คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : CHAPTER 3 :: AFRAID OF THE DARK ::
[#MINHOON
#WINNER] :: DAY & NIGHT ::
CHAPTER 3 :: AFRAID OF THE DARK ::
เพราะการต่อล้อต่อเถียงกับคนแปลกหน้าท่าทางยียวนชักชวนให้ประสาทกินสมองคะยั้นคะยอแกมบังคับขู่เข็ญให้ซึงฮุนบอกที่อยู่อย่างหน้าด้านๆ
จนสุดท้ายก็ทนไม่ไหวซึงฮุนจึงบอกไปเพียงแค่ชื่ออาคารคอนโดเพื่อตัดความรำคาญ
จนทำให้เวลาล่วงเลยมาจนเกือบบ่ายสอง
ซึ่งแน่นอนว่าเวลานั้นไม่ใช่เวลาของการเข้าทำงานภาคบ่ายของหนุ่มสาวออฟฟิศ
จึงส่งผลให้ทั้งจีซูและซึงฮุนโดนทำโทษไปตามระเบียบ
โดยจีซูต้องออกไปพบลูกค้ารายใหญ่ทั้งๆ
ที่ไม่ใช่หน้าที่พร้อมกับหัวหน้าแผนกและผู้บริหาร
ส่วนซึงฮุนต้องจัดการเอกสารทั้งหมดให้เสร็จภายในวันนี้พร้อมทั้งนำเข้าไปวางไว้บนโต๊ะในห้องประธานทั้งหมดเพื่อให้พร้อมกับการเซ็นรับรองก่อนการประชุมภาคบ่ายของวันพรุ่งนี้โดยไม่ฟังเหตุผลเรื่องโรคร้ายฝังติดตัวของชายร่างสูงแม้แต่น้อย
แม้แสงไฟของออฟฟิศจะเป็นระบบออโตเมติกไม่ว่าใครเดินผ่านก็จะสว่างโดยอัตโนมัติ
แต่สำหรับซึงฮุนแล้ว
เขาเลือกจะเปิดไฟทุกดวงเอาไว้ให้สว่างจนแสบตาเทียบเท่ากลางวันมากที่สุด
รวมถึงพยายามเลี่ยงการมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเป็นกระจกใสในเวลานี้ทาสีดำไปทั่วทั้งกรอบฟ้า
แม้จะแต่งแต้มประดับประดาด้วยแสงไฟหลากสีจากตัวตึกอาคารสูงเย้ยฟ้าเบื้องบน
ยามใดก็ตามที่เจ้าของกายสูงเผลอเหลือบมองออกไปนอกตึก
หัวใจของเขาจะแกว่งจนอยากพาร่างบางๆ
ของตัวเองมุดลงใต้โต๊ะสำนักงานหรือไม่ก็กล่องกระดาษสำหรับใส่เอกสารเหลือทิ้งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
แต่หากงานที่คั่งค้างอยู่มักจะดึงพาสติให้กลับมาเสมอ
เข็มนาฬิกายังคงเดินไปอย่างต่อเนื่อง
เหงื่อกาฬไหลย้อยอาจเพราะอากาศร้อนขึ้นทุกทีตามช่วงเวลา ยิ่งมืด
ความกลัวก็ยิ่งกัดกินพื้นที่หัวใจของชายตัวสูง
มือไม้เริ่มสั่นเทาจนพิมพ์เอกสารบนหน้าจอคอมพิวเตอร์ผิดๆ ถูกๆ
จนต้องจดจ้องแก้ไขอยู่หลายครั้ง
อยากวิดีโอคอลหาซึงยุนให้อยู่เป็นเพื่อนจนแทบขาดใจ
แต่ติดที่ตอนนี้หน้าจอโทรศัพท์ซึ่งเคยคิดว่าจะเป็นหนทางสุดท้ายในการสื่อสารหาตัวช่วยขจัดความกลัวนั้นก็แตกร้าวจนแทบไม่สามารถใช้งานหนักได้
สุดท้าย
ซึงฮุนก็ต้องฝ่าฟันความกลัวนั้นเพียงลำพังก่อนสองแขนยาวจะยกขึ้นคลายความเมื่อยล้าเมื่อเอกสารแผ่นสุดท้ายถูกพิมพ์ออกมาจากเครื่องปริ้นเตอร์
เขารีบจัดการนำแผ่นกระดาษขาวเปื้อนรอยน้ำหมึกสอดเข้าแฟ้มปกหนาราวๆ
ห้าแฟ้มแล้วจัดการรวบกองเอกสารทั้งหมดเข้าไปวางไว้ในห้องประธานบริษัท
ซึ่งเขาเปิดไฟไว้ทุกดวงไม่เว้นแม้แต่โคมไฟบนโต๊ะและจัดการเลื่อนผ้าม่านสีเข้มให้ปิดบังบรรยากาศน่ากลัวภายนอกเอาไว้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดสนิท
แต่นับตั้งแต่วินาทีนี้
เขาจะทำอย่างไรต่อไปดี ?
คนทั้งออฟฟิศต่างกลับบ้านพักผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ากันหมดแล้ว
หากไม่นับพี่ยามใต้ตึก คงจะมีซึงฮุนเท่านั้นที่นับว่าเป็นมนุษย์ในสำนักงานแห่งนี้
เวลาราวๆ
สามทุ่มแล้วที่ซึงฮุนพยายามจะก้าวขาออกจากออฟฟิศ
สองขาสั่นผับแสดงความกลัวออกมาอย่างเห็นได้ชัด แม้แสงไฟข้างทางจะสว่าง
แต่นั้นกลับสลัวสำหรับเขา เขาไม่เคยออกนอกเคหะเลยหลังจากหนึ่งทุ่ม
นี่จึงเป็นอะไรที่ท้าทายเขาเป็นอย่างมาก
นิ้วหัวแม่มือพยายามไล้เพื่อเปิดไฟฉายจากโทรศัพท์มือถือ
แม้หน้าจอจะแตกจนไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ
แต่ถ้าเขาไม่ได้ไฟฉายจากเครื่องมือสื่อสารคอยช่วยไว้ล่ะก็
คืนนี้เขาคงไม่ต้องกลับบ้านกันพอดี
"พี่ยามครับ
เดี๋ยวช่วยขึ้นไปปิดไฟในออฟฟิศให้ด้วยนะครับ"
"อ่า ... โอเคครับ ว่าแต่วันนี้คุณซึงฮุนกลับบ้านดึกนะครับ
ทั้งๆ ที่ปกติผมจะเห็นคุณกลับบ้านก่อนหกโมงเย็นแท้ๆ"
"พอดีผมต้องเคลียร์เอกสารให้เสร็จก่อนการประชุมพรุ่งนี้น่ะครับ
... ถ้าไม่มีอะไรแล้วผมขอตัวกลับก่อนนะครับ"
ศีรษะกลมถูกโค้งต่ำเป็นเชิงลา
ซึงฮุนส่งยิ้มให้กับพนักงานรักษาความปลอดภัยที่ดูๆ แล้วอายุมากกว่าราวๆ
สองถึงสามปีทั้งๆ ในหัวนั้นรู้สึกตื่นกลัวกับบรรยากาศรอบตัวไม่น้อย
สายตาโฟกัสทุกสิ่งมืดมนไปหมดแม้จะมีไฟฟ้าส่องสว่างก็ตาม
ความกดดันปะทุขึ้นสู่สมองหลอกหลอนถึงสิ่งน่ากลัว
ภาพในอดีตโลดแล่นเข้าสู่ความทรงจำยากเกินกว่าจะลบเลือนแม้พยายามมากแค่ไหน
มือขาวรีบเปิดกระเป๋าคว้าเอากระบอกไฟฉายขึ้นมาเปิดให้แสงสว่างนำทาง
ส่วนโทรศัพท์มือถือเจ๊งไปแล้วนั้นกลับถูกปิดไฟฉายลงเนื่องจากความสว่างที่สู้ไฟฉายจากกระบอกกลมๆ
ไม่ได้ พลางพยายามเพ่งมองหน้าจอเผื่อว่าน้องชายคนดีจะตอบข้อความกลับมา
แม้จะลายตาไปบ้างเพราะหน้าจอระบบสัมผัสนั้นมีรอยแตกร้าว
แต่เมื่อไม่เห็นการแจ้งเตือนใดๆ ก็ทำให้เขารู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ซึงยุนไม่ได้ตอบข้อความใดๆ กลับมา
ความเป็นห่วงแล่นพล่านไปทั่วทั้งหัวใจ
แต่หากจะให้โทรกลับไป โทรศัพท์เครื่องบางก็ไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย
ช่างเถอะ ...
เดี๋ยวกลับไปใช้โทรศัพท์ที่คอนโดเอาก็ได้
แต่เวลานี้เขาไม่สามารถจัดการกับความกลัวของตัวเองได้เลย
แม้จะมีแสงสว่างทั้งจากหลอดไฟข้างทาง ร้านสะดวกซื้อ หรือแม้จากไฟฉายในมือ
ย่านที่เขาพักอาศัยอยู่นั้นไม่ใช่ใจกลางโซลเสียทีเดียว เวลาราวๆ สามทุ่มกว่าๆ
เช่นนี้ไม่ค่อยมีผู้คนพลุ่งพล่านเดินตามถนนให้เห็นจนหนาตา
ซึงฮุนจึงไม่สามารถร้องขอความช่วยเหลือจากใครได้เลย
แม้จะผ่านช่วงฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเหน็บเข้าสู่ช่วงฤดูร้อนมาแล้ว
แต่เวลาค่ำมืดเช่นนี้ กลับมีลมและไอเย็นจากอุณหภูมิลดต่ำลงอีกราวๆ สองถึงสามองศา
ลมเอื่อยๆ พัดผ่านมือและต้นคอของเขานั้นยิ่งเร่งความหวาดกลัวพลอยให้ใจแกว่งไปอีกไม่น้อย
แต่สายลมกลับเร่งให้รูขุมขนขยายกว้าง
เหงื่อร้อนๆ ยังคงซึมออกจนชื้นไปทั้งผิวหนัง
"อะไรกัน ไฟก็ออกจะสว่างเบอร์นี้
น้องชายต้องใช้ไฟฉายอีกหรอเนี้ย ตลกจริงหว่ะ"
ไฟขาวนวลจากกระบอกไฟฉายในมือรีบหันเหเปลี่ยนทิศทางไปตามต้นเสียงก่อนที่หน่วยตาเล็กจะเบิกโพลง
ชายนิรนามร่างสูงใหญ่กว่าเขามากสามคนท่าทางน่ากลัวเดินสูบบุหรี่ราคาถูกๆ
ตรงมาหาซึงฮุนท่าทางเอาเรื่อง กลิ่นเหล้าเบียร์รวมถึงบุหรี่ต่ำๆ
นั้นเหม็นคลุ้งจนลูกสิงโตที่เพิ่งหัดออกจากรังในเวลากลางคืนนั้นตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวจนถดถอยหนี
กายบางขยับสองขายาวถอยจนแผ่นหลังชนเข้ากับกำแพงตึกโสโครก จากตอนแรกแค่กลัวความมืด
บัดนี้เจ้าสิงโตน้อยกลัวชายแปลกหน้าทั้งสามอีกด้วย
"ถะ ถอยไป ... ฉะ
ฉันจะกลับบ้าน"
"อะไรกัน ... จะรีบกลับไปไหน ?
ไปหากินเหล้ากับพวกพี่ก่อนดีกว่า"
หนึ่งในนั้นตรงเข้ามาประชิดร่างของซึงฮุนก่อนวาดวงแขนโอบไหล่ของคนตัวบางเอาไว้
แม้ซึงฮุนจะดูตัวสูงในสายตาของคนทั่วไป แต่เมื่อเทียบกับพวกกุ๊ยเหล่านี้แล้ว
ยังไงซึงฮุนก็ดูตัวเล็กกว่ามากโข ทั้งตัวเตี้ยกว่า บางกว่า
และดูอ่อนแอกว่ามากเมื่อเข้าสู่ช่วงฟ้าหม่น
ใช่แล้ว ...
ความกลัวคอยกระตุ้นให้เขาอ่อนแอลงมาก
"ปะ ปล่อย !"
เจ้าของกายบางพยายามออกแรงดิ้นเพื่อให้ตัวเองหลุดจากการจับกุมจากชายชั้นต่ำ
แต่ยิ่งดิ้นมากเท่าไรมือสกปรกเปื้อนกลิ่นสารเสพติดเหม็นคลุ้งนั้นก็ยิ่งออกแรงบีบไหล่บางจนเจ็บปวดรวดร้าวราวกระดูกภายในจะหักรอนๆ
ภาพความกลัวในอดีตที่พ่อแม่เป็นผู้ก่อเอาไว้ยังไม่น่ากลัวเท่านี้
แต่ชายสามคนนี้คิดจะรังแกกันจนถึงชีวิตหรือแค่สนุกสนานอันนี้ซึงฮุนก็ไม่แน่ใจ
คู่ตาเล็กหลับลงปี๋ด้วยความกังวลและความกลัวจนสุดลิมิต
เกิดริ้วรอยแห่งความกลัวและความเจ็บปวดทั่วทั้งใบหน้า กระบอกไฟฉายก็หล่นหลุดมือไปแล้วก่อนหน้านี้
ทำให้เวลานี้มีเพียงกระเป๋าสะพายแนบข้างตัวเท่านั้นที่พอเป็นอาวุธได้ แต่ก็นะ ...
แค่กระเป๋าผ้าธรรมดาๆ จะไปต่อกรอะไรกับพวกนรกส่งมาเกิดได้
สุดท้ายการกระเสือกกระสนเอาตัวรอดก็จบลงเมื่อความกลัวคืนคลานเข้าทลายกำแพงที่เรียกว่าขีดจำกัดราวกับการกระโดดน้ำ
ยิ่งกระโดดสูงมากเท่าไร
ก็ยิ่งตกกระทบกับผิวน้ำรุนแรงและจมดิ่งสู่ก้นสระลึกมากขึ้นเท่านั้น ...
"เห้ย ! พวกมึงทำอะไรกันน่ะ !"
นั้นคือเสียงสุดท้ายที่โสตประสาทเขารับรู้ก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป
น้ำเสียงทุ้มต่ำ คำพูดหยาบคาย รวมถึงสำเนียงคุ้นหูนั้นสะกิดหัวใจของซึงฮุน
แต่เพราะสมองเขากำลังจะดับทำให้ไม่สามารถมองเห็นใครอีกคนที่เข้ามามีบทบาทในละครฉากนี้
อีกทั้งทุกอย่างรอบข้างนั้นมืดมนเหลือเกิน กายบางจึงเลือกตัดสินใจ Shut
down ตัวเองเพื่อหลีกหนีสถานการณ์ย่ำแย่ส่งผลให้โรคร้ายทางจิตกำเริบดำดิ่งเข้าสู่การพักผ่อนโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีกต่อไป
กลุ่มควันสีเทาหม่นถูกพ่นออกจากริมฝีปากหยักก่อนลอยหายไปกับชั้นออกซิเจน
นิ้วชี้และนิ้วกลางประดับด้วยแหวนโลหะรูปทรงแปลกตานั้นยังคงหนีบมวนบุหรี่เอาไว้
ส่วนมืออีกข้างยกขึ้นช้อนกลุ่มเส้นผมสีเหลืองสดจนยุ่งเยิงเนื่องจากหงุดหงิดเต็มที
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่เขายืนรอชายร่างสูงท่าทางสุภาพ
บอบบางและนุ่มนิ่มตั้งแต่ฟ้าทอแสงสีทองเนื่องจากแสงสุริยาคล้อยต่ำใกล้ตกดินจนป่านนี้ความมืดครอบงำปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองนับๆ
ดูแล้วก็ราวสามถึงสี่ชั่วโมงได้
แผ่นหลังของเขาพิงกับกำแพงสีขาวตัดกับชุดของเขาซึ่งเป็นสีดำสนิทซ้ำยังพะรุงพะรังไปด้วยเครื่องประดับและผ้าผ่อนซึ่งเกิดจากความตั้งใจในกระบวนการตัดเย็บ
เขาพลิกนาฬิกาบนข้อมือเพื่อจดจ้องเข็มเล็กๆ
สามเข็มกำลังวิ่งแข่งกันบนหน้าปัดตัวเรือนสีทองก่อนจะจิ๊ปากอย่างขัดใจ
เขารู้สึกเสียหน้าไม่น้อยที่ต้องมายืนรอใครบางคนทั้งๆ ที่ปกติแล้วเขาไม่เคยรอใคร
เจ้าของกายหนาหัวเราะหึในลำคอพลางยกมุมปากขึ้นอย่างนึกสมเพชตัวเองให้กับการรอคอยไร้ซึ่งความหมายนี้
สุดท้าย ลูกไฟดวงเล็กที่กำลังเผาไหม้มวนกระดาษห่อหุ้มสารพิษก็ถูกดับโดยกระบะทราย
ก่อนสองขายาวจะเริ่มออกเดิน เขาจอดรถยนต์คันเล็กสไตล์วินเททราคาแพงไว้หน้าปากซอยเพราะเบื่อกับการขับรถเข้าตรอกแคบๆ
ในใจเอาแต่ก่นด่าว่าทำไมอีซึงฮุนถึงได้อยู่คอนโดไร้ระดับและทางเข้าพิศวงราวกับตรอกไดแอกอนในภาพยนตร์พ่อมดแม่มดยอดนิยม
"ปะ ปล่อย !"
เสียงติดจะแหลมแต่กลับกดให้ต่ำซ้ำยังแฝงไปด้วยความหวาดกลัวจนสั่นเคลือแสนคุ้นหูนั้นเรียกให้มินโฮมุ่งหน้าไปตามเสียงด้วยความรู้สึกสะกิดใจว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดี
เขารีบตรงไปพบเพียงชายร่างยักษ์สามคนกำลังรุมล้อมชายหนุ่มกายบอบบางเพียงคนเดียวที่บัดนี้สติได้ขาดผึ่งไปแล้ว
"เห้ย ! พวกมึงทำอะไรกันน่ะ !"
ไม่เสียแรงเปล่าเมื่อเขาตะโกนดึงความสนใจพวกนักเลงชั้นต่ำเหล่านั้นให้หันมา
ทิ้งร่างของอีกคนลงนอนกับพื้นซีเมนต์สีเทาหม่น
มินโฮเบิกตาเมื่อเห็นว่าคนที่สลบสไลนั้นคือซึงฮุน
ความรู้สึกเดือดดานรวมถึงความโมโหโทโสก็ถูกจุดปะทุจนเลือดในกายร้อนผ่าว
ปล่อยความโกรธเป็นที่ตั้ง จนสุดท้ายเขาก็ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือความคิดทุกอย่าง
เขาลืมคิดไปว่าเพราะอะไรถึงโมโหไอ้พวกเดนนรกนี่ที่จ้องทำร้ายซึงฮุน
ในเมื่อ ... มินโฮเองก็เห็นซึงฮุนเป็นเพียงแค่ของเล่นให้เขากลั่นแกล้งเล่นสนุกๆ
ไปวันๆ เท่านั้น
แต่ ... มินโฮเล่นได้คนเดียว
คนอื่นห้ามยุ่งกับของเล่นของเขา !
เจ้าของกายหนาพุ่งตัวปล่อยกำปั้นหลุนๆ ฟาดไปบนสันกรามของชายแปลกหน้าที่เพิ่งปล่อยร่างของคนไม่รับรู้เรื่องราวไปแล้วหนึ่งที
ก่อนจะเริ่มเกิดการต่อสู้ของเหล่าอันธพาลซึ่งมีอยู่สองเหตุผล
เหตุผลในการทำลาย และเหตุผลในการช่วยเหลือ
ซึ่งแน่นอนว่ามินโฮใช้กำลังตัดสินเพราะเหตุผลอย่างหลัง
...
แม้มินโฮจะตัวเล็กกว่าไอ้พวกขยะทั้งสาม
แต่หากกำลังโมโหหรือโกรธอะไรสักอย่างอย่างมาก เรื่องขนาดของตัวนั้นเลิกคิดไปได้เลย
รองเท้าผ้าใบยี่ห้อดังที่เขาสวมใส่อยู่นั้นถูกฝากประทับลงบนเสื้อยืดขาวของชายตัวโตคนที่สอง
แถมด้วยกำปั้นอัดลงโหนกแก้มของชายตัวยักษ์หน้าโหดคนที่สามติดๆ เหงื่อกาฬเริ่มชื้นตามไรผมเมื่อมินโฮเริ่มพุ่งกลับไปจัดการชายคนแรกเวลานี้สันกลามสกปรกนั้นเริ่มบิดเบี้ยวและมีรอยแตกช้ำ
สุดท้ายไอ้พวกหมาหมู่ก็เริ่มร้องขอชีวิตก่อนวิ่งหนีหายไปทางด้านหน้าของตึกยังกะเด็กเล็กๆ
ที่โดนเพื่อนในชั้นเรียนกลั่นแกล้งแล้วกลับบ้านไปฟ้องแม่ไม่มีผิด
"อย่าให้กูเจอพวกมึงอีกนะเว้ย
!" มินโฮตะโกนไล่หลังพวกลูกหมาบูลด๊อกจนหายลับไปกับตา
ก่อนจะกุลีกุจอเข้ามาประคองร่างไร้สติของซึงฮุนให้ศีรษะกลมนั้นนอนหนุนกับท่อนแขนแข็งแรง
"อีซึงฮุน ตื่นสิ อีซึงฮุน !"
มือหนาตบเข้ากับแก้มขาวฟูนั้นจนแดงเป็นรอยนิ้ว
แต่ก็ไม่สามารถปลุกเจ้าของกายยาวให้ตื่นจากห้วงนิทราได้ จนสุดท้าย
มินโฮต้องจำใจแบกร่างสูงโปร่งนั้นไปขึ้นรถอย่างยากลำบาก
รถยนต์ถูกสตาร์ทเครื่องก่อนขับเคลื่อนมุ่งหน้าสู่โรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ที่สุด
ภายในใจของมินโฮเอาแต่ร่ำร้องว่าต้องไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดโดยไม่รู้สาเหตุว่าเพราะอะไรเขาถึงคิดอย่างนั้น
ถนนในเวลาสี่ทุ่มกว่านั้นรถราเริ่มบางตา ไฟถนนทุกดวงสว่างจนแสบตา
แต่สิ่งที่รบกวนจิตใจอยู่นั้นมันคอยเร่งเร้าให้มินโฮเหยียบคันเร่งให้เร็วกว่าเดิม
เขาคอยมองถนนเบื้องหน้าสลับกับคนข้างกายด้วยความรู้สึกแปลกประหลาด
จะเรียกว่าเป็นห่วงก็ไม่ใช่
จะเรียกว่าไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นอะไรไปเพราะอยากให้อยู่เป็นของเล่น
เป็นเหมือนตุ๊กตาน่ากลั่นแกล้งไปนานๆ ก็ไม่เชิง
ทุกความรู้สึกมันหนักหน่วงอยู่ตามช่องท้องและช่วงอกจนแทบหายใจไม่ออก
หากจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าความรักมันก็คงไม่ใช่อีก
เพราะไอ้โรคกลัวความรักงี่เง่านี้มันจะคอยกีดกันให้มินโฮออกห่างจากทุกสิ่งที่เป็นตัวจุดชนวนความรู้สึกดีๆ
ที่เรียกว่ารัก
ทันทีที่รถคันสวยจอดสนิทเทียบหน้าแผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
เจ้าอัศวินคนเก่งก็รีบกระโจนลงจากรถพร้อมตะโกนจนลั่นแผนก
เหล่าบุรุษพยาบาลพร้อมใจกันกรูวิ่งเข็นเตียงสแตนเลสปูด้วยฟูกหนาตรงเข้ามาประชิดกับรถยนต์
ก่อนจะนำร่างของซึงฮุนออกมานอนเหยียดยาวบนเตียงเข็น
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนมินโฮเองก็ยังไม่ทันตั้งตัว
แต่เมื่อรวบรวมความคิดและสติได้อีกครั้ง
เขาก็รีบวิ่งขึ้นรถเพื่อนำพาหนะคู่ใจไปจอดในลานที่โรงพยาบาลจัดเอาไว้สำหรับจอดยานพาหนะ
สองขาออกวิ่งตามโถงทางเดินตรงไปยังห้องฉุกเฉินด้วยหัวใจเต้นรุนแรงอย่างประหลาด
มือขวายกขึ้นวางทาบบนแผ่นอกด้านซ้ายที่กำลังสั่นเพื่อม
ทุกอย่างมันแปลกประหลาดจนมินโฮรู้สึกปวดหัวพลอยให้คลื่นไส้ไปพร้อมๆ กัน
บวกกับกลิ่นยาฆ่าเชื้อกรุ่นไปในอากาศจนจมูกโด่งเป็นสันนั้นแสบไปหมด
กายหนาหยุดหายใจหอบหน้าห้องฉุกเฉิน
แขนแข็งแรงภายใต้เสื้อยืดแขนยาวสีเข้มค้ำกับหน้าขานั้นทำให้ร่างกายท่อนบนโค้งตัวลงต่ำ
ปากเผยอออกเพื่อช่วยสูดเอาออกซิเจนเข้าปอดมากขึ้น
มินโฮอยากเข้าไปภายในใจแทบขาดหากพยาบาลวัยป้ากลับจ้องเขม็งและพยายามกีดกันผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปรบกวนการทำงานของแพทย์
พยาบาล หรือเจ้าหน้าที่ มินโฮจึงทำได้แค่เดินวนไปเวียนมาอยู่หน้าห้องเท่านั้น
ตาเรียวมุ่งมองเข้าไปภายในห้องสีขาวเปิดไฟสว่างไสวนั้นเพื่อจดจ้องของเล่นของเขาในตอนนี้กลับนอนสลบสไลแน่นิ่งบนเตียงขาว
ความตึงเครียดก่อตัวขึ้นสูงแต่เนื่องจากพื้นที่โรงพยาบาลไม่สามารถสูบบุหรี่ได้
มือทั้งสองข้างของเขาจึงถูกันไปมาเพื่อระบายความรู้สึกอึดอัดภายในให้ออกมาแทนการใช้นิโคตินช่วยบำบัด
โทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงยีนส์ขาดเป็นริ้วราวๆ
สามถึงสี่รอยนั้นสั่นราวกับเกิดแผ่นดินไหว เจ้าตัวชักเครื่องมือสื่อสารนั้นออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิดเต็มประดา
แต่เมื่อเห็นชื่อของต้นสายแล้วนั้น
มินโฮก็ทำได้เพียงแค่ลอบถอนหายใจเพราะหากได้เหวี่ยงหรือขึ้นเสียงใส่
เขาคงไม่มีที่ยืนในคลับหรู เผลอๆ อาจจะถูกถอดหุ้นคลับเลยก็เป็นได้
"ว่าไงพี่"
[มึงอยู่ไหน ? ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก
?]
"โทษทีพี่ วันนี้คงไม่ได้เข้าไป
ให้ไอ้จุนฮเวเหมาคืนนี้ไปเลย"
[เอ้า ! ไอ้นี้นี่
แล้วทำไมมึงไม่บอกกูตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วตอนนี้มึงอยู่ไหน ? บอกกูมาตรงๆ
ดิ]
"อยู่โรงพยาบาล"
[ห๊า ! โรงพยาบาล เดี๋ยวๆ พวกมึง ... โอ้ย
! กูล่ะปวดหัวหว่ะ จินอูก็อยู่โรงพยาบาลที่ปูซาน ตัวมึงเองก็อยู่โรงพยาบาล
นี่มึงอยู่แถวไหนเนี้ย ? ไปก่อเรื่องอะไรอีกล่ะพวกมึงสองคนนี่
...]
ไม่รอให้คนในสายพล่ามจนจบมินโฮก็เลื่อนโทรศัพท์ออกจากใบหูพร้อมกดวางสาย
หากจะโทรมาบ่นให้เขาคงไม่พร้อมรับฟัง
เพราะเรื่องของตัวเองที่แบกไว้นั้นก็ปวดหัวจนอยากจะเดินไปขอยาแก้ปวดกินให้รู้แล้วรู้รอดจะแย่อยู่แล้ว
อีซีงฮุน ...
เพราะอะไรกันนะ ?
ถึงได้มาทำให้หัวใจของเขารู้สึกแปลกประหลาดได้ถึงขนาดนี้
?
ไม่สิ ...
นายทำอะไรกับฉันไว้
ฉันถึงได้รู้สึกหนักหน่วงไปหมดจนหายใจไม่ค่อยออกได้ถึงขนาดนี้ ?
เอ๊ะ
! อะไรยังไงคะพ่อหนุ่มร่างหมี ?
เป็นโรคกลัวความรักแต่กำลังจะรักเขาเข้าแล้วหรือเปล่าคะ
?
ยังค่ะ
... ไซเรนท์ยังไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองค่ะ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณๆ
ทั้งสองดีกว่าเนอะ
ติดตามได้ในตอนต่อไปค่ะ
^^
#DAYNIGHTSTORY
ความคิดเห็น