ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

    ลำดับตอนที่ #17 : CHAPTER 16 :: SEASON CHANGE ::

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 92
      8
      24 พ.ค. 62

    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT

     

    CHAPTER 16 :: SEASON CHANGE ::

     

    'ผมเพิ่งลงจากเครื่องบิน กำลังรอกระเป๋าอยู่ พี่อยู่ไหน ?'

     

                นิ้วหัวแม่มือของเด็กหนุ่มร่างสูงติดจะใหญ่จิ้มแป้นพิมพ์ของโทรศัพท์มือถือที่ตนเป็นเจ้าของ ข้อความสั้นๆ ส่งออกไปหาใครบางคนนั้นรอการตอบกลับ แต่เนื่องจากพื้นที่สนามบินนั้นมีผู้คนมากมายหลากหลายเชื้อชาติทำให้การรอกระเป๋าเดินทางวิ่งเลื่อนไปตามสายพานนั้นช่างไม่เหมาะสมกับการยืนกดเล่นเครื่องมือสื่อสารเป็นเวลานานๆ เจ้าตัวจึงรีบเก็บมันลงกระเป๋ากางเกงยีนส์แฟชั่นของตัวเองก่อนเพ่งสมาธิมุ่งมองสารพัดกระเป๋าเดินทางหลากสีหลายขนาดเลื่อนไหลไปมา เมื่อเห็นสัมภาระของตัวเอง เจ้าเด็กตัวยักษ์ก็เอื้อมไปหยิบมาวางบนรถเข็นอย่างชำนาญ ก่อนจะเข็นผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองอย่างง่ายดาย

     

    'พี่รออยู่ฝั่งผู้โดยขาเข้าแล้วค่ะ เจอกันนะคะน้องรัก'

     

    ตาเรียวเล็กกวาดอ่านข้อความก่อนแสยะยิ้ม เขาไม่รู้ว่าพี่สาวของเขานั้นต้องการอะไรถึงได้เรียกให้กลับจากฝรั่งเศสโดยด่วนถึงขนาดออกค่าเครื่องบินให้กลับเกาหลีโดยทันทีที่ติดต่อเขาเมื่อวันก่อน การเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลโดยไม่ทันตั้งตัวนั้นทำเอาเขาอ่อนเพลียไม่น้อย แม้ร่างกายจะสูงใหญ่ แต่การเรียนและการทำงานพิเศษไปด้วยก็หนักหนาสำหรับนักศึกษาต่างถิ่นเฉกเช่นเขา

     

    ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญจนเขาต้องพักการเรียน เขาจะด่าพี่สาวให้ลืมยศถาบรรดาศักดิ์ เอาให้ลืมไปเลยว่าใครเป็นพี่เป็นน้อง

     

    ขายาวทอดน่องพลางให้สองแขนออกแรงลากรถเข็นมุ่งตรงไปทางด้านหน้า หลังจากร่างกายเดินผ่านประตูบานเลื่อนสุดท้าย ขายาวที่เคยก้าวเดินก็ต้องหยุดชะงักพร้อมอาการตกใจจนตาเล็กเรียวต้องเบิกโพลง เขาสัมผัสได้ถึงแรงดึงรั้งไปทางด้านหลัง และความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่ได้สัมผัสมาเนิ่นนาน

     

    "ยินดีต้อนรับกลับบ้านนะน้องรักของพี่"

     

    "ครับ"

     

    "เหนื่อยไหม ?"

     

    "ไม่เท่าไรหรอกครับ"

     

    เด็กหนุ่มปัดผมหนาๆ ที่ปรกหน้าผากขึ้นเมื่ออ้อมกอดของผู้เป็นพี่สาวคลายออก เขาสบเข้านัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มของหญิงสาวตรงหน้าหวังจะได้คำตอบผ่านแววตานั้น แต่ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องนั้นกลับหลบซ่อนความรู้สึกเก่งเหลือเกิน ... เก่งจนยากจะค้นจนสุดท้ายต้องยอมพังความพยายามของตัวเอง รอให้คู่สนทนาตรงหน้าบอกเองเสียยังจะดีกว่า

     

    "งั้นกลับบ้านกันนะ ..."

     

    "เดี๋ยวก่อนพี่ 'แชริน' ..."

     

    "หืม ... ว่าไงจ้ะ ?"

     

    หญิงสาวที่คล้องเรียวแขนสวยเข้ากับท่อนแขนแกร่งพร้อมควงคู่เดินออกจากบริเวณสนามบินซึ่งมีผู้คนพลุกพล่านแทบจะชนไหล่นั้นชะงักไปชั่วขณะ แชรินหน้าขึ้นสบเข้าคู่ตาสีเดียวกันกับตนอย่างสงสัยไม่ต่าง เจ้าเด็กยักษ์เลิกลั่กไม่มีความแน่ใจว่าจะถามมันออกไปดีไหม แต่สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากพูดถึงสิ่งที่ใจสงสัยมาเสียนาน

     

    "พี่เรียกผมกลับมาทำไมกันแน่ ?"

     

    เรียวปากสวยสีแดงสดเนื่องจากแต่งแต้มด้วยลิปสติกแย้มยิ้ม ไหล่บางยักน้อยๆ พลางส่งคำตอบที่ค่อยน่าพึงพอใจเท่าไรนักแก่น้องชายคนดี

     

    "พี่มีเหตุผลของพี่ ..." มือบางสัมผัสเข้ากับมือของเด็กหนุ่มพลางเกลี่ยเบาๆ เชิงให้เชื่อใจพี่สาวคนนี้เข้าไว้ แต่อย่างไรเสีย คำพูดของคนเป็นพี่ช่างดูว่างเปล่าแม้จะพยายามจับจุดสังเกตสักเพียงใด น้ำเสียง รวมถึงท่าทางเก็บซ่อนความรู้สึกเก่งจนน่ากลัวนั้นก็ไม่อาจคลายความกังวลให้ปลิวหายไปจากใจของเด็กหนุ่ม "ถึงเวลาพี่จะบอกเราเองนะ 'นัมแทฮยอน'"

     


     

    อาการปวดหัวรุมเล่นงานเจ้าของกายสูงจนยากที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาต่อสู้กับมัน มือหนาเลื่อนขึ้นลูบไล้ขมับซึ่งมีเส้นผมสีสว่างปกคลุมอยู่ ใบหน้ายับยู่เหยเกจนหน้าผากเนียนเกิดริ้วรอยยาว หนำซ้ำยังรู้สึกเมื่อยขบไปตามร่างกาย เขาพยายามพลิกตัวจากการนอนคว่ำหน้าจนแก้มฝังลงหมอนนิ่มเป็นการนอนหงายสบายๆ แต่ช่างยากลำบากเหลือเกิน เมื่อทุกส่วนของร่างกายนั้นช่างไม่สามัคคีกันเสียเลย มินโฮจึงทำได้แค่ฝืนขยับกายเชื่องช้าเพื่อให้ตนนั้นอยู่ในท่านอนที่สบายที่สุด

     

    แต่ร่างกายสบายได้สักพักก็เหมือนสมองจะตื่นแซงหน้าไป ตาคมเบิกกว้างส่งหน่วยตากรอกมองโดยรอบ ห้องทรงสี่เหลี่ยมไม่คุ้นตา ทั้งสีของวอลล์เปเปอร์ เฟอร์นิเจอร์อาทิโซฟา ม่านสีครีมสวย โต๊ะเขียนหนังสือ เก้าอี้รูปทรงแปลกๆ ที่แม้เขาจะชอบดีไซน์การออกแบบนั้นแต่มันไม่เคยมีอยู่ในห้องของเขา

     

    รวมถึงร่างของใครอีกคนที่นอนขดใต้ผ้าห่มหนาฟู ไหล่ขาวมนด้านหลังโผล่พ้นชายผ้านั้นเรียกสติให้มินโฮต้องรีบสำรวจตัวเองว่าท่อนบนของเขานั้นก็เปลือยเปล่าเฉกเช่นเดียวกัน เรือนผมสีน้ำตาลดูหนาฟูบัดนี้ยุ่งเยิงบ้างก็ทิ้งตัวลู่ไปกับหมอนสีครีม คนข้างกายไม่ใช่คนรัก ไม่ใช่อีซึงฮุนอย่างแน่นอน

     

    แล้วเป็นใครกัน ?

     

    ศีรษะยังคงปวดและเวียนจะเจ้าตัวต้องรีบยกมือขึ้นกุมเอาไว้ก่อนจะวูบไปอีกครั้ง อยากหัวเราะเยาะตัวเองให้ฟันหลุด ความรู้สึกสมเพชตัวเองประดังขึ้น ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยรู้สึกเกลียดตัวเองขนาดนี้เลย

     

    มือหนาสั่นเทาพยายามเอื้อมไปหวังจับไหล่บางนั้นพลิกให้เห็นหน้าคู่นอนที่เขาไม่ได้ตั้งใจ เห็นมินโฮมีบุคลิกท่าทางคล้ายพวกเจ้าชู้ประตูดินแต่ช่วงเวลาสองปีกว่าๆ ที่เขาโดนบอกเลิกเพราะผู้หญิงที่ชื่อแชรินนั้น โรคกลัวความรักก็ปิดกั้นไม่ให้มินโฮสานสัมพันธ์กับผู้หญิงหรือแม้แต่ผู้ชายคนไหนจนมาพบกับซึงฮุน 

     

    แต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่ตอนนี้คืออะไร ?

     

    เขากำลังนอกใจซึงฮุนด้วยการนอนกับใครอีกคนที่เขาไม่รู้จักงั้นหรอ ?

     

    ไม่สิ ... เรื่องเมื่อคืนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพียงแค่เขาเมามากไปเท่านั้น

     

    เมาเพราะสิ่งโง่เง่าที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจมากมาย

     

    เขาควรรวบรวมสติมากกว่านี้ ถ้าเมื่อคืนเขาไปหาซึงฮุน ยอมปรับความเข้าใจ ยอมขืนความรู้สึก ยอมขัดใจไม่ให้ซึงฮุนอยู่คนเดียว เรื่องบ้าๆ แบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น

     

    เจ้าของกายผิวสีน้ำผึ้งชักมือกลับเมื่อคู่นอนพลิกตัวจากท่าตะแคงหันหลังให้เป็นนอนหงายจนเห็นกรอบหน้าสวยนั้นจนเต็มดวง ลมหายใจสม่ำเสมอฟ้องว่าอีกฝ่ายยังคงฝังตัวเองลงห้วงฝันหวานอย่างสบาย ต่างกับมินโฮ เขานั่งมองอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกหลายๆ อย่างประสมปนเปจนจับจุดไม่ได้

     

    ผู้ชายหน้าสวย คิ้วเรียวทอดเป็นเส้นตรงติดไปทางตกนิดๆ ที่ด้านปลาย ผิวขาวราวหิมะแรกและมีปากสีชมพูอ่อนคนนี้เป็นใคร ?

     

    แน่นอนว่าคนข้างกายเขาตอนนี้เป็นคนแปลกหน้า ... แน่นอนหนึ่งร้อยเปอร์เซ็น

     

    "นาย !"

     

    เพียงคำเดียวสั้นๆ แต่ดังจนลั่นพื้นที่ห้องสี่เหลี่ยมปลุกเรียกให้ชายแปลกหน้าค่อยๆ เปิดเปลือกตาขาวขึ้น มือข้างหนึ่งเต็มไปด้วยรอยสักสีเขียวเต็มพื้นที่ผิวขาวๆ ขยี้ตาเล็กน้อยสลัดไล่อาการงัวเงีย เมื่อรู้สึกตื่นเต็มที่ปากเรียวบางสีอ่อนก็ระบายรอยยิ้มให้ก่อนเอ่ยทักทายยามเช้า

     

    "GOOD MORNING ครับ"

     

    "หึ !" ไร้เสียงทักทายกลับ มีเพียงสายตาเหยียดหยามส่งให้เด็กหนุ่มเท่านั้น มินโฮขยับกายลุกขึ้นจากเตียงกว้าง แขนสองข้างกอดประสานระดับอก ถึงจะจำอะไรไม่ได้แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะทำอะไรผิดพลาดไป "นายเป็นใคร ?"

     

    "อะไรกันครับ ? เมื่อวานพี่ยังเรียกชื่อผมอยู่เลย"

     

    "อย่ามาเล่นลิ้น !" แววตาสมเพชใครอีกคนนั้นฉายชัดเต็มประดา แต่เด็กหน้าหวานกลับยิ้มสู้ราวกับไม่รู้สึกอะไรทำเอามินโฮรู้สึกเกลียดคนตรงหน้าเสียเต็มทน "ถึงฉันจะเมา แต่ภาพสุดท้ายที่ฉันจำได้คือคลับ ..."

     

    "พี่แน่ใจหรอครับ ?" มือขาวบางแต่เต็มไปด้วยรอยสักเขียวไม่ต่างกับเรือนกายของมินโฮนั้นเอื้อมพ้นชายผ้าห่มคว้าโทรศัพท์มือถือบริเวณหัวเตียงขึ้นมา ไม่นานเสียงน่าเกลียดก็ดังขึ้นจากเครื่องมือสื่อสารนั้น ระงมทั้งเสียงร้องครางและเสียงเนื้อกระทบกันจนระดับความเกลียดตัวเองพุ่งสูง ผู้ถือไพ่เหนือกว่าหยัดกายลุกขึ้นนั่งพิงหัวเตียงบุกำมะหยี่เนื้อดีก่อนเลื่อนนิ้วหัวแม่มือปิดเล่นเสียง ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง แต่เด็กหัวแหลมกลับหัวเราะขึ้นราวนักแข่งวิ่งเข้าสู่เส้นชัย "พี่คงปฏิเสธหลักฐานไม่ได้หรอกนะครับ"

     

    "นายต้องการอะไรกันแน่ ?"

     

    "ผมไม่ต้องการอะไรหรอกครับ ..." เด็กร่างโตเลิกชายผ้าห่มออกจนพ้นตัว เนื้อผิวขาวดูสุขภาพดีนั้นเปื้อนไปด้วยรอยสักสีเข้ม มินโฮรู้สึกฉุนขึ้นมาทันทีเมื่ออีกฝ่ายคอยเล่นแง่ปั่นประสาท ฝีเท้าไร้สลิปเปอร์ย่องเข้ามาใกล้เขาจนเจ้าของกายหนาคิดอยากเขยิบหนีไปให้ไกลด้วยนึกรังเกียจ แต่หากถอยหลังก็จะชนกับโต๊ะหัวเตียงขนาดเล็ก จึงทำได้เพียงใจดีสู้เสือเท่านั้น "ผมแค่อยากให้พี่รับผิดชอบในสิ่งที่พี่ทำกับผมเมื่อคืน ไม่งั้นแล้ว คลิปเสียงนี้ว่อนไปทั่วแน่ๆ"

     

    "คิดจะแบล็คเมล์กันอย่างนั้นหรอ ?"

     

    "ผมไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะครับ แค่อยากให้พี่รับผิดชอบในสิ่งที่พี่ทำลงไปเท่านั้นแหละครับ"

     

    "เสียใจนะ ฉันมีคนรักอยู่แล้ว ..."

     

    "ถ้าพี่รักและจริงใจกับคนที่พี่รักจริงๆ เรื่องเมื่อคืนคงไม่เกิดขึ้นหรอกครับ"

     

    "นายนี่มัน ... !"

     

    คำพูดเสียดสี ล้อเลียน และใบหน้าแย้มยิ้มราวกำลังเยาะเย้ยนั้นช่างน่าหมั่นไส้เสียจนมินโฮแทบเงื้อหมัดขึ้นกลางอากาศ ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดเล่นเสียงน่ารังเกียจอีกครั้ง เจ้าตัวคงเผลอปล่อยกำปั้นนั้นฟาดลงโครงหน้างามนั้นเปรี้ยงใหญ่

     

    ความรู้สึกผิดโถมกระหน่ำเข้ากระทบฝั่งความคิดอีกระลอกเมื่อคิดถึงซึงฮุน ชายคนเดียวที่ยื่นมือเข้ามาช่วยให้เขาผ่านพ้นโรคบ้าๆ อย่างกลัวความรัก แม้จะรักเพียงใดหากความผิดครั้งนี้มันเกินให้อภัยเสียจริงๆ 

     

    กำปั้นนั้นคลายออกก่อนทิ้งลงข้างตัว เรื่องนี้เขาเองเป็นคนผิดจริงๆ ใช่ไหม ? คำถามไร้คำตอบนี้เอาแต่ตอกย้ำซ้ำๆ อยู่ในห้วงความคิดจนคลื่นไส้ ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งกอดเข่า ไม่อาจห้ามน้ำตาอุ่นได้เลยเมื่อสุดท้ายต้องยอมรับความจริงแล้วว่า ...

     

    เขานอกใจอีซึงฮุน

     

    หากคิดย้อนกลับไปเขามันก็เลวจริงๆ ที่ตอบแทนคนคอยยื่นมือเข้ามาช่วยให้เขาเลิกกลัวความรู้สึกอันบริสุทธิ์อย่างคำว่ารักได้อย่างเย็นชา มันมืดไปทั้งแปดด้าน ความทรงจำดีๆ ระหว่างเขาและใครอีกคนเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน แต่ก็มีอีกคนเข้ามามีบทบาทแบบนี้ คนกลางอย่างเขาก็ยากจะตัดสินใจ หากเลือกซึงฮุน เรื่องคาวๆ เมื่อคืนก็จะถูกเผยแพร่อย่างที่เด็กหน้าสวยว่า แต่หากเลือกคนตรงหน้า เขาก็จะถูกตราหน้าว่านอกใจและทำคนที่รักมากที่สุดต้องเสียน้ำตาเพราะความผิดหวัง

     

    ไม่ว่าทางไหน ซึงฮุนก็เสียใจทั้งนั้น

     

    โง่เอง ... ซงมินโฮมันโง่เอง

     

    โง่ที่ทิ้งคนรักของตัวเองเอาไว้ข้างหลัง และโง่ที่สร้างเรื่องราวยากจะให้อภัยเอาไว้

     

    หากมองย้อนกลับไป เขาเองก็ไม่อาจให้อภัยได้แน่ๆ ถ้าเขารู้ว่าคนที่ได้หัวใจไปครอบครองนั้นก่อเรื่องทำนองนี้เอาไว้

     

    ตาคมบัดนี้แดงช้ำและเปื้อนมอมไปด้วยคราบน้ำตาเงยหน้าขึ้นมองผู้อยู่เหนือกว่าด้วยความสับสน โฟกัสฝ้าฟางจับจุดไม่ได้จนภาพเบลอเลือน แต่นั้นก็ไม่อาจกลบรอยยิ้มเยาะราวผู้ชนะบนหน้าใสๆ แต่ซ่อนเร้นด้วยความร้ายไม่เบาได้เลย

     

    "จำชื่อของผมเอาไว้นะครับคนดี ..." ชายแปลกหน้าที่มินโฮไม่เคยพบเห็น ไม่เคยรู้จัก และไม่เคยคิดอยากสานสัมพันธ์ด้วยนั้นทิ้งตัวนั่งยองๆ ตรงหน้า มือขาวเลื่อนไล้ปาดน้ำตาร้อนออกจากรูปหน้าหล่อเหลาอย่างเบามือ ปากหยักสวยได้รูปประดับด้วยหมุดเงินจิ๋วสั่นเครืออย่างเห็นได้ชัดจนนึกสงสาร แต่เขาต้องห้ามใจอ่อนกับคนตรงหน้าโดยเด็ดขาด "นัมแทฮยอน ชื่อของคนที่รักพี่มินโฮคนนี้คือนัมแทฮยอนนะครับ"

     


     

    ความเงียบยังคงเข้าครอบงำโทรศัพท์มือถือที่ซึงฮุนไม่ได้เป็นเจ้าของโดยตรง ตั้งแต่เมื่อคืนไล่เรียงมาจนถึงวันใหม่ บุคคลผู้ยอมควักเงินจ่ายค่าของฟุ่มเฟือยนี้ยังไม่ติดต่อกลับมาเลย ยอมรับว่าซึงฮุนเป็นฝ่ายงี่เง่าเอง แค่คำถามประโยคเดียวไม่น่าเก็บมาคิดให้เรื่องทุกอย่างบานปลายถึงขนาดนี้ แก้หากจะให้ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรคงทำไม่ได้จริงๆ อาจเป็นเพราะกฎเกณฑ์ของโลกใบนี้คือสายน้ำไม่ไหลย้อนกลับ คล้ายๆ กับเวลาที่ไม่อาจหมุนทวนเข็มนาฬิกาได้

     

    ร่างสูงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แม้สายตาจะคอยจับจ้องกับอุปกรณ์สี่เหลี่ยมหน้าจอสีดำสนิท แม้มือจะคอยหมุนควงปากกาด้ามเล็กอยู่ก็ตาม แต่กะจิตกะใจล่องลอยจนตกในสภาวะเหม่อโดยสมบูรณ์แบบ

     

    คิดถึง ...

     

    เป็นคำเดียวในระบบประมวลของสมองในเวลานี้

     

    แต่หากจะให้เขาติดต่อกลับไปก่อน ภาวะวางฟอร์มงอนหรือโกรธโมโหก็จะไร้ความหมาย

     

    ทำได้เพียงแค่รอต่อไป

     

    แล้วเมื่อไรกันล่ะ ?

     

    "พี่ ... ซึง ... ฮุน !"

     

    การเรียกขานชื่อย้ำทีละพยางค์ของหญิงสาวคนสนิทปลุกให้ซึงฮุนต้องตื่นจากห้วงอาการเหม่อลอย หน้าขาวหันซ้ายแลขาวหาต้นเสียงก็ต้องสะดุ้งเบาเมื่อหญิงสาวเจ้าของเสียงใสนั้นยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในระยะที่เรียกว่าแทบจะประชิด ซึงฮุนรีบถดใบหน้าตัวเองออกด้วยอาการตกใจ ทิ้งปากกาด้ามสวยลงบนโต๊ะพลางยกขึ้นลูบหน้าอกตัวเองปอยๆ หวังเรียกขวัญให้กลับมา ช่างต่างกับเพื่อนร่วมงานคนสนิทเพียงคนเดียว บัดนี้หัวเราะคิกคักสมใจราวกับว่าสนุกสนานกับการกลั่นแกล้งคนเป็นเด็กเป็นเล็ก

     

    "จีซูอา ... ตกใจหมดเลย"

     

    "พี่ซึงฮุนเหม่อมาตั้งนานแล้วนะคะ แผนการตลาดมันคงไม่สามารถเสร็จได้ถ้าพี่ไม่คิดมันออกมานะ"

     

    ยิ้มใสแย้มขึ้น ซึงฮุนผละมองเอกสารต่างๆ บนโต๊ะก่อนจะรีบจัดเรียงให้เป็นระเบียบ แม้ทุกอย่างจะยังไม่เสร็จสิ้นก็ตาม

     

    "เอ่อ ... พี่จะเริ่มทำเดี๋ยวนี้แหละ"

     

    "พี่ซึงฮุน ..." มือบางตบเบาๆ บนไหล่กว้างของคนเป็นเพื่อนร่วมงานและรับถือเสมือนพี่ชายตัวเอง จีซูคิดว่าเข้าใจในสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังเป็น เจ้าหล่อนถึงได้กล้าตรงมาดูอาการเช่นนี้ไง "พี่กับพี่มินโฮคงไม่มีปัญหาอะไรกันใช่ไหมคะ ?"

     

    "จะ ... จีซู ..."

     

    สถานการณ์อันน่าอึดอัดเช่นนี้คืออะไรกัน ? แม้ในออฟฟิศจะมีเครื่องปรับอากาศคลายความร้อนภายในอาคารแล้ว แต่ผู้ถูกถามกลับเหงื่อกาฬผุดพลาย มือไม้สั่นเทาจนยากจะควบคุม คำถามเสียงใสนั้นช่างคล้ายรถไฟเหาะเครื่องเล่นยอดนิยมตามสวนสนุกซึ่งจับร่างสูงให้ยกขึ้นก่อนจะกระชากและเหวี่ยงให้ทั้งร่างฝ่าช่วงอากาศอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเมื่อลงมาจากเครื่องเล่นนั้น ใบหน้าก็ชาวูบไหวพร้อมหัวใจเต้นกระตุกราวถูกช็อตด้วยไฟฟ้านับล้านโวลต์

     

    "พี่เอาแต่จ้องโทรศัพท์สลับกับถอนหายใจ แถมยังไม่ใส่ใจงานทั้งๆ ที่พี่เป็นคนบ้างานจะตาย จีซูเห็นนะ" ผู้แสดงสวมบทบาทนักสืบสาวยังคงมีท่าทีสงสัย ตากลมหรี่ลงเล็กน้อยจับผิดผู้อายุมากกว่า แม้จีซูจะไม่ค่อยรู้เรื่องราวระหว่างพวกเขาเท่าไรนัก แต่ทุกความเคลื่อนไหวของพี่ชายคนสนิทและไอดอลหนุ่มแม้จะแค่ในคลับหรูแต่หากสอบถามผู้ชายร้อยทั้งร้อยก็คงอยากมีหน้าตา รู้ร่าง และความเท่ห์แบบซงมินโฮอย่างแน่นอน "พี่ซึงฮุน อย่าคิดว่าน้องเป็นคนอื่นคนไกลเลยนะคะ จีซูน่ะเห็นพวกพี่ทั้งสองตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกันเลยนะคะ อย่าลืมสิคะว่าใครอยู่ในร้านชาบูในวันนั้นด้วย"

     

    เก้าอี้ว่างข้างกายถูกดึงลากเข้าไปก่อนร่างบางของหญิงสาวจะทิ้งกายลงอย่างผ่อนคลาย ช่างตรงกันข้ามกับซึงฮุนเวลานี้เหลือเกิน ทุกอย่างถูกแขวนไว้บนความอึดอัด เรื่องต่างๆ ในใจเหมือนบูมเมอแรงแม้จะขว้างออกไปไกลตัวสักกี่ครั้งก็จะย้อนกลับมาให้คิดอยู่เสมอ

     

    "นั้นสินะ"

     

    "คราวนี้พี่บอกได้ยังคะว่ามีปัญหาอะไร น้องจีซูคนสวยคอยช่วยเหลืออยู่เสมอน้า ..."

     

    "คิคิ ..." เพียงแค่ได้ยินคำปลอบโยนติดตลกก็แทบทำให้ผู้มีปัญหาหัวเราะขำขันขึ้นมาเบาๆ เพียงเท่านี้ภายในหัวใจของซึงฮุนก็คล้ายเติมเต็มด้วยแสงสว่างหลังจากถูกความมืดดำของความโมโหครอบงำอยู่เนิ่นนาน ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงที่เขาแบกรับเอาความโกรธไร้สาระมากอดไว้ แต่บัดนี้ช่องว่างดำมืดถูกขจัดด้วยคำพูดติดตลกของน้องสาวร่วมงานเพียงคนเดียวเท่านั้น "ขอบใจนะจีซู แค่นี้พี่ก็สบายใจแล้วแหละ"

     

    "อ้าว ... นี่จะไม่บอกกันจริงๆ หรอคะ ?"

     

    "มันยังไม่ถึงที่สุดน่ะ ถ้าวันไหนพี่ทนไม่ไหว จีซูจะเป็นคนแรกนะที่พี่คิดถึง ขอบใจมากนะน้องสาว"

     


     

    แสงตะวันยามเย็นคล้อยถอยลงม่านตึกแต่ไม่อาจปรับกดอุณหภูมิของอากาศให้ต่ำลงได้เลย กายสูงสีน้ำผึ้งท่อนบนสวมทับเพียงแค่เสื้อกล้ามสีขาวบางเบาอวดรอยสักหลากหลายรูปละลานตานั้นพยายามสูบอัดเอาสารพิษจากมวนบุหรี่แม้ราคาจะแพงลิ่วก็ไม่อาจลดสารอันตรายต่างๆ ลงได้ กลุ่มควันสีขาวเทาพวยพุ่งออกจากปากหยักที่มีห่วงเงินอันเล็กรัดริมฝีปากล่างของเขาเอาไว้ ตาคมเหม่อลอยออกไปไกลจนไม่อาจบอกได้ว่ามุ่งมองไปทางใด ก้นบุหรี่ราวๆ ห้ามวนเห็นจะได้ถูกขยี้ลงชามเขี่ยแก้วใบเล็กเป็นหลักฐานสำคัญว่าเจ้าตัวนั้นสูบเข้าไปมากเพียงใด ไม่นาน มวนบุหรี่ที่หกก็ถูกขยี้ตามลงไปเป็นเศษซากก่อนเขาจะทิ้งกายนั่งพิงกับซี่กรงเหล็กราวระเบียงห้องพัก เข่าสองข้างชันขึ้นก่อนใบหน้าคมจะฝังลงหวังหลีกหนีความจริงอันโหดร้าย

     

    ไม่กล้าจะไปหาเจ้าของห้องตรงกันข้าม ...

     

    ไม่กล้าแม้แต่จะส่งข้อความไปหา

     

    ไม่หวังจะปรับความเข้าใจ ไม่หวังให้อีกฝ่ายอภัยให้เขา ไม่หวังสิ่งใดทั้งนั้นในเมื่อตอนนี้เขายังคิดอะไรไม่ออก

     

    หนทางแก้ปัญหาเรื่องนี้มืดมนไปหมด มืดกว่าห้วงฟ้ายามเที่ยงคืนซึ่งไร้แสงจันทราหรือดวงดาราพราวระยับ

     

    เสียงสัญญาณจากประตูด้านหน้าดังขึ้นก่อนจะถูกเปิดและปิดในเวลาอันรวดเร็ว มินโฮไม่คิดจะเงยหน้าขึ้นมองเมื่อรู้อยู่แล้วว่าใครริอาจเข้าสู่พื้นที่ส่วนตัวโดยเจ้าตัวไม่ทันจะเอ่ยปากอนุญาต

     

    เรียกได้ว่าเกลียดผู้มาใหม่จนไม่อยากจะเงยหน้าขึ้นสบตาเลยด้วยซ้ำ

     

    ประตูกระจกหนาถูกเลื่อนออกแผ่วเบาจนไอความเย็นจากภายในตัวห้องล่องผ่านคลื่นความร้อนกระทบกับกายหนา มืออุ่นของอีกคนสัมผัสเข้ากับมือของเขาจนเลี่ยงไม่ได้ต้องสบตา แม้จะรังเกียจมากแค่ไหนก็ตาม

     

    "กินข้าวกันเถอะครับ"

     

    แม้อีกฝ่ายจะแสดงความอ่อนโยนผ่านน้ำเสียงหวานและกรอบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสักเพียงใด หากหัวใจของมินโฮจะบอกว่าไม่ใช่ ต่อให้พยายามทำดีเพียงเพื่อแลกกับความรักเพียงใด สุดท้ายยังไงคนที่เขารักก็มีเพียงแค่ซึงฮุน ...

     

    ไม่ใช่แทฮยอน !

     

    "ฉันไม่กิน !"

     

    "พี่ดื้อ" ผู้เด็กกว่าพยายามคะยั้นคะยอฉุดดึงชายตัวโตให้ลุกตาม ปากบางก็พร่ำบ่นด้วยอาการเอาแต่ใจ หากคนอื่นมองคงคิดว่าการกระทำของเด็กตรงหน้าคงน่ารักไม่น้อย แต่สำหรับมินโฮแล้วนั้น เขากลับรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า "ยังไม่ได้ทานอะไรตั้งแต่เช้าเลยนะครับ เดี๋ยวป่วยไปซะก่อนนะ ..."

     

    "ฉันจะเป็นอะไรก็เรื่องของฉันเถอะ !"

     

    "แล้วผมล่ะ ? ไม่คิดว่าผมจะเป็นห่วงพี่หรือไง ?"

     

    "..."

     

    ไม่มีคำพูดใดๆ โต้ตอบกลับ มีเพียงหมอกความเงียบงันโรยอยู่เหนือบุคคลทั้งสอง ต้องขอบคุณการจราจรเบื้องล่างคอยขัดไม่ให้ทุกอย่างนั้นน่าอึดอัดจนเกินไป แม้จะอยู่บนตึกสูงแต่ย่านดังกล่าวมีรถราคอยวิ่งผ่านอยู่ตลอดเวลา

     

    แต่บรรยากาศอันน่าอึดอัดนั้นก็ไม่จีรังหากเสียงรหัสประตูถูกกดอยู่ด้านนอกบวกกับประตูบานเขื่องถูกผลักเปิดเข้ามา อาคันตุกะผู้มาเยือนนั้นเดินเข้ามาพร้อมกับถุงพลาสติกที่ดูยังไงก็เป็นข้าวของจากร้านสะดวกซื้อใต้ตึก หากแต่วินาทีนั้น อากาศร้อนรอบตัวแปรเปลี่ยนเป็นความหนาวเหน็บแทบตัดเข้าถึงขั้วหัวใจ เมื่อตาของมินโฮเสมองผู้มาใหม่คนนั้น

     

    ถุงพลาสติกในมือนั้นหลุดมืออย่างอัตโนมัติ แววตาเล็กสั่นไหวเพราะน้ำใสๆ รื้นขึ้นเคลือบดวงตาเอาไว้ นิ้วมือทั้งห้ารวบเข้าหาฝ่ามือ หน้าขาวเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดด้วยความโมโห ซ้ำยังฉายความไม่เข้าใจเนื่องจากใครอีกคนที่นั่งกุมมือคนรักของเขาตรงระเบียงห้องนั้น

     

    "ซะ ... ซงมินโฮ ..." ชื่อของเขาเคยถูกเรียกขานด้วยความเอ็นดูนั้น วันนี้มันเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นสั่นเครือ น้ำเสียงเคยสดใสเมื่อวันวานหากฟังวันนี้ช่างไร้ชีวิตชีวาเสียเหลือเกินเมื่อก้อนน้ำตานั้นแผลงฤทธิ์ให้เจ้าของกายสูงสะอื้นไห้ "นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ?!"

     


     

    ตัดจบตอนด้วยความสับสนและงุนงงไปค่ะ

     

    แง ... อย่าเพิ่งว่าพี่เรนท์ที่หายไปนานเลยนะคะ พี่เรนท์เพิ่งหายป่วย หลังจากซมอมพิษไข้ไปเกือบสองวัน

     

    หายได้วันเดียวพี่เรนท์ก็ศีลแตกกินชาไข่มุกจนหวัดกลับน้ำมูกไหลกินยาต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน

     

    แถมเจอคอร์สออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงของหญิงแม่อีก ฟิคเรื่องนี้เลยช้าๆ อืดๆ ด้วยประการฉะนี้แล TT

     

    สำหรับพาร์ทของคุณซงนั้น พี่เรนท์ตั้งใจให้อ่านงงๆ ค่ะ จะได้เข้าใจคุณเขาเนอะ

     

    ส่วนมือที่สามนั้นคือนัมแทฮยอนนั้นเองค่ะ มาเฉลยแล้วเนอะหลังจากที่พี่เรนท์วางบอมพ์เอาไว้จากตอนที่แล้ว

     

    ขอบคุณสำหรับการติดตามแม้จะช้าแต่ก็อยากพูดคำว่าขอบคุณทุกๆ คนเสมอค่ะ

     

    รักนะคะ

     

    #DAYNIGHTSTORY

     

    PS. อย่าเพิ่งโทษตัวละครของพี่เรนท์ว่าอ่อนแอหรือโง่งมอะไรเลยนะคะ ทุกๆ ตัวละครมีเหตุผลของทุกการกระทำค่ะ

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×