คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : CHAPTER 2 :: BAD DAY OR GREAT DAY ::
[#MINHOON
#WINNER] :: DAY & NIGHT ::
CHAPTER 2 :: BAD DAY OR GREAT DAY ? ::
กายสูงโปร่งของซึงฮุนสวมด้วยเสื้อเชิ้ตสีเทาอ่อนแขนยาวก่อนถูกทับด้วยสูทสีดำอีกชั้นหนึ่ง
เสียงส้นรองเท้าหนังกระทบกับพื้นซีเมนต์สีหม่นดังเป็นจังหวะตามที่ขายาวๆ
ก้าวอย่างมั่นคงทีละก้าว ไอแดดอบอุ่นของช่วงเช้าราวๆ
เก้านาฬิกาทอแสงสัมผัสร่างกายก่อนตกกระทบเป็นเงาสีดำสนิทบนพื้นซีเมนต์หม่น
ผู้คนในเมืองหลวงมักไม่ทักทายกันด้วยสภาพสังคมที่ต้องวิ่งแข่งกับเวลาและความหลากหลายทางชาติพันธ์
แต่ถึงอย่างนั้นซึงฮุนก็มักจะส่งรอยยิ้มทักทายกับเหล่าคุณป้าขายขนมและผลไม้ริมทาง
คุณลุงที่ออกมาวิ่งจ๊อกกิ้ง
หรือแม้แต่สุนัขหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูที่เจ้าของชอบพาออกมาเดินเล่นบริเวณสวนสาธารณะละแวกคอนโดตึกสูงที่เขาพักอาศัยอยู่
อย่างที่บอก
ถ้าไม่มีอะไรมากระทบจิตใจทำให้ซึงฮุนกลัว หรือถ้ายังไม่ถึงช่วงเวลาฟ้าหมอง
เขาก็คือคนปกติทั่วๆ ไป ไม่ใช่คนป่วยต้องอยู่ใกล้หมอนอนโรงพยาบาลตลอดเวลา
แซนวิชแฮมชีสอาหารเช้าง่ายๆ
ถูกส่งเข้าปากก่อนแก้มนุ่มฟูจะขยับตามจังหวะการเคี้ยวอาหารภายใน
เมื่อแซนวิชถูกทานจนเกลี้ยงซึงฮุนก็เลือกดื่มเอสเพรสโซร้อนๆ
เพื่อไล่อาการฝืดคอแม้เขาจะยังเดินอยู่ริมฟุตบาท
เนื่องจากออฟฟิศของเขาอยู่ไม่ไกลจากคอนโดที่พักอาศัยมากนัก
การเดินไปและกลับจากการทำงานจึงเป็นเรื่องปกติที่ทำเป็นกิจวัตรประจำวันไปแล้ว
พนักงานฝ่ายขายอย่างเขาวันหนึ่งๆ
วุ่นวายอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ที่ดังเข้ามาไม่ขาดสาย
รวมถึงการเข้าประชุมทีม พบปะลูกค้าบ้าง และเอกสารกองโตที่ต้องจัดการ
งานแสนวุ่นวายในแต่ละวันนั้นทำให้ซึงฮุนรู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย
แต่อย่างนั้นก็ยังดีกว่าการอยู่คนเดียว
ไม่มีอะไรทำและคิดฟุ้งซ่านในห้วงอดีตซึ่งมักจะคอยมาตอกย้ำให้รู้สึกแย่เมื่อไรก็ได้
งานในช่วงเช้านั้นมีมากมายจนเขาต้องรีบจัดการจนไม่อาจเหลือบมองนาฬิกาแม้จะถูกประดับไว้บนข้อมือขาวก็ตาม
ชีวิตคนเมืองนั้นต้องแข่งกับเวลาจนซึงฮุนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตไปบ้าง
ไม่อย่างนั้นอาจจะไล่ตามไม่ทันและอาจตกเป็นผู้แพ้ในตอนท้ายก็ว่าได้
จนเวลาล่วงเลยถึงเที่ยงวัน
ช่วงที่เข็มนาฬิกาทั้งสั้นและยาวซ้อนทับกันตรงเลขสิบสอง
"พี่ซึงฮุน เที่ยงแล้ว ไปทานข้าวกันค่ะ"
เสียงเล็กๆ ของพนักงานสาว 'คิมจีซู' ดังขึ้นเรียกความสนใจจากซึงฮุนให้เบือนหน้าหนีออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์หลังจากจดจ่อพิมพ์เอกสารนานหลายชั่วโมง
ริมฝีปากทรงกระจับสีชมพูราวดอกกุหลาบแย้มยิ้มด้วยความจริงใจ
จีซูคงเป็นเพื่อนร่วมงานที่ซึงฮุนสนิทมากสุดแล้วในบริษัท ด้วยความน่ารัก ยิ้มเก่ง
มุ่งมั่น และอัธยาศัยดีทำให้สาวน้อยคนนี้เป็นที่รักของทุกคน
"อ่า ... ไปสิ"
ชายหนุ่มจัดการปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
เลื่อนมือปิดแฟ้มเอกสารต่างๆ ซึ่งเขาเปิดเอาไว้จนเกลื่อนโต๊ะก่อนลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกบริษัทพร้อมจีซูเพื่อหาอะไรลงท้องว่างเปล่าหลังจากกระเพาะอาหารทำการย่อยแซนวิชชิ้นเล็กไปเมื่อตอนเช้า
ร้านชาบูเล็กๆ ในห้างสรรพสินค้า
ถูกเลือกให้เป็นมื้อหนักของวันโดยจีซู
เนื่องจากผู้เป็นน้องสาวรู้ดีว่าคนพี่นั้นไม่กล้าออกจากบ้านในยามวิกาล
จึงพามาทานมื้อใหญ่เป็นมื้อกลางวันแทน
สารพัดอาหารคาวต่างๆ ถูกวางลงบนโต๊ะหิน
หม้อขนาดเล็กตรงกลางระหว่างสองบุคคลต้มน้ำจนเดือดปุดๆ
ไม่ช้าจีซูรีบจัดการคีบเนื้อสัตว์และผักต่างๆ ลงไปในน้ำซุปร้อน
ก่อนจะรีบปิดฝาเสร็จสรรพเพื่อรอให้อาหารสุก
"จีซู พี่ไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ"
"อ่า ... ได้ค่ะพี่
รีบไปรีบมานะคะ"
ชายหนุ่มเจ้าของกายสูงเลื่อนเก้าอี้ออกก่อนยืดตัวยืนเต็มความสูง
ความสูงระดับหนึ่งร้อยแปดสิบสองเซนติเมตรของเขานั้นเป็นจุดสนใจของผู้คนไม่น้อย
สองขายาวทอดน่องด้วยความอารมณ์ดี ห้างสรรพสินค้าเวลาเที่ยงกว่าๆ
มักมีผู้คนไม่น้อยเดินเข้าออกจนแทบชนไหล่ บ้างมาทานข้าวมื้อกลางวันอย่างเช่นเขา
บ้างมาเดินเล่น
บ้างมาเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้เข้าบ้านหรือสินค้าฟุ่มเฟือยเพื่อสนองกิเลสของตัวเอง
ซึงฮุนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาก่อนพิมพ์ข้อความรายงานน้องชายเฉกเช่นที่เคยทำทุกวัน
'วันนี้ออกมากินข้าวเที่ยงกับจีซู
นายกินข้าวยัง ?'
เรียวปากบางระบายรอยยิ้มเมื่อเห็นว่าน้องชายคนเก่งอ่านข้อความอย่างรวดเร็ว
แต่เพราะการเดินก้มหน้าก้มตาสนใจแต่การแชทผ่านแอปพลิเคชันชื่อดังจนไม่ทันสังเกตว่ามีใครอีกคนเดินอยู่ตรงหน้าเขา
บุคคลสวมชุดสีดำสนิททั้งตัว
รวมทั้งสแนปแบคปิดเส้นผมย้อมเป็นสีเหลืองสว่าง ผ้าปิดปาก
และรองเท้าหุ้มข้อก็ยังไม่วายเป็นสีดำซึ่งเดินก้มหน้าไม่ต่างกัน
โครม !
โทรศัพท์มือถือของซึงฮุนหล่นกระแทกกับพื้นจนหน้าจอเป็นรอยแตกร้าวแม้จะมีเคสคอยป้องกันความเสียหาย
ซ้ำยังกระเด็นไกลออกไปราวๆ หนึ่งเมตร
กายบางล้มก้นกระแทกกับพื้นอย่างจังจนเจ็บปวดไปทั่วทั้งสะโพกและช่วงหลัง
ไม่ต่างกันกับชายชุดดำแต่งตัวมีพิรุธราวกับจะมาจี้ปล้นร้านค้าเสียมากกว่าการมาเที่ยวพักผ่อนอย่างใครคนอื่นเขา
หากแต่ชายกายหนากว่าลุกขึ้นยืนอย่างมั่นคงได้ก่อน
"เดินยังไงของนายเนี้ย ?"
น้ำเสียงทุ้มต่ำกดถามอู้อี้ผ่านเนื้อผ้าของหน้ากากซึ่งทำจากผ้าเนื้อบาง
ตาเรียวยังคงหลุบต่ำมองซึงฮุนไม่ละสายตา
ความหยาบคายผ่านน้ำเสียงและท่าทางวางมาดนั้นมันช่างขัดหูขัดตาซึงฮุนจนต้องลุกขึ้นมาโต้ตอบบ้างหวังให้เป็นบทเรียน
"นี่ ! เดินชนกันเขาทำปฏิกิริยาหยาบคายใส่กันอย่างนี้หรอ
?"
เมื่อลุกจากพื้นแข็งๆ ได้
ซึงฮุนก็เริ่มปะทะคารมใส่คู่กรณีอย่างไม่คิดยอมแพ้
แม้อีกคนจะมีรังสีความมืดมนแบบที่เจ้าตัวเกรงกลัว
หัวใจของคนตัวบางกระตุกวูบก่อนเร่งจังหวะให้เพิ่มมากขึ้นหลังจากสบเข้าดวงตาซุกซ่อนภายใต้ปีกหมวกสีมืด
แววตาอันตรายจนแทบอยากถดถอยหนี
แต่สุดท้ายก็พยายามควบคุมสติตัวเองหวังจะสั่งสอนบทเรียนบางอย่างให้กับคนไร้มารยาทสักหน่อย
แต่อีกคนกลับไม่สะทกสะท้านกับคำปราม
ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกงยีนส์ที่สวมใส่อยู่แล้วสไลด์หน้าจอรับอย่างหน้าตาเฉย
"ว่าไงพี่ ? คนเรามันก็ต้องมีเปลี่ยนบรรยากาศบ้างสิวะ
จะให้กินแต่อาหารส่งเดลิเวอรี่ทุกวันก็เบื่อตาย ..."
ท่าทางกวนสะกิดอวัยวะเบื้องล่างยังคงมีประกายออกมาให้เห็นจากชายปริศนา
ไร้คำขอโทษ ไร้คำสำนึกผิด
และการเดินหนีไปอย่างหน้าตาเฉยคือสิ่งที่ซึงฮุนได้รับเป็นการตอบแทน เขาจิ๊ปากพลางลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้แล้วบอกตัวเองว่าอย่าไปใส่ใจกับคนแบบนั้น
ก้มหน้าเก็บโทรศัพท์มือถือสภาพย่ำแย่ของตัวเองแล้วเดินตรงเข้าห้องน้ำซึ่งอยู่ด้านในมุมสุดติดลานจอดรถของตัวห้างด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
พลางสะกดจิตให้ตัวเองใจเย็นเข้าไว้
อย่าไปสนใจคนไร้มารยาทนั้นเลย ...
หม้อชาบูเดือดส่งให้ควันสีขาวร้อนลอยขึ้นเหนือเตาก่อนหายไปกับอากาศตรงหน้าชายหนุ่มหน้าตาคมคายจนเรียกให้สาวๆ
เกือบทั้งร้านหันไปมองเป็นสายตาเดียวกัน
เจ้าตัวถอดหน้ากากคาดปิดปากสีดำสนิทออกวางไว้บนโต๊ะ
มือขวาของเขายังคงคีบคู่ตะเกียบเอาไว้เพื่อใช้เป็นอาวุธส่งอาหารเข้าปาก
หลังจากวางสายจากจินอูแล้ว
มินโฮก็เดินเข้าร้านชาบูในช่วงเวลาที่ไม่ค่อยเหมาะกับตัวเองสักเท่าไร
หงุดหงิดอยู่ไม่น้อยที่เจ้าท้องบ้าดันร้องจนเขาไม่เป็นอันหลับอันนอน
แต่ถ้าจะให้เขาสั่งอาหารมากินที่บ้านอย่างเคยๆ มันก็เป็นอะไรที่แสนน่าเบื่อกับเมนูเดิมๆ
อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าตัวเองนั้นเริ่มอ้วนขึ้นเพราะไก่ทอด พิซซ่า
หรืออาหารจัดส่งเต็มไปด้วยไขมันและคาร์โบไฮเดรตสูงเกินค่ามาตรฐาน
"ทำไมพี่ไปนานจัง ? ผักในหม้อโดนต้มจนเปื่อยหมดแล้วนะคะ"
"อ่า ...
พอดีเกิดเรื่องหน้าห้องน้ำนิดหน่อยน่ะ กินกันเถอะจีซู เดี๋ยวกลับไปทำงานช่วงบ่ายไม่ทันนะ"
เสียงแว่วๆ ที่มินโฮได้ยินอยู่ไกลๆ
ช่างคุ้นหูจนเจ้าตัวต้องหันกลับไปมองทางต้นเสียงด้วยความสนใจ
เมื่อพบกับเจ้าของใบหน้าตี๋คู่ตะเกียบก็ถูกวางบนโต๊ะเคียงกับชามกลมมนใบเล็ก
เรียวมุมปากหยักยกยิ้มเมื่อเห็นชายร่างบางนั่งเคี้ยวอาหารจนแก้มตุ่ย
มือหนาเลื่อนหยิบหน้ากากผ้าสำหรับปิดปากบนโต๊ะมากำใส่กระเป๋าเสื้อแขนยาวไว้ก่อนทอดน่องอย่างสบายๆ
ไปทิ้งตัวลงนั่งข้างเหยื่อที่เขาเพิ่งคิดจะทำอะไรสนุกๆ ได้สักพัก
"..."
"พะ ... พี่มินโฮนี่ !"
"หืม ? จีซู
เธอรู้จักไอ้คนหยาบคายคนนี้ด้วยหรอ ?"
"นี่แร๊ปเปอร์ดังประจำคลับ BW
ย่านฮงแดเลยนะคะพี่"
สาวน้อยเพียงคนเดียวซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มร่างใหญ่ทั้งสองทำตาโตราวกับจะถลนออกมานอกเบ้า
ความตื่นเต้นที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับหนุ่มหล่อสองคนแม้บุคลิกจะต่างกันนั้นก็ทำให้เรียวปากทรงกระจับสวยงามนั้นฉีกยิ้มกว้างจนเป็นรูปหัวใจน่ารัก
สีหน้าบ่งบอกว่าดีใจไม่น้อยที่ได้ร่วมโต๊ะกับหนึ่งหนุ่มสุภาพอ่อนโยนอบอุ่นราวไมโครเวฟและอีกหนึ่งหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้สามารถฆ่าสาวๆ
ได้เพียงแค่สบสายตารวมถึงรูปร่างติดจะหนาเคลือบแฝงไปด้วยศิลปะบนผิวกายสีน้ำผึ้ง
"สะ สวัสดีค่ะพี่ไมโน"
"ครับ"
"ชิ ครับ สะตอซะไม่มี"
"ว่าไงนะครับ ?"
เจ้าของคำสบถเมื่อครู่วางตะเกียบที่อยู่ในมือขาวลงบนปากชามก่อนจะเลื่อนมือไปคว้าแก้วชาเขียวเย็นขึ้นมาดื่มอย่างรวดเร็ว
ซึงฮุนเหลียวมองหน้าหล่อๆ สไตล์แบดบอยของแขกไม่ได้รับเชิญด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง
รอยยิ้มมุมปากนั้นช่างกวนอวัยวะเบื้องล่างจนอยากเอาขึ้นมาประทับให้เลิกยิ้มแบบนั้นเสียที
"จีซู กลับกันเถอะ"
"แต่พี่ซึงฮุนคะ เรายังทาน ..."
"นายชื่อซึงฮุนหรอ ?"
"กรุณาเรียกผมว่าคุณอี
ผมนามสกุลอี" แม้จะโดนตอกกลับต่อหน้า
แต่มินโฮกลับหน้าด้านพอที่จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรซ้ำยังยิ้มเย้ยจนหน้าคมคายนั้นฉายแววกวนประสาท
"จีซู กลับกันเถอะ"
"แต่ว่า ..."
"ไม่มีแต่ กลับไปทำงานกัน"
"อ่า ... ก็ได้ค่ะ"
หญิงสาวเพียงคนเดียวลุกขึ้นด้วยอาการอิดออดแล้วเริ่มออกวิ่งตามชายหนุ่มร่างสูงโปร่งไป
มินโฮแอบหัวเราะหึก่อนลุกตามไปที่แคชเชียร์ซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูของร้านพร้อมชักแบล็คการ์ดขึ้นมากระแทกวางลงบนถาดตรงหน้าพนักงานของร้านที่กำลังกดเลขคำนวณมูลค่าของอาหาร
"สำหรับสองโต๊ะครับ"
"ไม่จำเป็น"
"ดูปากครับ ผม จะ จ่าย ให้
เก็บเงินสดนั้นลงกระเป๋าไปซะ !"
เจ้าของกายหนาอารมณ์ดีขึ้นเป็นสองเท่าเมื่อยียวนชวนให้อีกคนรู้สึกไม่พอใจ
หน้าขาวแดงก่ำเพราะความโมโหจนเลือดในกายพร้อมใจกันขึ้นหน้า
มือของซึงฮุนที่กำลังชักธนบัติขึ้นพร้อมจ่ายค่าอาหารนั้นกระแทกกลับเข้าไปในกระเป๋าสตางค์ใบเล็กดังเดิมจนกระดาษที่มีมูลค่าเหล่านั้นยับยู่
"จะเอายังไง ?"
"ไม่เอายังไง ... แค่ ... นายมันน่าแกล้ง"
"ไอ้ ..."
คนโดนกวนประสาทพยายามควบคุมสติตัวเองให้สงบนิ่งเท่าที่จะทำได้ ต้องขอบคุณจีซู
หญิงอีกคนซึ่งถูกทิ้งไว้จนแทบลืมที่เข้ามากอดแขนพร้อมลูบหลังของเขาเบาๆ
จนได้สติก่อนจะฟิวส์ขาดไปมากกว่านี้ "งั้นเอาเลขบัญชีของนายมา
เดี๋ยวโอนจ่ายคืนให้ทีหลัง"
มินโฮยกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยั่นอีกครั้งก่อนเดินเข้ามาประชิดร่าง
คู่สนทนาตัวสูงกว่าเพียงสองเซนติเมตรจึงไม่ลำบากเลยที่จะยืดตัวไปกระซิบเบาๆ
ที่ข้างหู
"ไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินหรอก
แค่บอกที่อยู่ของนายมาก็พอ"
[เมื่อไหร่พี่จินอูจะกลับมา
อยากกินเหล้าฝีมือพี่มากครับ]
เสียงออดอ้อนดังมาตามสัญญาณโทรศัพท์แต่มันช่างน่าขยะแขยงไม่น้อยสำหรับคนฟัง
จินอูคิดสภาพหน้าตาหล่อเหลาคมเข้มมาดแมนสไตล์แบดบอยของมินโฮทำหน้าตาบ๊องแบ๊วเข้ากับเสียงแอ๊บแบ๊วแล้วเส้นขนทั้งหลายตามผิวหนังนั้นก็พร้อมใจกันตั้งชันไปหมด
มือบางแทบเลื่อนเอาโทรศัพท์ออกจากหูหวังทำใจให้ตัวเองไม่รู้สึกหวาดกลัวรุ่นน้องนามมินโฮสักพักก่อนแนบเครื่องมือสื่อสารกับใบหูดังเดิม
"ใจเย็นมึง นี่มันเพิ่งบ่ายสอง
กูก็มีการมีงานทำไหมครับ ? ไม่เหมือนมึงนะที่จะร้องเพลงคืนละสองสามเพลง
ซดเหล้า แล้วหลับไป" จินอูลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนเริ่มบทสนทนาต่อไป
"อีกอย่าง กูมาจัดการงานที่ปูซานแค่แป๊บเดียว ไม่ได้ไปต่างประเทศ
กูขับรถมาเอง อีกสองสามชั่วโมงกูก็จะกลับไปมอมเหล้ามึงแล้วครับ
มึงอย่าเพิ่งใจร้อนอยากเมาแต่หัววันครับ"
[แต่ก็อยากกินเหล้าตอนนี้]
"ไอ้เด็กนี่
กลัวตัวเองไม่เป็นตับแข็งตายหรือไงครับ ! มึงไปกินชาบูมาไม่พอใช่ไหมครับ ? ถึงได้อยากเหล้าจนโอดครวญขนาดนี้"
[กินชาบูอะไรครับ ? ยังไม่ทันได้เอาเนื้อเข้าปากสักคำ
ก็เจออะไรสนุกๆ จนอิ่มแล้วครับ]
"สนุก ?" เรียวคิ้วบางขมวดเข้าหากันจนแทบผูกเป็นปมกลางหน้าผากเนียน
เอกสารต่างๆ
ที่เขาหอบหิ้วมาในฐานะเลขาคนเก่งถูกวางทิ้งอย่างไม่ใยดีบนเบาะรถบุกำมะหยี่เนื้อดีข้างๆ
คนขับหลังจากได้ยินอะไรชวนให้สงสัย "เดี๋ยวนะมินโฮ ...
มึงไปสร้างวีรกรรมอะไรไว้ ?"
[แบบนี้แถวบ้านเรียกปลูกเผือก]
"ตบปาก ! กูใส่ใจเว้ย นี่มึงเป็นน้องกูรึป่าววะ
? จะเหลาไม่เหลา ?"
[เอากบเหลามา ...]
"ยังๆ ยังไม่เล่าอีก
เดี๋ยวกูกลับไปเอาเชคเกอร์เคาะหัวล้านๆ ของมึงแตก"
[นี่น้องนะ]
"นี่พี่ไง"
จินอูกุมขมับอยากไว้อาลัยให้กับตัวเองที่ต้องมาแบกรับความกวนประสาทของผู้อายุน้อยกว่า
แม้จะไม่ได้อยู่ตรงหน้า แต่เมื่อคิดถึงภาพใบหน้ากำลังยียวนขึ้นมาแล้วก็ทำให้ปวดหัวไม่น้อย
"มึงบอกกูมาดีๆ ว่ามึงไปก่อเรื่องอะไรไว้ ?"
[เกรี้ยวกราดมากเว่อร์]
แต่ยังไงคนปลายสายก็ยังลีลาจนจินอูต้องถอนหายใจออกมาแรงๆ
จนสุดท้ายมินโฮที่เป็นคู่สนทนาปลายสายปล่อยหัวเราะร่วนออกมา [อ่ะๆ ไม่กวนตีนแล้วพี่มึง
คือไปเจอคนคนหนึ่งมาว่ะ น่าแกล้งโคตร]
"แค่น่าแกล้งหรือมึงรู้สึกดี พูดตรงๆ
นะซงมินโฮ"
[เห้ย ! ผู้ชายไหมพี่
อีกอย่างพี่ก็รู้ว่าผมเป็นโรคอะไรอยู่ จะให้รู้สึกดีอะไร ไม่เอาด้วยหรอก
แค่ได้ยินคำถามก็ขนลุกไปหมดแล้ว]
"เออ ... กูจะคอยดูแล้วกันนะครับ
สุดท้ายมึงก็จะแพ้ใจตัวเอง"
ต้นสายซึ่งนั่งอยู่ในรถยนต์มองเห็นร่างของเจ้านายตัวเองกำลังเดินออกมากตัวตึก
หน้าที่เลขาของเขาก็ต้องเริ่มต้นอีกครั้ง "เออ ... เจอกันค่ำๆ นะมึง
เจ้านายกูมาแล้ว เดี๋ยวกูขับรถกลับโซลก่อน"
[โอเคพี่ ขับรถดีๆ นะเว้ย]
"เออๆ แค่นี้แหละ" จินอูตัดความรำคาญก่อนจะรู้สึกสะกิดใจอะไรบางอย่าง
"มึง ... อย่าเอาความสนุกของตัวเองเป็นที่ตั้งนะเว้ย
อย่าลืมนะว่าเขาเองก็เป็นมนุษย์ มีจิตใจเหมือนกัน เขาเจ็บปวดเป็นเหมือนกัน
อย่าให้โรคกลัวความรักของมึงมาลดคุณค่าในตัวของทุกคนที่อยู่รอบข้าง
มึงไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาลนะ มินโฮ กูขอ ...
อย่าทำให้ทั้งมึงและทุกคนที่เข้ามาในชีวิตมึงต้องเจ็บปวดเพราะสิ่งที่มึงเป็น"
[เออ ... ขอบใจเว้ยพี่]
"อืม"
มือขาวของเลขาหนุ่มร่างเล็กเลื่อนโทรศัพท์มือถือเครื่องบางออกจากใบหูพลางลอบถอนใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่ายในหัวใจ
จากการพูดคุยกับมินโฮผ่านคลื่นสัญญาณนั้นทำให้จินอูรู้สึกอยู่สองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เขารู้สึกดีนะเพราะอย่างน้อยมินโฮผู้เป็นเหมือนน้องชายของเขานั้นกำลังเริ่มก้าวออกจากเส้นคั่นบางๆ
กั้นเอาไว้ไม่ให้สานสัมพันธ์กับคนอื่น อีกความรู้สึกหนึ่งกลับเป็นเชิงลบ
จินอูรู้สึกเป็นห่วงทั้งคนของตัวเองและบุคคลที่สามซึ่งถูกพาดพิงถึง
เป็นความรู้สึกห่วงใยเล็กๆ เกรงว่าจะมีเรื่องอะไรตามมาทีหลัง
เลขาหนุ่มรีบเปิดประตูรถยนต์คันเล็กออกไปหวังจะเข้าไปช่วยเจ้านายของเขา
'อีซึงฮยอน' เพื่อช่วยถือกระเป๋าเอกสารเรื่องการขยายสาขาโรงแรมออกสู่ปูซาน
แต่เนื่องจากเขาไม่ทันระมัดระวังจึงทำให้บานประตูเหล็กชนกระแทกกับเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งที่กำลังเดินดื่มนมเปรี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยเข้าเต็มเปา
"เห้ย !"
"โอ้ย !"
ร่างของเจ้าเด็กแก้มป่องเซถลาลงไปนั่งแทบจะพับเพียบกับพื้นร้อน
ส่วนขวดน้ำเปรี้ยวของโปรดนั้นได้กระเด็นจนหกเลอะเกลื่อนถนน
จินอูผู้สร้างสถานการณ์รีบพุ่งตัวลงไปดูอาการเจ็บของเด็กน้อยอย่างตื่นกลัว
รวมถึงซึงฮยอนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดรีบวิ่งเข้ามาช่วยอีกแรง
"เป็นไงบ้างเนี้ย ?"
"จะ ... เจ็บ"
สีหน้าเหยเกบนหน้าขาวขึ้นสีแดงจัดจนจินอูและซึงฮยอนรู้ทันทีว่าเด็กตัวสูงนั้นเจ็บปวดไม่น้อย
"เอวผม หลังผม ขาผม ... ฮือ ... เจ็บไปหมดเลยครับ"
แพขนตาภายใต้เปลือกตาขาวนั้นชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาอุ่นๆ
มันคงกำลังระบายความเจ็บปวดมากมายออกมาจนกลั้นเอาไว้ไม่ไหว
จินอูรีบจับข้อมือของเด็กตัวโตก่อนคล้องพาดกับท้ายทอยของตนหวังช่วยพยุงไม่ให้ทำท่าทีสำออยบ่นครวญครางถึงความเจ็บปวด
"ค่อยๆ ลุกนะ"
"แต่ผมเจ็บอยู่นะ"
"ก็กำลังจะพาไปส่งโรงพยาบาลอยู่นี่ไง"
"แต่ผม ..."
"ถ้าจะบอกว่าเกรงใจ ไม่ต้องเลยนะ
เรื่องนี้ฉันเป็นคนผิด ยังไงก็จะต้องพานายไปรักษาตัว ห้ามดื้อ
ห้ามปฏิเสธความรับผิดชอบของฉัน" เจ้าของใบหน้าหวานดุน้อยๆ
จนเด็กร่างโตเถียงไม่ออก ทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นปาดน้ำตารื้นร้อนผ่าวๆ
ตามขอบดวงตาออก "เจ้านายครับ ... รบกวนเปิดประตูรถให้ผมหน่อยครับ !"
กลิ่นยาฆ่าเชื้อลอยคลุ้งไปในอากาศจนซึงยุนรู้สึกแสบจมูกไปเสียหมด
หลังจากการตรวจรักษานั้นเขาไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงจนต้องเข้าเฝือกหนาหรือนอนโรงพยาบาล
มีเพียงรอยฟกช้ำตามเนื้อตัวซึ่งถูกกระแทกอย่างรุนแรงและอาการปวดหนึบๆ
บริเวณที่โดนกระแทกเท่านั้น
คุณหมอเพียงแค่จัดการฉีดยาแก้ปวดและจัดยาให้ทานเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น
ซึ่งใช้เวลาไม่กี่วันก็จะหายเป็นปกติ
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็รู้สึกเหมือนกระดูกนั้นร้าวระบมราวจะแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ
ร่างสูงโปร่งค่อยๆ
พยุงตัวเองให้ออกมาจากห้องฉุกเฉินอย่างยากลำบาก
มือขาวที่ขึ้นสีแดงจัดนั้นแปะป่ายไปตามผนังสีสะอาดและเย็นเยือกเนื่องด้วยอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ
ตาเล็กกวาดไปมาเพื่อหาร่างของชายสองคนเมื่อไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นคนจากเมืองหลวง
แต่ก็ไม่พบร่างของบุคคลทั้งสอง
ไม่เห็นแม้แต่เงา ...
"หายไปไหนนะ ?"
"อ่ะ !" ถุงพลาสติกขนาดกลางๆ
บรรจุนมเปรี้ยวหลากรสหากนับดูแล้วก็ราวๆ
สิบขวดถูกยื่นพาดผ่านลาดไหล่ไปทางด้านหน้าเด็กหนุ่ม
ซึงยุนตกใจจนต้องรีบหันไปตามท่อนแขนเล็กซึ่งสวมทับด้วยสูทสีดำสนิท
ตาเล็กเบิกโพลงจนแทบถลนเรียกขวัญกลับมาแทบไม่ทัน "ตกใจยังกะเห็นผี
จะเอาไม่เอา ? นี่ซื้อมาชดเชยที่ทำนมเปรี้ยวของนายหก"
"เอ่อ ... ขะ ขอบคุณครับ"
"แล้วน้องเป็นยังไงบ้าง ?"
ไม่ใช่ชายหน้าหวานตัวเล็กผิวขาวเอ่ยปากถาม
กลับเป็นอีกคนซึ่งถูกเรียกว่า 'เจ้านาย' ส่งคำถามมาหาเขา ซึงยุนส่ายหน้าน้อยๆ ก่อนตอบคำถามด้วยมารยาท
เพราะแม่และพี่ชายสอนเสมอว่าพูดคุยกับผู้ใหญ่อย่าพยักหน้าหรือส่ายหน้าเพียงอย่างเดียว
มันจะเสียมารยาทและทำให้ดูไม่ดีด้วย
"ไม่เป็นอะไรแล้วครับ
หมอฉีดยาให้ผมแล้ว นี่ผมก็กำลังไปเอายา ..."
"เอามานี่ เดี๋ยวฉันจัดการเอง"
"ไม่เป็นไรครับ แค่นมเปรี้ยว
..."
"ทำไมนายต้องดื้อด้วยเนี้ย ?"
ตากลมโตราวกับลูกกวางแสนเชื่องบัดดี้กำลังพยศ
ซึงยุนลอบกลืนก้อนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเมื่อเห็นหน้าดุๆ ของชายกายเล็ก
จำใจต้องยื่นเอกสารต่างๆ ลงบนมือบางที่ถูกยื่นส่งมาตรงหน้าช้าๆ
"นั่งรอกับเจ้านายฉันก่อนนะ
เดี๋ยวจัดการเรื่องค่ารักษาและยาทุกอย่างเสร็จจะพากลับไปส่งบ้าน"
"ผมเกรงใจพวกพี่จัง"
"ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก
ลูกน้องพี่ทำนายเจ็บ ยังไงก็ต้องรับผิดชอบ"
"ยังไงก็ต้องขอบคุณพวกพี่นะครับ เอ่อ
... ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ผมคังซึงยุนครับ"
"พี่ชื่ออีซึงฮยอน
ส่วนคนที่วิ่งไปโน่นแล้วน่ะ คิมจินอู เป็นเลขาส่วนตัวของพี่เอง"
ขอไซเรนท์กรี๊ดให้กับความมินโฮหน่อยนะคะ
กรี๊ดดดดดดดด
!
ความใจกล้าหน้าด้านขอที่อยู่คนอื่นทั้งๆ
ที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกนี่มันยังไงกันคะ ? ยังไงกัน
ยังไงเอ่ย ?
ทำไมไซเรนท์ใจร้ายปล่อยให้ทั้งคุณมินโฮและคุณซึงฮุน
รวมถึงคุณซึงยุนและคุณจินอูเจอกันเพราะอุบัติเหตุและความบังเอิญด้วยเนี้ย ?
5555555
แต่อย่างน้อยเขาก็เจอกันแล้วค่ะคุณ
คุณมินโฮเขาคิดจะทำอะไรคุณซึงฮุนนะ
?
แล้วคุณจินอูนั้นภายใต้ความเข้มแข็งและมาดแมนจะสยบลงเพราะเจ้าเด็กแก้มป่องหรือเปล่านะ
?
ต้องติดตามกันต่อไปนะคะ
^^
#DAYNIGHTSTORY
ความคิดเห็น