คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : CHAPTER 4 :: SUNSHINE ::
[#MINHOON
#WINNER] :: DAY & NIGHT ::
CHAPTER 4 :: SUNSHINE ::
สายตาพร่ามัวเริ่มปรับให้มองเห็นถนัดตาขึ้นหลังจากเปลือกตาปิดสนิทเข้าหากันอยู่นานหลายชั่วโมง
หน่วยตาชื้นจากการกระพริบถี่ๆ เรียกให้น้ำใสๆ เคลือบตากลม
เอาไว้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อดวงแก้ว ศีรษะหนักๆ หนุนลงบนหมอนนุ่มๆ
นั้นส่ายส่องไปมาเพื่อมองสภาพแวดล้อมรอบข้าง
แสงดวงตะวันลูกใหญ่สาดแสงอ่อนส่องผ่านม่านสีครีมบางเบาจนประกายให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบข้างปรากฏเป็นสีขาวสะอาดตาไปหมด
ไม่เว้นแม้แต่เสื้อกราวน์ของคุณหมอที่ยืนอยู่ข้างๆ
เตียงนอนสแตนเลสก็ขาวสะอาดราวกับเสื้อใหม่
"อาหมอ ..."
ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาหมอเลื่อนนิ้วขึ้นทาบกับริมฝีปากเป็นสัญญาณให้เงียบก่อนชี้นิ้วเดิมไปอีกทางหนึ่งของมุมห้อง
ซึงฮุนย่นหัวคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยก่อนขยับตัวลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบากเพราะลาดไหล่ที่ยังคงฟกช้ำจากแรงบีบเมื่อวานนี้
พลันสายตาจับภาพได้ก็ต้องนึกแปลกใจว่าเหตุใดถึงมีอีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตนอนหงายตัวยืดตัวยาวซ้ำยังปิดหน้าปิดตาจนมองไม่ออกว่าเจ้าของร่างกายนี้เป็นใคร
"นั้นใครกันหรอครับ ?"
"คนที่มาส่งนายมาโรงพยาบาลเมื่อคืนนี้"
จิตแพทย์วัยสี่สิบต้นๆ เอ่ยตอบเสียงแผ่วเบาเกรงว่าจะทำอีกหนึ่งคนในห้องนี้ที่กำลังหลับลึกให้ตื่นขึ้นเหวี่ยงโวยวายด้วยอาการงัวเงีย
แต่นั้นก็ทำให้ผู้ป่วยถึงกลับต้องเลิกคิ้วสงสัยจนทำให้ดูตลกมากขึ้น
และนั้นก็ทำให้จีวอนถึงกับหลุดขำออกมาเบาๆ "เจ้าตัวยุ่ง
แอบมีแฟนไม่คิดบอกอาหน่อยหรอ ?"
ริมฝีปากบางอ้าเหวอพร้อมๆ
กับหน่วยตาเล็กเบิกโต หัวกลมๆ รีบส่ายรัวเป็นเชิงปฏิเสธ
"ผมไม่มีแฟนนะ !"
"ชู่ว ..."
เมื่อเด็กน้อยในการดูแลและรักษาเริ่มโวยวายขึ้นมาเสียงดังก้องไปทั่วห้องห้องทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์
ผู้เป็นอาหมอจึงต้องรีบปรามด้วยเสียงชู่ๆ
ทำเหมือนกับซึงฮุนนั้นยังเป็นเด็กมัธยมต้นอยู่อย่างไรอย่างนั้น "เสียงดังทำไมล่ะซึงฮุนอา
แหน่ะ ! หรือว่าหลานอาแอบชอบเขากันนะ ?"
"เดี๋ยวนะอา ...
เจ้าบ้านั้นใครผมยังไม่รู้เลย นอนปิดหน้าปิดตาขนาดนั้น ตายหรือยังก็ไม่รู้"
"ฮ่าๆ
อาเชื่อหลานแต่แรกแล้วแหละตัวยุ่ง อีกอย่าง เขายังหายใจอยู่เห็นไหมล่ะ ? ไปแช่งให้เขาตายอีก" มือแสนอบอุ่นของจีวอนขยี้หัวคนไข้ผู้มีศักดิ์เป็นหลานชายคนสนิทจนผมเผ้าฟูฟ่องนั้นยุ่งเยิงขึ้นไปอีก
ซึงฮุนปัดมือของผู้อาวุโสกว่าออกก่อนส่งสายตาเขียวมีนัยแฝงว่ารำคาญออกมา
ผู้เป็นอาจึงหัวเราะออกมาน้อยๆ กับการกระทำชวนให้ขันยามเช้าของซึงฮุน
"แล้วไปทำอะไรยังไงมาถึงได้โดนหิ้วมาที่นี่เนี้ย ?"
"เรื่องมันยาวน่ะอา
แถมยังจำอะไรไม่ค่อยได้ด้วย ..."
"อื้ม ..."
อีกหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เกือบถูกลืมขยับตัวพร้อมๆ กับลืมตาตื่น
ความงัวเงียทำให้เจ้าของกายหนารู้สึกหงุดหงิด
แสงสว่างของช่วงเวลาเช้าตรู่ทำเขาแสบตาจนต้องยกมือหนาขึ้นขยี้ ผ้าผืนเล็กเนื้อหนาปกปิดหน้าตาเริ่มถูกถอดออกก่อนเขาจะเริ่มลุกขึ้นนั่งพลางยกมือหนาจัดผมสีสว่างยุ่งๆ
ให้เข้าทรง แต่นั้นก็ทำให้ซึงฮุนตกใจจนขยับร่างชิดติดหัวเตียงผู้ป่วย
ซ้ำยังยกมือขึ้นชี้หน้า คำพูดต่างๆ นาๆ เริ่มติดขัดจนฟังไม่เป็นศัพท์
"อะไรกัน ? ตอบแทนคนที่ช่วยนายด้วยการชี้หน้าด่าแบบนี้หรอ
?"
"นี่นายตามมากวนฉันถึงที่นี่เลยหรอ ?"
"จุ๊ๆ
อย่าใส่ร้ายฮีโร่ของนายแบบนี้สิ ไม่ใช่เด็กดีเอาซะเลยนะ"
นิ้วชี้ประดับด้วยแหวนเรือนหนายกขึ้นส่ายไปมาพร้อมปากสีเข้มส่งเสียงจุ๊ๆ
ราวกับจะพังประสาทของผู้ป่วย จนซึงฮุนนึกหมั่นไส้และหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยอยากกระโดดลงจากเตียงนอนไปถีบผู้เป็น
'ฮีโร่' นี่สักที
แม้จะอยู่ต่อหน้าอาหมอแต่วินาทีนี้นั้นซึงฮุนขาดสติจนไม่คิดแคร์ใครหรืออะไรทั้งนั้นแล้ว
"เป็นเด็กดีน่ะ ควรรู้จักขอบใจคนที่เสี่ยงตัวเองเพื่อช่วยชีวิตของนายนะรู้ไหม
?"
"ไม่ได้ต้องการให้นายช่วยเลย ... โอ้ย
! อาหมอ ฮุนเจ็บนะ !"
"เจ้าตัวยุ่ง ! ยังจะไปว่าเขาอีก
ขอบใจมินโฮซะสิ !"
"อะไรกัน นี่อาไปรู้จัก
ไปสนิทกับคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกันน่ะ ?"
"แต่เขาก็ช่วยหลานอานะ !"
"อาหมออ่ะ !"
ใบหน้าย้วยของหนุ่มหน้าตี๋บูดบึ้งเมื่อถูกขัดใจจากผู้เปรียบเสมือนคนในครอบครัวแต่กลับเข้าข้างคนที่หลานชายเกลียดเข้ากระดูกดำ
ซึงฮุนจิ๊ปากก่อนกวาดตาเล็กๆ
ติดจะเหวี่ยงใส่ชายหนุ่มกายหนาที่มายืนประชิดเตียงนอนตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
ซ้ำยังทำหน้าราวผู้ชนะสิบทิศ ไม่ว่าจะเป็นยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์อย่างที่ชอบทำ
หรือการยักคิ้วเข้มๆ เล่นหูเล่นตาแพรวพราว "เออ ... ขอบใจ !"
"หืม ? ไม่เต็มใจหรอ
?"
"ฮุนนี่อา ..."
"ขอบใจมากนะครับ คุณมินโฮ"
พยายามกลั้นใจกัดฟันพูดคำขอบคุณล้ำค่ากับบุคคลถูกจัดอันดับให้อยู่ชั้นรองจากมนุษย์ทั่วไปก่อนร่างสูงบางของซึงฮุนจะไถลลงกับเตียงนอนดังเดิม
ผ้าห่มขาวถูกเลื่อนขึ้นคลุมโปงปิดบังทั้งหน้าและกายยาวไม่ให้ใครมาก่อกวนให้รำคาญหัวใจ
ไม่ว่าจะเป็นอาหมอที่ตนเคารพนับถือตั้งแต่วันแรกของการรักษาโรคร้ายทางจิต
หรือหนึ่งสิ่งมีชีวิตซึ่งเพิ่งถูกจัดอันดับตามสปีชี่อย่างไอ้คุณมินโฮอะไรนั้น
"ว่าไงนะ ? ไอ้คนที่มึงบอกว่าน่าแกล้งนั้นเป็น PTSD ? โรคบ้าอะไรวะ ? กูไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย"
[พี่โง่ไง ...]
"ไอ้มินโฮ !"
คนฟังถึงกับมีน้ำโหเมื่อได้ยินคำสบประมาทหลอกด่าของรุ่นน้องคนสนิทผ่านสัญญาณโทรศัพท์
นับวันมินโฮก็ยิ่งเหิมเกริมกับเขาจนบางทีจินอูก็ชักไม่เข้าใจแล้วว่าใครเป็นพี่หรือเป็นน้องกันแน่
ถึงได้เล่นหรือพูดอะไรไม่คิดไปบ้างบางครั้งบางทีก็ทำตัวปีนเกลียวมากเกินไปจนคิดอยากสั่งสอนให้หน้าหงายสักครา
"มึงควรตระหนักใส่กระโหลกเอาไว้นะว่ากูน่ะ ... พี่มึง"
[เออๆ ... ขอโทษครับ]
ปลายสายเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะโพล่งคำพูดชวนให้ตกใจจนต้องเลื่อนโทรศัพท์ออกจากใบหู
มือบางเลื่อนขึ้นแนบอกเพื่อปลอบขวัญตัวเองไม่ให้หัวจิตหัวใจกระเจิงไปมากกว่านี้
[แต่พี่จินอู ไอ้โรคบ้าเนี้ยมันเกือบทำให้ซึงฮุนตายได้เลยนะเว้ย สลบไปเป็นคืนๆ
แถมหมอยังบอกด้วยนะเว้ยว่ากลัวอาการกลัวความมืดของซึงฮุนจะกลับมารุนแรงอีก
ไอ้ที่รักษามานานเกือบสิบปีมันอาจจะไม่ได้ผลเลยก็ได้ ได้ฟังแล้วนี่ยังแอบกลัว
เพิ่งรู้ว่าบนโลกใบนี้มีโรคอะไรแบบนี้ด้วย]
"ซึงฮุน ?" เรียวคิ้วบางภายใต้กลุ่มผมหน้าม้าปรกหน้าผากขาวเนียนนั้นขมวดเข้าหากันก่อนจะค่อยๆ
คลายออกเมื่อถึงบางอ้อ "กูไม่แปลกใจหรอก ...
ทีมึงยังเป็นโรคกลัวความรักอะไรนี่เลย กูว่านะมินโฮ
มึงควรไปพบจิตแพทย์บ้างนะเว้ย"
[ผมแค่กลัวความรักป่ะ
ไม่ได้กลัวความมืดหรือกลัวที่แคบแบบพวกเซเลปเขาเป็นกัน ไม่ต้องหาหมอก็ได้มั้ง ?]
"แต่บางที
หมออาจจะทำให้หัวใจของมึงแข็งแรงขึ้น
อาจทำให้ความกลัวที่มึงพยายามกดเก็บเอาไว้เบาบางลงก็ได้นะ ความรักมันไม่ได้น่ากลัวหรอกนะเว้ย
มินโฮ มึงลองเชื่อกู เอาเงินกองเท่าภูเขาของมึงไปหาหมอ
เอาแบล็คการ์ดวงเงินหลักล้านล้านของมึงไปใช้ให้มีประโยชน์บ้างก็ดีนะ
ดีกว่าเอาไปผลาญเล่นให้หมดไปวันๆ ลงขวดเหล้า พนันหรือแม้แต่ผู้หญิง"
[เออ ...
เดี๋ยวพร้อมเมื่อไรผมจะลองหาหมอเองแหละ]
จินอูใจชื้นขึ้นมาบ้างเมื่อคู่สนทนาของตนยอมเชื่อฟังเขาสักครั้งแม้ไม่รู้ว่าสุดท้ายมินโฮจะยอมไปพบจิตแพทย์ตามที่พูดออกมาหรือไม่
แต่อย่างน้อย น้องชายคนสนิทก็พูดออกมาเองว่าจะลองเผชิญหน้ากับคุณหมอดูสักตั้ง
[ว่าแต่พี่เถอะ เห็นพี่จียงบอกว่าไม่กลับโซลเลย ? ไปทำอะไรที่ปูซานข้ามวันข้ามคืนครับ
? ติดสาวหรือไง ?]
"สาวบ้านมึงสิ !"
[ไม่ใช่สาว ? ... หรือว่าพี่จะมีผัวแล้วจริงๆ
วะ ? กิ้วๆ]
"กิ้วๆ เดี๋ยวกูได้กริ้วมึงจริงๆ
หรอก กูมีเรื่องนิดหน่อยเลยจำเป็นต้องค้างที่นี่โว้ย ไอ้เด็กนี่ !
คิดบุญกับพี่มึงบ้างก็ดีนะครับ"
มือบางเลื่อนขึ้นกุมขมับพลางนวดคลึงเบาๆ
เมื่อได้ยินปลายสายหัวเราะร่วน คงสาแก่ใจไอ้เด็กแสบเข้าแล้วไม่น้อย
จินอูปลายตามองเจ้านายของตัวเองที่สวมใส่สูทตัวเดิมกับเมื่อวานเดินย่องออกมาจากห้องน้ำแล้วต้องรีบตัดบทสนทนา
"เออ ... กูกำลังจะขับรถกลับแล้ว เจอกันเว้ย"
นิ้วเรียวสวยจิ้มรัวๆ
บนปุ่มสีแดงที่หน้าจอโทรศัพท์เครื่องบางก่อนเลิกสนใจด้วยการนำมันกลับเข้ากระเป๋ากางเกงสูทเนื้อดีดูภูมิฐานไม่ต่างกันกับซึงฮยอน
หากทั้งสองคนนั้นไม่ใช่เจ้านายกับลูกน้องกันนั้น
ใครหลายคนคงคิดว่าทั้งสองคนเป็นพี่น้องกันอย่างแน่นอน ด้วยความที่ร่างกายเล็กคล้ายกัน
ดวงหน้าติดไปทางหวานเหมือนกัน รวมถึงความสนิทสนมจนเกินความเป็นเจ้านายกับลูกน้อง
"จินอู
พาฉันไปหาน้องซึงยุนก่อนกลับโซลหน่อยสิ"
"หืม ? ทำไมหรอครับ
?"
"ไปดูอาการน้องเขาหน่อย ไหนๆ
ก็จะไม่ได้เจอกันแล้ว"
"แต่ ..."
"คิมจินอู ..."
"ก็ได้ครับ"
แม้ใจจะไปถึงโซลแล้วแต่ก็ไม่อาจขัดขืนคำสั่งของผู้เป็นนายได้
กายบางของหนุ่มหน้าหวานลุกจากเตียงนอนขาวก่อนฟูกหนาจะดันตัวเองให้ฟูขึ้นหลังจากยุบลงตามน้ำหนักตัวอยู่นาน
กุญแจสารพัดซึ่งถูกคล้องรวมกันในห่วงเหล็กเย็นๆ ถูกกำไว้แน่น
จินอูรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาหน่อยๆ เมื่อถูกขัดใจจากผู้เป็นนาย
เดินกระทืบเท้าไปเปิดประตูห้องพักออกไปโดยไม่รีรอ
ทิ้งให้ผู้อายุมากกว่าถอนหายใจออกมาเพื่อระบายความหนักใจให้กับความเอาแต่ใจของเลขาคนสนิท
ด้วยความที่จินอูทำงานเป็นเลขาเขามาหลายปี
ควบกับการรับจ๊อบเป็นบาร์เทนเดอร์ในผับของรุ่นพี่คนสนิทกันอีก
ทำให้จินอูมีเวลาในการพักผ่อนน้อยลง อาการเอาแต่ใจ
ขี้หงุดหงิดจึงเกิดขึ้นกับชายเจ้าของกรอบหน้าสวยและตากลมโตราวกับผู้หญิง
จนบางครั้ง
อีซึงฮยอนยังนึกแปลกใจว่าทำไมเจ้าคิมจินอูถึงไม่เกิดมาเป็นสตรีเพศให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย
ทั้งหน้าตา นิสัยใจคอ การแสดงออกในบางครั้งที่เผลอไปนั้นมักจะมีจริตความเป็นหญิงออกมาเลยก็มี
บรรยากาศภายในรถยนต์คันเล็กเช้าวันนี้เงียบลงมาก
มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นตามจังหวะการเหยียบคันเร่งขับเคลื่อนให้พาหนะคันจิ๋วเคลื่อนไปข้างหน้า
เครื่องปรับอากาศครางหึ่งๆ เนื่องจากอากาศภายนอกเริ่มร้อนแม้จะอยู่ในช่วงสายตามที่กรมอุตุได้พยากรณ์เอาไว้ว่าวันนี้ในเขตปูซานอุณหภูมิจะสูงขึ้น
จินอูยังคงบังคับพวงมาลัยรถยนต์อันกลมไปตามท้องถนนโดยมีผู้โดยสารนั่งสบายๆ
อยู่เบาะทางด้านหลัง เมื่อเห็นว่ามันเงียบเกินไปหน่อย
ซึงฮยอนจึงเริ่มเปิดประเด็นตั้งบทสนทนาตัดไอหมอกอึมครึมภายในให้สดใสขึ้นบ้าง
"จินอู"
"ว่าไงครับ ?"
"นายไม่คิดอยากมีใครดูแลนายบ้างหรอ ?
อายุนายก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วนะ"
"ไม่อ่า ...
ผมอยู่แบบนี้แหละดีแล้ว"
"ถ้าหาก ..."
"พี่จะถามเรื่องแบบนี้กับผมทำไม ?
มีอะไรหรือเปล่า ?"
คำถามไร้ซึ่งคำตอบเมื่อสุดท้ายแล้วสองมือของผู้เป็นเลขาเริ่มหมุนบังคับพวงมาลัยให้ล้อกลมๆ
แล่นเข้าสู่ถนนแคบๆ หน้าบ้านของเด็กแก้มป่องอยู่ตรงหน้าแล้วเพราะเขาจำได้ดี
แม้เมื่อวานที่มาส่งซึงยุนนั้นยังไม่ค่ำมืดมากนัก
จึงสามารถมองเห็นทิศทางและสมองของจินอูนั้นจดจำได้ดี
เครื่องยนต์ที่เคยส่งเสียงครางหึ่งๆ เงียบสนิทเมื่อจินอูบิดกุญแจดอกเล็กให้หยุดการทำงานลง
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ลูกชายคนเล็กของบ้านเปิดประตูรั้วสีขาวออกมา
ในมือถือขวดนมเปรี้ยวแสนอร่อยส่งเข้าปากผ่านหลอดอันยาว
สีหน้าของเด็กน้อยหน้าตาละม้ายคล้ายลูกหมาชะงักไปเมื่อเห็นผู้มาเยี่ยมเยือนแต่เช้าโดยไม่ได้นัดหมายกำลังเปิดประตูรถคันงามออกมาส่งยิ้มเป็นการทักทายจนซึงยุนต้องรีบโค้งตัวทักทายเป็นมารยาท
"ซึงยุนนี่ ... กำลังไปเรียนหรอครับ ?"
น้ำเสียงสดใสตะโกนถามนั้นไม่ใช่จากเลขาหนุ่มหน้าตาจิ้มลิ้ม
แต่กลับเป็นเจ้านายเสียเอง ซึงฮยอนยกมือขึ้นหยอยๆ เพื่อทักทายกลับ
ซึงยุนเดินเข้ามาใกล้ผู้อายุมากกว่าก่อนเริ่มตอบคำถามด้วยน้ำเสียงระคนสงสัย
"ครับ ... ผมกำลังไปเรียน
...""
สายตาเล็กลอบเหลือบมองเข้าไปในรถยนต์คันเล็กแม้จะมีฟิล์มกรองแสงสีติดดำแต่ก็เห็นว่าอีกหนึ่งคนกำลังหน้ายุ่งราวกับโดนขัดใจ
ดวงหน้าหวานยุ่งจนแทบเบะร้องไห้ แต่ภาพนั้นกลับทำให้ใจของซึงยุนพองโตไม่น้อย
พองโตหรอ ? เป็นบ้าอะไรของนายนะ
คังซึงยุน ...
เจ้าลูกหมาสะบัดศีรษะทุยๆ
ขับไล่ความคิดชวนให้ใจไขว้เขวออกไปก่อนสบตาชายหนุ่มอีกคนซึ่งยืนยิ้มแป้นแล้นตรงหน้า
"อาการเจ็บปวดที่ลูกน้องฉันทำไว้ยังไม่หายดีแน่นอนเลยใช่ไหม
? งั้นวันนี้ให้พวกพี่ไปส่งนะ"
"ไม่เป็นไรครับ
เดี๋ยวผมนั่งรถเมล์ไปก็ได้ ส่งตรงถึงหน้ามหาวิทยาลัยเลยครับ"
"ได้ยังไงล่ะ ? เดี๋ยวพี่ก็ต้องกลับโซลแล้ว ให้ไปส่งเถอะนะ"
"เอ่อ ..."
"อย่าขัดใจเจ้านายพี่น่า ...
ขึ้นรถเถอะ"
เครื่องยนต์ถูกสตาร์ทจนส่งเสียงดังอีกครั้งก่อนกระจกจะถูกลดลง
เจ้าของกายเล็กคงรำคาญบทสนทนาของสองบุคคลภายนอกไม่น้อยถึงได้องค์ลงแล้วบังคับให้เจ้าเด็กหน้าใสรีบขึ้นรถได้แล้ว
ซึงยุนและซึงฮยอนทำได้แค่มองหน้ากันเลิกลั่ก
ผู้ใหญ่สวมชุดสูทผ้าเนื้อดีรีบพยักหน้าให้คู่สนทนารีบขึ้นรถก่อนเลขาของเขาจะลงมาลากยัดใส่รถเอง
ก็จินอูเวลาโกรธน่ะน่ากลัวยิ่งกว่าผีไร้ญาติเสียอีก
ผู้อายุน้อยที่สุดรีบพยักหน้าตอบรับก่อนเดินอ้อมไปทางด้านหน้าของรถยนต์คันงามเพื่อเปิดประตูฝั่งข้างคนขับ
กายสูงขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้ตัวเองนั่งได้อย่างสะดวกแม้จะรู้สึกเกร็งๆ ไปบ้าง
ขยับเอาเป้และขวดนมเปรี้ยวมาวางบนหน้าตัก
เจ้าลูกหมาตัวโตหันไปส่งยิ้มให้ชายหน้าบูดพร้อมก้มหัวน้อยๆ
เป็นการทักทายอย่างเป็นทางการ
แต่สารถีหนุ่มกลับตีหน้าเรียบพลางเข้าเกียร์พร้อมให้ยานพาหนะโลดแล่นไปตามท้องถนนสีเทาเข้มของปูซาน
ในรถถูกโรยตัวด้วยความเงียบจนน่าอึดอัด
แม้จะมีผู้โดยสารภายในร่วมสามชีวิต
แต่กลับมีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศครางหึ่งๆ เท่านั้น
จินอูทำสีหน้าเคร่งเครียดมุ่งมองออกไปบนถนนอย่างตั้งใจจนคนนั่งข้างๆ
นึกแปลกใจว่าทำไมต้องจริงจังอะไรขนาดนั้น
สุดท้ายผู้เป็นใหญ่ที่สุดทางด้านหลังก็กระแอมไอออกมาตัดบรรยากาศวังเวง
"ซึงยุน นายเรียนปีไหนแล้วหรอ ?"
"เออ ... ปีสี่ครับ
ปีสุดท้ายแล้ว"
"เยี่ยมเลย
คิดจะไปทำงานที่โซลบ้างไหม ? ไปทำกับพี่ไหมถ้าเรียนจบแล้วน่ะ"
"เอ๊ะ !?"
"พี่ซึงฮยอน !"
ความสงสัยโลดแล่นจนซึงยุนและจินอูอุทานเสียงดังลั่นออกมาพร้อมๆ
กัน
เจ้าลูกหมาเอี้ยวตัวหันไปสบตาผู้มีอายุทางด้านหลังต่างกับจินอูที่เสมองผ่านบานกระจกเล็กเหนือศีรษะเท่านั้น
ส่วนตัวผู้ให้คำเสนอนั้นยังคงนั่งยิ้มกริ่ม
"เออ ...
ผมขอคิดดูก่อนแล้วกันนะครับ"
"กว่าจะถึงวันที่ซึงยุนเรียนจบ
โรงแรมสาขาปูซานของเราก็คงเสร็จพอดี ถ้าพี่อยากให้ซึงยุนทำงานกับพี่จริงๆ
ให้น้องทำที่สาขาปูซานก็ได้นี่นา"
"เอ๊ะ ... สาขาปูซานงั้นหรอครับ ?
ถ้างั้นที่พวกพี่ๆ มากันนี่เป็นเพราะงานหรอครับ ? ผมรู้สึกผิดเลยที่เป็นตัวยุ่งจนทำให้พี่ๆ ไม่ได้ทำงานกัน"
แขนยาวกระชับกอดกระเป๋าเป้ให้แน่นขึ้นพลางนั่งห่อตัวให้ตัวเองดูเล็กลงอีก
คังซึงยุนควรระมัดระวังตัวเองให้ดีกว่านี้ จะได้ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน
แต่เขาไม่รู้เลยว่าการกระทำแบบเด็กขาดความมั่นใจนั้นกลับทำให้ผู้เป็นเจ้านายลอบอมยิ้ม
"ไม่เป็นไรหรอก
พวกพี่ทำงานเสร็จกันแล้วน่ะ"
ไม่ใช่ซึงฮยอนพูดปลอบ แต่กลับเป็นจินอู
เลขาหนุ่มหน้าสวยโพล่งขึ้นแม้ไม่หันมาสบตา
แต่นั้นกลับเรียกความมั่นใจให้ผู้โดยสารข้างๆ ขึ้นมาไม่น้อย แม้จะไม่ใช่น้ำเสียงอ่อนโยนสักเท่าไรนัก
แต่ซึงยุนสัมผัสได้ถึงความจริงใจ
"ครับ ..."
ไม่นานนักรถยนต์คันงามก็จอดเข้าเทียบกับฟุตบาทด้านหน้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของปูซาน
ซึงยุนปลดเข็มขัดนิรภัยออกก่อนกระโดดลงจากตัวรถ
"ขอบคุณมากนะครับที่มาส่ง"
"ซึงยุน พี่ขอเบอร์โทรติดต่อเราเอาไว้หน่อยได้ไหม
?"
"!?"
ริมฝีปากสีเข้มเนื่องจากเจ้าตัวติดการสูบบุหรี่อย่างจัดนั้นอ้าหาวจนกว้าง
ตั้งแต่เช้าจนถึงเวลาร่วมบ่ายเขาไม่ทันได้หลับตานอนเนื่องจากเจ้าคนตัวโย่งกำลังนอนหลับอยู่บนเตียงผู้ป่วย
กายติดจะหนาของมินโฮยังคงนั่งไขว่ห้างกับโซฟาขนาดเล็กภายในห้องพักพิเศษสีขาวของโรงพยาบาลเนื่องจากผู้ป่วยคนนี้ต้องได้รับการเยียวยาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
เสียงลมหายใจระบายเข้าออกสม่ำเสมอของซึงฮุนบ่งบอกว่าคนป่วยนั้นหลับลึกมากเพียงใด
มินโฮจึงไม่อยากรบกวนเวลาพักผ่อน แม้ว่าเวลานี้เขาควรจะต้องนอนสบายๆ บนเตียงกว้างภายในคอนโดหรูของเขา
คิดแล้วก็หงุดหงิดตัวเอง
ทำไมต้องอยู่เฝ้าเจ้า 'ของเล่น' นี่ด้วย
ทำตัวเหมือนหมาหวงก้าง หรือเด็กเล็กๆ
ที่งอแงไม่ยอมปล่อยของเล่นออกจากมือเมื่อคุณพ่อคุณแม่ไล่ให้เก็บของเล่นลงกล่อง
ซงมินโฮเป็นโรคกลัวความรักหลังจากเลิกลากับคนรักเก่า
เขาไม่เคยชายตามองผู้หญิงคนไหน ไม่เคยสานสัมพันธ์ใหม่ๆ กับผู้คนอื่นๆ
แม้จะอยู่ท่ามกลางผู้คนนับร้อยนับพันตามย่านฮงแดสถานที่ทำงานของเขา
หรือแม้แต่ในคลับที่เขาถือหุ้นเกือบครึ่ง
เขาก็ไม่เคยคิดจะเอื้อมมือคว้าใครหน้าไหนมาครอบครองจริงๆ จังๆ เสียที
ทำตัวเป็นเพลย์บอย เข้ามาแล้วจบไป ซื้อกินแบบเสือไปวันๆ ในยามหิวกระหายเท่านั้น
แต่กับชายหนุ่มตรงหน้า
มินโฮกลับไม่รู้สึกอย่างนั้น
มันมีหลายอย่างคอยดึงให้มินโฮเข้าหาซึงฮุน
โดยไม่รู้เลยว่าสิ่งๆ นั้นเรียกว่าอะไร เพียงเวลาสั้นๆ
ภายในหนึ่งวันนั้นกลับทำให้เขาอยากค้นหาชายหนุ่มผิวขาวหน้าตี๋คนนี้มากเหลือเกิน
มินโฮเข้าหาคนยาก แต่ซึงฮุนน่าเข้าไปค้นหา
น่าเข้าไปสัมผัส น่าทำความรู้จัก
ใช่แล้ว ... ซึงฮุนคล้ายดวงตะวันยามเช้า
เป็นเหมือนวิตามินจากธรรมชาติที่คอยให้พลังงานต้อนรับวันใหม่ เป็นอะไรใดๆ
ซึ่งชีวิตคนกลางคืนอย่างเขาขาดหายไป
อาจจะใช่ ...
ที่คนกลางคืนอย่างเขาขาดความอบอุ่น
โชคชะตาถึงได้เล่นตลกชักนำให้เขาได้พบเจอกับคนกลางวันอย่างซึงฮุน
มันคงจะดีไม่น้อยถ้าเขาและซึงฮุนได้ลองทำความรู้จักกัน ได้ลองแลกเปลี่ยนอะไรต่างๆ
ซึ่งกันและกัน
แต่ก็ทำได้แค่คิด
ก็เขาน่ะเล่นหยาบคายใส่ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
แบบนี้มนุษย์หน้าไหนจะอยากทำความรู้จักเขากันล่ะ
เจ้าของกายสีเข้มสวมใส่เสื้อผ้าประหลาดทั้งโคร่งทั้งดูรุ่มร่ามไปด้วยผ้าผ่อนมากมายขยับกายลุกขึ้น
ท่อนขายาวขยับก้าวสั้นๆ ตรงไปยังเตียงนอนสแตนเลส มือหนาเลื่อนเก้าอี้ไม้หนักๆ
ข้างๆ เตียงให้เกิดเสียงเบาที่สุดก่อนทิ้งตัวลงนั่ง
ข้อศอกทั้งสองข้างกดน้ำหนักลงกับฟูกที่นอนเบาๆ
แต่นั้นกลับทำให้คนกำลังหลับปุ๋ยขยับพลิกตัวหันหน้ามาทางมินโฮ
ใบหน้าขาวใสจากการดูแลเป็นอย่างดีนั้นแทบทำให้มินโฮรู้สึกอยากจะเป็นบ้าเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เปลือกตาบางและแพขนตาแม้ไม่ได้งอนงามราวกับผู้หญิงแต่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของมินโฮที่ได้เห็นซึงฮุนมุมนี้
แก้มยุ้ยฟูบดเบียดกับหมอนใบโตนั้นผลัดให้ซึงฮุนดูน่าเอ็นดูและน่าทะนุถนอมเหมือนเด็กๆ
บวกกับริมฝีปากบางสีอ่อนยิ่งทำให้ผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์มากขึ้น
ชายหน้าตี๋ที่เขาล่วงรู้ความลับเกือบทุกอย่างจากจิตแพทย์ประจำตัวนั้นทำให้มินโฮคิดอยากเปลี่ยนความคิด
จากที่เคยคิดอยากกลั่นแกล้งสนุกๆ แทบมลายหายไป
กลับกลายเป็นสงสารและเห็นอกเห็นใจเสียมากกว่า
ไม่ทันตั้งตัว
มือของเขาก็เอื้อมออกไปเกลี่ยนิ้วหัวแม่มือลงแก้มเนียนนั้นแผ่วเบา
แต่นั้นกลับเป็นการสะกิดปลุกให้ผู้ป่วยค่อยๆ ปัดมือออกอย่างนึกรำคาญ
เปลือกตาขาวค่อยๆ เปิดออก
แต่ก็ต้องเบิกกว้างพลางขยับตัวหนีจนสุดเตียงเมื่อเห็นว่าเป็นมนุษย์ที่เพิ่งถูกขึ้นบัญชีดำว่าเป็นบุคคลอันตรายอันดับหนึ่ง
"นะ ... นายจะทำอะไรฉันน่ะ !?
ออกไปนะ ก่อนที่ฉันจะเรียกพยาบาลให้มาลากตัวนายออกไป"
"มิสเตอร์อี เราจะคุยกันดีๆ
สักครั้งไม่ได้เชียวหรอ ?"
"กับคนอย่างนายน่ะหรอ ? ฝันไปเถอะ !"
มินโฮพยายามใจเย็นให้มากขึ้น
ใบหน้าหล่อคมพยายามแสดงออกถึงความจริงใจเพื่อซื้อใจของหนุ่มหน้าตี๋
"ฉันต้องทำยังไงนายถึงจะยอมคุยกับฉันดีๆ
หืม ?"
"คนหยาบคายอย่างนายน่ะหรอจะคุยดีๆ
กับฉันได้ ? คงมีวันนั้นหรอก"
"อีซึงฮุน ..."
"ออกไป แล้วอย่าให้ฉันเห็นหน้านายอีก
ฉันจะไม่มีวันญาติดีกับนาย ซงมินโฮ"
ท่าทาง การแสดงออก น้ำเสียง
ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งบอกว่าซึงฮุนนั้นเกลียดมินโฮเข้ากระดูกดำไปเสียแล้วจริงๆ
หน่วยตาเล็กคู่นั้นสั่นไหวแต่มีประกายของความเกลียดชังไม่น้อย
เป็นเพราะอาการทางจิตของซึงฮุนแน่ๆ
ที่เปลี่ยนความคิดของชายกายหนา
ถ้ามินโฮรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าซึงฮุนไม่ได้ปกติอย่างคนอื่นๆ
เขาคงไม่ทำตัวหยาบช้าเลวทรามเพียงเพราะเห็นซึงฮุนเป็นของเล่นสนุกๆ
หรือมันกำลังจะเป็นอย่างที่พี่จินอูว่า ?
อาจจะใช่ที่เขาทำตัวเป็นศูนย์กลางของจักรวาลจนเผลอดึงเอาโรคกลัวความรักที่เขากำลังเป็นอยู่ทำให้โรค
PTSD
ของอีกคนยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น
ซึงฮุนซึ่งกลัวความมืดตามคำบอกเล่าของคุณหมออึนจีวอนจะมองเห็นเขาเป็นสิ่งมืดบอดในชีวิตไปอีกหรือไม่
?
มินโฮหยัดกายลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนยกมือดึงฮู้ตอันโตจากเสื้อตัวใหญ่ที่คลุมกายทางด้านหลังขึ้นสวมปรกเส้นผมสีเหลืองสว่าง
ปากหนาผ่อนระบายลมหายใจออกมาเพื่อคลายความอึดอัด
ก่อนหลุบตามองชายกายยาวนั่งขดตัวกอดหมอนใบโตเอาไว้ตั้งท่าพร้อมฟาดได้ทุกเมื่อหากเขาขยับเข้าไปใกล้คนป่วยที่ภายนอกดูแข็งแรงดีแม้เพียงหนึ่งเซนติเมตร
"ขอโทษนะ
ฉันทำตามความต้องการของนายไม่ได้จริงๆ"
มินโฮสอดมือทั้งสองข้างล่วงกระเป๋ากางเกงยีนส์ของตน
ตาคมยังคงมุ่งสบมองเข้าไปในคู่ตาเล็กที่ยังคงวูบไหว
"ฉันจะรอให้นายใจเย็นลงกว่านี้ก่อน แล้วฉันจะกลับมานะ พ่อดวงตะวัน ..."
พ่อดวงตะวันคะ
คุณซงมินโฮเขาตั้งฉายาอันอบอุ่นให้แล้วก็รีบๆ ใจอ่อนยอมคุยดีๆ กับเขาเถอะค่ะ
ลูกเรืออย่างเราๆ
ลุ้นจนตอนที่ 4
แล้วแต่ความสัมพันธ์ยังย่ำอยู่กับที่แบบนี้
คงต้องวิ่งไปหาหางเสือเรือมาติดตั้งแล้วค่ะ 555555 (บ่งบอกว่าไซเรนท์ขี้ชิปแรง)
ส่วนใครกันนะที่ขอเบอร์โทรเด็กแก้มป่อง
ตอนหน้ามาลุ้นกันค่ะ
ปล.
ตอนนี้เนื้อเรื่องอาจจะอ่านแล้วงงๆ หน่อยนะคะ
เพราะไซเรนท์แต่งตอนนี้ช่วงน้าของไซเรนท์เสียพอดี ทำให้ต้องหยุดไป
พอกลับมาแต่งใหม่เลยเป็นงงๆ ไม่ค่อยปะติปะต่อสักเท่าไร ต้องขอโทษและขอขอบคุณทุกๆ
คนนะคะที่ยังรอคอยฟิคเรื่องนี้อัปเดตอยู่เสมอ ^^
กำลังใจสำคัญที่สุดค่ะ
#DAYNIGHTSTORY
ความคิดเห็น