คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตัวตลกกับหนุ่มซามูไร
เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า ไททาเนีย เป็นเกาะกลางมหาสมุทร ซึ่งเป็นที่คุมขังของอาชญากรมากมาย เป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของทวีปเวสต์แกนด์ ซึ่งเป็นทวีปย่อยของทวีปใหญ่ๆ อย่าง เวสท์แลนด์
คุโระบังเอิญได้ยินเซเรสพูดระหว่างเดินไปที่หอสังเกตการณ์ที่อยู่ด้านหลังของคุก ซึ่งคำว่าทวีปย่อยๆ ก็หมายความว่า มันยังมีทวีปที่ย่อยแล้วย่อยอีกอยู่หลายทวีป
สรุปว่าเป้าหมายของเวลเวทคือการไปที่ทวีปมิดแกนด์ที่ห่างจากคุกไปหลายพันกิโล โดยอาศัยเรือของเซเรสที่จอดอยู่ด้านหลัง เอาเป็นว่าคุโระจะทำเป็นไม่ได้ยิน และไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้
‘โลกห่าอะไรวะ อย่างใหญ่เลย ยังไม่รวมอีกหลายทวีปที่ยังไม่ได้พูดถึง…อยากกลับบ้านเร็วๆ แล้ว!’
“ไม่ไหวเลย ไม่มีคำขอโทษสักคำ” เสียงขี้เล่นของหญิงสาวดังมาจากข้างหลังคุโระ
เขาหันไปช้าๆ และพบกับหญิงสาวผมยาวสีบลอนด์แพลตตินั่ม ผิวขาว เสื้อผ้าของเธอเป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างสีชมพูและสีน้ำเงิน และคล้ายกับตัวตลก กระโปรงของเธอประกอบไปด้วยหนังสือหลายๆ เล่ม
ถ้าเปรียบเทียบกับอีกสองคน หน้าอกของเธอแบนราบอย่างน่าสมเพช ทว่าด้วยสไตล์การแต่งตัวที่โชว์สัดส่วนเพียงเล็กน้อย สะท้อนถึงเสน่ห์เฉพาะตัวของเธอ
“ให้ตายสิเป็นบ้าอะไรกันไปหมด ในขณะที่ข้ากำลังฝันหวานอยู่ จู่ๆ ก็ตะโกน จัดตั้งกองร้อยบ้าอะไรนั่น…หึหึ เจ้าก็น่าจะรู้นิว่าทำไมข้าถึงอารมณ์ไม่ดี” หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงออกไปทางบ่นเล็กน้อยผสมกับความขี้เล่น
‘แต่งตัวบ้าอะไร? คุกนี่ไม่ปกติสักคน อีกคนก็แต่งชุดขาดๆ อีกคนก็ใส่หน้ากาก คราวนี้เป็นตัวตลกในธีมสีชมพูงั้นหรอ…ให้ตายสิ’ คุโระถอนหายใจ
เวลเวทก็รู้สึกเหมือนกับคุโระ จู่ๆ ก็โผล่มาจากที่ไหนไม่รู้ แล้วเอาแต่บ่นไม่ยอมหุบปาก ส่วนเซเรสที่สงสัยก็ถามไปว่า “เจ้าคือ?”
“ฮูเร่! ในที่สุดเจ้าก็ถาม ข้ารู้สึกตื่นเต้นมากเลยที่จะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกับแม่มดผู้รอบรู้ผู้ท่องไปในสิบเอ็ดทะเล ผู้ที่เย้ยหยันอำนาจของมังกร-”
“ซินแบด”
เพี๊ยะ!
‘แม่ง! เล่นหัวเลยหรอ!?’ คุโระกลอกตา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นดวงตาที่มัวหมองก็ตาม
“ไม่ใช่! ว่าแต่ซินแบดนั่นใคร!? แต่เดี๋ยวก่อน! อย่ามาขัดจังหวะการแนะนำตัวของข้าได้ไหม!?” หญิงสาวตะโกนออกมาอย่างไม่พอใจ
“เอาละเรามาเริ่มใหม่กันดีกว่า…ฮูเร่! ในที่สุดเจ้าก็ถาม ข้ารู้สึกตื่นเต้นมากเลยที่จะแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกับแม่มดผู้รอบรู้ผู้ท่องไปในสิบเอ็ดทะเล ผู้ที่เย้ยหยันอำนาจของมังกร…ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก มาซิกิกิก้า มิลุดิน โดะ ดิน โนะลูลุน โด ผู้โด่งดัง เรียกสั้นๆ ว่า มาจิลู” (อ่านชื่อเร็วๆ Mazhigigika Miludin do Din Nolurun Dou) พูดพร้อมกับโพสท่า
‘นี่มันท่าของโมโมทาลอสจากเดนโอชัดๆ’ คุโระมองด้วยสีหน้าที่ตายแล้วเช่นเดียวกับอีกสองคนที่เหลือ
“มะกี้รู?”
“ไม่! “มะ” “โซกี้โช” “โดกิ้โด” หรือเรียกข้ายังไงก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้คำพวกนั้น แต่ถ้าพูดละก็ ข้าจะเสกเจ้าให้กลายเป็นสตูว์กบ!”
มาจิลูเห็นหน้าของทั้งสองคนที่ยังคงมึนงงอยู่ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเบื่อหน่าย ทว่ามีเพียงคุโระเพียงคนเดียวที่ยังคงสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเคย
‘อะไร!? ไม่เข้าใจสักอย่าง!? อย่าให้เจอภาษาบ้านเกิด แล้วจะร้อง!’ คุโระสาปแช่งในใจ
‘อย่างน้อยผู้ชายคนนี้ก็ยังเข้าใจสิ่งที่ข้าพูด’ มาจิลูยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและมองคุโระด้วยความสนใจ
“เฮ้อ..ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะเรียนรู้อยากจังนะ…แต่ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจอยู่แล้ว…ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร?”
คุโระยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ถ้าอีกฝ่ายพูดชื่อที่ยาวขนาดนี้ ตัวเองก็ของเล่นเหมือนกัน “คุโระ ชิบิโตะ แห่งกรุงเทพมหานคร อมรรัตรโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์ เรียกสั้นๆ ว่า คุโระ”
‘อะไรกัน? คำพวกนี้ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยหรือว่า!? ชายผู้นี้จะเป็นคนที่ออกเดินทางสำรวจทวีปในที่ที่ข้าไม่รู้จัก!…ข้าแพ้ซะแล้ว’ มาจิลูมองคุโระด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไม่คิดว่าชายตรงหน้าจะมีชื่อที่ยาวกว่าตน จากนั้นเดินจากไปอย่างคอตกเหมือนผู้ที่พ่ายแพ้
‘เมื่อกี้นี้มันอะไร? …ข้าฟังไม่ออกเลย…หรือว่าเป็นภาษาโบราณที่เคยหายสาบสูญไปแล้ว!?’ เซเรสมองด้วยสีหน้าครุ่นคิด
‘คาถาเวทงั้นหรอ…ข้าคงต้องขอให้เจ้านั่นสอนเพิ่ม’
คราวนี้เป็นเวลเวทที่เดินนำคุโระและเซเรสไปยังด้านหลังคุก เธออดไม่ได้ที่จะมองชายคนนี้ด้วยแววตาที่ซับซ้อน เขาพูดภาษาที่ไม่รู้จัก แถมภายในคุกกลับไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ใดๆ เลย
เป็นไปได้ว่ากองร้อยที่กล่าวมาก่อนหน้านี้จะทำหน้าที่สำเร็จและยึดคุกได้แล้ว ทว่าเวลเวทก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไป เพราะปีศาจและมนุษย์ธรรมดาไม่สามารถฆ่าเอ็กเซอร์ซิสต์ได้
‘ผู้ชายคนนี้มีความสามารถในการล้างสมองงั้นหรอ?’
เดินมาไม่นาน จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงของเหล็กที่กระทบกันจากทางด้านหน้า ทั้งสามคนจึงรีบวิ่งมาดูและพบว่ามีชายหนุ่มในชุดซามูไรสีขาว พร้อมกับกริชคู่หนึ่ง กำลังปะทะกับเอ็กเซอร์ เพียงไม่นานชายหนุ่มก็สามารถชนะได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
“มาอีกงั้นหรอ?”
ชายคนนี้หันมาพร้อมกับดวงตาข้างขวาที่เป็นสีแดงเหมือนกับเลือด มีผมสั้นสีดำบางๆ กั้นอยู่ คุโระสามารถบอกได้เลยว่าเขาเป็นซามูไรที่ไร้ดาบ เต็มไปด้วยจิตวิญญาณของการต่อสู้และความเกรี้ยวกราด
“นั่นมัน…ปีศาจ!” เซเรสตะโกน
‘อะไรกันผู้ชายคนนั้น…เป็นชุดที่ไม่คุ้นเคยแถมยังมีกลิ่นที่อันตราย…’ ชายลึกลับถอนหายใจออกมาก่อนจะพุ่งหาคุโระอย่างไม่ลังเล
‘เดี๋ยวๆ คนต้องเยอะทำไมเลือกตูวะเนี่ย!?’
เวลเวทและเซเรสพยักหน้า จากนั้นทั้งสองคนเริ่มปะทะกับชายลึกลับ เซเรสจะเป็นคนยิงเวทไฟระยะไกล ส่วนเวลเวทจะโจมตีด้วย Hidden Blade ที่อยู่ปลายแขน จนได้ยินเสียงกระทบกันของโลหะอย่างต่อเนื่อง
การต่อสู้คนข้างยากลำบาก เพราะไม่มีใครสามารถสร้างบาดแผลให้กันได้ ส่วนชายลึกลับได้จ้องมองคุโระที่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน เอาแต่มองการต่อสู้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
‘ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงไม่ขยับ…หรือว่า!? ถ้ามันชักดาบออกจะถึงเวลาตายของข้า!…ไม่ได้ ข้าต้องรีบจัดการมันก่อน!’
เมื่อชายลึกลับตัดสินใจได้แบบนี้ เขาหลบลูกไฟและเตะเวลเวทออกไป จากนั้นพุ่งเข้าหาคุโระอย่างรวดเร็วพร้อมกับยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย
‘เห้ยๆ กองหน้าปล่อยให้หลุดมาได้ยังไง!? แล้วไอ้สายตาคาดหวังนั่นคืออะไร เวลเวท เซเรส!?’ ทั้งสองคนมองคุโระอย่างมีเลศนัยและยืนอยู่เฉยๆ
คำพูดครั้งต่อไปของคุโระทำให้เขาต้องตกตะลึง
“ระวังลื่น”
‘ลื่น? หมายความว่ายังไง ที่พื้นก็ไม่มีน้ำ..หรือว่า!…มันคิดจะโจมตีข้าแบบสายฟ้าแลบถ้าอยู่ในรัศมี!?’
ชายลึกลับถอยออกมาอย่างรวดเร็ว จนในที่สุดเขาก็ถูกล้อมหน้าล้อมหลังโดยพวกเวลเวท เขาตั้งท่าพร้อมจู่โจมและบ่นออกมา “ชิ…ข้าถูกล้อม ข้าต้องรีบตามโกรันให้เร็วที่สุด”
‘โกรัน? ไอ้ดาบที่เวลเวทยัดมาในกระเป๋าสินะ โคตรหนัก’
“เอาไป” คุโระหยิบโกรันในกระเป๋าแล้วโยนให้ชายลึกลับแต่โดยดี
จิตวิญญาณของการต่อสู้เมื่อคู่หายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและกระโดดรับดาบทันที จากนั้นวิ่งไปหาคุโระและจับไหล่อย่างเป็นกันเองและพูดว่า
“โอ้ นี่มันดาบของข้า ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ …จริงสิข้าชื่อ โรคุโระ รังเงสึ ข้าเป็นหนี้เจ้าแล้ว…ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร?” โรคุโระเปลี่ยนเป็นคนละคนกับเมื่อกี้ลิบลับ กลายเป็นคนง่ายๆ ไม่สนใจบรรยากาศ แถมยังผูกมิตรกับคุโระอีก
“คุโระ ชิบิโตะ”
“คุโระสินะ เจ้าก็เป็นตระกูลซามูไรเหมือนกันกับข้างั้นหรอ…ตอนนี้ข้ากำลังรีบอยู่ ไว้เจอกัน” หลังพูดเสร็จก็วิ่งหายไปท่ามกลางความมืดมิดโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย
‘เป็นปีศาจที่แปลก…’
‘ชายที่ชื่อคุโระดูถูกไม่ได้จริงๆ …ขนาดทำให้ปีศาจที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่กลายเป็นคนละคนได้’ เซเรสมองด้วยสายตาชื่นชม
‘นี่ก็เป็นวิธีการล้างสมองของเจ้านี่งั้นหรอ…ข้าไม่ควรพูดอะไรกับหมอนี่มากเกินไป’
หลังจากนั้นทุกคนก็ขึ้นมายังหอสังเกตการณ์ด้านหลังได้อย่างปลอดภัยโดยไม่เจอเอ็กเซอร์ซิสต์แม้แต่คนเดียว เมื่อเดินออกมาก็ต้องพบกับสภาพอากาศที่เต็มไปด้วยฝนตกหนักและความมืดมิดทั่วท้องฟ้า
เป็นไปได้ว่านี่เป็นช่วงเวลากลางคืน และอีกด้านของคุกยังได้ยินเสียง ตู้ม! เป็นระยะระยะ
‘เอาจริงดิ ก็แค่ตั้งขึ้นมามั่วๆ แผนการอะไรนั่นก็คิดสด ไม่ว่าตายไปแล้วหรอ? หรือเอ็กเซอร์ซิสต์มันโง่เกินไป?’
“ดูเหมือนว่ากองกำลังทหารของเจ้ายังคงสู้อยู่แนวหน้า ทิ้งเอาไว้แบบนี้ดีแล้วหรอคุโระ?” เซเรสถามในขณะที่มองควันไฟที่พุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับแรงสั่นสะเทือน
“คุโระ?”
เวลเวทและเซเรสตะโกนเรียกคุโระ ทว่าก็ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ พวกเขาจึงวิ่งมาดูที่ปลายทางหอคอยและพบว่า คุโระได้อยู่ด้านล่างของชายฝั่งที่เต็มไปด้วยหินผา และที่แปลกไปกว่านั้นคือเขาไม่ได้รับบาดเจ็บจากการตกที่สูงเกือบเท่าตึก 6 ชั้นแม้แต่น้อย
‘เจ้านั่นกระโดดลงไปด้วยความสูงระดับนี้แล้วไม่เป็นอะไรเนี่ยนะ!? เป็นมนุษย์ที่น่ากลัว…’ เวลเวทกลืนน้ำลาย ต่อให้เป็นเธอก็ไม่สามารถตกลงไปด้วยความสูงแบบนี้ได้
‘เกือบตายแล้วไหมล่ะ ดันลื่นตกมาซะได้ ถ้าตัวเองไม่มีความแข็งแกร่งทางกายภาพ ป่านนี้คงตายไปแล้ว’ คุโระถอนหายใจอย่างโล่
“อ๊า!”
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงตะโกนที่คุ้นเคย เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้าก็พบกับจุดสีดำเล็กๆ จนมันขยายขนาดเท่าตัวคน เวลเวทร่วงลงมายังตำแหน่งของคุโระทันที
‘เดี๋ยว! อย่ามาทางนี้!?’
คุโระไม่มีทางเลือกนอกจากยืนรับในท่าอุ้มเจ้าหญิงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อสัมผัสกับร่างกายของเวลเวทที่ร่วงลงมาเขาก็เสียการทรงตัวเล็กน้อยก่อนจะยืนหยัดด้วยขาทั้งสองข้าง บอกคำเดียวว่าเบามากและกลิ่นหอมๆ ที่ปนกับน้ำฝนก็โชยเข้าจมูก
‘เบา…หนักเท่าไหร่? สัก 45 ได้มั้ง’
เมื่อเวลเวทลืมตาก็พบว่าเธออยู่ในอ้อมแขนของคุโระ ทว่าแววตาของเขาเต็มไปด้วยความมัวหมองและไร้อารมณ์เหมือนคนตาย เธอจึงอ้าปากค้างคิดในใจว่า ‘ดันตกลงมาในที่ที่ไม่ควร!’
ในฐานะอาจารย์คุโระละทิ้งความรู้สึกส่วนตัว และทำเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องปกติก่อนจะพูดกับเวลเวทว่า “ไม่ต้องคิดมาก…มันไม่ได้หนัก”
คุโระวางเวลเวทลงอย่างนิ่มนวล ทว่าสีหน้าของเธอรู้หงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก คำพูดเมื่อกี้แสดงว่าไม่ได้โกรธแต่เหมือนมันแฝงไปด้วยคำที่ชวนหงุดหงิด
ทันใดนั้นเซเรสก็โผล่ออกมาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงและพูดขึ้นว่า “เจ้าแข็งแกร่ง ข้าเกือบจะคิดแล้วว่าเจ้าเป็นผู้ทำสัญญา”
“ผู้ทำสัญญา?”
“มันเป็นพิธีกรรมที่ทำให้ได้รับพลังอันยิ่งใหญ่โดยผู้ทำสัญญาจะต้องปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ถึงแม้ว่ากฎมันจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม…มันเหมือนกับ-”
“คำสาป…ก็เจ้าไม่ใช่หรอที่ทำให้ข้ากลายเป็นแบบนี้” เวลเวทพูดขัดจัวลงหวะออกมาอย่างไม่พอใจและเดินไปที่ท่าเรือคนเดียว
คุโระสามารถบอกได้เลยว่า เวลเวทต้องมีเรื่องเลวร้ายในอดีตจนทำให้ตนเองกลายเป็นผู้ติดคำสาป จากนั้นมองที่มือขวา ไม่รู้ว่ามันจะลบคำสาปที่ติดตัวออกได้หรือไม่ เซเรสที่เห็นแบบนั้นจึงพูดกับคุโระว่า
“ในอดีต เด็กคนนั้นเจอเรื่องร้ายๆ ถ้าเป็นเจ้าคงจะเข้าใจนางได้”
‘อะไรวะ? ยังไม่ได้พูดอะไรเลย ทำตัวเป็นพี่สาวแสนดีซะงั้น’
…
โรงเรียนเซนเฟรย่าภายในห้องอาจารย์ใหญ่
“เทเรซ่าดูอะไรอยู่หรอ?”
“ฮิเมโกะ…ฉันติดใจกับอาจารย์สังคมคนนี้”
“พรุ่งนี้ก็จะไปรับแล้วไม่ใช่หรอ ยังมีอะไรติดใจอีก?”
“เธอคิดยังไงกับชื่อนี้” เทรเซ่ายื่นใบสมัครของคุโระให้แก่ฮิเมโกะ
“คุโระ ชิบิโตะ ก็ไม่เห็นแปลกอะไร”
คุโระที่แปลว่าสีดำ ชิบิโตะที่แปลว่าคนตาย เมื่อมารวมกันมีความหมายว่า คนตายสีดำหรืออย่าง ความตายสีดำ ไม่ว่าจะดูยังไงชื่อนี้ก็ดูแปลกสำหรับคนญี่ปุ่นธรรมดา เพราะมันไม่มีความเป็นมงคลแม้แต่น้อย
รูปถ่ายเต็มไปด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์และมัวหมอง ดูเหมือนกับคนตาย ยังพกคาตานะสีดำติดตัวไว้ตลอดเวลา มันเหมือนกับความตายที่เดินได้
“ชิโนะเคียวฟุ (ความหวาดกลัวแห่งความตาย, The terror of death) …มันเป็นไปไม่ได้หรอกเทเรซ่า ก็ชื่อนี้ไม่ได้ปรากฏมานานแล้ว และยังไม่มีหลักฐานยืนยันเลยว่าคอร์แห่งความตายอยู่ในการครอบครองของอาจารย์คนนี้”
“นั่นสินะ…ฉันแค่คิดไป…”
ความคิดเห็น