ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อาจารย์สีหน้าตายด้านในโลกฮงไก

    ลำดับตอนที่ #75 : 13สภาทมิฬVSเมธูเสลาห์

    • อัปเดตล่าสุด 1 มี.ค. 66


    ตำแหน่งของมันอยู่ไม่ไกลจากสวาลบาร์ดของประเทศนอร์เวย์มาก มันเหมือนคลื่นที่โหมกระหน่ำที่ไล่ล่าดาวหางสีดำ คลื่นนี้สามารถอธิบายทั้งการเคลื่อนไหวและผลกระทบที่มันทิ้งเอาไว้

    ขณะที่มันกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เหนือกว่าสิ่งใดๆ มันยังทิ้งคลื่นยักษ์เอาไว้ด้านหลังเช่นกัน ซึ่งทำให้มหาสมุทรอาร์กติกกำลังสั่นสะเทือนราวกับถูกถล่มด้วยการโจมตีทางอากาศอย่างไม่รู้จบ

    ระหว่างที่กำลังไปข้างหน้า มันทิ้งคลื่นสึนามิไปทุกทิศทุกทางซึ่งเทียบได้กับการเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ มันเป็นภัยพิบัติที่อาจนำมาซึ่งความหายนะที่เลวร้ายที่สุดที่เคยมีมา

    อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้น และมันเพียงแค่วิ่งเท่านั้น

    แขนของมันสามารถจับภูเขาได้ทั้งลูกและสามารถสร้างผลกระทบต่อมหาสมุทรเช่นกัน มันใช้แขนซ้ายสลับไปขวา ไม่มีอะไรมากนอกจากการกระทำซ้ำๆ

    โครงกระดูกขนาดมหึมาที่ส่องแสงสีทองซึ่งดูเหมือนหลุดออกมาจากตำนานกำลังคลานไปข้างหน้าขณะเหยียบย้ำมหาสมุทร

    สิ่งนั้นคือ แกลดส์ไฮม์ เวลทอล (Gladsheim Weltall)

    ราชาแห่งวัลฮัลลา สัตว์ร้ายสีทอง ยืนอยู่บนปราสาทด้วยความสง่างามและรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขบนใบหน้า เขาจ้องมองไปยังความมืดเบื้องหน้าด้วยความรัก

    “เราตามทันแล้ว เรามาต่อสู้กันเถอะ…เมธูเสลาห์ ฉันจะมอบความรักให้แก่คุณ”

    น้ำเสียงของเขาไม่ความหยาบคายแม้แต่น้อย มันคือความรักของท่านเฮย์ดริชอย่างชัดเจน อย่างที่เขาเคยบอก เขาจะไม่มอบอะไรให้นอกจากความรัก สำหรับเขาแล้ว สิ่งนั้นคือการทำลายล้าง

    ดังนั้นท่านเฮย์ดริชจึงไม่มีความกลัวหรือลังเล เขาเพียงทำตามความปรารถนาของตัวเองและทำลายทุกสิ่งที่เขารัก

    เมอร์คิวเรียสมองดาวหางสีดำตรงหน้าและพูดว่า “จัดการเขาตามที่คุณต้องการหรือจะให้ฆ่าเขาด้วยกองกำลังทั้งหมดของเรา?”

    “ฉันจะให้เขาทำให้ฉันสนุกขึ้นมาหน่อย บางทีเขาอาจจะทำให้ฉันปลดปล่อยพลังทั้งหมดของตัวเองก็ได้แม้ว่าฉันจะไม่คาดหวังก็เถอะ”

    ท่านเฮย์ดริชหยุดพูดและยกมือขึ้นก่อนจะพูดต่อ ราวกับให้กำลังใจกองทัพที่รออยู่ข้างหลังเขา

    “การต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่รอพวกเราอยู่ข้างหน้า และฉันก็คาดหวังมันสูงด้วย คาร์ล”

    ทั้งสองคนมองหน้ากันและยิ้มก่อนที่ท่านเฮย์ดริชจะพูดอีกครั้ง

    “ทุกหน่วย โจมตีได้” ท่านเฮย์ดริชลดมือลง

    ด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ที่กำลังปะทุขึ้น กองทหารแห่งทองคำส่งเสียงโห่ร้องแห่งสงคราม ดังนั้นการต่อสู้ที่จะตัดสินผลลัพธ์ของสงครามครั้งยิ่งใหญ่กำลังเริ่มต้นขึ้น

    คนตายที่เป็นส่วนหนึ่งของปราสาทเริ่มแยกตัวออกและพุ่งเข้าใส่ลุดวิกราวกับหิมะถล่ม มีทหารราบจำนวนมาก แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดอย่างแน่นอน มีทั้งรถถัง เครื่องบินขับไล่

    และแม้แต่เรือรบประจัญบานเช่นกัน ไม่มีอะไรสามารถหยุดพวกมันได้ เพราะพวกมันกำลังเคลื่อนที่อยู่กลางอากาศ

    กองทัพอันเดดจำนวนมหาศาลไร้ที่สิ้นสุดก่อตัวกันกลายเป็นแม่น้ำที่กว้างใหญ่ ในขณะที่เครื่องบินรบบินตามพวกมัน และเครื่องจักรสงครามอื่นๆ ก็พุ่งใส่ศัตรูพร้อมกับบดขยี้กองทัพของตัวเองไปพร้อมๆ กัน

    ภาพที่เห็นนั้นเกินสามัญสำนึกทั้งหมด การต่อสู้ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเกินกว่าที่ตรรกะจะเข้าใจและทำลายขีดจำกัดของความเป็นจริง แต่ยังไงมันก็คือสงคราม

    หนึ่งในนั้นยังมีคนที่ทำหน้าที่เป็นแนวหน้า และชไนเบอร์ก็พูดว่า

    “ลาก่อน ดินแดนที่เต็มไปด้วยความเจิดจรัสของวัลฮัลลา ปลดปล่อยปราสาทอันน่าภาคภูมิใจของเจ้าที่สูงตระหง่านให้พังทลายเป็นผุยผง (Fahr' hin, Walhalls leuchtende Welt, Zerfall' in Staub deine stolze Burg-) ”

    วูฟแกงค์ ชไนเบอร์ ใช้แม่น้ำแห่งซากศพเป็นทางเดินและพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับคำรามอย่างบ้าคลั่ง ในฐานะผู้ที่มีความเร็วสูงสุด 

    ตามมาด้วยมาคินะและเบียทริซซึ่งเป็นแนวหน้าเช่นเดียวกับชไนเบอร์

    “ลาก่อน ความวิจิตรงดงามของทวยเทพ ขอให้ท่านพบกับความปลาบปลื้มในบั้นปลายของชีวิตเจ้า โอ้ เผ่าพันธุ์อมตะ (Leb' wohl, prangende Götterpracht, End' in Wonne, du ewig Geschlecht-) ”

    ความเร็วของชไนเบอร์สูงขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นมากกว่าความเร็วของเสียงนับพันและยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือธรรมชาติของสัตว์ร้าย และตอนนี้มันกำลังจะถูกปลดปล่อย

    “บรีอาห์ นิฟล์เฮม เฟนริสวูล์ฟ! (Beri'ah-Niflheim Fenriswolf!) ”

    ชไนเบอร์เป็นคนที่เร็วที่สุด ไม่มีใครสามารถจับเขาได้ แม้แต่ร่าง Sin Devil Trigger ก็ตาม

    หมาป่าสีขาวกลายเป็นดาวหางที่ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้ซึ่งทะลวงเมธูเสลาห์อย่างรวดเร็ว

    “นั่นคือสิ่งที่แกทำได้?”

    เมธูเสลาห์ไม่มีแม้แต่สะทกสะท้าน แม้แต่รูที่กลวงบนหน้าอกก็ปิดอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุด ตัวตนของลุดวิกไม่มีลักษณะทางกายภาพ

    “เร็วแล้วยังไงละ?” ชไนเบอร์โจมตีต่อไปในขณะที่ลุดวิกพูด

    ในรูปแบบเขตแดน (Bri'ah) ของชไนเบอร์ เขาเป็นสัตว์ร้ายที่บ้าคลั่งเกินกว่าจะพูดได้ เขาต้องการที่จะเร็วขึ้นเพื่อชนะทุกสิ่ง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม เขาพยายามที่จะได้มาซึ่งความเร็ว

    ไม่มีใครแตะต้องเขาได้อย่างแน่นอน ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ชไนเบอร์ปรารถนาตลอดชีวิต และเป็นอาวุธชิ้นเดียวของเขา

    โดยอาศัยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ ชไนเบอร์ทุ่มสุดตัวเพื่อฉีกกระชากศัตรูเป็นชิ้นๆ ซึ่งก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับลุดวิก แต่บาดแผลทั้งหมดก็หายอย่างรวดเร็ว

    ท้ายที่สุดอาคม (Bri'ah) ก็สร้างกฎขึ้นมา มันเป็นพลังที่จะทำให้ความปรารถนาของคนคนนั้นเป็นจริง แต่จริงๆ แล้วชไนเบอร์ก็สามารถสร้างความเสียหายให้ลุดวิกได้แต่

    “แผลพวกนี้ค่อนข้างตื่น” นั่นคือสิ่งที่เป็น

    ซึ่งหมายความว่าชไนเบอร์ขาดพลังในการโจมตีที่จะสร้างความเสียหายให้แก่ลุดวิก อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ทำให้ชไนเบอร์อ่อนแอ

    ความมืดนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากับครึ่งโลก และเมธูเสลาห์ก็สามารถนับจำนวนครั้งที่ชไนเบอร์โจมตีได้ ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหน มันก็มีขีดจำกัดของมัน ดังนั้นก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าการโจมตีของชไนเบอร์เหมือนกับมดตัวเล็กๆ

    “ยกโทษให้ข้าด้วยเพราะครั้งหนึ่งข้าเคยปฏิเสธเจตจำนงของท่าน (War es so schmählich, ihm innig vertraut, trotzt' ich deinem Gebot.) ”

    ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแนวหน้าคนที่สอง เบียทริซ

    “ยกโทษให้ข้าด้วยเพราะข้าหยาบคายและโง่เขลา ข้าไม่เหมาะกับท่าน ขอให้ความปรารถนาของท่านลุกโชน (Wohl taugte dir nicht die tör'ge Maid, Auf dein Gebot entbrenne ein Feuer) ” เอเลนอร์

    เธอพุ่งไปในขณะที่มีความเร็วเป็นอันดับสองรองจากชไนเบอร์ ร่างของเธอค่อยๆ ถูกหุ้มด้วยสายฟ้า อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกหนึ่งคนที่ตามมา

    “ลาก่อนเด็กที่กล้าหาญของข้า (Leb' wohl, du kühnes, herrliches Kind!) ” เบียทริซ

    เอเลนอร์กำลังสนับสนุนผู้ใต้บังคับบัญชาของเธอจากด้านหลัง ถัดจากเธอมีปืนรางรถไฟที่พร้อมจะยิง มันกำลังปล่อยเสียงคำราม

    “ข้าจะมอบเปลวเพลิงที่ลุกโชนเป็นของขวัญแก่ท่าน ไม่มีผู้ใดเลยที่เหมาะสมไปกว่าท่าน ผู้ที่เกรงกลัวคมหอกของข้าจะไม่มีวันฝ่าเปลวเพลิงนี้ได้! (ein bräutliches Feuer soll dir nun brennen,wie nie einer Braut es gebrannt!, Wer meines Speeres Spitze fürchtet, durchschreite das Feuer nie!) ” เอเลนอร์

    ใบมีด ร่างกาย และวิญญาณของเบียทริซทั้งหมดกลายเป็นสายฟ้าของเทพเจ้าสงคราม ซึ่งมันคือกฎที่เธอปรารถนาและขอให้ตัวเองเปล่งประกายในสนามรบที่มืดมิด

    เธอปรารถนาให้แน่ใจว่าไม่มีสหายคนใดของเธอหลงทางภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยควันและเลือด

    เธอปรารถนาให้อุดมคติของผู้บังคับบัญชาที่เธอรักเปล่งประกายเจิดจรัส

    เธอปรารถนาที่จะเป็นแสงท่ามกลางความมืด หญิงสาวจะต่อสู้เพื่อนำเหล่าสหายไปสู่ความรุ่งโรจน์ สู่วัลฮัลลา

    “บรีอาห์-ดอนเน้อ ทอเท้นทันซ์ วัลคือเร่อ! (Donner totentanz walküre) ” เบียทริซ

    คำปรารถนาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ของหญิงสาวคือโลกของเธอ เบียทริซ เคียร์ไซเซน เธอเหยียบกระสุนจากปืนรางรถไฟที่อยู่ข้างหลังเธอ ซึ่งมันทำให้เบียทริซเปล่งประกาย

    สายฟ้าและเปลวไฟบนอากาศ ทำลายร่างของเมธูเสลาห์ได้อย่างสวยงาม อย่างไรก็ตาม แสงสว่างและความมืดเป็นเพียงเหรียญสองด้านของกันและกัน สิ่งที่แข็งแกร่งกว่าคือแสงสว่าง และที่ยากที่จะหยั่งถึงก็คือความมืด

    เบียทริซและซามิเอลที่ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างดังมาจากข้างล่าง ทั้งสองคนถูกโจมตีด้วยพลังของตัวเอง สายฟ้าและเปลวเพลิงโหมกระหน่ำเผากองทัพทั้งหมดของตัวเอง

    “อึ….” เบียทริซสามารถหลบการโจมตีได้ทันเวลาเช่นเดียวกับชไนเบอร์ เธอกัดฟันด้วยความหงุดหงิด ไม่นานลุดวิกก็ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    การยิงของกองทัพทหารราบ การแทงด้วยดาบปลายปืน การยิงของรถถังและเรือรบประจัญบาน ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผล แม้ว่าขบวนทัพเม็สเซอร์ชมิท (Messerschmitt) จะโจมตีเขาด้วยห่าฝนกระสุนปืน และยุงเคิร์ส ยู 88 (Junkers Ju 88) จะทิ้งระเบิดซ้ำๆ พร้อมกับเฮนเกิล ฮี 111เอส (heinkel he 111 s) ก็ไม่อาจทำอะไรความมืดได้

    “พวกแกทำอะไรฉันไม่ได้หรอก หยุดการกระทำที่ไร้ประโยชน์นี่ซะ ฉันไม่ได้อยากทำให้คลอเดียเสียใจ เธอเป็นผู้หญิงที่สูงส่ง ดังนั้นการตายของพวกสวะอย่างแกก็ทำให้เธอเสียใจได้” นี่คือการเตือนครั้งสุดท้ายของลุดวิก ไม่นานเขาก็พูดอีกครั้ง

    “ให้ฉันได้แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ดีกว่า”

    ทันใดนั้นความมืดรอบๆ เมธูเสลาห์ก็หนาแน่ขึ้น มันมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดจากตัวเขา รูปร่างที่เกิดจากความมืดนั้นคล้ายกับคมเขี้ยวของสัตว์ร้ายอ้าปาก

    ทั้งหมดที่ลุดวิกแสดงคือความชั่วร้าย ซึ่งมันคล้ายกับนักล่าของมนุษยชาติ ดังนั้นลุดวิกก็คือการรวมตัวกันของความชั่วร้ายที่จะทำลายมนุษยชาติ เขามีวิธีนับไม่ถ้วนทั้งทางร่างกายและจิตใจ

    และเหตุผลที่เขาไม่เคยตอบโต้เลยก็คือเขาเกลียดในสิ่งที่เขาเป็น แต่ตอนนี้อีกฝ่ายบังคับให้เขาไม่มีทางเลือก ดังนั้นเขาจำเป็นต้องทำ

    ฝูงปากงอกออกมาจากข้างหลังของเขาขณะที่มีเสียงแทะดังออกมา พวกมันพุ่งเข้าหาแกลดส์ไฮม์อย่างรวดเร็ว

    เมื่อเห็นแบบนั้น เบียทริซเปลี่ยนร่างกายของตัวเองให้กลายเป็นสายฟ้าและปะทะกับศัตรู ไม่ว่ารูปร่างของมันจะน่ากลัวเพียงใด ความมืดก็ยังคงเป็นความมืด 

    กรงเล็บและเขี้ยวเหล่านั้นไม่มีทางถึงตัวเธอได้เลย เบียทริซคิดแบบนั้น อย่างไรก็ตาม ความจริงก็ตรงกัน

    “ห๊ะ!”

    สายฟ้าของเบียทริซถูกกัดเซาะ ถูกครอบงำด้วยความมืด และกินเธอ แสงของเธอไม่เพียงพอที่จะทำลายคมเขี้ยว เพราะเขี้ยวทั้งหมดของลุดวิกมีความมืดสะสมอยู่ ความหนาแน่ของพลังอยู่ในระดับที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ดังนั้นแสงสว่างของเบียทริซจึงถูกบดขยี้

    “อ๊าาาาาา!” เบียทริซกรีดร้องและกระอักเลือดออกมา แม้ว่าเธอจะหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีโดยตรง แต่ความมืดก็กลืนกินแขนซ้ายของเธอทั้งหมด และมันไม่ได้จบเพียงเท่านั้น

    กองทัพแห่งความมืดยังคงโจมตีไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งชไนเบอร์สามารถหลบพวกมันได้ทั้งหมด แต่เบียทริซก็ได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถเข้าร่วมต่อสู้ได้แล้ว

    ถ้าเธอถูกความมืดรอบที่สองกลืนกิน แสงของเธอก็จะดับลงและไม่เหลือแม้แต่กระดูกของเธอ ซึ่งซามิเอลก็พยายามสนับสนุนด้วยการยิงปืนรางรถไฟมากกว่านี้ แต่แค่นั้นมันไม่พอ

    ความมืดของเมธูเสลาห์จะกลืนกินเบียทริซทั้งหมดในไม่ช้า แต่ก่อนที่จะเกิดเรื่องนั้นขึ้น ก็มีชายผมขาวมาแตะไหล่ของเธอ ทันใดนั้นความมืดทั้งหมดก็หายไปราวกับว่าไม่เคยเกิดขึ้น

    คุโระมองขึ้นไปยังเมธูเสลาห์ก่อนที่จะมีเสียงดังมาจากข้างๆ เขา

    “มิดิกการ์ โวลซุงกะ ซากะ!Miðgarð Völsunga Saga”

    มีบางอย่างที่ทำด้วยหมัดเหล็กบดขยี้คมเขี้ยวแห่งความมืดด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทำให้ความมืดที่โจมตีระลอกสองหายไปอย่างรวดเร็ว

    นั่นเป็นชัยชนะครั้งแรกของฝั่งแกลดส์ไฮม์ ซึ่งทำให้สถานการณ์สิ้นหวังของพวกเขาเปลี่ยนไปด้วยพลังของผู้ชายสองคน

    “คุโระ….มาคินะ”

    เบียทริซแสดงสีหน้าด้วยความเจ็บปวด เงยหน้ามองชายผมขาวด้านหลังเธอ แม้แต่เบียทริซก็ยังประหลาดใจว่ารูปลักษณ์ของเขาเปลี่ยนไปขนาดนี้เลยหรือ

    แต่เขาไม่ได้พูดอะไร เขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยความสง่างาม เขาคือคุโระ ชิบิโตะ อาจารย์ประจำสังคมจิตวิทยาของเซนเฟรย่า ความปรารถนาของเขาคือการมีชีวิตซึ่งเป็นดั่งพายุคลั่ง

    พายุคลั่งที่กลายเป็นเครื่องหมายของความแข็งแกร่ง ความต้องการที่จะตัดทุกอย่างด้วยดาบ รวดเร็วราวกับพายุ ที่ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงกลายเป็นเวอร์จิลในอีกรูปแบบ

    ‘จะไหวไหม? อยากได้ Unlimited Bladeworks สักอัน’ คุโระตัดพ้อ

    อีกคนหนึ่งคือมาคินะและปรารถนาเพียงตายในสนามรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เขาเป็นความตายซึ่งนั้นก็คือจุดจบของตัวเขาเอง

    ความปรารถนาของมาคินะคือการทำให้ทุกอย่างจบลงบน โวลซุงกะ ซากะ และผลของมันก็คือการยุติสิ่งผิดปกติทั้งหมด โดยไม่คำนึงว่าสิ่งเหล่านั้นมีรูปร่างหรือไม่

    อะไรก็ตามที่มีเรื่องราวอย่างเช่นประวัติศาสตร์แบบใดก็ตาม ย่อมมีจุดจบและดีอุส เอ็ก มาคินะ (Deus Ex Machina) ของเขาก็ขับเคลื่อนเรื่องราวนั้นไปสู่บทสรุปนั้นอย่างฉับพลัน

    ไม่เพียงส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งก่อสร้างเท่านั้น แต่ยังรวมถึงไฟ สายฟ้า หรือแม้กระทั่งความคิดหรือแนวคิดเช่นกัน

    การถูกชกด้วยหมัดของเขาก็หมายถึงการสิ้นสุดของประวัติศาสตร์ของคนผู้นั้น และแม้แต่เทพแห่งความมืดก็ไม่มีข้อยกเว้น หมัดเดียวของเขาจะทำลายลุดวิก

    สำหรับอิมเมจินเบรกเกอร์ของคุโระก็ไม่สามารถเทียบกับมันได้ในตอนนี้ แต่ถ้าเขาปลดปล่อยพลังของมันได้ มันจะทำให้ลบตัวตนทุดอย่างออกไป แม้กระทั่งพระเจ้า จักรวาล หรืออะไรก็ได้

    “หึ…น่าประหลาดใจ แกยังมีคนที่อันตรายอยู่จริงๆ ด้วย…นั่น นักเดินทางเมื่อตอนนั้น”

    ลุดวิกถอนหายใจด้วยความประหลาดใจและตระหนักถึงสิ่งที่เขาเข้าใจพลังของมาคินะ เนื่องจากความตายเป็นความมืดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติ จึงไม่ใช่เรื่องยากที่เขาจะรู้

    “แกอาจจะโค่นฉันได้ แต่บอกหน่อยสิ การทำลายความมืดนั้นถูกต้องไหม? ฉันนึกไม่ออกเลยว่าโลกจะเป็นยังไง ถ้าฉันหายไป”

    “นั่นไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องสนใจ” น้ำเสียงของมาคินะเงียบ แต่คำตอบของเขากระชับและชัดเจน มาคินะไม่เคยสงสัยเลยเกี่ยวกับตัวตนของตัวเอง

    หากเขาทำตามแนวคิดของจุดจบ ลุดวิกก็จะสูญสลายไปและกลับคืนสู่ความมืดเช่นเดียวกับเพื่อนและโลตัส ซึ่งนั้นเป็นข้อสรุปที่เหมาะสมที่สุด แต่พลังของมาคินะไปไกลกว่านั้น

    เขาจะทำลายการดำรงอยู่ของความมืดย่างแน่นอน และไม่ต้องรู้เลยว่านั่นคือการทำลายกฎระเบียบของโลก ซึ่งก็คือทำให้เกิดผลร้ายเป็นอย่างมาก

    อย่างไรก็ตามมาคินะไม่ได้สนใจหรือกังวลเรื่องนั้นแต่อย่างใด

    “แม้ว่าความมืดจะหายไป แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกอะไรเลยสักนิด”

    รูปแบบก็คือความว่างเปล่า และความว่างเปล่าก็คือรูปแบบ มาคินะตายไปนานแล้ว เนื่องจากทุกอย่างกลับคืนสู่ความว่างเปล่า เขาจึงไม่ลังเลเลยที่จะจบทุกอย่าง นั่นก็คือเหตุผลที่เขาอยู่บนจุดสูงสุด

    ลุกวิกมองทั้งสองคนและพูดว่า “เข้าใจแล้ว เดี๋ยวฉันจะบอกอะไรดีๆ ให้ฟัง”

    “มาคินะฝากถ่วงเวลาด้วย เดี๋ยวฉันจะลองทำอะไรสักอย่าง” คุโระพูดแบบนั้นก็คุกเข่าและนึกถึงบางอย่าง

    “I am….”

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×