ลำดับตอนที่ #13
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : + + Day 10 : On my way + + [แก้คำผิด 100%]
“ถูกทางแน่นะคะพี่ ?”
ซอฮยอนถามขึ้นเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะเธอสังเกตจากท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรของซูยองหญิงสาวร่างสูงที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้า โดยที่ซูยองเองก็ยังคงวิ่งนำต่อไปจนมาถึงจุดเชื่อมระหว่างอาคาร หลังจากที่ใช้เวลาไปมากพอสมควร
เธอวิ่งนำซอฮยอนข้ามไปยังอาคารอีกฝั่งอย่างเร่งรีบ เพราะยิ่งใช้เวลามาก มันก็ยิ่งอันตรายต่อแทยอนที่ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่ายังปลอดภัยอยู่หรือไม่
“อือออออ…”
ผีดิบตนหนึ่งที่อยู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมาจากหัวมุมบันไดทำเอาซูยองตกใจจนเผลอผลักมันออกจนร่างนั้นพลัดตกบันไดลงไปยังชั้นล่าง ก่อนที่เธอจะคว้าข้อมือของซอฮยอนขึ้นบันไดไปอีกชั้นหนึ่งด้วยความเร่งรีบ
.
.
.
ห่างออกมาจากตัวโรงพยาบาลราวๆ 200 เมตร เหนือน่านฟ้า เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งที่กำลังสูญเสียการควบคุมพยายามจะร่อนลงอย่างฉุกเฉิน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะใบพัดส่วนหางที่หยุดหมุนไปทำให้ตัวเครื่องนั้นบินวนจนสะบัดเอาคนที่นั่งอยู่ภายในตกลงมากระแทกกับพื้นจนเสียชีวิต
ยิ่งฝืนพยายามบังคับมันเท่าไร ก็ยิ่งทำให้มันเสียการทรงตัวมากขึ้นเท่านั้น
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ซูยองนั้นต้องเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่จะเกิดแรงปะทะขึ้นอย่างแรง
ตูมมมมม !!!
ส่วนหัวของเฮลิคอปเตอร์ที่กระแทกกับกำแพงใกล้กับจุดพักบันไดที่เธออยู่สร้างความตกใจให้กับพวกเธอไม่น้อย จนต้องรีบกระโดดหลบลงมาจากจุดดังกล่าว เสียงใบพัดขนาดใหญ่ตีเข้ากับกำแพงคอนกรีตอย่างแรงจนปลิวกระเด็นเฉียดลำตัวของซอฮยอนไปพร้อมกับฝากรอยแผลยาวเอาไว้บนร่าง
เพล้งงงงงง !!!
“ว๊ายยยยย !!!!”
เพราะเศษหิน เศษกระจกอีกทั้งยังแรงระเบิดที่อัดเข้าใส่ ทำให้ร่างของซอฮยอนถูกแรงอัดนั้นกระเด็นไปจนแทบจะหลุดจากขอบหน้าต่าง ราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่นที่ร่างของเด็กสาวคนนั้นค่อยๆ ร่วงตกลงไปทีละน้อย โดยที่ซูยองก็พยายามจะพุ่งออกไปจับข้อมือของเธอเอาไว้
หมับบบ !!
โชคยังดีนักที่ซูยองสามารถจับเอาไว้ได้ทัน เธอพยายามจะดึงร่างของซอฮยอนขึ้นมาทั้งๆ ที่ตัวเองก็ถูกกระจกที่ยังแตกคาอยู่กับขอบทิ่มอยู่ที่ช่วงหัวไหล่จนเลือดนั้นเริ่มไหลออกมา
“อย่าปล่อยมือนะ !!!”
ซูยองพยายามจะดึงร่างของซอฮยอนขึ้นมาต้องหันกลับไปมองด้านหลังของตนเพราะเสียงจากเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวยังคงดังไม่หยุด ตัวเครื่องที่สะบัดอย่างแรงแทบจะทำลายชั้นที่พวกเธออยู่อย่างง่ายดาย ใบพัดที่ยังคงเหวี่ยงฟาดกับผนังคอนกรีต หักและกระเด็นเฉี่ยวผ่านแผ่นหลังของซูยองไปเพียงเล็กน้อยและยังคงหมุนปั่นต่อสักพักก่อนที่ชั้นที่อยู่จะเริ่มทรุดจนร่วงลงไปกระแทกกับพื้นชั้นล่าง
ตูมมมมมม !!!!
แรงระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้ประกายไฟและไอความร้อนพุ่งขึ้นสูงทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรกับกำลังถูกย่างเผาทั้งเป็น ซูยองพยายามกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดที่หัวไหล่และไอความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมา ดึงร่างของซอฮยอนขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“ฮึบบ !”
ยิ่งออกแรง เลือดของเธอก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้น
.
.
.
จนเลือดนั้นหยดลงมากระทบกับใบหน้าของซอฮยอน
แหมะ…
กระทั่งเด็กสาวจะเห็นว่าเลือดจำนวนไม่น้อยค่อยๆ ไหลลงมา
“อย่าคิดอะไรบ้าๆ นะ !”
ซูยองพูดพร้อมกับกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดพร้อมกับใช้มืออีกข้างดันและเกาะกับพื้นเอาไว้ ก่อนที่จะออกแรงทั้งหมดที่มีเพื่อดึงซอฮยอนขึ้นมา ใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำรอยฟันที่กัดริมฝีปากอยู่เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา
กระทั่งซอฮยอนสามารถใช้แขนที่เหลืออีกข้างเอื้อมมาเกาะที่ขอบอาคารได้ จึงช่วยผ่อนแรงของซูยองได้เป็นอย่างดี ซอฮยอนพยายามออกแรงดึงร่างของตัวเองขึ้นไปโดยใช้การเหวี่ยงขาขึ้นมาช่วย
“พ… พี่คะ !”
ทันทีที่ขึ้นมาได้เธอก็ตรงเข้าดูอาการของซูยองด้วยความเป็นห่วง จนลืมกระทั่งความเจ็บปวดของตนเอง เลือดที่ยังคงไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งทำให้ซอฮยอนเริ่มเกิดความวิตก เธอพยายามรวบรวมสติ และพยายามคิดย้อนกลับไปถึงหนังสือที่ตัวเองเคยอ่านเกี่ยวกับการห้ามเลือดเมื่อนานมาแล้ว จนเธอตัดสินใจถอดเสื้อนอกที่สวมอยู่ออกและใช้ฟันกัดที่รอยตะเข็บเพื่อจะดึงมันให้ขาด
กึ๊ดด !
แต่มันก็ไม่ได้ขาดง่ายๆ เหมือนในภาพยนตร์ เธอจึงต้องพยายามกัดมันอีกครั้งและออกแรงดึงให้มันขาด
แคว่กกกก !!
เมื่อลองดูแผลที่บริเวณไหล่ของซูยองอีกครั้ง โชคยังดีนักที่มันไม่ลึกมาก เธอจึงจัดการใช้เสื้อที่ขาดออกพันรอบแผลก่อนที่จะออกแรงกดและมัดให้แน่นพอสมควรเพื่อเป็นการห้ามเลือด
“ไหวไหมคะ ?”
“เธอต่างหากล่ะไหวรึเปล่า แผลของเธอน่ะยิ่งกว่าของพี่ซะอีก !”
ซูยองทักกลับพร้อมกับมองดูบาดแผลบริเวณช่วงท้องของซอฮยอนที่เลือดก็ยังคงไหลออกมาจากแผลไม่หยุด ความเจ็บปวดที่เคยลืมไปเพราะความเป็นห่วงซูยองได้กลับมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัว ใบหน้าที่เริ่มเหยเกก็ทำให้ซูยองเดาได้ไม่ยากว่ามันเจ็บปวดมากน้อยแค่ไหน
จนกระทั่งซูยองถอดเอาเสื้อนอกของเธอออกและเริ่มทำการห้ามเลือดให้กับซอฮยอน
“ทีหลังห่วงตัวเองก่อนเถอะเราน่ะ !”
พร้อมกับผูกให้แน่น เธอมองดูมันสักพักเพื่อความแน่ใจว่ามันน่าจะพอช่วยห้ามเลือดได้บ้างในระหว่างที่พวกเธอจะเดินทางต่อไปเอาอุปกรณ์ทำแผลเพื่อนำมันกลับไปช่วยแทยอน และเพื่อทำแผลให้กับพวกเธอด้วย
“ไปกันเถอะ…”
ซูยองเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งมือไปให้กับซอฮยอน
“ค่ะพี่…”
เด็กสาวตอบกลับและคว้ามือของซูยองเอาไว้ ก่อนที่พวกเธอจะเดินทางต่อไปด้วยกัน
.
.
.
15 นาทีต่อมา…
“แทยอนนน !!”
ซูยองตะโกนเรียกเพื่อนสาวพร้อมกับพยายามเลื่อนเอาเก้าอี้ที่ขวางประตูอยู่ออกเพื่อที่จะได้เปิดเข้าไปรีบทำการรักษา ทันทีที่ประตูเปิดออก ซูยองและซอฮยอนก็ตรงเข้าไปหาแทยอนที่นอนอยู่บนเตียงทันที
“แทยอน !”
พร้อมกับเขย่าตัวเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“แทยอน !!”
กระทั่งสาวร่างเล็กค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา น้ำตาแห่งความปิติก็รื้นขึ้นมาจนไหลอาบแก้ม
“ซ… ซูยอง ดี ดีจังที่เธอปลอดภัย…”
“ชั้นต่างหากล่ะที่ควรดีใจที่เธอยังไม่เป็นอะไร”
สาวร่างสูงตอบกลับก่อนที่จะเตรียมเอาอุปกรณ์ที่ตนเองหามาได้เริ่มทำแผลให้กับแทยอน แม้ว่าส่วนใหญ่เจ้าตัวจะเป็นคนลงมือเองก็ตาม ส่วนซอฮยอนนั้นก็ได้แต่คอยช่วยส่งอุปกรณ์ให้กับแทยอนเท่านั้น หลังจากที่ทำแผลให้กับแทยอนเสร็จแล้ว เธอก็หันมาช่วยทำแผลให้กับทั้งซูยองและซอฮยอนต่อ กระทั่งเลือดที่ไหลซึมออกมานั้นเริ่มน้อยลงและหยุดสนิท [mission complete]
ซูยองจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้นั้นและเดินไปกดล็อคประตูห้องเอาไว้พร้อมกับพูดขึ้น
“สงสัยวันนี้เราคงต้องพักกันก่อนซะแล้วล่ะ รอให้บาดแผลนั้นค่อยยังชั่วก่อน แล้วค่อยหาทางออกไปจากที่นี่”
“หนูก็เห็นด้วยกับพี่นะ…”
ซอฮยอนกล่าวเสริมขึ้น
“อาจจะใช้เวลาพักฟื้นสักวันสองวัน… ระหว่างนั้นเราต้องหาอาวุธ แล้วก็อุปกรณ์อะไรที่จำเป็นๆ ให้พร้อม”
ซูยองพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เงียบใช้ความคิดไปนานพอสมควร
.
.
.
“นั่นสิคะ…”
--------------------------------
--------------------------------
เวลา 09.00 นาฬิกาก่อนที่จะเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก 30 นาที…
“นี่เธอติดต่อยัยนั่นได้รึยัง ?”
ฮโยยอนถามเพื่อนสาวอีกคนที่กำลังพยายามจะโทรตามยูริเพื่อนสาวจนแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือทิ้งอยู่แล้วเพราะโทรไปเท่าไรก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย
“ยัง !”
ซันนี่ตอบกลับอย่างหงุดหงิด พร้อมกับมองข้ามแม่น้ำฮันไปยังอีกฝั่ง ยังกรุงโซลที่เต็มไปด้วยฝูงผีดิบกระหายเลือดซึ่งเธอคาดว่ายูรินั้นยังติดอยู่ในเมืองนั้น และยังคิดอีกด้วยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
“โธ่เว้ย !!”
เธอสบถออกมาอย่างหงุดหงิดจนเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือในมือลงพื้นจริงๆ
“ยัยบ้า ! เธอทำแบบนั้นแล้วจะใช้โทรศัพท์ที่ไหนฮะ !?”
“ก็ของเธอไง…”
คำตอบที่หลุดออกมาจากปากทำเอาฮโยยอนอยากจะตบเพื่อนสาวเข้าสักที แต่อยู่ๆ เสียงสัญญาณไซเรนก็ดังขึ้นทำให้ทั้งซันนี่และฮโยยอน ต่างก็พากันวิ่งไปรวมกันที่ลานกว้างซึ่งคนอื่นๆ ก็พากันวิ่งมารวมพลกันที่บริเวณดังกล่าวด้วยเพื่อรอรับคำสั่งจากทางผู้บังคับบัญชา
“ตอนนี้มีภารกิจด่วนเข้ามาจากท่านประธานาธิบดี เพราะตอนนี้ลูกสาวของท่าน ยังคงติดอยู่ในตัวเมือง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แบ่งออกเป็นทีมต่างๆ เพื่อเตรียมตัวเข้าไปช่วยเหลือลูกสาวของท่านประธานาธิบดีตามคำสั่ง ซึ่งซันนี่ ฮโยยอนและคนอื่นๆ ของหน่วย STARS ก็เตรียมตัวที่จะขึ้นเครื่องเข้าไปเพื่อกระจายกำลังสมทบให้กับเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นๆ
ซันนี่เดินกลับเข้ามาในเต็นท์ของตนและหยิบคว้าเอาสไนเปอร์ไรเฟิลกระบอกใหม่ที่เพิ่งจะส่งมาถึงได้ไม่นานออกมาบรรจุใส่กระเป๋าพร้อมกับเตรียมบรรจุกระสุนให้พร้อม เช่นเดียวกับฮโยยอนที่กำลังเปิดตู้ล็อคเกอร์ของตนและหยิบเอาปืนกลและปืนพกออกมาใส่สายคาดและสะพายเอาไว้
“จะไปกันยัง ?”
ฮโยยอนที่เตรียมตัวเสร็จก่อนหันกลับมาถามเพื่อนสาว
“อืม…”
ซันนี่ตอบกลับก่อนที่จะแบกกระเป๋าบรรจุปืนที่หนักเกือบ 10 กิโลไปด้วย ทั้งสองเดินตามหลังคนอื่นๆ มารออยู่ที่บริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ สายตาหันกลับไปมองดูขบวนรถหุ้มเกราะที่ทางกองทัพพากันวิ่งข้ามสะพานสายหลักที่เหลืออยู่เพียงสายเดียวไป
ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะค่อยๆ ลดระดับเพดานบินลงและจอดที่ลาน ซันนี่และฮโยยอนจึงก้าวขึ้นไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เหลือ และเมื่อพร้อม เฮลิคอปเตอร์จึงค่อยๆ เดินเครื่องและบินสูงขึ้นจากพื้นมุ่งหน้าเข้าไปสู่ตัวเมืองที่รกร้างต่อไป
.
.
.
เวลา 09.25 ณ. บริเวณใกล้เคียงของโรงพยาบาล St. Mary Hospital…
เฮลิคอปเตอร์ที่นั่งไปอยู่ๆ ก็เกิดเหตุขัดข้องเมื่อบังเอิญมีฝูงนกบินผ่านตัวเครื่องไป แสงไฟกระพริบเตือนคล้ายกับมีอะไรบางอย่างไปขัดกับใบพัดทางด้านหลังทำให้มันหยุดหมุนลงซะเฉยๆ ก่อนที่ตัวเครื่องจะเริ่มหมุนส่ายเพราะสูญเสียการควบคุม และด้วยแรงเหวี่ยงดังกล่าวทำให้ร่างของสมาชิกทีมคนหนึ่งหลุดจากสายเข็มขัดนิรภัยที่ล็อคอยู่จนฟาดเข้ากับประตูของเครื่องจนเปิดออก และด้วยแรงกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้กระแสลมนั้นดูดพัดเอาสิ่งของที่อยู่ภายในกระเด็นออกจากเครื่อง
“เหวออออ !!!!”
กระทั่งร่างของชายคนนั้นจะถูกแรงเหวี่ยงดังกล่าวจนหลุดออกมาจากตัวเครื่องสร้างความโกลาหลให้กับเพื่อนร่วมทีมที่เหลืออยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเบื้องหน้านั้นกำลังจะพุ่งเข้าชนกับตัวอาคารของโรงพยาบาล
แกร๊กกก !!
ชายอีกคนหนึ่งที่ปลดสายเข็มขัดออกเพื่อหวังจะเอาชีวิตรอดกลับถูกแรงดูดของอากาศนั้นกระชากออกไปอย่างรวดเร็วจนกระแทกกับใบพัดของตัวเครื่อง
“อ๊ากกกกกก !!!!”
ร่างที่ถูกปั่นจนขาดกระเด็นออกเป็นชิ้นๆ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว ก่อนที่แรงกระแทกอันมหาศาลจะตามมาติดๆ เมื่อตัวเครื่องนั้นกระแทกเข้ากับอาคารของโรงพยาบาลนั้นและเกิดระเบิดขึ้น
ตูมมมมมม !!!!
ซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ซันนี่ตัดสินใจเหวี่ยงกระเป๋าใส่ปืนของเธอไปยังอาคารอีกหลังหนึ่งที่ใกล้กว่า ก่อนที่จะคว้าตัวฮโยยอนเพื่อนสาวให้กระโดดออกไปพร้อมกับเธอ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวเครื่องจะกระทบกับอาคารฝั่งตรงข้ามและระเบิดขึ้น
“อั่คคค !!!”
ร่างของทั้งสองที่ถูกแรงระเบิดพัดออกมาจนกลิ้งไปกับพื้นก่อนที่จะหยุดลงและนอนแผ่หงายอยู่ชั่วครู่
“เกือบตายแล้วมั๊ยล่ะ”
ซันนี่พูดขึ้นก่อน ก่อนที่จะดันร่างของตัวเองลุกขึ้นมาและมองดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝั่งตรงข้าม ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นไปหยิบเอากระเป๋าปืนที่อยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไร
“เพิ่งจะได้มาแท้ๆ แล้วอย่างนี้จะเจ๊งมั๊ยเนี่ย !”
“นี่เธอห่วงปืนนั่นมากกว่าอีกเหรอ ?”
ฮโยยอนถามขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหาเพื่อนสาวที่ค่อยๆ เปิดประเป๋าออกและหยิบเอาปืนไรเฟิลด้านในออกมา โชคยังดีนักที่กระเป๋านั้นสามารถรับแรงกระแทกได้บ้างจึงทำให้ตัวปืนนั้นไม่เกิดความเสียหาย ส่วนฮโยยอนก็ตรวจสอบปืนที่สะพายอยู่กับตนเองและเริ่มสำรวจความเสียหายบ้าง
“แล้วทีนี้เราจะทำยังไงต่อ ?”
ซันนี่หันไปถามเพื่อนสาวที่อยู่ข้างๆ
“ก็คงต้องหาทางติดต่อกลับ HQ แจ้งว่าทีมเราติดอยู่ที่นี่ล่ะมั๊ง ให้ทางนั้นส่งเฮลิคอปเตอร์เข้ามารับ”
ฮโยยอนตอบกลับ
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะนะ… แต่ก่อนอื่น เรามาหาทางออกไปจากที่นี่แล้วหาทางติดต่อกับ HQ นั่นก่อนดีกว่า” ซันนี่ตอบกลับพร้อมกับเริ่มบรรจุกระสุนใส่ในแม็กกาซีนและบรรจุเข้ากับกระบอกปืนเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งาน
แกร๊กกก !!
.
.
.
ปึ้งงงง !!!
ฮโยยอนเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูดาดฟ้าและใช้ขาของเธอถีบใส่ประตูอย่างแรงจนมันเปิดผลัวะเข้าไปด้านใน กระบอกปืนถูกยกขึ้นและเล็งจ่อที่ศีรษะของผีดิบตัวที่ขวางอยู่ด้านหน้าและกดยิงทันที
ปังงง !!!
“ไปกันเถอะ !”
ฮโยยอนเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใช้เท้าของเธอถีบเข้ากลางลำตัวจนผีดิบที่เพิ่งจะถูกยิงเลือดสาดให้หงายล้มไปทางด้านหลัง
นั่นสินะ… ก่อนอื่นก็ต้องไปหายัยนั่น
ปังงง !!!
‘ถ้า… ถ้าเธอไม่เข้า ชั้นเข้าเองก็ได้ !!’
ยุนอาตวาดกลับพร้อมกับแย่งเอาขวานจากในมือของยูริไป ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปช่วยหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งเธอไม่ยอมฟังคำทักท้วงของยูริเลย
อย่านะ… อย่า
.
.
.
“อย่านะยุน กลับมา…”
“ชั้นบอกให้กลับมา !!!”
กระทั่งเกิดแรงระเบิดขึ้นจนคอนกรีตนั้นตกลงมาทับเพื่อนสาวของเธอไปต่อหน้าต่อตา
“ไม่… ม่ายยยยยยย !!!!”
เฮือกก !!
ด้วยความตกใจทำให้ทั้งยูริและเจสสิก้าต่างก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยกันทั้งคู่ ยูริพยายามมองไปยังรอบๆ ตัวเพื่อมองหาเพื่อนสาว แต่รอบตัวกลับกลายเป็นทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไป ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วยุนอาล่ะ ยุนอาอยู่ที่ไหน ?
“ยุน…”
จนเธอเหลือบมาเห็นเจสสิก้าที่อยู่ข้างๆ เข้า
“ยุนอาล่ะ เพื่อนชั้นอยู่ที่ไหน !?”
เธอถามพร้อมกับเขย่าตัวของเจสสิก้าค่อนข้างแรงจนเจสสิก้าต้องตบเข้าที่ใบหน้าของยูริเพื่อเรียกสติ แม้ว่าจะค่อนข้างช็อกที่อยู่ๆ ถูกตบหน้า แต่ความเงียบของเจสสิก้าก็ทำให้ยูริรู้สึกช็อกยิ่งกว่า
“ไม่จริง…”
“บอกชั้นสิว่ามันไม่จริง !!!”
“นี่เธอจะบ้าไปถึงเมื่อไรฮะยูริ !!”
จนเจสสิก้าเริ่มที่จะเหลืออดกับเพื่อนร่วมทาง
“ชั้นรู้ว่าเธอน่ะเศร้า แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้ามัวแต่มาร้องไห้แบบนี้ !!”
“…”
“เธอเสียเพื่อนไปแล้ว แต่ชั้นสิ น้องสาวชั้นจะเป็นยังไงบ้าง เธอยังอยู่ดีไหม เธอไปติดอยู่ที่ไหนหรือเปล่า หรือเธอตายไปหรือยัง ชั้นที่ไม่รู้เลยว่าน้องสาวตัวเองเป็นยังไงไม่เครียดกว่าเหรอ !!?”
เจสสิก้าโวยลั่นด้วยความโกรธ จนน้ำตานั้นเริ่มที่จะรื้นขึ้นมาเพราะความผิดหวังในตัวของยูริ
ต่างฝ่ายก็ได้แต่เงียบจนเจสสิก้าเลือกที่จะเดินออกมา
“แล้วนั่นเธอจะไปไหนน่ะ !?”
ยูริเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ
“จะไปหาน้องสาวชั้น !”
“เดี๋ยวก่อนสิ !”
“เชิญเธอร้องไห้ต่อไปคนเดียวเถอะยูริ ชั้นจะไปตามหาน้องของชั้นด้วยตัวของชั้นเอง !”
พูดจบเธอก็หยิบเอาขวานที่ครั้งหนึ่งยูริเคยใช้ขึ้นมาซึ่งเธอจำมันได้ดีว่านั่นคือขวานที่ยุนอาแย่งออกไปจากมือของเธอ แต่ที่สำคัญคือเจสสิก้าไปเอามันมาจากไหน และได้ยังไง
ปึ้งงง !!
เสียงปิดประตูที่กระแทกใส่ด้วยความไม่พอใจเริ่มทำยูริรู้สึกตัวและคิดถึงในสิ่งที่เจสสิก้าพูด ในเมื่อเพื่อนของเธอตายไปแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่าที่เธอจะต้องมาร้องไห้เสียใจ ก่อนที่จะมองออกไปทางที่เจสสิก้าเดินกระทืบเท้าออกไป ในเมื่อเธอยังมีความหวัง ชั้นเองก็ยังมีหวังเช่นกัน
“เดี๋ยวว !!!”
จนยูริเลือกที่จะตามหญิงสาวร่างบางคนนั้นออกไป
“กรี๊ดดดดดดด !!!!”
เป็นจังหวะเดียวกับที่เจสสิก้าถูกผีดิบตนหนึ่งตรงเข้าเล่นงาน และแม้ว่าเธอจะพยายามใช้ขวานที่ถืออยู่ในมือเหวี่ยงขึ้นเฉาะเจ้าผีดิบตนนั้น แต่เพราะร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงแบบยูริทำให้แรงที่เหวี่ยงไปนั้นเบาจนเฉาะแทบไม่เข้า ซ้ำร้ายเจ้าผีตัวนั้นกลับปัดขวานในมือจนกระเด็น
ยูริจึงรีบวิ่งเข้าไปพร้อมกับหยิบขวานนั้นขึ้นมาถือและง้างเตรียมที่จะเหวี่ยงเข้าใส่ เธอใช้ขาอันเรียวยาวของตนถีบเข้าที่กลางอกจนร่างนั้นกระเด็นหงายไป ตามมาติดๆ ด้วยคมขวานที่ถูกวาดเข้าใส่กลางลำตัว
ฉึกกกกก !!!
เลือดพุ่งพรวดออกมาสร้างความตกใจให้กับเจสสิก้าไม่น้อย ก่อนที่ยูริจะดึงเอาขวานนั้นออกและสับซ้ำเข้าไปอีกครั้งที่กลางศีรษะจนกะโหลกนั้นแยกออกเป็นสองส่วน ด้วยความตกใจกลัวทำให้เจสสิก้าถึงกับตัวสั่น ยูริจึงค่อยๆ ดึงร่างนั้นเข้ามาโอบกอดไว้อย่างหลวมๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
.
.
.
“เธอไม่เป็นไรนะ “ถูกทางแน่นะคะพี่ ?”
ซอฮยอนถามขึ้นเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะเธอสังเกตจากท่าทางที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจเท่าไรของซูยองหญิงสาวร่างสูงที่วิ่งนำอยู่ด้านหน้า โดยที่ซูยองเองก็ยังคงวิ่งนำต่อไปจนมาถึงจุดเชื่อมระหว่างอาคาร หลังจากที่ใช้เวลาไปมากพอสมควร
เธอวิ่งนำซอฮยอนข้ามไปยังอาคารอีกฝั่งอย่างเร่งรีบ เพราะยิ่งใช้เวลามาก มันก็ยิ่งอันตรายต่อแทยอนที่ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่ายังปลอดภัยอยู่หรือไม่
“อือออออ…”
ผีดิบตนหนึ่งที่อยู่ๆ ก็โผล่พรวดออกมาจากหัวมุมบันไดทำเอาซูยองตกใจจนเผลอผลักมันออกจนร่างนั้นพลัดตกบันไดลงไปยังชั้นล่าง ก่อนที่เธอจะคว้าข้อมือของซอฮยอนขึ้นบันไดไปอีกชั้นหนึ่งด้วยความเร่งรีบ
.
.
.
ห่างออกมาจากตัวโรงพยาบาลราวๆ 200 เมตร เหนือน่านฟ้า เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งที่กำลังสูญเสียการควบคุมพยายามจะร่อนลงอย่างฉุกเฉิน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะใบพัดส่วนหางที่หยุดหมุนไปทำให้ตัวเครื่องนั้นบินวนจนสะบัดเอาคนที่นั่งอยู่ภายในตกลงมากระแทกกับพื้นจนเสียชีวิต
ยิ่งฝืนพยายามบังคับมันเท่าไร ก็ยิ่งทำให้มันเสียการทรงตัวมากขึ้นเท่านั้น
เสียงเครื่องยนต์ที่ดังใกล้เข้ามาทำให้ซูยองนั้นต้องเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนที่จะเกิดแรงปะทะขึ้นอย่างแรง
ตูมมมมม !!!
ส่วนหัวของเฮลิคอปเตอร์ที่กระแทกกับกำแพงใกล้กับจุดพักบันไดที่เธออยู่สร้างความตกใจให้กับพวกเธอไม่น้อย จนต้องรีบกระโดดหลบลงมาจากจุดดังกล่าว เสียงใบพัดขนาดใหญ่ตีเข้ากับกำแพงคอนกรีตอย่างแรงจนปลิวกระเด็นเฉียดลำตัวของซอฮยอนไปพร้อมกับฝากรอยแผลยาวเอาไว้บนร่าง
เพล้งงงงงง !!!
“ว๊ายยยยย !!!!”
เพราะเศษหิน เศษกระจกอีกทั้งยังแรงระเบิดที่อัดเข้าใส่ ทำให้ร่างของซอฮยอนถูกแรงอัดนั้นกระเด็นไปจนแทบจะหลุดจากขอบหน้าต่าง ราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่นที่ร่างของเด็กสาวคนนั้นค่อยๆ ร่วงตกลงไปทีละน้อย โดยที่ซูยองก็พยายามจะพุ่งออกไปจับข้อมือของเธอเอาไว้
หมับบบ !!
โชคยังดีนักที่ซูยองสามารถจับเอาไว้ได้ทัน เธอพยายามจะดึงร่างของซอฮยอนขึ้นมาทั้งๆ ที่ตัวเองก็ถูกกระจกที่ยังแตกคาอยู่กับขอบทิ่มอยู่ที่ช่วงหัวไหล่จนเลือดนั้นเริ่มไหลออกมา
“อย่าปล่อยมือนะ !!!”
ซูยองพยายามจะดึงร่างของซอฮยอนขึ้นมาต้องหันกลับไปมองด้านหลังของตนเพราะเสียงจากเฮลิคอปเตอร์ลำดังกล่าวยังคงดังไม่หยุด ตัวเครื่องที่สะบัดอย่างแรงแทบจะทำลายชั้นที่พวกเธออยู่อย่างง่ายดาย ใบพัดที่ยังคงเหวี่ยงฟาดกับผนังคอนกรีต หักและกระเด็นเฉี่ยวผ่านแผ่นหลังของซูยองไปเพียงเล็กน้อยและยังคงหมุนปั่นต่อสักพักก่อนที่ชั้นที่อยู่จะเริ่มทรุดจนร่วงลงไปกระแทกกับพื้นชั้นล่าง
ตูมมมมมม !!!!
แรงระเบิดที่เกิดขึ้นทำให้ประกายไฟและไอความร้อนพุ่งขึ้นสูงทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ต่างอะไรกับกำลังถูกย่างเผาทั้งเป็น ซูยองพยายามกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดที่หัวไหล่และไอความร้อนที่พวยพุ่งขึ้นมา ดึงร่างของซอฮยอนขึ้นมาอย่างยากลำบาก
“ฮึบบ !”
ยิ่งออกแรง เลือดของเธอก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้น
.
.
.
จนเลือดนั้นหยดลงมากระทบกับใบหน้าของซอฮยอน
แหมะ…
กระทั่งเด็กสาวจะเห็นว่าเลือดจำนวนไม่น้อยค่อยๆ ไหลลงมา
“อย่าคิดอะไรบ้าๆ นะ !”
ซูยองพูดพร้อมกับกัดฟันทนต่อความเจ็บปวดพร้อมกับใช้มืออีกข้างดันและเกาะกับพื้นเอาไว้ ก่อนที่จะออกแรงทั้งหมดที่มีเพื่อดึงซอฮยอนขึ้นมา ใบหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำรอยฟันที่กัดริมฝีปากอยู่เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมา
กระทั่งซอฮยอนสามารถใช้แขนที่เหลืออีกข้างเอื้อมมาเกาะที่ขอบอาคารได้ จึงช่วยผ่อนแรงของซูยองได้เป็นอย่างดี ซอฮยอนพยายามออกแรงดึงร่างของตัวเองขึ้นไปโดยใช้การเหวี่ยงขาขึ้นมาช่วย
“พ… พี่คะ !”
ทันทีที่ขึ้นมาได้เธอก็ตรงเข้าดูอาการของซูยองด้วยความเป็นห่วง จนลืมกระทั่งความเจ็บปวดของตนเอง เลือดที่ยังคงไหลออกมาจากบาดแผลยิ่งทำให้ซอฮยอนเริ่มเกิดความวิตก เธอพยายามรวบรวมสติ และพยายามคิดย้อนกลับไปถึงหนังสือที่ตัวเองเคยอ่านเกี่ยวกับการห้ามเลือดเมื่อนานมาแล้ว จนเธอตัดสินใจถอดเสื้อนอกที่สวมอยู่ออกและใช้ฟันกัดที่รอยตะเข็บเพื่อจะดึงมันให้ขาด
กึ๊ดด !
แต่มันก็ไม่ได้ขาดง่ายๆ เหมือนในภาพยนตร์ เธอจึงต้องพยายามกัดมันอีกครั้งและออกแรงดึงให้มันขาด
แคว่กกกก !!
เมื่อลองดูแผลที่บริเวณไหล่ของซูยองอีกครั้ง โชคยังดีนักที่มันไม่ลึกมาก เธอจึงจัดการใช้เสื้อที่ขาดออกพันรอบแผลก่อนที่จะออกแรงกดและมัดให้แน่นพอสมควรเพื่อเป็นการห้ามเลือด
“ไหวไหมคะ ?”
“เธอต่างหากล่ะไหวรึเปล่า แผลของเธอน่ะยิ่งกว่าของพี่ซะอีก !”
ซูยองทักกลับพร้อมกับมองดูบาดแผลบริเวณช่วงท้องของซอฮยอนที่เลือดก็ยังคงไหลออกมาจากแผลไม่หยุด ความเจ็บปวดที่เคยลืมไปเพราะความเป็นห่วงซูยองได้กลับมาอีกครั้งเมื่อรู้สึกตัว ใบหน้าที่เริ่มเหยเกก็ทำให้ซูยองเดาได้ไม่ยากว่ามันเจ็บปวดมากน้อยแค่ไหน
จนกระทั่งซูยองถอดเอาเสื้อนอกของเธอออกและเริ่มทำการห้ามเลือดให้กับซอฮยอน
“ทีหลังห่วงตัวเองก่อนเถอะเราน่ะ !”
พร้อมกับผูกให้แน่น เธอมองดูมันสักพักเพื่อความแน่ใจว่ามันน่าจะพอช่วยห้ามเลือดได้บ้างในระหว่างที่พวกเธอจะเดินทางต่อไปเอาอุปกรณ์ทำแผลเพื่อนำมันกลับไปช่วยแทยอน และเพื่อทำแผลให้กับพวกเธอด้วย
“ไปกันเถอะ…”
ซูยองเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งมือไปให้กับซอฮยอน
“ค่ะพี่…”
เด็กสาวตอบกลับและคว้ามือของซูยองเอาไว้ ก่อนที่พวกเธอจะเดินทางต่อไปด้วยกัน
.
.
.
15 นาทีต่อมา…
“แทยอนนน !!”
ซูยองตะโกนเรียกเพื่อนสาวพร้อมกับพยายามเลื่อนเอาเก้าอี้ที่ขวางประตูอยู่ออกเพื่อที่จะได้เปิดเข้าไปรีบทำการรักษา ทันทีที่ประตูเปิดออก ซูยองและซอฮยอนก็ตรงเข้าไปหาแทยอนที่นอนอยู่บนเตียงทันที
“แทยอน !”
พร้อมกับเขย่าตัวเธอเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“แทยอน !!”
กระทั่งสาวร่างเล็กค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา น้ำตาแห่งความปิติก็รื้นขึ้นมาจนไหลอาบแก้ม
“ซ… ซูยอง ดี ดีจังที่เธอปลอดภัย…”
“ชั้นต่างหากล่ะที่ควรดีใจที่เธอยังไม่เป็นอะไร”
สาวร่างสูงตอบกลับก่อนที่จะเตรียมเอาอุปกรณ์ที่ตนเองหามาได้เริ่มทำแผลให้กับแทยอน แม้ว่าส่วนใหญ่เจ้าตัวจะเป็นคนลงมือเองก็ตาม ส่วนซอฮยอนนั้นก็ได้แต่คอยช่วยส่งอุปกรณ์ให้กับแทยอนเท่านั้น หลังจากที่ทำแผลให้กับแทยอนเสร็จแล้ว เธอก็หันมาช่วยทำแผลให้กับทั้งซูยองและซอฮยอนต่อ กระทั่งเลือดที่ไหลซึมออกมานั้นเริ่มน้อยลงและหยุดสนิท [mission complete]
ซูยองจึงตัดสินใจลุกขึ้นจากเก้าอี้นั้นและเดินไปกดล็อคประตูห้องเอาไว้พร้อมกับพูดขึ้น
“สงสัยวันนี้เราคงต้องพักกันก่อนซะแล้วล่ะ รอให้บาดแผลนั้นค่อยยังชั่วก่อน แล้วค่อยหาทางออกไปจากที่นี่”
“หนูก็เห็นด้วยกับพี่นะ…”
ซอฮยอนกล่าวเสริมขึ้น
“อาจจะใช้เวลาพักฟื้นสักวันสองวัน… ระหว่างนั้นเราต้องหาอาวุธ แล้วก็อุปกรณ์อะไรที่จำเป็นๆ ให้พร้อม”
ซูยองพูดขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เงียบใช้ความคิดไปนานพอสมควร
.
.
.
“นั่นสิคะ…”
--------------------------------
--------------------------------
เวลา 09.00 นาฬิกาก่อนที่จะเกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก 30 นาที…
“นี่เธอติดต่อยัยนั่นได้รึยัง ?”
ฮโยยอนถามเพื่อนสาวอีกคนที่กำลังพยายามจะโทรตามยูริเพื่อนสาวจนแทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ในมือทิ้งอยู่แล้วเพราะโทรไปเท่าไรก็ไม่สามารถติดต่อเธอได้เลย
“ยัง !”
ซันนี่ตอบกลับอย่างหงุดหงิด พร้อมกับมองข้ามแม่น้ำฮันไปยังอีกฝั่ง ยังกรุงโซลที่เต็มไปด้วยฝูงผีดิบกระหายเลือดซึ่งเธอคาดว่ายูรินั้นยังติดอยู่ในเมืองนั้น และยังคิดอีกด้วยว่าเธอยังมีชีวิตอยู่
“โธ่เว้ย !!”
เธอสบถออกมาอย่างหงุดหงิดจนเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือในมือลงพื้นจริงๆ
“ยัยบ้า ! เธอทำแบบนั้นแล้วจะใช้โทรศัพท์ที่ไหนฮะ !?”
“ก็ของเธอไง…”
คำตอบที่หลุดออกมาจากปากทำเอาฮโยยอนอยากจะตบเพื่อนสาวเข้าสักที แต่อยู่ๆ เสียงสัญญาณไซเรนก็ดังขึ้นทำให้ทั้งซันนี่และฮโยยอน ต่างก็พากันวิ่งไปรวมกันที่ลานกว้างซึ่งคนอื่นๆ ก็พากันวิ่งมารวมพลกันที่บริเวณดังกล่าวด้วยเพื่อรอรับคำสั่งจากทางผู้บังคับบัญชา
“ตอนนี้มีภารกิจด่วนเข้ามาจากท่านประธานาธิบดี เพราะตอนนี้ลูกสาวของท่าน ยังคงติดอยู่ในตัวเมือง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แบ่งออกเป็นทีมต่างๆ เพื่อเตรียมตัวเข้าไปช่วยเหลือลูกสาวของท่านประธานาธิบดีตามคำสั่ง ซึ่งซันนี่ ฮโยยอนและคนอื่นๆ ของหน่วย STARS ก็เตรียมตัวที่จะขึ้นเครื่องเข้าไปเพื่อกระจายกำลังสมทบให้กับเจ้าหน้าที่จากหน่วยอื่นๆ
ซันนี่เดินกลับเข้ามาในเต็นท์ของตนและหยิบคว้าเอาสไนเปอร์ไรเฟิลกระบอกใหม่ที่เพิ่งจะส่งมาถึงได้ไม่นานออกมาบรรจุใส่กระเป๋าพร้อมกับเตรียมบรรจุกระสุนให้พร้อม เช่นเดียวกับฮโยยอนที่กำลังเปิดตู้ล็อคเกอร์ของตนและหยิบเอาปืนกลและปืนพกออกมาใส่สายคาดและสะพายเอาไว้
“จะไปกันยัง ?”
ฮโยยอนที่เตรียมตัวเสร็จก่อนหันกลับมาถามเพื่อนสาว
“อืม…”
ซันนี่ตอบกลับก่อนที่จะแบกกระเป๋าบรรจุปืนที่หนักเกือบ 10 กิโลไปด้วย ทั้งสองเดินตามหลังคนอื่นๆ มารออยู่ที่บริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ สายตาหันกลับไปมองดูขบวนรถหุ้มเกราะที่ทางกองทัพพากันวิ่งข้ามสะพานสายหลักที่เหลืออยู่เพียงสายเดียวไป
ก่อนที่เฮลิคอปเตอร์จะค่อยๆ ลดระดับเพดานบินลงและจอดที่ลาน ซันนี่และฮโยยอนจึงก้าวขึ้นไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทีมที่เหลือ และเมื่อพร้อม เฮลิคอปเตอร์จึงค่อยๆ เดินเครื่องและบินสูงขึ้นจากพื้นมุ่งหน้าเข้าไปสู่ตัวเมืองที่รกร้างต่อไป
.
.
.
เวลา 09.25 ณ. บริเวณใกล้เคียงของโรงพยาบาล St. Mary Hospital…
เฮลิคอปเตอร์ที่นั่งไปอยู่ๆ ก็เกิดเหตุขัดข้องเมื่อบังเอิญมีฝูงนกบินผ่านตัวเครื่องไป แสงไฟกระพริบเตือนคล้ายกับมีอะไรบางอย่างไปขัดกับใบพัดทางด้านหลังทำให้มันหยุดหมุนลงซะเฉยๆ ก่อนที่ตัวเครื่องจะเริ่มหมุนส่ายเพราะสูญเสียการควบคุม และด้วยแรงเหวี่ยงดังกล่าวทำให้ร่างของสมาชิกทีมคนหนึ่งหลุดจากสายเข็มขัดนิรภัยที่ล็อคอยู่จนฟาดเข้ากับประตูของเครื่องจนเปิดออก และด้วยแรงกดอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้กระแสลมนั้นดูดพัดเอาสิ่งของที่อยู่ภายในกระเด็นออกจากเครื่อง
“เหวออออ !!!!”
กระทั่งร่างของชายคนนั้นจะถูกแรงเหวี่ยงดังกล่าวจนหลุดออกมาจากตัวเครื่องสร้างความโกลาหลให้กับเพื่อนร่วมทีมที่เหลืออยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อพบว่าเบื้องหน้านั้นกำลังจะพุ่งเข้าชนกับตัวอาคารของโรงพยาบาล
แกร๊กกก !!
ชายอีกคนหนึ่งที่ปลดสายเข็มขัดออกเพื่อหวังจะเอาชีวิตรอดกลับถูกแรงดูดของอากาศนั้นกระชากออกไปอย่างรวดเร็วจนกระแทกกับใบพัดของตัวเครื่อง
“อ๊ากกกกกก !!!!”
ร่างที่ถูกปั่นจนขาดกระเด็นออกเป็นชิ้นๆ เลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว ก่อนที่แรงกระแทกอันมหาศาลจะตามมาติดๆ เมื่อตัวเครื่องนั้นกระแทกเข้ากับอาคารของโรงพยาบาลนั้นและเกิดระเบิดขึ้น
ตูมมมมมม !!!!
ซึ่งนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ซันนี่ตัดสินใจเหวี่ยงกระเป๋าใส่ปืนของเธอไปยังอาคารอีกหลังหนึ่งที่ใกล้กว่า ก่อนที่จะคว้าตัวฮโยยอนเพื่อนสาวให้กระโดดออกไปพร้อมกับเธอ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ตัวเครื่องจะกระทบกับอาคารฝั่งตรงข้ามและระเบิดขึ้น
“อั่คคค !!!”
ร่างของทั้งสองที่ถูกแรงระเบิดพัดออกมาจนกลิ้งไปกับพื้นก่อนที่จะหยุดลงและนอนแผ่หงายอยู่ชั่วครู่
“เกือบตายแล้วมั๊ยล่ะ”
ซันนี่พูดขึ้นก่อน ก่อนที่จะดันร่างของตัวเองลุกขึ้นมาและมองดูภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฝั่งตรงข้าม ก่อนที่เธอจะลุกขึ้นไปหยิบเอากระเป๋าปืนที่อยู่ไม่ไกลออกไปเท่าไร
“เพิ่งจะได้มาแท้ๆ แล้วอย่างนี้จะเจ๊งมั๊ยเนี่ย !”
“นี่เธอห่วงปืนนั่นมากกว่าอีกเหรอ ?”
ฮโยยอนถามขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นเดินไปหาเพื่อนสาวที่ค่อยๆ เปิดประเป๋าออกและหยิบเอาปืนไรเฟิลด้านในออกมา โชคยังดีนักที่กระเป๋านั้นสามารถรับแรงกระแทกได้บ้างจึงทำให้ตัวปืนนั้นไม่เกิดความเสียหาย ส่วนฮโยยอนก็ตรวจสอบปืนที่สะพายอยู่กับตนเองและเริ่มสำรวจความเสียหายบ้าง
“แล้วทีนี้เราจะทำยังไงต่อ ?”
ซันนี่หันไปถามเพื่อนสาวที่อยู่ข้างๆ
“ก็คงต้องหาทางติดต่อกลับ HQ แจ้งว่าทีมเราติดอยู่ที่นี่ล่ะมั๊ง ให้ทางนั้นส่งเฮลิคอปเตอร์เข้ามารับ”
ฮโยยอนตอบกลับ
“ก็คงต้องเป็นแบบนั้นล่ะนะ… แต่ก่อนอื่น เรามาหาทางออกไปจากที่นี่แล้วหาทางติดต่อกับ HQ นั่นก่อนดีกว่า” ซันนี่ตอบกลับพร้อมกับเริ่มบรรจุกระสุนใส่ในแม็กกาซีนและบรรจุเข้ากับกระบอกปืนเตรียมพร้อมสำหรับการใช้งาน
แกร๊กกก !!
.
.
.
ปึ้งงงง !!!
ฮโยยอนเดินมาหยุดอยู่ที่ประตูดาดฟ้าและใช้ขาของเธอถีบใส่ประตูอย่างแรงจนมันเปิดผลัวะเข้าไปด้านใน กระบอกปืนถูกยกขึ้นและเล็งจ่อที่ศีรษะของผีดิบตัวที่ขวางอยู่ด้านหน้าและกดยิงทันที
ปังงง !!!
“ไปกันเถอะ !”
ฮโยยอนเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใช้เท้าของเธอถีบเข้ากลางลำตัวจนผีดิบที่เพิ่งจะถูกยิงเลือดสาดให้หงายล้มไปทางด้านหลัง
นั่นสินะ… ก่อนอื่นก็ต้องไปหายัยนั่น
ปังงง !!!
‘ถ้า… ถ้าเธอไม่เข้า ชั้นเข้าเองก็ได้ !!’
ยุนอาตวาดกลับพร้อมกับแย่งเอาขวานจากในมือของยูริไป ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปช่วยหญิงสาวอีกคนหนึ่ง ซึ่งเธอไม่ยอมฟังคำทักท้วงของยูริเลย
อย่านะ… อย่า
.
.
.
“อย่านะยุน กลับมา…”
“ชั้นบอกให้กลับมา !!!”
กระทั่งเกิดแรงระเบิดขึ้นจนคอนกรีตนั้นตกลงมาทับเพื่อนสาวของเธอไปต่อหน้าต่อตา
“ไม่… ม่ายยยยยยย !!!!”
เฮือกก !!
ด้วยความตกใจทำให้ทั้งยูริและเจสสิก้าต่างก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยกันทั้งคู่ ยูริพยายามมองไปยังรอบๆ ตัวเพื่อมองหาเพื่อนสาว แต่รอบตัวกลับกลายเป็นทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไป ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ แล้วยุนอาล่ะ ยุนอาอยู่ที่ไหน ?
“ยุน…”
จนเธอเหลือบมาเห็นเจสสิก้าที่อยู่ข้างๆ เข้า
“ยุนอาล่ะ เพื่อนชั้นอยู่ที่ไหน !?”
เธอถามพร้อมกับเขย่าตัวของเจสสิก้าค่อนข้างแรงจนเจสสิก้าต้องตบเข้าที่ใบหน้าของยูริเพื่อเรียกสติ แม้ว่าจะค่อนข้างช็อกที่อยู่ๆ ถูกตบหน้า แต่ความเงียบของเจสสิก้าก็ทำให้ยูริรู้สึกช็อกยิ่งกว่า
“ไม่จริง…”
“บอกชั้นสิว่ามันไม่จริง !!!”
“นี่เธอจะบ้าไปถึงเมื่อไรฮะยูริ !!”
จนเจสสิก้าเริ่มที่จะเหลืออดกับเพื่อนร่วมทาง
“ชั้นรู้ว่าเธอน่ะเศร้า แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ ถ้ามัวแต่มาร้องไห้แบบนี้ !!”
“…”
“เธอเสียเพื่อนไปแล้ว แต่ชั้นสิ น้องสาวชั้นจะเป็นยังไงบ้าง เธอยังอยู่ดีไหม เธอไปติดอยู่ที่ไหนหรือเปล่า หรือเธอตายไปหรือยัง ชั้นที่ไม่รู้เลยว่าน้องสาวตัวเองเป็นยังไงไม่เครียดกว่าเหรอ !!?”
เจสสิก้าโวยลั่นด้วยความโกรธ จนน้ำตานั้นเริ่มที่จะรื้นขึ้นมาเพราะความผิดหวังในตัวของยูริ
ต่างฝ่ายก็ได้แต่เงียบจนเจสสิก้าเลือกที่จะเดินออกมา
“แล้วนั่นเธอจะไปไหนน่ะ !?”
ยูริเอ่ยถามขึ้นด้วยความตกใจ
“จะไปหาน้องสาวชั้น !”
“เดี๋ยวก่อนสิ !”
“เชิญเธอร้องไห้ต่อไปคนเดียวเถอะยูริ ชั้นจะไปตามหาน้องของชั้นด้วยตัวของชั้นเอง !”
พูดจบเธอก็หยิบเอาขวานที่ครั้งหนึ่งยูริเคยใช้ขึ้นมาซึ่งเธอจำมันได้ดีว่านั่นคือขวานที่ยุนอาแย่งออกไปจากมือของเธอ แต่ที่สำคัญคือเจสสิก้าไปเอามันมาจากไหน และได้ยังไง
ปึ้งงง !!
เสียงปิดประตูที่กระแทกใส่ด้วยความไม่พอใจเริ่มทำยูริรู้สึกตัวและคิดถึงในสิ่งที่เจสสิก้าพูด ในเมื่อเพื่อนของเธอตายไปแล้ว มันจะมีประโยชน์อะไรอีกเล่าที่เธอจะต้องมาร้องไห้เสียใจ ก่อนที่จะมองออกไปทางที่เจสสิก้าเดินกระทืบเท้าออกไป ในเมื่อเธอยังมีความหวัง ชั้นเองก็ยังมีหวังเช่นกัน
“เดี๋ยวว !!!”
จนยูริเลือกที่จะตามหญิงสาวร่างบางคนนั้นออกไป
“กรี๊ดดดดดดด !!!!”
เป็นจังหวะเดียวกับที่เจสสิก้าถูกผีดิบตนหนึ่งตรงเข้าเล่นงาน และแม้ว่าเธอจะพยายามใช้ขวานที่ถืออยู่ในมือเหวี่ยงขึ้นเฉาะเจ้าผีดิบตนนั้น แต่เพราะร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงแบบยูริทำให้แรงที่เหวี่ยงไปนั้นเบาจนเฉาะแทบไม่เข้า ซ้ำร้ายเจ้าผีตัวนั้นกลับปัดขวานในมือจนกระเด็น
ยูริจึงรีบวิ่งเข้าไปพร้อมกับหยิบขวานนั้นขึ้นมาถือและง้างเตรียมที่จะเหวี่ยงเข้าใส่ เธอใช้ขาอันเรียวยาวของตนถีบเข้าที่กลางอกจนร่างนั้นกระเด็นหงายไป ตามมาติดๆ ด้วยคมขวานที่ถูกวาดเข้าใส่กลางลำตัว
ฉึกกกกก !!!
เลือดพุ่งพรวดออกมาสร้างความตกใจให้กับเจสสิก้าไม่น้อย ก่อนที่ยูริจะดึงเอาขวานนั้นออกและสับซ้ำเข้าไปอีกครั้งที่กลางศีรษะจนกะโหลกนั้นแยกออกเป็นสองส่วน ด้วยความตกใจกลัวทำให้เจสสิก้าถึงกับตัวสั่น ยูริจึงค่อยๆ ดึงร่างนั้นเข้ามาโอบกอดไว้อย่างหลวมๆ เพื่อเป็นการปลอบใจ
.
.
.
“เธอไม่เป็นไรนะ ?”
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น