ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อาจารย์สีหน้าตายด้านในโลกฮงไก

    ลำดับตอนที่ #78 : ตระหนัก

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 66


    “แก…แกคิดจะฆ่าคลอเดีย?” ลุดวิกพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเคียดแค้นอย่างแท้จริง

    ซึ่งการฆ่าคลอเดียนั้นก็เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เบย์อยู่รอดได้ ดังนั้นเบย์จึงพูดว่า “นั่นก็เป็นแผนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ไม่ว่าช้าหรือเร็ว มันก็เป็นอาหารฉุกเฉินของกูอยู่ดี”

    คำพูดของเบย์เต็มทำให้ลุดวิกไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอื่นมาสนับสนุนคำพูดของเขาได้อีกแล้ว

    “กูไม่รู้ว่าทำไมมันถึงกลายมาเป็นแบบนี้ แต่ถึงอย่างนั้น กูก็จะไม่ตายที่นี่ กูจะกินมันแม้ว่ามันจะเป็นขยะก็ตาม”

    “ขยะ?” ลุดวิกไม่สามารถทนต่อคำพูดนั้นได้ แม้ว่าร่างกายของเขาจะใกล้สลายไปแล้วก็ตาม แต่ลุดวิกก็คำรามด้วยความโกรธ

    “แกเรียกเธอว่าขยะเหรอ!? เธอใช้ชีวิตอย่างภาคภูมิใจ เสียสละตัวเองเพื่ออุดมคติของเธอและพร้อมที่ตายเพื่อสิ่งนั้น แต่ถึงอย่างนั้น… แกยังเรียกเธอว่าขยะอีกเหรอ!?” ลุดวิกมองเบย์ด้วยดวงตาแห่งความโกรธและพูดอีกครั้ง

    “แม้ว่าเธอจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานอย่างที่ควรจะเป็น แต่คลอเดียก็ไม่เคยหยุดยิ้มเพื่อแสวงหาแสงสว่างและเธอก็หวังว่าจะพบมัน และแม้แต่ช่วยปีศาจอย่างแก! เลิกพูดบ้าๆ ได้แล้ว!”

    อย่างไรก็ตาม น้ำเสียงของเบย์ค่อนข้างเรียบสงบและพูดให้ทุกอย่างจบลงโดยไม่กี่คำพูด

    “แม่งโง่ มันทำลายตัวเองเพื่อแสวงหาสิ่งที่เหนือกว่าตัวมัน”

    คลอเดียไม่พอใจกับการเป็นคนธรรมดา ซึ่งมันก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของเธอ คลอเดียมักจะพูดว่าตัวเองเป็นครึ่งหนึ่งของคนทั่วไปในขณะที่คนอื่นๆ เป็นคนเต็มตัว

    นั่นทำให้คลอเดียโลภมาก เลวทราม เห็นแก่ตัวและเป็นบาป เธอคล้ายกับเบย์ ที่หิวอยู่ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่เบย์เห็นในสายตาของเขา

    “กูกับมันเหมือนกัน ซึ่งมันเป็นกฎที่ผู้อ่อนแอจะต้องถูกผู้ที่ชนะกลืนกิน ในขณะที่มันตาย กูจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

    “แกจะฆ่าเธองั้นเหรอ?”

    “เออ”

    ไม่มีเวลาสำหรับการโต้เถียง สิ่งที่เหลืออยู่คือการยืนยันความเชื่อมั่นของพวกเขาโดยการฆ่ากันให้ตายไปข้างนึง

    “ฉันคิดว่าเธอไม่ได้อ่อนแอว่าแก”

    “ถ้ามึงคิดอย่างงั้นจริงๆ ก็แค่ปลุกไอ้โง่นี่ขึ้นมาและทำให้มันเปล่งประกาย ถ้าทำได้ก็ทำ”

    “ฉันจะทำ ฉันจะปกป้องเธอ”

    ทั้งสองคนก้าวเข้าหากันทีละก้าว ทั้งสองคนเดินเข้าหากันและในขณะที่พวกเขาอยู่ในระยะนี้ จากนั้นก็คำราม

    “อ๊ากกกกกกกก!” พวกเขาชูกำปั้นขึ้นพร้อมกับความภูมิใจของพวกเขา

    ทั้งสองคนแลกหมัดกัน ทำให้กรามของพวกเขายกขึ้น และทำให้หิมะสีขาวกลายเป็นสีแดงด้วยเลือดสีเข้มของทั้งสองคน

    กำปั้นเป็นอาวุธเดียวที่พวกเขาพึ่งพาได้ เบย์ใกล้จะตายและลุดวิกก็ใกล้สลายไป แต่จิตวิญญาณของทั้งสองคนก็ลุกโชนขึ้นเพื่อการต่อสู้

    ทั้งคู่สาบานว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ทั้งสองคนแสวงหาบางสิ่งที่ไม่สามารถยอมแพ้ได้ ดังนั้นใครก็ตามที่ขวางทางพวกเขาก็จะถูกฆ่า

    ไม่ยอมยกคลอเดียให้ และด้วยความคิดนี้ทำให้ทั้งสองคนต่อยกันครั้งแล้วครั้งเล่า

    แรงกระแทกทำให้กระดูกของพวกเขาหักและผิวหนังที่ฉีกขาด ซึ่งก็ทิ้งรอยเลือดไว้บนกำปั้นของทั้งสองคน แต่พวกเขาไม่ได้หยุด เพราะไม่มีเหตุผลให้หยุด

    เบย์ยังคงเหวี่ยงหมัดต่อไปจนกว่าลุดวิกจะทรุดลงกับพื้น เขาไม่มีความคิดที่จะตายตอนนี้

    “นี่เหรอสวรรค์ที่มึงค้นหา? ไม่มีเหี้*อะไรเลย มีแต่น้ำแข็ง ไม่มีเหี้*อะไรที่นี่เลย!” นี่คือโลกที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความมืดท่ามกลางหิมะสีขาวเท่าที่ตาเห็น ไม่มีกลางวันหรือกลางคืน แม้กระทั่งเวลาก็ไม่รู้

    ลุดวิกกำลังไล่ตามดินแดนที่แสงและความมืดรวมกัน หรือก็คือค่ำคืนสีขาว

    “มึงจะมีชีวิตอยู่จนกว่าจะถึงจุดจบงั้นเหรอ? มึงอย่าเรียกตัวเองว่าเมธูเสลาห์เลย การที่มึงหลงรักไอ้เวรนั่น แสดงว่ามึงไม่เคยรู้จักคำว่าชีวิตเลย!”

    เบย์เตะไปที่ท้องของลุดวิก ทำให้เขาเอนไปข้างหน้า และตามด้วยเสยคาง จากนั้นเบย์ก็โจมตีมากกว่านี้ ซึ่งลุดวิกก็ตอบโต้ด้วยการเหวี่ยงกำปั้นของเขาเข้าที่ตาขวาของเบย์

    ราวกับว่าลุดวิกพยายามจะทำให้เบย์ตาบอดและทำให้ไม่เห็นจุดบอดของการโจมตี

    “นี่คือธรรมชาติที่เป็นธรรมชาติ ซึ่งแสงสว่างและความมืดหลอมรวมที่นี่ด้วยกัน เป็นที่แห่งเดียวที่จะรักษารูปลักษณ์เดิมของมันไว้…การตัดสินว่ามีหรือไม่มีมันเป็นแค่การตัดสินจากภายนอก มันเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงโลกทัศน์ที่แคบ และนั่นก็คือเหตุผลที่ฉันเรียกแกว่าไอ้ของปลอม!”

    “คนต่ำต้อย คนลวงโลกอย่างแกก็คือสาเหตุที่ทำให้โลกพินาศ!”

    “มึงเป็นเหี้*อะไรวะ ไอ้โง่!”

    เบย์คำรามและต่อยขมับของลุดวิก ทั้งสองคนเดินโซเซเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่สนใจเสียงกรีดร้องที่เจ็บปวดของขาของพวกเขา และก็ยังคงแลกเปลี่ยนหมัดกันต่อไป

    หมัดที่พวกเขาแลกกันนั้นเกินเลขสามหลักไปแล้ว อย่างไรก็ตาม จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ก็ไม่มีท่าทีจะจบลง ลุดวิกคำรามและเหวี่ยงหมัดออกไป

    ลุดวิกเอาหัวโขกหน้าเบย์ตรงๆ ทำให้เบย์รู้สึกวิงเวียนและสูญเสียการมองเห็นเล็กน้อย ก่อนจะตามมาด้วยการเตะและต่อย

    เลือดที่เบย์พ่นออกมาก็แข็งตัวกลางอากาศ และลุดวิกก็ยังคงต่อยต่อไป เขาจับร่างของเบย์บางส่วนและใช้เข่ากระแทก

    “แกกินแม้กระทั่งขยะ แกจะกินทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตอยู่ แกเหยียบย่ำทุกสิ่งที่คิดว่าไร้ค่า…แกไม่สามารถอยู่ร่วมกับเธอได้ แกไม่แม้แต่จะเข้าใกล้แสงสว่างแม้แต่นิดเดียว! แกไม่แสดงความขอบคุณต่อคนอื่น และแกก็ไม่สามารถอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้!”

    “แกคือปรสิตที่ฆ่าได้กระทั่งผู้มีพระคุณ! ทุกอย่างมันจะพาแกไปสู่ดินแดนรกร้าง อย่ามาทำให้ฉันขำหน่อยเลย ไอ้ผีดูดเลือด!”

    ลุดวิกยังคงต่อยเบย์ด้วยกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ ซึ่งดูเหมือนเป็นการแสวงหาความภาคภูมิใจในตัวของเขา

    “ความอมตะที่แกแสวงหาคือความว่างเปล่า! และนั่นก็คือเหตุผลที่แกไม่เข้าใจอะไรเลย! แกกำลังตามหาบางสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงๆ และมันก็เป็นเหตุผลเดียวที่แกจะไม่ได้รับอะไรเลย! ไม่ว่าแกจะต้องการมันแค่ไหนก็ตาม”

    “หุบปาก!”

    ทั้งสองคนโจมตีกรามของกันและกัน

    เบย์เซไปสองสามวินาทีก่อนที่จะได้สติและหูก็รู้สึกอื้อเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ร่างกายของเบย์หยุดทำงาน

    “วัลฮัลลาที่กูต้องการคือการไม่ตาย!”

    “แล้วทำไม…” ลุดวิกสวนศอกใส่หน้าเบย์และตะคอกอีกครั้ง

    "ถ้างั้นแกทำไมถึงไม่เชื่อว่าโลกนี้ไม่มีวันตาย? แกไม่ปฏิเสธด้วยซ้ำที่ฉันบอกว่ามันจะพินาศในไม่ช้า!"

    “เออ กูไม่ได้ปฏิเสธ!” ท้ายที่สุดท่านเฮย์ดริชก็จะทำลายทุกสิ่งอยู่ดี

    “แกคิดว่าแกเป็นคนพิเศษงั้นเหรอ? ทำไมแกถึงอวดดีแบบนี้! ถ้าแกทำลายโลกในปัจจุบัน แกไม่คิดเหรอว่าจะมีสิ่งอื่นมาทำลายโลกที่แกสร้างขึ้นอีกครั้ง!? ไม่มีอะไรเป็นอมตะจริงๆ ไอ้เด็กโง่!”

    “หุบปาก! อย่ามาใช้ตรรกะพรรค์นั้นกับกู!” พวกเราจะเป็นคนที่เหลือรอดและแข็งแกร่งที่สุด ในขณะที่ลุดวิกจะตายระหว่างที่พวกเราก้าวไปข้างหน้า

    “มึงจะหายไป เพราะมึงอ่อนแอ! กูต่างกับมึง กูจะมีชีวิตอยู่ต่อไป!”

    เพราะสภาทมิฬเข้มแข็ง พวกเขาจะกลายเป็นผู้สร้างโลกและจะเดินหน้าต่อไป

    “พวกกูจะพัฒนา บินให้สูงสูงขึ้นและทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกกูจะไม่หันหลังกลับ! ไม่มีอดีตอะไรอยู่เหนือปัจจุบัน เพราะประวัติศาสตร์คือการเติบโต!” 

    “มึงเลิกพูดบ้าๆ ได้แล้ว เวทมนตร์ อาคม? มันไม่สำคัญหรอก ถ้ามึงแข็งแกร่งจริงๆ คงจะไม่หายไปในตอนนี้! เพราะฉะนั้น มึงรีบๆ ยอมแพ้แล้วหายไปได้แล้ว!” เบย์คำรามและต่อยลุดวิกด้วยกำลังทั้งหมดของเขา แต่ลุดวิกก็รับไว้ได้และพูดก่อนจะตอบโต้

    “สิ่งที่แกแสวงหาคือความอมตะ?”

    “เออ กูเชื่อว่ามันมีอยู่จริง!” แม้ว่าจะมีโอกาสหนึ่งในพันล้านหรือน้อยกว่า แต่อย่างน้อยมันก็มีอยู่จริง

    “กูจะอยู่ต่อไปแม้ว่าท่านเฮย์ดริชจะหายไปก็ตาม กูจะอยู่ต่อไปจนกว่าจักรวาลจะแตกสลาย!”

    นั่นคือเมธูเสลาห์ที่แท้จริง รูปลักษณ์ของอุดมคติที่เบย์แสวงหา เขาจะไม่ยอมตายในพื้นที่นี้แน่นอน ดังนั้น

    “เอาคลอเดียคืนมา…มันเป็นของกู!” เบย์จะไม่ยอมให้ลุดวิกได้เธอไป เพราะเบย์ต้องการคลอเดีย

    “มึงรู้ไหม มึงเป็นคนรักข้างเดียววะ กูไม่ว่าอะไรหรอกที่มึงจะรักมัน และบอกอะไรหวานๆ กับมัน แต่มึงรู้ไหมมันหมายความว่ายังไง?” เบย์เงียบชั่วครู่และพูดต่อ

    “มึงเคยให้อะไรมันจริงๆ จังๆ บ้างไหม?”

    “หะ? พูดเรื่องอะไร?”

    เบย์พูดอะไรที่ง่ายมากๆ จนไม่อยากจะพูดกับลุดวิก ดังนั้นเบย์จึงพูดอีกครั้ง

    “มึงไม่เคยสนใจที่จะถูกเธอรักเลยใช่ไหม? แต่ช่างแม่งเหอะ สุดท้ายมึงก็พูดแต่เรื่องของตัวเองทั้งนั้น ไอ้โรมิโอ”

    ลุดวิกรักษาอาการป่วยของคลอเดีย มอบชีวิตให้เธอ โอบกอดเธอด้วยความรัก และตั้งใจจะใช้เวลาร่วมกันจนสิ้นลมหายใจ แต่นั่นเป็นเพียงความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของลุดวิก ซึ่งมันเป็นความคิดข้างเดียวของเขาเท่านั้น

    แน่นอนว่าบางคนอาจมองว่าเป็นการอุทิศตนโดยไม่หวังผลตอบแทนอะไรเลย แต่มันก็บิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด สุดท้ายมันก็เพื่อตัวลุดวิกเอง แต่ไม่ใช่คลอเดีย

    “กูเคยบอกมึงแล้วใช่ไหม กูอยากตกหลุมรักมัน ดังนั้นกูจะทำให้มันตกหลุมรักกูด้วย” อารมณ์เป็นแสงสว่างเพียงอย่างเดียวที่มอบให้คลอเดีย

    เธอคงไม่สมหวังถ้าไม่มีใครช่วยนอกจากการสนับสนุนเธอ เช่นลุดวิก

    คลอเดียเป็นคนโง่มาก ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเธอเป็นคนไร้เดียงสา แม้ว่าจะไม่รู้ตัวก็ตาม แต่ความรักทั้งสองด้านจะทำให้เธองงงวยและทำอะไรไม่ถูก

    “ฉันอยากให้มันพูดว่า ฉันเป็นคนบาป ดังนั้นมันจะกลายเป็นคนที่สมบูรณ์และในที่สุดก็กลายเป็นแสงสว่าง” เบย์อยากจะให้คลอเดียตะโกนสุดชีวิต

    “นั่นไม่ใช่สิ่งที่มึงมอบให้มันได้” เบย์ก้าวไปข้างหน้าและพร้อมที่จะจบทุกอย่าง

    “แกจะทำให้เธอเป็นแบบนั้นได้ยังไง? ใจคนมันบังคับกันไม่ได้”

    “กูรู้เรื่องนั้นดีไอ้โง่”

    คลอเดียต้องตายเพราะความเห็นแก่ตัวของเบย์ ซึ่วเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว แต่ถ้าเบย์ต้องการให้เธอเป็นอาหาร เขาต้องทำให้แน่ใจว่าคลอเดียมีค่าพอ

    “ไอ้เหี้* รีบๆ ตายไปได้แล้ว พูดมากเจ็บคอ!” เบย์ทุ่มพลังทั้งหมดที่การชกครั้งต่อไปพร้อมกับหมดสติท่ามกลางความมืดสีขาว

    เสียงคำรามที่จางหายไป เหลือชายเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะสีขาว เขาหายใจติดขัดในขณะที่มองลงไปที่ชายที่อยู่ตรงเท้า

    แม้ว่าลุดวิกจะดูเป็นผู้ชนะ แต่ในสายตาของเขา มันไม่สมควรเป็นผู้ที่ชนะเลย

    “…เป็นไปไม่ได้” คำพูดที่ได้ยินก่อนหน้านี้ทำให้ลุดวิกหวั่นไหว แม้ว่าจะสามารถกำจัดศัตรูของเขาไปได้ แต่เขาก็ไม่สามารถยอมรับมันได้

    เบย์ชนะลุดวิกได้ด้วยการชี้ให้เห็นบางสิ่งที่ลุดวิกไม่เคยรู้มาก่อน

    “ฉะ….ฉัน…”

    เบย์บอกว่าลุดวิกรักข้างเดียว เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากมอบทุกอย่างให้กับคนที่เขารัก โดยไม่คิดว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนด้วยซ้ำ

    ลุดวิกสงสัยว่าทำไมเขาจึงไม่พยายามทำให้ความรักผลิบานในหัวใจของหญิงสาว หรือเป็นเพราะเขาคิดว่ามันไม่จำเป็น หรือเพราะตัวเองไม่มีความสามารถพอ หรือเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเอง?

    “ฉันกลัว….”

    เนื่องจากคลอเดียเป็นแสงสว่าง ลุดวิกจึงกลัวว่าความมืดของเขาจะเปลี่ยนแปลงเธอ แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนเธอให้เป็นแวมไพร์ แต่มันก็แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับสิ่งที่เป็น

    เขาแน่ใจว่าจิตใจของหญิงสาวจะไม่เปลี่ยนไม่ว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเธอจะเป็นเช่นไร และมันก็คือความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม มันไม่สามารถบอกได้ว่าการกระทำของเขาจะมีอิทธิพลต่อคลอเดียหรือไม่ เธอไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรัก และลุดวิกก็เชื่อว่าการมอบความรักให้เธอจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมราวกับสาดหมึกลงบนหิมะที่บริสุทธิ์

    “จบแล้วเหรอ?”

    “…” แม้ว่าจะช้า แต่ลุดวิกก็ตระหนักว่าความพ่ายแพ้ของเขาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

    “คุณตื่นแล้ว…”

    “ใช่ ฉันตื่นขึ้นระหว่างการต่อสู้”

    ลุดวิกหันกลับมาและเผชิญหน้ากับคลอเดียด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ไม่เพียงแต่เธอตื่นขึ้นเพื่อดูการต่อสู้เท่านั้น แต่เธออาจจะรู้ถึงสิ่งที่เข้าใจผิดในจิตใจของลุดวิกด้วย

    มันทำให้เขารู้สึกอับอายจนอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ

    “ครั้งล่าสุดฉันก็พยายามหยุดการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น แต่ว่า…มันทำให้ใครบางคนโกรธ ดังนั้นฉันจึงอยู่เงียบๆ จะดีที่สุดถ้าดูจนจบ ฉันทำผิดรึเปล่า?”

    “ไม่ มันช่วยให้หัวของฉันโล่งขึ้น…ขอบคุณ”

    “มันทำให้ฉันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย แต่คุณรู้ไหม? พวกคุณทำตัวเหมือนเด็กจริงๆ คุณจะปล่อยให้อารมณ์ควบคุมไม่ได้”

    “ฉันขอโทษ”

    คลอเดียตำหนิเขา ซึ่งทำให้ดูเหมือนฉากธรรมดาๆ และนั่นก็เป็นเหตุผลว่าทำไมลุดวิกรู้ว่าคลอเดียเป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขามากกว่าอะไรทั้งสิ้น สิ่งนั้นที่คลอเดียมอบให้ มันน่ายินดีและอบอุ่น

    “ค่ะ คุณเป็นผู้ชายที่ชอบสร้างปัญหา แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็รู้ว่าคุณเปล่งประกายและงดงามมาก และที่สำคัญที่สุด…ฉัน…” คลอเดียหยุดชั่วคราว ดูเหมือนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย จนลุดวิกพูดแทนเธอ

    “มันทำให้คุณรู้สึกภูมิใจไหม?”

    “ใช่..มันเป็นบาปหรือเปล่าคะ?”

    “ไม่…มันน่านับถือจริงๆ และฉันก็รู้สึกเป็นเกียรติมาก”

    ชายสองคนต่อสู้เพื่อผู้หญิงคนเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นที่โง่เขลา แต่มันก็เป็นเรื่องเล่าที่สืบต่อกันมา

    พวกเขาทำทุกอย่างเพื่อคลอเดีย ดังนั้นเธอจึงชื่นชมกับความพยายามของพวกเขา บางคนอาจเรียกว่าการกระทำของผู้หญิงเลวทราม แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธได้ ถ้าเธอถูกตัดสินว่าไม่น่าคบหา น่าขยะแขยงหรือโง่เขลา

    “ถ้าอย่างนั้น…ฉันทำให้บางอย่างเบ่งบานในตัวของคุณรึเปล่า? บางทีมันอาจจะเป็นช่วงชีวิตของฉัน…”

    แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่กับคลอเดียในวาระสุดท้าย แต่เขาก็ยังทิ้งร่องรอยไว้ในหัวใจของผู้หญิงที่คิดว่าเป็นหญิงสาวโชคชะตาของเขา

    อย่างน้อยทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเมธูเสลาห์ผู้ที่มีชีวิตในดินแดนสมัยก่อนอารยธรรมโบราณกาล

    “ฉันขอให้คุณพบแต่สิ่งดีๆ ที่รักของฉัน…ฉันเชื่อในแสงสว่าง ฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอนาคตของคุณ…ใช้ชีวิตตามที่คุณต้องการ…”

    “แล้วเจอกัน….คลอเดีย”

    “ค่ะ…ฉันจะทำแบบนั้นจากใจจริง คุณเป็นคนช่วยให้ฉันเห็นความสำคัญของอุดมคตินั้น”

    ดังนั้นลุดวิกจึงสลายไปและหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับค่ำคืนสีขาว

    ท้ายที่สุดเขาก็กลายเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติที่ดินแดนในฝันของเขา ดินแดนที่เต็มไปด้วยแสงสว่างและความมืดที่อยู่ร่วมกัน

    จุดจบของของโลกใกล้เข้ามาแล้ว ด้วยความตายของสิ่งมีชีวิตที่เก่าแก่ที่สุด และสิ่งที่เหลืออยู่ก็คือต้นกำเนิด

    ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไรและความตายจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่ไม่ว่าอย่างไร คลอเดียก็ยังคงอธิษฐาน เธอถือสร้อยคอไม้กางเขนบนหน้าอกของเธอราวกับมันคือคำตอบที่เหลืออยู่

    ***ผู้เขียนมีเรื่องจะบอก***

    หลังจากจบอีเว้นท์นี้จะกลับฮงไกบท จือโหยวหรือจิโหยว (อ่านไม่ถูก) >30 เมษา 1945 (Dies Irae) > ฮงไกยาวๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×