ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

    ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 3 :: AFRAID OF THE DARK ::

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 62


    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

     

    CHAPTER 3 :: AFRAID OF THE DARK ::

     

    เพราะการต่อล้อต่อเถียงกับคนแปลกหน้าท่าทางยียวนชักชวนให้ประสาทกินสมองคะยั้นคะยอแกมบังคับขู่เข็ญให้ซึงฮุนบอกที่อยู่อย่างหน้าด้านๆ จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวซึงฮุนจึงบอกไปเพียงแค่ชื่ออาคารคอนโดเพื่อตัดความรำคาญ จนทำให้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบบ่ายสอง ซึ่งแน่นอนว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลาของการเข้าทำงานภาคบ่ายของหนุ่มสาวออฟฟิศ จึงส่งผลให้ทั้งจีซูและซึงฮุนโดนทำโทษไปตามระเบียบ โดยจีซูต้องออกไปพบลูกค้ารายใหญ่ทั้งๆ ที่ไม่ใช่หน้าที่พร้อมกับหัวหน้าแผนกและผู้บริหาร ส่วนซึงฮุนต้องจัดการเอกสารทั้งหมดให้เสร็จภายในวันนี้พร้อมทั้งนำเข้าไปวางไว้บนโต๊ะในห้องประธานทั้งหมดเพื่อให้พร้อมกับการเซ็นรับรองก่อนการประชุมภาคบ่ายของวันพรุ่งนี้โดยไม่ฟังเหตุผลเรื่องโรคร้ายฝังติดตัวของชายร่างสูงแม้แต่น้อย

     

    แม้แสงไฟของออฟฟิศจะเป็นระบบออโตเมติกไม่ว่าใครเดินผ่านก็จะสว่างโดยอัตโนมัติ แต่สำหรับซึงฮุนแล้ว เขาเลือกจะเปิดไฟทุกดวงเอาไว้ให้สว่างจนแสบตาเทียบเท่ากลางวันมากที่สุด รวมถึงพยายามเลี่ยงการมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกใสในเวลานี้ทาสีดำไปทั่วทั้งกรอบฟ้า แม้จะแต่งแต้มประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสีจากตัวตึกอาคารสูงเย้ยฟ้าเบื้องบน

     

    ยามใดก็ตามที่เจ้าของกายสูงเผลอเหลือบมองออกไปนอกตึก หัวใจของเขาจะแกว่งจนอยากพาร่างบางๆ ของตัวเองมุดลงใต้โต๊ะสำนักงานหรือไม่ก็กล่องกระดาษสำหรับใส่เอกสารเหลือทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด

     

    แต่หากงานที่คั่งค้างอยู่มักจะดึงพาสติให้กลับมาเสมอ

     

    เข็มนาฬิกายังคงเดินไปอย่างต่อเนื่อง เหงื่อกาฬไหลย้อยอาจเพราะอากาศร้อนขึ้นทุกทีตามช่วงเวลา ยิ่งมืด ความกลัวก็ยิ่งกัดกินพื้นที่หัวใจของชายตัวสูง มือไม้เริ่มสั่นเทาจนพิมพ์เอกสารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ผิดๆ ถูกๆ จนต้องจดจ้องแก้ไขอยู่หลายครั้ง

     

    อยากวิดีโอคอลหาซึงยุนให้อยู่เป็นเพื่อนจนแทบขาดใจ แต่ติดที่ตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเคยคิดว่าจะเป็นหนทางสุดท้ายในการสื่อสารหาตัวช่วยขจัดความกลัวนั้นก็แตกร้าวจนแทบไม่สามารถใช้งานหนักได้

     

    สุดท้าย ซึงฮุนก็ต้องฝ่าฟันความกลัวนั้นเพียงลำพังก่อนสองแขนยาวจะยกขึ้นคลายความเมื่อยล้าเมื่อเอกสารแผ่นสุดท้ายถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องปริ้นเตอร์ เขารีบจัดการนำแผ่นกระดาษขาวเปื้อนรอยน้ำหมึกสอดเข้าแฟ้มปกหนาราวๆ ห้าแฟ้มแล้วจัดการรวบกองเอกสารทั้งหมดเข้าไปวางไว้ในห้องประธานบริษัท

     

    ซึ่งเขาเปิดไฟไว้ทุกดวงไม่เว้นแม้แต่โคมไฟบนโต๊ะและจัดการเลื่อนผ้าม่านสีเข้มให้ปิดบังบรรยากาศน่ากลัวภายนอกเอาไว้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดสนิท

     

    แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้ เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี ?

     

    คนทั้งออฟฟิศต่างกลับบ้านพักผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากันหมดแล้ว หากไม่นับพี่ยามใต้ตึก คงจะมีซึงฮุนเท่านั้นที่นับว่าเป็นมนุษย์ในสำนักงานแห่งนี้

    เวลาราวๆ สามทุ่มแล้วที่ซึงฮุนพยายามจะก้าวขาออกจากออฟฟิศ สองขาสั่นผับแสดงความกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้แสงไฟข้างทางจะสว่าง แต่นั้นกลับสลัวสำหรับเขา เขาไม่เคยออกนอกเคหะเลยหลังจากหนึ่งทุ่ม นี่จึงเป็นอะไรที่ท้าทายเขาเป็นอย่างมาก

     

    นิ้วหัวแม่มือพยายามไล้เพื่อเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือ แม้หน้าจอจะแตกจนไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ แต่ถ้าเขาไม่ได้ไฟฉายจากเครื่องมือสื่อสารคอยช่วยไว้ล่ะก็ คืนนี้เขาคงไม่ต้องกลับบ้านกันพอดี

     

    "พี่ยามครับ เดี๋ยวช่วยขึ้นไปปิดไฟในออฟฟิศให้ด้วยนะครับ"

     

    "อ่า ... โอเคครับ ว่าแต่วันนี้คุณซึงฮุนกลับบ้านดึกนะครับ ทั้งๆ ที่ปกติผมจะเห็นคุณกลับบ้านก่อนหกโมงเย็นแท้ๆ"

     

    "พอดีผมต้องเคลียร์เอกสารให้เสร็จก่อนการประชุมพรุ่งนี้น่ะครับ ... ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"

     

    ศีรษะกลมถูกโค้งต่ำเป็นเชิงลา ซึงฮุนส่งยิ้มให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ดูๆ แล้วอายุมากกว่าราวๆ สองถึงสามปีทั้งๆ ในหัวนั้นรู้สึกตื่นกลัวกับบรรยากาศรอบตัวไม่น้อย สายตาโฟกัสทุกสิ่งมืดมนไปหมดแม้จะมีไฟฟ้าส่องสว่างก็ตาม ความกดดันปะทุขึ้นสู่สมองหลอกหลอนถึงสิ่งน่ากลัว ภาพในอดีตโลดแล่นเข้าสู่ความทรงจำยากเกินกว่าจะลบเลือนแม้พยายามมากแค่ไหน มือขาวรีบเปิดกระเป๋าคว้าเอากระบอกไฟฉายขึ้นมาเปิดให้แสงสว่างนำทาง ส่วนโทรศัพท์มือถือเจ๊งไปแล้วนั้นกลับถูกปิดไฟฉายลงเนื่องจากความสว่างที่สู้ไฟฉายจากกระบอกกลมๆ ไม่ได้ พลางพยายามเพ่งมองหน้าจอเผื่อว่าน้องชายคนดีจะตอบข้อความกลับมา

     

    แม้จะลายตาไปบ้างเพราะหน้าจอระบบสัมผัสนั้นมีรอยแตกร้าว แต่เมื่อไม่เห็นการแจ้งเตือนใดๆ ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

     

    ซึงยุนไม่ได้ตอบข้อความใดๆ กลับมา

     

    ความเป็นห่วงแล่นพล่านไปทั่วทั้งหัวใจ แต่หากจะให้โทรกลับไป โทรศัพท์เครื่องบางก็ไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย

     

    ช่างเถอะ ... เดี๋ยวกลับไปใช้โทรศัพท์ที่คอนโดเอาก็ได้

     

    แต่เวลานี้เขาไม่สามารถจัดการกับความกลัวของตัวเองได้เลย แม้จะมีแสงสว่างทั้งจากหลอดไฟข้างทาง ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้จากไฟฉายในมือ ย่านที่เขาพักอาศัยอยู่นั้นไม่ใช่ใจกลางโซลเสียทีเดียว เวลาราวๆ สามทุ่มกว่าๆ เช่นนี้ไม่ค่อยมีผู้คนพลุ่งพล่านเดินตามถนนให้เห็นจนหนาตา ซึงฮุนจึงไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย

     

    แม้จะผ่านช่วงฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเหน็บเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนมาแล้ว แต่เวลาค่ำมืดเช่นนี้ กลับมีลมและไอเย็นจากอุณหภูมิลดต่ำลงอีกราวๆ สองถึงสามองศา ลมเอื่อยๆ พัดผ่านมือและต้นคอของเขานั้นยิ่งเร่งความหวาดกลัวพลอยให้ใจแกว่งไปอีกไม่น้อย

     

    แต่สายลมกลับเร่งให้รูขุมขนขยายกว้าง เหงื่อร้อนๆ ยังคงซึมออกจนชื้นไปทั้งผิวหนัง

     

    "อะไรกัน ไฟก็ออกจะสว่างเบอร์นี้ น้องชายต้องใช้ไฟฉายอีกหรอเนี้ย ตลกจริงหว่ะ"

     

    ไฟขาวนวลจากกระบอกไฟฉายในมือรีบหันเหเปลี่ยนทิศทางไปตามต้นเสียงก่อนที่หน่วยตาเล็กจะเบิกโพลง ชายนิรนามร่างสูงใหญ่กว่าเขามากสามคนท่าทางน่ากลัวเดินสูบบุหรี่ราคาถูกๆ ตรงมาหาซึงฮุนท่าทางเอาเรื่อง กลิ่นเหล้าเบียร์รวมถึงบุหรี่ต่ำๆ นั้นเหม็นคลุ้งจนลูกสิงโตที่เพิ่งหัดออกจากรังในเวลากลางคืนนั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวจนถดถอยหนี กายบางขยับสองขายาวถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงตึกโสโครก จากตอนแรกแค่กลัวความมืด บัดนี้เจ้าสิงโตน้อยกลัวชายแปลกหน้าทั้งสามอีกด้วย

     

    "ถะ ถอยไป ... ฉะ ฉันจะกลับบ้าน"

     

    "อะไรกัน ... จะรีบกลับไปไหน ? ไปหากินเหล้ากับพวกพี่ก่อนดีกว่า"

     

    หนึ่งในนั้นตรงเข้ามาประชิดร่างของซึงฮุนก่อนวาดวงแขนโอบไหล่ของคนตัวบางเอาไว้ แม้ซึงฮุนจะดูตัวสูงในสายตาของคนทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับพวกกุ๊ยเหล่านี้แล้ว ยังไงซึงฮุนก็ดูตัวเล็กกว่ามากโข ทั้งตัวเตี้ยกว่า บางกว่า และดูอ่อนแอกว่ามากเมื่อเข้าสู่ช่วงฟ้าหม่น

               

    ใช่แล้ว ... ความกลัวคอยกระตุ้นให้เขาอ่อนแอลงมาก

     

    "ปะ ปล่อย !"

     

    เจ้าของกายบางพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากการจับกุมจากชายชั้นต่ำ แต่ยิ่งดิ้นมากเท่าไรมือสกปรกเปื้อนกลิ่นสารเสพติดเหม็นคลุ้งนั้นก็ยิ่งออกแรงบีบไหล่บางจนเจ็บปวดรวดร้าวราวกระดูกภายในจะหักรอนๆ

     

    ภาพความกลัวในอดีตที่พ่อแม่เป็นผู้ก่อเอาไว้ยังไม่น่ากลัวเท่านี้ แต่ชายสามคนนี้คิดจะรังแกกันจนถึงชีวิตหรือแค่สนุกสนานอันนี้ซึงฮุนก็ไม่แน่ใจ คู่ตาเล็กหลับลงปี๋ด้วยความกังวลและความกลัวจนสุดลิมิต เกิดริ้วรอยแห่งความกลัวและความเจ็บปวดทั่วทั้งใบหน้า กระบอกไฟฉายก็หล่นหลุดมือไปแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้เวลานี้มีเพียงกระเป๋าสะพายแนบข้างตัวเท่านั้นที่พอเป็นอาวุธได้ แต่ก็นะ ... แค่กระเป๋าผ้าธรรมดาๆ จะไปต่อกรอะไรกับพวกนรกส่งมาเกิดได้

     

    สุดท้ายการกระเสือกกระสนเอาตัวรอดก็จบลงเมื่อความกลัวคืนคลานเข้าทลายกำแพงที่เรียกว่าขีดจำกัดราวกับการกระโดดน้ำ ยิ่งกระโดดสูงมากเท่าไร ก็ยิ่งตกกระทบกับผิวน้ำรุนแรงและจมดิ่งสู่ก้นสระลึกมากขึ้นเท่านั้น ...

     

    "เห้ย ! พวกมึงทำอะไรกันน่ะ !"

     

    นั้นคือเสียงสุดท้ายที่โสตประสาทเขารับรู้ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป น้ำเสียงทุ้มต่ำ คำพูดหยาบคาย รวมถึงสำเนียงคุ้นหูนั้นสะกิดหัวใจของซึงฮุน แต่เพราะสมองเขากำลังจะดับทำให้ไม่สามารถมองเห็นใครอีกคนที่เข้ามามีบทบาทในละครฉากนี้ อีกทั้งทุกอย่างรอบข้างนั้นมืดมนเหลือเกิน กายบางจึงเลือกตัดสินใจ Shut down ตัวเองเพื่อหลีกหนีสถานการณ์ย่ำแย่ส่งผลให้โรคร้ายทางจิตกำเริบดำดิ่งเข้าสู่การพักผ่อนโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป

     


     

    กลุ่มควันสีเทาหม่นถูกพ่นออกจากริมฝีปากหยักก่อนลอยหายไปกับชั้นออกซิเจน นิ้วชี้และนิ้วกลางประดับด้วยแหวนโลหะรูปทรงแปลกตานั้นยังคงหนีบมวนบุหรี่เอาไว้ ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นช้อนกลุ่มเส้นผมสีเหลืองสดจนยุ่งเยิงเนื่องจากหงุดหงิดเต็มที นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เขายืนรอชายร่างสูงท่าทางสุภาพ บอบบางและนุ่มนิ่มตั้งแต่ฟ้าทอแสงสีทองเนื่องจากแสงสุริยาคล้อยต่ำใกล้ตกดินจนป่านนี้ความมืดครอบงำปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองนับๆ ดูแล้วก็ราวสามถึงสี่ชั่วโมงได้ แผ่นหลังของเขาพิงกับกำแพงสีขาวตัดกับชุดของเขาซึ่งเป็นสีดำสนิทซ้ำยังพะรุงพะรังไปด้วยเครื่องประดับและผ้าผ่อนซึ่งเกิดจากความตั้งใจในกระบวนการตัดเย็บ

     

    เขาพลิกนาฬิกาบนข้อมือเพื่อจดจ้องเข็มเล็กๆ สามเข็มกำลังวิ่งแข่งกันบนหน้าปัดตัวเรือนสีทองก่อนจะจิ๊ปากอย่างขัดใจ เขารู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่ต้องมายืนรอใครบางคนทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาไม่เคยรอใคร เจ้าของกายหนาหัวเราะหึในลำคอพลางยกมุมปากขึ้นอย่างนึกสมเพชตัวเองให้กับการรอคอยไร้ซึ่งความหมายนี้

     

    สุดท้าย ลูกไฟดวงเล็กที่กำลังเผาไหม้มวนกระดาษห่อหุ้มสารพิษก็ถูกดับโดยกระบะทราย ก่อนสองขายาวจะเริ่มออกเดิน เขาจอดรถยนต์คันเล็กสไตล์วินเททราคาแพงไว้หน้าปากซอยเพราะเบื่อกับการขับรถเข้าตรอกแคบๆ ในใจเอาแต่ก่นด่าว่าทำไมอีซึงฮุนถึงได้อยู่คอนโดไร้ระดับและทางเข้าพิศวงราวกับตรอกไดแอกอนในภาพยนตร์พ่อมดแม่มดยอดนิยม

     

    "ปะ ปล่อย !"

     

    เสียงติดจะแหลมแต่กลับกดให้ต่ำซ้ำยังแฝงไปด้วยความหวาดกลัวจนสั่นเคลือแสนคุ้นหูนั้นเรียกให้มินโฮมุ่งหน้าไปตามเสียงด้วยความรู้สึกสะกิดใจว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดี เขารีบตรงไปพบเพียงชายร่างยักษ์สามคนกำลังรุมล้อมชายหนุ่มกายบอบบางเพียงคนเดียวที่บัดนี้สติได้ขาดผึ่งไปแล้ว

     

    "เห้ย ! พวกมึงทำอะไรกันน่ะ !"

     

    ไม่เสียแรงเปล่าเมื่อเขาตะโกนดึงความสนใจพวกนักเลงชั้นต่ำเหล่านั้นให้หันมา ทิ้งร่างของอีกคนลงนอนกับพื้นซีเมนต์สีเทาหม่น มินโฮเบิกตาเมื่อเห็นว่าคนที่สลบสไลนั้นคือซึงฮุน ความรู้สึกเดือดดานรวมถึงความโมโหโทโสก็ถูกจุดปะทุจนเลือดในกายร้อนผ่าว ปล่อยความโกรธเป็นที่ตั้ง จนสุดท้ายเขาก็ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความคิดทุกอย่าง

     

    เขาลืมคิดไปว่าเพราะอะไรถึงโมโหไอ้พวกเดนนรกนี่ที่จ้องทำร้ายซึงฮุน ในเมื่อ ... มินโฮเองก็เห็นซึงฮุนเป็นเพียงแค่ของเล่นให้เขากลั่นแกล้งเล่นสนุกๆ ไปวันๆ เท่านั้น

     

    แต่ ... มินโฮเล่นได้คนเดียว คนอื่นห้ามยุ่งกับของเล่นของเขา !

     

    เจ้าของกายหนาพุ่งตัวปล่อยกำปั้นหลุนๆ ฟาดไปบนสันกรามของชายแปลกหน้าที่เพิ่งปล่อยร่างของคนไม่รับรู้เรื่องราวไปแล้วหนึ่งที ก่อนจะเริ่มเกิดการต่อสู้ของเหล่าอันธพาลซึ่งมีอยู่สองเหตุผล

     

    เหตุผลในการทำลาย และเหตุผลในการช่วยเหลือ

     

    ซึ่งแน่นอนว่ามินโฮใช้กำลังตัดสินเพราะเหตุผลอย่างหลัง ...

     

    แม้มินโฮจะตัวเล็กกว่าไอ้พวกขยะทั้งสาม แต่หากกำลังโมโหหรือโกรธอะไรสักอย่างอย่างมาก เรื่องขนาดของตัวนั้นเลิกคิดไปได้เลย

     

    รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังที่เขาสวมใส่อยู่นั้นถูกฝากประทับลงบนเสื้อยืดขาวของชายตัวโตคนที่สอง แถมด้วยกำปั้นอัดลงโหนกแก้มของชายตัวยักษ์หน้าโหดคนที่สามติดๆ เหงื่อกาฬเริ่มชื้นตามไรผมเมื่อมินโฮเริ่มพุ่งกลับไปจัดการชายคนแรกเวลานี้สันกลามสกปรกนั้นเริ่มบิดเบี้ยวและมีรอยแตกช้ำ สุดท้ายไอ้พวกหมาหมู่ก็เริ่มร้องขอชีวิตก่อนวิ่งหนีหายไปทางด้านหน้าของตึกยังกะเด็กเล็กๆ ที่โดนเพื่อนในชั้นเรียนกลั่นแกล้งแล้วกลับบ้านไปฟ้องแม่ไม่มีผิด

     

    "อย่าให้กูเจอพวกมึงอีกนะเว้ย !" มินโฮตะโกนไล่หลังพวกลูกหมาบูลด๊อกจนหายลับไปกับตา ก่อนจะกุลีกุจอเข้ามาประคองร่างไร้สติของซึงฮุนให้ศีรษะกลมนั้นนอนหนุนกับท่อนแขนแข็งแรง "อีซึงฮุน ตื่นสิ อีซึงฮุน !"

     

    มือหนาตบเข้ากับแก้มขาวฟูนั้นจนแดงเป็นรอยนิ้ว แต่ก็ไม่สามารถปลุกเจ้าของกายยาวให้ตื่นจากห้วงนิทราได้ จนสุดท้าย มินโฮต้องจำใจแบกร่างสูงโปร่งนั้นไปขึ้นรถอย่างยากลำบาก

     

    รถยนต์ถูกสตาร์ทเครื่องก่อนขับเคลื่อนมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด ภายในใจของมินโฮเอาแต่ร่ำร้องว่าต้องไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดโดยไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรเขาถึงคิดอย่างนั้น ถนนในเวลาสี่ทุ่มกว่านั้นรถราเริ่มบางตา ไฟถนนทุกดวงสว่างจนแสบตา แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจอยู่นั้นมันคอยเร่งเร้าให้มินโฮเหยียบคันเร่งให้เร็วกว่าเดิม เขาคอยมองถนนเบื้องหน้าสลับกับคนข้างกายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด จะเรียกว่าเป็นห่วงก็ไม่ใช่ จะเรียกว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นอะไรไปเพราะอยากให้อยู่เป็นของเล่น เป็นเหมือนตุ๊กตาน่ากลั่นแกล้งไปนานๆ ก็ไม่เชิง ทุกความรู้สึกมันหนักหน่วงอยู่ตามช่องท้องและช่วงอกจนแทบหายใจไม่ออก

     

    หากจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าความรักมันก็คงไม่ใช่อีก เพราะไอ้โรคกลัวความรักงี่เง่านี้มันจะคอยกีดกันให้มินโฮออกห่างจากทุกสิ่งที่เป็นตัวจุดชนวนความรู้สึกดีๆ ที่เรียกว่ารัก

     

    ทันทีที่รถคันสวยจอดสนิทเทียบหน้าแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน เจ้าอัศวินคนเก่งก็รีบกระโจนลงจากรถพร้อมตะโกนจนลั่นแผนก เหล่าบุรุษพยาบาลพร้อมใจกันกรูวิ่งเข็นเตียงสแตนเลสปูด้วยฟูกหนาตรงเข้ามาประชิดกับรถยนต์ ก่อนจะนำร่างของซึงฮุนออกมานอนเหยียดยาวบนเตียงเข็น ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนมินโฮเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว แต่เมื่อรวบรวมความคิดและสติได้อีกครั้ง เขาก็รีบวิ่งขึ้นรถเพื่อนำพาหนะคู่ใจไปจอดในลานที่โรงพยาบาลจัดเอาไว้สำหรับจอดยานพาหนะ

     

    สองขาออกวิ่งตามโถงทางเดินตรงไปยังห้องฉุกเฉินด้วยหัวใจเต้นรุนแรงอย่างประหลาด มือขวายกขึ้นวางทาบบนแผ่นอกด้านซ้ายที่กำลังสั่นเพื่อม ทุกอย่างมันแปลกประหลาดจนมินโฮรู้สึกปวดหัวพลอยให้คลื่นไส้ไปพร้อมๆ กัน บวกกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อกรุ่นไปในอากาศจนจมูกโด่งเป็นสันนั้นแสบไปหมด

     

    กายหนาหยุดหายใจหอบหน้าห้องฉุกเฉิน แขนแข็งแรงภายใต้เสื้อยืดแขนยาวสีเข้มค้ำกับหน้าขานั้นทำให้ร่างกายท่อนบนโค้งตัวลงต่ำ ปากเผยอออกเพื่อช่วยสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดมากขึ้น มินโฮอยากเข้าไปภายในใจแทบขาดหากพยาบาลวัยป้ากลับจ้องเขม็งและพยายามกีดกันผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปรบกวนการทำงานของแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ มินโฮจึงทำได้แค่เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องเท่านั้น

     

    ตาเรียวมุ่งมองเข้าไปภายในห้องสีขาวเปิดไฟสว่างไสวนั้นเพื่อจดจ้องของเล่นของเขาในตอนนี้กลับนอนสลบสไลแน่นิ่งบนเตียงขาว ความตึงเครียดก่อตัวขึ้นสูงแต่เนื่องจากพื้นที่โรงพยาบาลไม่สามารถสูบบุหรี่ได้ มือทั้งสองข้างของเขาจึงถูกันไปมาเพื่อระบายความรู้สึกอึดอัดภายในให้ออกมาแทนการใช้นิโคตินช่วยบำบัด

     

    โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาดเป็นริ้วราวๆ สามถึงสี่รอยนั้นสั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหว เจ้าตัวชักเครื่องมือสื่อสารนั้นออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มประดา แต่เมื่อเห็นชื่อของต้นสายแล้วนั้น มินโฮก็ทำได้เพียงแค่ลอบถอนหายใจเพราะหากได้เหวี่ยงหรือขึ้นเสียงใส่ เขาคงไม่มีที่ยืนในคลับหรู เผลอๆ อาจจะถูกถอดหุ้นคลับเลยก็เป็นได้

     

    "ว่าไงพี่"

     

    [มึงอยู่ไหน ? ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก ?]

     

    "โทษทีพี่ วันนี้คงไม่ได้เข้าไป ให้ไอ้จุนฮเวเหมาคืนนี้ไปเลย"

     

    [เอ้า ! ไอ้นี้นี่ แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน ? บอกกูมาตรงๆ ดิ]

     

    "อยู่โรงพยาบาล"

     

    [ห๊า ! โรงพยาบาล เดี๋ยวๆ พวกมึง ... โอ้ย ! กูล่ะปวดหัวหว่ะ จินอูก็อยู่โรงพยาบาลที่ปูซาน ตัวมึงเองก็อยู่โรงพยาบาล นี่มึงอยู่แถวไหนเนี้ย ? ไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะพวกมึงสองคนนี่ ...]

     

    ไม่รอให้คนในสายพล่ามจนจบมินโฮก็เลื่อนโทรศัพท์ออกจากใบหูพร้อมกดวางสาย หากจะโทรมาบ่นให้เขาคงไม่พร้อมรับฟัง เพราะเรื่องของตัวเองที่แบกไว้นั้นก็ปวดหัวจนอยากจะเดินไปขอยาแก้ปวดกินให้รู้แล้วรู้รอดจะแย่อยู่แล้ว

     

    อีซีงฮุน ...

     

    เพราะอะไรกันนะ ?

     

    ถึงได้มาทำให้หัวใจของเขารู้สึกแปลกประหลาดได้ถึงขนาดนี้ ?

     

    ไม่สิ ...

     

    นายทำอะไรกับฉันไว้ ฉันถึงได้รู้สึกหนักหน่วงไปหมดจนหายใจไม่ค่อยออกได้ถึงขนาดนี้ ?

     


     

    เอ๊ะ ! อะไรยังไงคะพ่อหนุ่มร่างหมี ?

     

    เป็นโรคกลัวความรักแต่กำลังจะรักเขาเข้าแล้วหรือเปล่าคะ ?

     

    ยังค่ะ ... ไซเรนท์ยังไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองค่ะ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณๆ ทั้งสองดีกว่าเนอะ

     

    ติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ ^^

     

    #DAYNIGHTSTORY

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×