเดิน ไม่นานเสียงกริ่งหน้าประตูก็ดังแทรกทุกอย่างเข้ามา [คุณคิมครับ คุณคิมอยู่ข้างในหรือเปล่าครับ เปิดประตูในหน่อยสิครับ]

     

    "เปล่าประโยชน์หน่า ... อีซึงฮุน คุณคิมเขาย้ายออกไปตั้งแต่เมื่อวานก่อนนายจะกลับแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ คุณคิมเขาย้ายไปอยู่ตึกใหม่อีกหัวมุมถนนหนึ่ง ไม่ไกลจากบ้านของเราหรอก ถ้านายคิดถึงคุณคิมก็ไปเยี่ยมเยียนเขาได้"

     

    มินโฮทำได้แค่นั่งเสียดายอยู่นิดๆ ที่ไม่ได้ย้ายเข้าห้องที่เพิ่งเซ็นต์สัญญาซื้อขายกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงเดินไปเปิดประตูและจ้องหน้าเอ๋อๆ ของซึงฮุนให้อารมณ์ดีเสียหน่อย

     

    [นี่นายใช้เงินตัดสินทุกอย่างบนโลกใบนี้หรือไง ?]

     

    "ฉันยอมรับว่าเคยคิดอย่างนั้นนะ ..." มินโฮลดระดับความยียวนลง ริมฝีปากซึ่งเคยคลี่รอยยิ้มเมื่อครู่ถูกเหยียดเป็นเส้นตรงเมื่อเข้าสู่โหมดจริงจัง "ฉันเคยคิดว่าเงินทำอะไรได้ทุกอย่างในโลกใบนี้ แต่ตั้งแต่เจอนายความคิดฉันก็เปลี่ยนไป นายไม่ยอมให้ฉันเลี้ยงข้าวมื้อนั้น พอฉันดันทุรังว่าจะจ่ายให้ นายก็ขอเลขบัญชีเพื่อโอนเงินคืน นายมันไม่เหมือนคนอื่นที่ฉันรู้จักจริงๆ กับคนอื่นเพียงแค่เห็นว่าฉันมีเงินเป็นถุงเป็นถังก็พร้อมคลานเข่าเข้าหาไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อีซึงฮุน นายเป็นคนที่ทำให้ฉันสนใจ ..."

     

    "..."

     

    "วันนี้ตอนเที่ยงตรง มาเจอกันหน่อยนะ ร้านกาแฟตรงหัวมุมตรงข้ามบ้านของเรา ฉันจะรอนายนะ"

     


     

    แสงอาทิตย์ยามใกล้เที่ยงร้อนแรงพร้อมแผดเผาทุกอย่างบนพื้นโลกทำมุมเกือบตั้งฉากนั้นกำลังผลาญให้ร่างกายสูงโปร่งเร่งผลิตเหงื่อเพื่อผลัดความร้อนให้ออกจากร่างกาย ผู้คนพลุกพล่านไปมาภายในสถานีรถไฟในกรุงโซลนั้นชวนให้เจ้าเด็กแก้มกลมหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย เขากระชับสายกระเป๋าเป้บรรจุเสื้อผ้าและของใช้ที่จำเป็นบางอย่างให้อยู่บนลาดไหล่อย่างมั่นคง หลังจากการเดินทางเกือบสามชั่วโมงจากปูซานเข้ามาภายในเมืองหลวงของประเทศแสนน่าเบื่อหน่ายนั้นทำเอาซึงยุนรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ไม่ใช่ว่าจะเพิ่งเคยเข้ามาในโซลครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้เข้ามาในโซลบ่อยๆ เช่นกัน ความตื่นเต้นที่มีเลยปะทุขึ้นราวกับภูเขาไฟกำลังระเบิด

     

    โชคดีที่อาจารย์ยกเลิกคลาสเรียนในวันนี้ บวกกับในวันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดทำให้ซึงยุนตัดสินใจเก็บกระเป๋าเข้าเมืองหลวงโดยอ้างกับคุณแม่คนดีว่ามาดูและเยี่ยมเยียนพี่ชายที่ติดต่อไม่ได้มาหลายวัน

     

    แม้จะเป็นเหตุผลหลัก แต่อย่างไรเสียเหตุผลรองกลับสำคัญมากกว่า

     

    เหตุผลเพียงเพราะพี่ชายหน้าหวานที่ซึงยุนพูดคุยผ่านโทรศัพท์หรือไม่ก็แชทผ่านแอปพลิเคชันมาตลอดหลายวันตั้งแต่จินอูกลับโซล เจ้าแก้มกลมยอมรับว่าชอบคนทำให้เขาบาดเจ็บเข้าให้แล้วตั้งแต่วันแรก แต่เพราะเขาไม่กล้าเทจนหมดหน้าตักไปว่าความรู้สึกที่เกิดในใจนั้นเรียกว่าความรัก บวกกับอีกฝ่ายไม่มีท่าทีว่าจะชอบเขากลับเลยหลังจากสังเกตผ่านน้ำเสียงทุกครั้งขณะคุยกัน หรือแม้แต่ผ่านตัวอักษรในหน้าต่างแชท จินอูไม่เคยมีท่าทีว่าจะมองซึงยุนเป็นคนพิเศษเกินกว่าน้องชายหรือเจ้าเด็กกะโปโลแห่งปูซานคนหนึ่ง

     

    ซึงยุนเป็นเด็กฉลาดและมักจะรอบคอบเช่นนี้เสมอ เขามักจะคิดไตร่ตรองถึงสิ่งต่างๆ เป็นอย่างดี เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง

     

    เฉกเช่นเดียวกันกับความรัก ซึงยุนจะไม่ทุ่มเทไปหมดทั้งใจเมื่อมีความรู้สึกดีๆ ให้กับใครไปแล้ว เด็กฉลาดอย่างซึงยุนนั้นจะเผื่อหัวใจเอาไว้ก่อน เขาจะวางเดิมพันเกมหัวใจไว้เพียงสิบถึงยี่สิบเปอร์เซ็นเท่านั้น นอกนั้นคงเป็นเรื่องของเวลาและความรู้สึกจากใจจริงก่อนทุ่มเทไปทั้งหมด

     

    อย่างคิมจินอูคนแมน ซึงยุนคงต้องดูไปอีกนานกว่าจะแน่ใจว่าพี่ชายคนนี้มองเขาเป็นผู้ชายคนหนึ่ง น้องชายที่บังเอิญผ่านเข้าไปในชีวิต หรือใครบางคนที่ทำให้รู้สึกพิเศษจนหัวใจหวั่นไหว ...

     

    "คังซึงยุน ..."

     

    เด็กร่างสูงหันไปตามเสียงเรียกแสนหวาน เมื่อพบกับเจ้าของเสียงนุ่มละมุนหูเขาก็ยิ้มออกจนแก้มแทบปริ เจ้าของกายเล็กภายใต้สูทสีดำสนิทวิ่งลุ่นๆ ผ่าผู้คนมากหน้าหลายตาเข้ามาใกล้ผู้ที่เด็กกว่าก่อนหอบหายใจตัวโยน เหงื่อชื้นซึมออกตามไรผมพราว เสื้อสูทเนื้อหนานั้นคงทำให้จินอูร้อนน่าดู

     

    "พี่จินอู ผมบอกแล้วไงฮะว่าไม่ต้องมารับผมก็ได้ ผมแค่มาหาพี่ชายเอง ผมนั่งรถเมล์ไปก็ได้"

     

    "ไม่เป็นไรหรอกน้า ... พี่บอกพี่ซึงฮยอนเอาไว้แล้ว รายนั้นนะ แค่อ้างชื่อนาย เขาก็ไฟเขียวยอมให้พี่สตาร์ทรถมาหานายแล้ว"

     

    "พี่มารับผมเพราะพี่ซึงฮยอนบังคับอีกหรือเปล่าฮะ ?"

     

    "ไม่ๆ อย่าคิดมากสิ" กลีบปากบางที่เคยพ่นระบายลมหายใจถี่นั้นขยับตอบอย่างหนักแน่น จินอูเงยหน้าสบตากลมโตเข้ากับตาเล็กของอีก ตาสวยราวกับกวางน้อยในพงไพรป่าลึกนั้นกระตุ้นให้จังหวะการเต้นของหัวใจของผู้ถูกสบนั้นรุนแรงขึ้นมากกว่าเดิม แต่ซึงยุนนั้นไม่รู้เลยว่าภายใต้ความแมนของชายร่างเล็กนั้นอ่อนไหวเพียงใด อ่อนไหวจนพร้อมจะละลายเป็นน้ำลงต่อหน้าแต่ก็ต้องวางฟอร์มว่าหัวใจตนแข็งแกร่งราวกับหินผา "ไปกันเถอะ อยู่ที่นี่นานๆ ร้อน คนเยอะด้วย"

     

    เจ้าของกายบางทำจมูกฟุดฟิดราวกับเผลอสูดดมกลิ่นไม่พึงประสงค์เข้าไปแล้วเสียเต็มปอด ซึงยุนนึกขำในการกระทำของพี่ชายคนพิเศษตรงหน้า แต่ไม่ว่าจินอูจะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปเสียหมด

     

    "ฮะ !" ว่าแล้วซึงยุนก็เดินนำหน้าอีกฝ่ายไปยังทางออกสถานี แต่อาจเพราะช่วงขาที่ยาวไม่เท่ากันทำให้จินอูนั้นเดินได้ช้ากว่ามาก ซ้ำอากาศยังร้อนระอุจนอ่อนเพลีย เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทิ้งระยะห่างเกรงว่าจะคลาดหลงกันซึงยุนจึงตัดสินใจหันหลังไปถือวิสาสะคว้าข้อมือบางนั้น "ผมกลัวพี่หลงทางน่ะฮะ จับมือกันเดินดีไหมฮะ ?"

     

    ใบหน้าของคนเป็นพี่แดงเรื่อราวกับเลือดทุกหยาดหยดพร้อมใจไหลเวียนขึ้นหน้าจนร้อนไปหมด จังหวะการเต้นของหัวใจก็เปลี่ยนไป ซึงยุนคงเป็นดั่งสิ่งมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ แม้ซึงยุนจะไม่ใช่ผู้หญิงตามอย่างที่จินอูเคยวาดหวังเอาไว้ แต่กลับทำให้ทุกอย่างในร่างกายและจิตใจของเขาผิดปกติไปเสียหมด

     

    "อ่ะ ... อืม"

     

    "เสื้อสูทนั้นคงร้อนน่าดูเลยนะฮะ ถอดมาฝากใส่กระเป๋าผมก่อนไหมฮะ ? ส่วนเสื้อเชิ้ตแขนยาวข้างในนั้น เดี๋ยวผมพันให้"

     

    "ขอบใจนะ"

     

    หลังจากพับเสื้อสูทลงกระเป๋าอย่างเรียบร้อย มือขาวของเด็กแก้มป่องก็เลื่อนไปพันแขนเสื้อยาวๆ ของผู้เป็นพี่ ความอ่อนโยนที่ส่งมาจนจินอูสัมผัสได้นั้นแทบระเบิดร่างของเขาให้มอดไหม้ ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครพันแขนเสื้อของเขาให้นอกจากพ่อและแม่ คิมจินอูเป็นเพียงเด็กชาวเกาะ ก่อนมาเติบโตที่มกโพ และเข้ามาศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยในโซล ช่วงชีวิตเกือบสามสิบปีนั้นเรียกได้ว่าจินอูอยู่กับคำว่าต่อสู้และดิ้นรนเพียงลำพังมาตลอด การถูกใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้มันเลยทำให้เขารู้สึกหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย

     

    "เรียบร้อยครับ พี่จินอู ผมหิวจังฮะ กว่าพี่ชายผมจะเลิกงานก็ตั้งสี่โมงเย็นแหน่ะ"

     

    "เด็กน้อย ..." ความน่าเอ็นดูของเด็กตัวสูงเรียกให้จินอูเผลอยื่นมือไปจิ้มแก้มนิ่มของอีกคน แก้มนิ่มราวมาร์ชเมลโลยวบไปตามแรงก่อนจะแดงเรื่อด้วยความขวยเขิน "น่ารักจังเลยนะเรา"

     

    "น่ารักก็รักสิฮะ"

     

    "..."

     

    "พี่จินอู ... เออ ... ผมขอโทษนะฮะ ผมจะไม่เล่นแบบนี้อีกแล้ว"

     

    "จะจีบพี่หรอ ?"

     

    "เอ๋ ... ?"

     

    "จะจีบพี่ใช่ไหม คังซึงยุน"

     

    "ถ้า ... ถ้าพี่ให้โอกาส ผมก็พร้อมจะเป็นทั้งจักรวาลนี้ให้พี่"

     

    "..."

     

    "พี่จินอูฮะ ผมก็เพิ่งรู้ใจตัวเองแหละฮะว่าจริงๆ แล้วผมชอบพี่ ชอบพี่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ผมรู้ฮะว่ามันไม่ใช่ความทรงจำที่ดีสักเท่าไร แต่เพราะความบังเอิญครั้งนั้นทำให้ผมรู้จักคนน่ารักๆ อย่างพี่ ยิ่งได้คุยกับพี่ ได้รู้จักพี่มากขึ้น ก็ยิ่งทำให้ผมชอบพี่มากขึ้น แต่ผมยังไม่อยากทุ่มไปทั้งหมดว่าผมรักพี่ ผมอยากแน่ใจว่าพี่เองก็รู้สึกแบบเดียวกัน ผมจะไม่บังคับจิตใจของพี่หรอกนะฮะ ถ้าพี่ไม่ได้คิดอะไรกับผมมากกว่าฐานะน้องชาย ผมก็จะยอมอยู่ให้ห่างเหมือนดั่งกาแล็กซีที่พร้อมจะให้พี่เป็นดาวเคราะห์แสนสวยสักดวงเข้ามาโคจรหรือมามีส่วนในชีวิตของผม โดยพี่ไม่ต้องมองเห็นเวิ่งอวกาศกว้างใหญ่อย่างผมก็ได้"

     


     

    อเมริกาโนเย็นถูกดื่มพร่องไปครึ่งแก้วเริ่มละลายจนไอน้ำตามขอบแก้วพลาสติกเกาะตัวเป็นหยาดน้ำขนาดใหญ่ก่อนไหลรวมกันจนเปียกชื้นบนโต๊ะกระจกสีชา มินโฮเลื่อนชายแขนเสื้อสีดำของตัวเองออกเผยให้เห็นนาฬิกาหนังสีเดียวกันบนข้อมือแกร่ง เขานั่งอยู่ในร้านกาแฟถูกประดับตกแต่งด้วยสิ่งของสไตล์วินเทจและรูปวาดอย่างที่มินโฮชอบ บรรยากาศดีเคล้าเพลงป๊อบและกลิ่นของกาแฟคั่วบดหอมกรุ่นชักชวนให้อารมณ์แต่เขากลับรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย ตั้งแต่รู้จักกับซึงฮุนมา ชีวิตของมินโฮก็ยึดติดอยู่กับคำว่ารอคอยมาโดยตลอด เช่นเดียวกัน เขารอซึงฮุนมาเกือบยี่สิบนาทีแล้ว

     

    ความหงุดหงิดพลอยทำให้เจ้าของกายหนาอยากสูบอัดนิโคตินเสียให้เต็มปอด มือของเขาคว้าแก้วกาแฟขึ้นถือไว้อย่างไม่ใส่ใจนักพลางลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้หวายเทียม แต่เพียงแค่เอี้ยวตัวจะหันหลังเท่านั้น ร่างสูงโปร่งของใครบางคนก็หน้าหงิกหน้างอเข้ามาภายในร้านเปลี่ยนบรรยากาศสบายๆ ให้หม่นหมองลงไปได้ในพริบตาเดียว ซึงฮุนกวาดสายตามองหามินโฮ เมื่อพบแล้ว ขายาวก็ก้าวดุ้มๆ ตรงเข้ามาหาคนที่ล่อเขาออกมาจากที่ทำงาน

     

    "มีอะไร อ๋อ ... เปลี่ยนใจเอาโทรศัพท์คืนใช่ไหม ? นี่ ฉันเตรียมให้แล้ว เอาของนาย ..."

     

    "ซึงฮุน นั่งก่อน"

     

    "ฉันมีเวลาไม่นานหรอกนะ เอาของนายกลับไปแล้วแยกย้ายเถอะ"

     

    "นั่งลงเถอะน่า ..." มินโฮถือวิสาสะกดไหล่กว้างของชายตัวบางให้ทิ้งตัวนั่งกับเก้าอี้ แม้ซึงฮุนจะขัดขืนแต่เพราะสายตาคมคอยกำกับและออกคำสั่งว่าให้นั่งนิ่งๆ ก่อนทิ้งตัวนั่งตรงกันข้ามบ้าง "อยากดื่มอะไร เดี๋ยวสั่งให้"

     

    "ไม่กิน"

     

    "โอเค" แต่คนอย่างมินโฮน่ะหรอจะตามใจคนอื่น เขารีบยกมือขึ้นเรียกพนักงานให้มารับเมนูจากลูกค้า ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าลูกค้าคือพระเจ้า เป็นผู้นำเงินถุงเงินถังมาให้เรา เด็กหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้มสวมผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลเข้ากับธีมของร้านจึงรีบวิ่งลุ่นๆ มารับรายการเครื่องดื่มตามที่ลูกค้าต้องการ "อเมริกาโนเย็นเพิ่มอีกหนึ่งแก้ว มัจฉะลาวาเค้กหนึ่งที่และทีรามิสุหนึ่งที่ครับ"

     

    "ครับผม รอรายการที่สั่งสักครู่นะครับ"

     

    "ย๊า ! ซงมินโฮ นายต้องการอะไรกันแน่ ?!"

     

    "ใจร้อนไม่เหมาะกับนายเลยนะ" อเมริกาโนละลายจนกลายเป็นน้ำเปล่าลอยตัวเหนือเครื่องดื่มสีดำเข้มถูกดื่มอีกครั้งพลางมองหน้าบึ้งตึงของคนตัวสูง พ่อดวงตะวันยามเช้าของเขานั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ารักไปเสียหมด ยิ่งทำปากยื่นปากเบะเหมือนกำลังจะร้องไห้แล้วด้วยก็ยิ่งน่ารัก แก้มขาวฟูนั้นยิ่งพองออกราวซาลาเปาแป้งนิ่มนึ่งสด "นายน่ะไม่เหมาะกับหน้าบูดเป็นตูดแบบนั้นเลยนะซึงฮุน หน้านายจะน่ารักมากเวลานายยิ้มหรือหัวเราะนะ ..."

     

    "เหอะ ! ฉันไม่ได้อยากน่ารักสักหน่อย"

     

    "จริงหรอ ?"

     

    "นี่ ! อย่ากวนให้มากนะ"

     

    เรียวปากบางขยับมุบมิบราวกับก่นด่าอย่างไร้เสียง เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เครื่องดื่มและเค้กมาวางเสิร์ฟ มินโฮจึงยืดตัวลงตักเนื้อเค้กเนียนก่อนยื่นส้อมคันวาวอันเล็กจิ้มขนมหวานรสละมุนสีเขียวอ่อนๆ ไปตรงหน้าชายหนุ่มตัวสูง เจ้าแก้มฟูรีบหันหน้าหนีแทบจะทันทีพลางยกมือกอดอก แผ่นหลังติดจะกว้างภายใต้เสื้อสูทสีเข้มพิงพนักเก้าอี้สานสีน้ำตาลอ่อนคล้ายหวายสังเคราะห์

     

    "กินสักคำเถอะ"

     

    "ไม่ !"

     

    ดื้อ !

     

    คือสิ่งที่ความรู้สึกของมินโฮสัมผัสได้กับคนตรงหน้า ท่าทางของเด็กน้อยเอาแต่ใจแฝงในร่างของชายหนุ่มวัยทำงานฉุดให้ซึงฮุนดูน่าเอ็นดูขึ้นไปอีก

     

    เจ้าของกายหนายืดตัวค่อมข้ามโต๊ะกระจกตัวกว้างพลางยื่นมือข้างที่ว่างอยู่คว้าหมับเข้ากับสันกรามของคนนั่งหน้าบึ้งตึงตรงกันข้ามกับโต๊ะ เขาออกแรงบีบเพียงเล็กน้อยริมฝีปากบางก็เผยอออกแม้เจ้าตัวจะขัดขืนทำเสียงอื้ออืมท้วงในลำคอแต่ก็ไม่อาจสู้ผู้มีเรี่ยวแรงเหนือกว่าได้หากเขาไม่ทันได้ตั้งตัว เค้กเนื้อนุ่มกลิ่นชาเขียวหอมละมุนถูกส่งเข้าโพลงปาก ตาเรียวจับจ้องมองซึงฮุนเคี้ยวของหวานแก้มตุ่ยก่อนยกยิ้มอย่างพึงพอใจวางส้อมแวววาวลงกับขอบจานพลางขยับตัวกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวเดิม

     

    "อร่อยไหม ?"

     

    "..."

     

    "ซึงฮุน นายเป็น PTSD ตั้งแต่เมื่อไรหรอ ?"

     

    "แค่กๆ"

     

    ซึงฮุนสำลักเค้กในปากไอออกมาจนตัวโยน ต้องรีบคว้าอเมริกาโนบนโต๊ะตรงหน้าขึ้นดูดดื่มแก้อาการติดคอ กำปั้นหลุนๆ ทุบเข้ากับอกแกร่งพลางหายใจเข้าออกรัวลึก

     

    "อยู่ๆ มาถามอะไรแบบนี้ ? สติดีอยู่หรือเปล่า ?"

     

    "ก็อยากรู้นี่ ..."

     

    "แล้วทำไมฉันต้องมาพูดเรื่องปมมืดในใจของฉันให้นายรับรู้ด้วย ?"

     

    ใบหน้าคมเรียบเฉยพลางทิ้งตัวให้แผ่นหลังพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ ขายาวเปลี่ยนท่าเป็นนั่งไขว้ห้างแลดูสบายๆ สองแขนกอดประสานระดับอก มินโฮยังคงจ้องมองใบหน้าของอีกคนอย่างไม่วางตา ความสงสัยเกี่ยวกับคู่สนทนาถูกส่งผ่านสายตาเป็นคำถามเชิงกดดันให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ซึงฮุนเกรงกลัวสายตานั้นจนต้องรีบก้มหน้าลงพลางยื่นมือหยิบส้อมคันเล็กขึ้นตักเค้กมัชฉะเข้าปากแก้อาการเกร็งเก้อ

     

    "จริงๆ แล้วฉันเป็น Philophobia เหมือนกัน ..." ราวกับภาพวิดีโอถูกหยุดไว้ชั่วคราวเมื่อซึงฮุนได้ฟังความลับจากอีกคนที่พูดออกโดยไม่ลังเล ซึงฮุนเบิกตาโพลงเมื่ออยู่ๆ มินโฮก็พูดถึงอาการเจ็บปวดทางจิตที่มีลักษณะคล้ายกันคือหัวใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนักจนสมองสั่งการให้เกิดอาการกลัวกั้นขวางสิ่งที่เคยพบเจอเอาไว้ แม้โรคที่เขาและมินโฮเป็นจะดูคล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่ทั้งหมด สิ่งที่พวกเขาเป็นควรได้รับการเยียวยาด้วยความเอาใจใส่หรือคำปรึกษาดีๆ จากจิตแพทย์รวมถึงคนรอบข้าง ซึงฮุนไม่รู้ว่าที่ผ่านมามินโฮได้รับการดูแลหรือคำปรึกษาจากใครบ้าง "มันก็ตลกดีนะที่อยู่ดีๆ ฉันก็เป็นโรคนี้มาตั้งสองปีกว่าแล้ว แม้ฉันจะพยายามเอาชนะมันแต่ก็เหมือนจะยิ่งเจ็บปวดทุกครั้ง ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยคิดเริ่มต้นใหม่นะ ฉันพยายามแล้ว สุดท้ายก็ล้มเหลวทุกครั้ง จนมาเจอกับนาย นายคือคนที่ทำให้ฉันรู้สึกดีนะซึงฮุน ดีจนไอ้โรคบ้านี่มันทรมานกว่าทุกครั้ง ทุกทีที่ฉันใกล้นาย ทุกครั้งที่ฉันเจอนาย หัวใจของฉันมันเจ็บปวดนะ เจ็บปวดจนหัวใจของฉันมันแกว่ง มันรวดร้าวไปหมด แต่ฉันกลับรู้สึกว่านายนี่แหละคือคนที่จะสามารถแก้ไอ้อาการบ้าบอราวถูกสาปนี่ให้หายไปได้ ..."

               

    "มันดูย้อนแย้งนะ ถ้าฉันทำให้ใจนายเจ็บปวดกว่าเดิม แล้วฉันจะไปทำให้นายหายดีได้ยังไง ?"

     

    "ฉันไม่รู้หรอกนะ แต่ความรู้สึกของฉันมันบอกว่านายคือคนที่จะทำให้ฉันหาย อย่างที่บอก นายมันไม่เหมือนคนอื่น และฉันอาจเป็นคนทำให้นายหายกลัวความมืดก็ได้ ..." มินโฮเปลี่ยนท่านั่งอีกครั้งด้วยการย่อลงวางคางบนหลังมือที่ค้ำกับหน้าขาทำท่าครุ่นคิด ซ้ำยังจ้องใบหน้าขาวของซึงฮุนอย่างไม่วางตา "ลองดูกันสักตั้งไหม ? บางทีการที่เราเจอกันอาจเป็นเพราะลิขิตของฟ้าก็ได้ที่ให้คนมีช่องว่างและความกลัวในใจมาเจอกันเพื่อเป็นยาคอยรักษาและเยียวยาซึ่งกันและกันอะไรแบบนี้"

     


     

     

    ขออนุญาตสะบัดพู่เชียร์ให้คุณซึงฮุนผู้เป็นดั่งดวงตะวันของเราให้ตกลงรับข้อเสนอคุณมินโฮค่ะ

     

    และขออนุญาตเขินคุณคนแมนค่ะ ถามแบบแมนๆ ก็โดนเด็กแก้มกลมตอบแบบแมนๆ เช่นกันค่ะ มาดูกันค่ะว่าคุณจินอูนั้นจะแมนได้นานสักเพียงใด คึคึ

     

    ไม่รู้จะเขินคู่ไหนก่อนกันเลยค่ะ 555555

     

    ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่มีให้กันมาตลอดนะคะ สัญญาค่ะว่าไซเรนท์จะ (พยายาม) แต่งฟิคเรื่องนี้ให้จบ ยอมรับค่ะว่าอัพช้า แต่อัพช้าดีกว่าดองไว้เนอะ 5555555

     

    รักนะคะคนดีของฉัน ^^

     

    #DAYNIGHTSTORY


    ปล. ตอนนี้สั้นเนอะ ใช่ค่ะ สั้นมาก


    เหตุเกิดเพราะอยู่ดีๆ ไซเรนท์ก็รู้สึกเหมือนหมดไฟขึ้นมาดื้อๆ


    แต่ก็มีน้อง @Maetamilk มาคอยดึงสติและเติมไฟให้


    ขอบคุณมากจริงๆ นะคะ


    สัญญาค่ะว่าจะพยายามต่อไป จะพยายามสานต่อความขี้ชิปของตัวเองให้จบ 555555


    ซารางเง ><

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×