ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

    ลำดับตอนที่ #3 : CHAPTER 2 :: BAD DAY OR GREAT DAY ::

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ย. 61


    [#MINHOON #WINNER] :: DAY & NIGHT ::

     

    CHAPTER 2 :: BAD DAY OR GREAT DAY ? ::

     

    กายสูงโปร่งของซึงฮุนสวมด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนแขนยาวก่อนถูกทับด้วยสูทสีดำอีกชั้นหนึ่ง เสียงส้นรองเท้าหนังกระทบกับพื้นซีเมนต์สีหม่นดังเป็นจังหวะตามที่ขายาวๆ ก้าวอย่างมั่นคงทีละก้าว ไอแดดอบอุ่นของช่วงเช้าราวๆ เก้านาฬิกาทอแสงสัมผัสร่างกายก่อนตกกระทบเป็นเงาสีดำสนิทบนพื้นซีเมนต์หม่น ผู้คนในเมืองหลวงมักไม่ทักทายกันด้วยสภาพสังคมที่ต้องวิ่งแข่งกับเวลาและความหลากหลายทางชาติพันธ์ แต่ถึงอย่างนั้นซึงฮุนก็มักจะส่งรอยยิ้มทักทายกับเหล่าคุณป้าขายขนมและผลไม้ริมทาง คุณลุงที่ออกมาวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือแม้แต่สุนัขหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่เจ้าของชอบพาออกมาเดินเล่นบริเวณสวนสาธารณะละแวกคอนโดตึกสูงที่เขาพักอาศัยอยู่

     

    อย่างที่บอก ถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจทำให้ซึงฮุนกลัว หรือถ้ายังไม่ถึงช่วงเวลาฟ้าหมอง เขาก็คือคนปกติทั่วๆ ไป ไม่ใช่คนป่วยต้องอยู่ใกล้หมอนอนโรงพยาบาลตลอดเวลา

     

    แซนวิชแฮมชีสอาหารเช้าง่ายๆ ถูกส่งเข้าปากก่อนแก้มนุ่มฟูจะขยับตามจังหวะการเคี้ยวอาหารภายใน เมื่อแซนวิชถูกทานจนเกลี้ยงซึงฮุนก็เลือกดื่มเอสเพรสโซร้อนๆ เพื่อไล่อาการฝืดคอแม้เขาจะยังเดินอยู่ริมฟุตบาท

     

    เนื่องจากออฟฟิศของเขาอยู่ไม่ไกลจากคอนโดที่พักอาศัยมากนัก การเดินไปและกลับจากการทำงานจึงเป็นเรื่องปกติที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว

     

    พนักงานฝ่ายขายอย่างเขาวันหนึ่งๆ วุ่นวายอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาไม่ขาดสาย รวมถึงการเข้าประชุมทีม พบปะลูกค้าบ้าง และเอกสารกองโตที่ต้องจัดการ งานแสนวุ่นวายในแต่ละวันนั้นทำให้ซึงฮุนรู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย แต่อย่างนั้นก็ยังดีกว่าการอยู่คนเดียว ไม่มีอะไรทำและคิดฟุ้งซ่านในห้วงอดีตซึ่งมักจะคอยมาตอกย้ำให้รู้สึกแย่เมื่อไรก็ได้

     

    งานในช่วงเช้านั้นมีมากมายจนเขาต้องรีบจัดการจนไม่อาจเหลือบมองนาฬิกาแม้จะถูกประดับไว้บนข้อมือขาวก็ตาม ชีวิตคนเมืองนั้นต้องแข่งกับเวลาจนซึงฮุนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไปบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะไล่ตามไม่ทันและอาจตกเป็นผู้แพ้ในตอนท้ายก็ว่าได้

     

    จนเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงวัน ช่วงที่เข็มนาฬิกาทั้งสั้นและยาวซ้อนทับกันตรงเลขสิบสอง

     

    "พี่ซึงฮุน เที่ยงแล้ว ไปทานข้าวกันค่ะ"

     

    เสียงเล็กๆ ของพนักงานสาว 'คิมจีซู' ดังขึ้นเรียกความสนใจจากซึงฮุนให้เบือนหน้าหนีออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากจดจ่อพิมพ์เอกสารนานหลายชั่วโมง ริมฝีปากทรงกระจับสีชมพูราวดอกกุหลาบแย้มยิ้มด้วยความจริงใจ จีซูคงเป็นเพื่อนร่วมงานที่ซึงฮุนสนิทมากสุดแล้วในบริษัท ด้วยความน่ารัก ยิ้มเก่ง มุ่งมั่น และอัธยาศัยดีทำให้สาวน้อยคนนี้เป็นที่รักของทุกคน

     

    "อ่า ... ไปสิ"

     

    ชายหนุ่มจัดการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ เลื่อนมือปิดแฟ้มเอกสารต่างๆ ซึ่งเขาเปิดเอาไว้จนเกลื่อนโต๊ะก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกบริษัทพร้อมจีซูเพื่อหาอะไรลงท้องว่างเปล่าหลังจากกระเพาะอาหารทำการย่อยแซนวิชชิ้นเล็กไปเมื่อตอนเช้า

    ร้านชาบูเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้า ถูกเลือกให้เป็นมื้อหนักของวันโดยจีซู เนื่องจากผู้เป็นน้องสาวรู้ดีว่าคนพี่นั้นไม่กล้าออกจากบ้านในยามวิกาล จึงพามาทานมื้อใหญ่เป็นมื้อกลางวันแทน

     

    สารพัดอาหารคาวต่างๆ ถูกวางลงบนโต๊ะหิน หม้อขนาดเล็กตรงกลางระหว่างสองบุคคลต้มน้ำจนเดือดปุดๆ ไม่ช้าจีซูรีบจัดการคีบเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ลงไปในน้ำซุปร้อน ก่อนจะรีบปิดฝาเสร็จสรรพเพื่อรอให้อาหารสุก

     

    "จีซู พี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"

     

    "อ่า ... ได้ค่ะพี่ รีบไปรีบมานะคะ"

     

    ชายหนุ่มเจ้าของกายสูงเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนยืดตัวยืนเต็มความสูง ความสูงระดับหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรของเขานั้นเป็นจุดสนใจของผู้คนไม่น้อย สองขายาวทอดน่องด้วยความอารมณ์ดี ห้างสรรพสินค้าเวลาเที่ยงกว่าๆ มักมีผู้คนไม่น้อยเดินเข้าออกจนแทบชนไหล่ บ้างมาทานข้าวมื้อกลางวันอย่างเช่นเขา บ้างมาเดินเล่น บ้างมาเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้านหรือสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อสนองกิเลสของตัวเอง ซึงฮุนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนพิมพ์ข้อความรายงานน้องชายเฉกเช่นที่เคยทำทุกวัน

     

    'วันนี้ออกมากินข้าวเที่ยงกับจีซู นายกินข้าวยัง ?'

     

    เรียวปากบางระบายรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าน้องชายคนเก่งอ่านข้อความอย่างรวดเร็ว แต่เพราะการเดินก้มหน้าก้มตาสนใจแต่การแชทผ่านแอปพลิเคชันชื่อดังจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนเดินอยู่ตรงหน้าเขา

     

    บุคคลสวมชุดสีดำสนิททั้งตัว รวมทั้งสแนปแบคปิดเส้นผมย้อมเป็นสีเหลืองสว่าง ผ้าปิดปาก และรองเท้าหุ้มข้อก็ยังไม่วายเป็นสีดำซึ่งเดินก้มหน้าไม่ต่างกัน

     

    โครม !

     

    โทรศัพท์มือถือของซึงฮุนหล่นกระแทกกับพื้นจนหน้าจอเป็นรอยแตกร้าวแม้จะมีเคสคอยป้องกันความเสียหาย ซ้ำยังกระเด็นไกลออกไปราวๆ หนึ่งเมตร

     

    กายบางล้มก้นกระแทกกับพื้นอย่างจังจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งสะโพกและช่วงหลัง ไม่ต่างกันกับชายชุดดำแต่งตัวมีพิรุธราวกับจะมาจี้ปล้นร้านค้าเสียมากกว่าการมาเที่ยวพักผ่อนอย่างใครคนอื่นเขา หากแต่ชายกายหนากว่าลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงได้ก่อน

     

    "เดินยังไงของนายเนี้ย ?"

     

    น้ำเสียงทุ้มต่ำกดถามอู้อี้ผ่านเนื้อผ้าของหน้ากากซึ่งทำจากผ้าเนื้อบาง ตาเรียวยังคงหลุบต่ำมองซึงฮุนไม่ละสายตา ความหยาบคายผ่านน้ำเสียงและท่าทางวางมาดนั้นมันช่างขัดหูขัดตาซึงฮุนจนต้องลุกขึ้นมาโต้ตอบบ้างหวังให้เป็นบทเรียน

     

    "นี่ ! เดินชนกันเขาทำปฏิกิริยาหยาบคายใส่กันอย่างนี้หรอ ?"

     

    เมื่อลุกจากพื้นแข็งๆ ได้ ซึงฮุนก็เริ่มปะทะคารมใส่คู่กรณีอย่างไม่คิดยอมแพ้ แม้อีกคนจะมีรังสีความมืดมนแบบที่เจ้าตัวเกรงกลัว หัวใจของคนตัวบางกระตุกวูบก่อนเร่งจังหวะให้เพิ่มมากขึ้นหลังจากสบเข้าดวงตาซุกซ่อนภายใต้ปีกหมวกสีมืด แววตาอันตรายจนแทบอยากถดถอยหนี แต่สุดท้ายก็พยายามควบคุมสติตัวเองหวังจะสั่งสอนบทเรียนบางอย่างให้กับคนไร้มารยาทสักหน่อย

     

    แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้านกับคำปราม ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ที่สวมใส่อยู่แล้วสไลด์หน้าจอรับอย่างหน้าตาเฉย

     

    "ว่าไงพี่ ? คนเรามันก็ต้องมีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิวะ จะให้กินแต่อาหารส่งเดลิเวอรี่ทุกวันก็เบื่อตาย ..."

     

    ท่าทางกวนสะกิดอวัยวะเบื้องล่างยังคงมีประกายออกมาให้เห็นจากชายปริศนา ไร้คำขอโทษ ไร้คำสำนึกผิด และการเดินหนีไปอย่างหน้าตาเฉยคือสิ่งที่ซึงฮุนได้รับเป็นการตอบแทน เขาจิ๊ปากพลางลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วบอกตัวเองว่าอย่าไปใส่ใจกับคนแบบนั้น ก้มหน้าเก็บโทรศัพท์มือถือสภาพย่ำแย่ของตัวเองแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในมุมสุดติดลานจอดรถของตัวห้างด้วยอารมณ์ขุ่นมัว

     

    พลางสะกดจิตให้ตัวเองใจเย็นเข้าไว้ อย่าไปสนใจคนไร้มารยาทนั้นเลย ...

     


     

    หม้อชาบูเดือดส่งให้ควันสีขาวร้อนลอยขึ้นเหนือเตาก่อนหายไปกับอากาศตรงหน้าชายหนุ่มหน้าตาคมคายจนเรียกให้สาวๆ เกือบทั้งร้านหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน เจ้าตัวถอดหน้ากากคาดปิดปากสีดำสนิทออกวางไว้บนโต๊ะ มือขวาของเขายังคงคีบคู่ตะเกียบเอาไว้เพื่อใช้เป็นอาวุธส่งอาหารเข้าปาก หลังจากวางสายจากจินอูแล้ว มินโฮก็เดินเข้าร้านชาบูในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองสักเท่าไร

     

    หงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่เจ้าท้องบ้าดันร้องจนเขาไม่เป็นอันหลับอันนอน แต่ถ้าจะให้เขาสั่งอาหารมากินที่บ้านอย่างเคยๆ มันก็เป็นอะไรที่แสนน่าเบื่อกับเมนูเดิมๆ อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าตัวเองนั้นเริ่มอ้วนขึ้นเพราะไก่ทอด พิซซ่า หรืออาหารจัดส่งเต็มไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเกินค่ามาตรฐาน

     

    "ทำไมพี่ไปนานจัง ? ผักในหม้อโดนต้มจนเปื่อยหมดแล้วนะคะ"

     

    "อ่า ... พอดีเกิดเรื่องหน้าห้องน้ำนิดหน่อยน่ะ กินกันเถอะจีซู เดี๋ยวกลับไปทำงานช่วงบ่ายไม่ทันนะ"

     

    เสียงแว่วๆ ที่มินโฮได้ยินอยู่ไกลๆ ช่างคุ้นหูจนเจ้าตัวต้องหันกลับไปมองทางต้นเสียงด้วยความสนใจ เมื่อพบกับเจ้าของใบหน้าตี๋คู่ตะเกียบก็ถูกวางบนโต๊ะเคียงกับชามกลมมนใบเล็ก เรียวมุมปากหยักยกยิ้มเมื่อเห็นชายร่างบางนั่งเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย มือหนาเลื่อนหยิบหน้ากากผ้าสำหรับปิดปากบนโต๊ะมากำใส่กระเป๋าเสื้อแขนยาวไว้ก่อนทอดน่องอย่างสบายๆ ไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเหยื่อที่เขาเพิ่งคิดจะทำอะไรสนุกๆ ได้สักพัก

     

    "..."

     

    "พะ ... พี่มินโฮนี่ !"

     

    "หืม ? จีซู เธอรู้จักไอ้คนหยาบคายคนนี้ด้วยหรอ ?"

     

    "นี่แร๊ปเปอร์ดังประจำคลับ BW ย่านฮงแดเลยนะคะพี่" สาวน้อยเพียงคนเดียวซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มร่างใหญ่ทั้งสองทำตาโตราวกับจะถลนออกมานอกเบ้า ความตื่นเต้นที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับหนุ่มหล่อสองคนแม้บุคลิกจะต่างกันนั้นก็ทำให้เรียวปากทรงกระจับสวยงามนั้นฉีกยิ้มกว้างจนเป็นรูปหัวใจน่ารัก สีหน้าบ่งบอกว่าดีใจไม่น้อยที่ได้ร่วมโต๊ะกับหนึ่งหนุ่มสุภาพอ่อนโยนอบอุ่นราวไมโครเวฟและอีกหนึ่งหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้สามารถฆ่าสาวๆ ได้เพียงแค่สบสายตารวมถึงรูปร่างติดจะหนาเคลือบแฝงไปด้วยศิลปะบนผิวกายสีน้ำผึ้ง "สะ สวัสดีค่ะพี่ไมโน"

     

    "ครับ"

     

    "ชิ ครับ สะตอซะไม่มี"

     

    "ว่าไงนะครับ ?"

     

    เจ้าของคำสบถเมื่อครู่วางตะเกียบที่อยู่ในมือขาวลงบนปากชามก่อนจะเลื่อนมือไปคว้าแก้วชาเขียวเย็นขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว ซึงฮุนเหลียวมองหน้าหล่อๆ สไตล์แบดบอยของแขกไม่ได้รับเชิญด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง รอยยิ้มมุมปากนั้นช่างกวนอวัยวะเบื้องล่างจนอยากเอาขึ้นมาประทับให้เลิกยิ้มแบบนั้นเสียที

     

    "จีซู กลับกันเถอะ"

     

    "แต่พี่ซึงฮุนคะ เรายังทาน ..."

     

    "นายชื่อซึงฮุนหรอ ?"

     

    "กรุณาเรียกผมว่าคุณอี ผมนามสกุลอี" แม้จะโดนตอกกลับต่อหน้า แต่มินโฮกลับหน้าด้านพอที่จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรซ้ำยังยิ้มเย้ยจนหน้าคมคายนั้นฉายแววกวนประสาท "จีซู กลับกันเถอะ"

     

    "แต่ว่า ..."

     

    "ไม่มีแต่ กลับไปทำงานกัน"

     

    "อ่า ... ก็ได้ค่ะ"

     

    หญิงสาวเพียงคนเดียวลุกขึ้นด้วยอาการอิดออดแล้วเริ่มออกวิ่งตามชายหนุ่มร่างสูงโปร่งไป มินโฮแอบหัวเราะหึก่อนลุกตามไปที่แคชเชียร์ซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูของร้านพร้อมชักแบล็คการ์ดขึ้นมากระแทกวางลงบนถาดตรงหน้าพนักงานของร้านที่กำลังกดเลขคำนวณมูลค่าของอาหาร

     

    "สำหรับสองโต๊ะครับ"

     

    "ไม่จำเป็น"

     

    "ดูปากครับ ผม จะ จ่าย ให้ เก็บเงินสดนั้นลงกระเป๋าไปซะ !"

     

    เจ้าของกายหนาอารมณ์ดีขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อยียวนชวนให้อีกคนรู้สึกไม่พอใจ หน้าขาวแดงก่ำเพราะความโมโหจนเลือดในกายพร้อมใจกันขึ้นหน้า มือของซึงฮุนที่กำลังชักธนบัติขึ้นพร้อมจ่ายค่าอาหารนั้นกระแทกกลับเข้าไปในกระเป๋าสตางค์ใบเล็กดังเดิมจนกระดาษที่มีมูลค่าเหล่านั้นยับยู่

     

    "จะเอายังไง ?"

     

    "ไม่เอายังไง ... แค่ ... นายมันน่าแกล้ง"

     

    "ไอ้ ..." คนโดนกวนประสาทพยายามควบคุมสติตัวเองให้สงบนิ่งเท่าที่จะทำได้ ต้องขอบคุณจีซู หญิงอีกคนซึ่งถูกทิ้งไว้จนแทบลืมที่เข้ามากอดแขนพร้อมลูบหลังของเขาเบาๆ จนได้สติก่อนจะฟิวส์ขาดไปมากกว่านี้ "งั้นเอาเลขบัญชีของนายมา เดี๋ยวโอนจ่ายคืนให้ทีหลัง"

     

    มินโฮยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยั่นอีกครั้งก่อนเดินเข้ามาประชิดร่าง คู่สนทนาตัวสูงกว่าเพียงสองเซนติเมตรจึงไม่ลำบากเลยที่จะยืดตัวไปกระซิบเบาๆ ที่ข้างหู

     

    "ไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินหรอก แค่บอกที่อยู่ของนายมาก็พอ"

     


     

    [เมื่อไหร่พี่จินอูจะกลับมา อยากกินเหล้าฝีมือพี่มากครับ]

     

    เสียงออดอ้อนดังมาตามสัญญาณโทรศัพท์แต่มันช่างน่าขยะแขยงไม่น้อยสำหรับคนฟัง จินอูคิดสภาพหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มมาดแมนสไตล์แบดบอยของมินโฮทำหน้าตาบ๊องแบ๊วเข้ากับเสียงแอ๊บแบ๊วแล้วเส้นขนทั้งหลายตามผิวหนังนั้นก็พร้อมใจกันตั้งชันไปหมด มือบางแทบเลื่อนเอาโทรศัพท์ออกจากหูหวังทำใจให้ตัวเองไม่รู้สึกหวาดกลัวรุ่นน้องนามมินโฮสักพักก่อนแนบเครื่องมือสื่อสารกับใบหูดังเดิม

     

    "ใจเย็นมึง นี่มันเพิ่งบ่ายสอง กูก็มีการมีงานทำไหมครับ ? ไม่เหมือนมึงนะที่จะร้องเพลงคืนละสองสามเพลง ซดเหล้า แล้วหลับไป" จินอูลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเริ่มบทสนทนาต่อไป "อีกอย่าง กูมาจัดการงานที่ปูซานแค่แป๊บเดียว ไม่ได้ไปต่างประเทศ กูขับรถมาเอง อีกสองสามชั่วโมงกูก็จะกลับไปมอมเหล้ามึงแล้วครับ มึงอย่าเพิ่งใจร้อนอยากเมาแต่หัววันครับ"

     

    [แต่ก็อยากกินเหล้าตอนนี้]

     

    "ไอ้เด็กนี่ กลัวตัวเองไม่เป็นตับแข็งตายหรือไงครับ ! มึงไปกินชาบูมาไม่พอใช่ไหมครับ ? ถึงได้อยากเหล้าจนโอดครวญขนาดนี้"

     

    [กินชาบูอะไรครับ ? ยังไม่ทันได้เอาเนื้อเข้าปากสักคำ ก็เจออะไรสนุกๆ จนอิ่มแล้วครับ]

     

    "สนุก ?" เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นปมกลางหน้าผากเนียน เอกสารต่างๆ ที่เขาหอบหิ้วมาในฐานะเลขาคนเก่งถูกวางทิ้งอย่างไม่ใยดีบนเบาะรถบุกำมะหยี่เนื้อดีข้างๆ คนขับหลังจากได้ยินอะไรชวนให้สงสัย "เดี๋ยวนะมินโฮ ... มึงไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้ ?"

     

    [แบบนี้แถวบ้านเรียกปลูกเผือก]

     

    "ตบปาก ! กูใส่ใจเว้ย นี่มึงเป็นน้องกูรึป่าววะ ? จะเหลาไม่เหลา ?"

     

    [เอากบเหลามา ...]

     

    "ยังๆ ยังไม่เล่าอีก เดี๋ยวกูกลับไปเอาเชคเกอร์เคาะหัวล้านๆ ของมึงแตก"

     

    [นี่น้องนะ]

     

    "นี่พี่ไง" จินอูกุมขมับอยากไว้อาลัยให้กับตัวเองที่ต้องมาแบกรับความกวนประสาทของผู้อายุน้อยกว่า แม้จะไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่เมื่อคิดถึงภาพใบหน้ากำลังยียวนขึ้นมาแล้วก็ทำให้ปวดหัวไม่น้อย "มึงบอกกูมาดีๆ ว่ามึงไปก่อเรื่องอะไรไว้ ?"

     

    [เกรี้ยวกราดมากเว่อร์] แต่ยังไงคนปลายสายก็ยังลีลาจนจินอูต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ จนสุดท้ายมินโฮที่เป็นคู่สนทนาปลายสายปล่อยหัวเราะร่วนออกมา [อ่ะๆ ไม่กวนตีนแล้วพี่มึง คือไปเจอคนคนหนึ่งมาว่ะ น่าแกล้งโคตร]

     

    "แค่น่าแกล้งหรือมึงรู้สึกดี พูดตรงๆ นะซงมินโฮ"

     

    [เห้ย ! ผู้ชายไหมพี่ อีกอย่างพี่ก็รู้ว่าผมเป็นโรคอะไรอยู่ จะให้รู้สึกดีอะไร ไม่เอาด้วยหรอก แค่ได้ยินคำถามก็ขนลุกไปหมดแล้ว]

     

    "เออ ... กูจะคอยดูแล้วกันนะครับ สุดท้ายมึงก็จะแพ้ใจตัวเอง" ต้นสายซึ่งนั่งอยู่ในรถยนต์มองเห็นร่างของเจ้านายตัวเองกำลังเดินออกมากตัวตึก หน้าที่เลขาของเขาก็ต้องเริ่มต้นอีกครั้ง "เออ ... เจอกันค่ำๆ นะมึง เจ้านายกูมาแล้ว เดี๋ยวกูขับรถกลับโซลก่อน"

     

    [โอเคพี่ ขับรถดีๆ นะเว้ย]

     

    "เออๆ แค่นี้แหละ" จินอูตัดความรำคาญก่อนจะรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง "มึง ... อย่าเอาความสนุกของตัวเองเป็นที่ตั้งนะเว้ย อย่าลืมนะว่าเขาเองก็เป็นมนุษย์ มีจิตใจเหมือนกัน เขาเจ็บปวดเป็นเหมือนกัน อย่าให้โรคกลัวความรักของมึงมาลดคุณค่าในตัวของทุกคนที่อยู่รอบข้าง มึงไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลนะ มินโฮ กูขอ ... อย่าทำให้ทั้งมึงและทุกคนที่เข้ามาในชีวิตมึงต้องเจ็บปวดเพราะสิ่งที่มึงเป็น"

     

    [เออ ... ขอบใจเว้ยพี่]

     

    "อืม"

     

    มือขาวของเลขาหนุ่มร่างเล็กเลื่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องบางออกจากใบหูพลางลอบถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายในหัวใจ จากการพูดคุยกับมินโฮผ่านคลื่นสัญญาณนั้นทำให้จินอูรู้สึกอยู่สองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เขารู้สึกดีนะเพราะอย่างน้อยมินโฮผู้เป็นเหมือนน้องชายของเขานั้นกำลังเริ่มก้าวออกจากเส้นคั่นบางๆ กั้นเอาไว้ไม่ให้สานสัมพันธ์กับคนอื่น อีกความรู้สึกหนึ่งกลับเป็นเชิงลบ จินอูรู้สึกเป็นห่วงทั้งคนของตัวเองและบุคคลที่สามซึ่งถูกพาดพิงถึง เป็นความรู้สึกห่วงใยเล็กๆ เกรงว่าจะมีเรื่องอะไรตามมาทีหลัง

     

    เลขาหนุ่มรีบเปิดประตูรถยนต์คันเล็กออกไปหวังจะเข้าไปช่วยเจ้านายของเขา 'อีซึงฮยอน' เพื่อช่วยถือกระเป๋าเอกสารเรื่องการขยายสาขาโรงแรมออกสู่ปูซาน แต่เนื่องจากเขาไม่ทันระมัดระวังจึงทำให้บานประตูเหล็กชนกระแทกกับเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินดื่มนมเปรี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเข้าเต็มเปา

     

    "เห้ย !"

     

    "โอ้ย !"

     

    ร่างของเจ้าเด็กแก้มป่องเซถลาลงไปนั่งแทบจะพับเพียบกับพื้นร้อน ส่วนขวดน้ำเปรี้ยวของโปรดนั้นได้กระเด็นจนหกเลอะเกลื่อนถนน จินอูผู้สร้างสถานการณ์รีบพุ่งตัวลงไปดูอาการเจ็บของเด็กน้อยอย่างตื่นกลัว รวมถึงซึงฮยอนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบวิ่งเข้ามาช่วยอีกแรง

     

    "เป็นไงบ้างเนี้ย ?"


    "จะ ... เจ็บ" สีหน้าเหยเกบนหน้าขาวขึ้นสีแดงจัดจนจินอูและซึงฮยอนรู้ทันทีว่าเด็กตัวสูงนั้นเจ็บปวดไม่น้อย "เอวผม หลังผม ขาผม ... ฮือ ... เจ็บไปหมดเลยครับ"

     

    แพขนตาภายใต้เปลือกตาขาวนั้นชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาอุ่นๆ มันคงกำลังระบายความเจ็บปวดมากมายออกมาจนกลั้นเอาไว้ไม่ไหว จินอูรีบจับข้อมือของเด็กตัวโตก่อนคล้องพาดกับท้ายทอยของตนหวังช่วยพยุงไม่ให้ทำท่าทีสำออยบ่นครวญครางถึงความเจ็บปวด

     

    "ค่อยๆ ลุกนะ"

     

    "แต่ผมเจ็บอยู่นะ"

     

    "ก็กำลังจะพาไปส่งโรงพยาบาลอยู่นี่ไง"

     

    "แต่ผม ..."

     

    "ถ้าจะบอกว่าเกรงใจ ไม่ต้องเลยนะ เรื่องนี้ฉันเป็นคนผิด ยังไงก็จะต้องพานายไปรักษาตัว ห้ามดื้อ ห้ามปฏิเสธความรับผิดชอบของฉัน" เจ้าของใบหน้าหวานดุน้อยๆ จนเด็กร่างโตเถียงไม่ออก ทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นปาดน้ำตารื้นร้อนผ่าวๆ ตามขอบดวงตาออก "เจ้านายครับ ... รบกวนเปิดประตูรถให้ผมหน่อยครับ !"

     


     

    กลิ่นยาฆ่าเชื้อลอยคลุ้งไปในอากาศจนซึงยุนรู้สึกแสบจมูกไปเสียหมด หลังจากการตรวจรักษานั้นเขาไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงจนต้องเข้าเฝือกหนาหรือนอนโรงพยาบาล มีเพียงรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวซึ่งถูกกระแทกอย่างรุนแรงและอาการปวดหนึบๆ บริเวณที่โดนกระแทกเท่านั้น คุณหมอเพียงแค่จัดการฉีดยาแก้ปวดและจัดยาให้ทานเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น ซึ่งใช้เวลาไม่กี่วันก็จะหายเป็นปกติ

     

    แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนกระดูกนั้นร้าวระบมราวจะแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ

     

    ร่างสูงโปร่งค่อยๆ พยุงตัวเองให้ออกมาจากห้องฉุกเฉินอย่างยากลำบาก มือขาวที่ขึ้นสีแดงจัดนั้นแปะป่ายไปตามผนังสีสะอาดและเย็นเยือกเนื่องด้วยอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ ตาเล็กกวาดไปมาเพื่อหาร่างของชายสองคนเมื่อไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นคนจากเมืองหลวง

     

    แต่ก็ไม่พบร่างของบุคคลทั้งสอง ไม่เห็นแม้แต่เงา ...

     

    "หายไปไหนนะ ?"

     

    "อ่ะ !" ถุงพลาสติกขนาดกลางๆ บรรจุนมเปรี้ยวหลากรสหากนับดูแล้วก็ราวๆ สิบขวดถูกยื่นพาดผ่านลาดไหล่ไปทางด้านหน้าเด็กหนุ่ม ซึงยุนตกใจจนต้องรีบหันไปตามท่อนแขนเล็กซึ่งสวมทับด้วยสูทสีดำสนิท ตาเล็กเบิกโพลงจนแทบถลนเรียกขวัญกลับมาแทบไม่ทัน "ตกใจยังกะเห็นผี จะเอาไม่เอา ? นี่ซื้อมาชดเชยที่ทำนมเปรี้ยวของนายหก"

     

    "เอ่อ ... ขะ ขอบคุณครับ"

     

    "แล้วน้องเป็นยังไงบ้าง ?"

     

    ไม่ใช่ชายหน้าหวานตัวเล็กผิวขาวเอ่ยปากถาม กลับเป็นอีกคนซึ่งถูกเรียกว่า 'เจ้านาย' ส่งคำถามมาหาเขา ซึงยุนส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนตอบคำถามด้วยมารยาท

     

    เพราะแม่และพี่ชายสอนเสมอว่าพูดคุยกับผู้ใหญ่อย่าพยักหน้าหรือส่ายหน้าเพียงอย่างเดียว มันจะเสียมารยาทและทำให้ดูไม่ดีด้วย

     

    "ไม่เป็นอะไรแล้วครับ หมอฉีดยาให้ผมแล้ว นี่ผมก็กำลังไปเอายา ..."

     

    "เอามานี่ เดี๋ยวฉันจัดการเอง"

     

    "ไม่เป็นไรครับ แค่นมเปรี้ยว ..."

     

    "ทำไมนายต้องดื้อด้วยเนี้ย ?" ตากลมโตราวกับลูกกวางแสนเชื่องบัดดี้กำลังพยศ ซึงยุนลอบกลืนก้อนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อเห็นหน้าดุๆ ของชายกายเล็ก จำใจต้องยื่นเอกสารต่างๆ ลงบนมือบางที่ถูกยื่นส่งมาตรงหน้าช้าๆ "นั่งรอกับเจ้านายฉันก่อนนะ เดี๋ยวจัดการเรื่องค่ารักษาและยาทุกอย่างเสร็จจะพากลับไปส่งบ้าน"

     

    "ผมเกรงใจพวกพี่จัง"

     

    "ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ลูกน้องพี่ทำนายเจ็บ ยังไงก็ต้องรับผิดชอบ"

     

    "ยังไงก็ต้องขอบคุณพวกพี่นะครับ เอ่อ ... ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมคังซึงยุนครับ"

     

    "พี่ชื่ออีซึงฮยอน ส่วนคนที่วิ่งไปโน่นแล้วน่ะ คิมจินอู เป็นเลขาส่วนตัวของพี่เอง"

     


     

    ขอไซเรนท์กรี๊ดให้กับความมินโฮหน่อยนะคะ

     

    กรี๊ดดดดดดดด !

     

    ความใจกล้าหน้าด้านขอที่อยู่คนอื่นทั้งๆ ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนี่มันยังไงกันคะ ? ยังไงกัน ยังไงเอ่ย ?

     

    ทำไมไซเรนท์ใจร้ายปล่อยให้ทั้งคุณมินโฮและคุณซึงฮุน รวมถึงคุณซึงยุนและคุณจินอูเจอกันเพราะอุบัติเหตุและความบังเอิญด้วยเนี้ย ? 5555555

     

    แต่อย่างน้อยเขาก็เจอกันแล้วค่ะคุณ

     

    คุณมินโฮเขาคิดจะทำอะไรคุณซึงฮุนนะ ?

     

    แล้วคุณจินอูนั้นภายใต้ความเข้มแข็งและมาดแมนจะสยบลงเพราะเจ้าเด็กแก้มป่องหรือเปล่านะ ?

     

    ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ ^^

     

    #DAYNIGHTSTORY

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×