[Fic SNSD] : Teke Teke (ขาหนูอยู่ไหน ?) - [Fic SNSD] : Teke Teke (ขาหนูอยู่ไหน ?) นิยาย [Fic SNSD] : Teke Teke (ขาหนูอยู่ไหน ?) : Dek-D.com - Writer

    [Fic SNSD] : Teke Teke (ขาหนูอยู่ไหน ?)

    [Fic SNSD] : Teke teke(ขาหนูอยู่ไหน ?) * New Update : 17/05/2011 + + Special Day : Sunny + + [110%] *END

    ผู้เข้าชมรวม

    5,806

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    5.8K

    ความคิดเห็น


    292

    คนติดตาม


    27
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  15 มิ.ย. 55 / 06:22 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    + + Teke teke(ขาหนูอยู่ไหน ?) + +

     

     

    คำเตือน
    - เนื้อหาในภาคนี้ ไม่เหมาะสำหรับคนขวัญอ่อน เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเขียนเล่นๆ หากแต่เป็นเรื่องเล่าตามตำนานที่เกิดขึ้นจริง (Teke teke) ออกมาในรูปแบบของนิยายสยองขวัญ

    ซึ่งเป็นเรื่องแรกที่ได้มีโอกาสมาเขียนอะไรแนวๆ นี้ บวกกับการนำเหล่าสาวๆ จาก SNSD เข้ามาร่วมสมทบด้วย เพราะงั้น ฟิคสยองขวัญตามใจฉันจึงได้ถือกำเนิดขึ้น

    อยากรู้แล้วล่ะสิ ว่าเนื้อเรื่องจะออกมาแนวๆ ไหน... ?
    เชิญเหล่ารีดเดอร์ทุกท่าน ร่วมหลอนไปด้วยกันนะครับ หึหึ

    ---------------------------

    - และก็อีกเช่นเคย หากใครที่ยังไม่ได้อ่านตั้งแต่ภาคแรกๆ ก็เลือกจิ้มไล่ลงไปได้เลย

    V
    V
    V

    Part 1 :
    Yuri & Jessica
    http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=609639

    Part 2 : Tiffany & Taeyeon
    http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=620277

    Part 3 : Sooyoung & Sunny
    http://writer.dek-d.com/Zeritherlyn/story/view.php?id=625876

    Part 4 : Seohyun & Yoona
    http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/view.php?id=665935

    Extra Part 1 : Hyoyeon & Songeun
    http://writer.dek-d.com/Zeritherlyn/writer/view.php?id=641091

    Extra Part 2 : Yuri & Jessica (A Love To Kill)
    http://writer.dek-d.com/Zeritherlyn/story/view.php?id=649294

    Extra Part 3 : Yuri & Jessica (Dream)
    http://writer.dek-d.com/Zeritherlyn/story/view.php?id=695159

    Extra Part 4 : Sunny & SooYoung (How to Become an Actress)
    http://writer.dek-d.com/Zeritherlyn/story/view.php?id=706773

    Extra Part 5 : Sunny & SooYoung (My Love My Princess)
    http://writer.dek-d.com/Zeritherlyn/story/view.php?id=709462

    ---------------------------------------------



    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ
      + + Background Info + +

      ในคืนที่หิมะตกหนักคืนหนึ่งกลางฤดูหนาวอันหนาวเหน็บของเดือนธันวาคม ขบวนรถไฟก็ยังคงวิ่งตามเส้นทางมาเรื่อยๆ หิมะที่ตกหนักค่อนข้างจะเป็นปัญหาสำหรับการสัญจรไปมา เพราะเนื่องจากเกล็ดขาวของหิมะนั้นจะคอยบดบังวิสัยทัศน์ของยามค่ำคืน
      แสงไฟที่สว่างวาบมาจากฝั่งตรงข้ามพร้อมกับเสียงแตรทำให้รู้สึกอุ่นใจนิดๆ เพราะอย่างน้อยพวกตนก็ไม่ได้เดินขบวนอยู่ตามลำพัง
      กึงงๆ กึงงงๆ
      รถไฟที่วิ่งสวนกันด้วยความเร็วเพียงแค่ช่วงเสี้ยววิเท่านั้นที่ได้มีเพื่อน และก็จากไปอย่างรวดเร็วจนเหลือกลับมาอยู่ตามลำพังอีกครั้ง สายลมอันหนาวเหน็บที่ปะทะเข้ามาแทบจะบาดผิวกายให้เลือดไหลคล้ายกับใบมีดโกน นี่ขนาดว่ามีถุงน้ำร้อนช่วยแล้วนะ
      คืนนี้มันจะหนาวอะไรนักหนาเนี่ย เฮ้อ ! อยากจะกลับบ้านไปนอนเร็วๆ จัง
      นายขบวนคนหนึ่งกล่าวขึ้น
      นั่นน่ะสิหนาวๆ แบบนี้คิดถึงลูกถึงเมียที่บ้าน
      ก็นั่นน่ะสิแต่หนาวๆ แบบนี้ได้เหล้ามาสักนิดคงจะดีนะ คงอุ่นขึ้นเยอะ
      แล้วก็จะได้พารถไฟตกรางตายกันหมดน่ะเหรอ ?”
      ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งพูดแซวพร้อมกับหัวเราะอย่างชอบใจ ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นอุโมงค์เก่าคร่ำครึที่อยู่เบื้องหน้า อุโมงค์ที่ไม่มีแสงไฟใดๆ ส่องสว่างลอดออกมาเลย
      อย่างอุโมงค์ด้านหน้าที่เค้าลือกันว่ามีอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้งเนี่ย…”
      นายเชื่อเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอ ?”
      เขาไม่ตอบได้แต่เงียบและยิ้มออกมา ก่อนที่จะเริ่มพดขึ้นอีกครั้ง
      ที่ว่ากันว่าอุโมงค์ที่จะพาไปสู่ยมโลกบ้างก็ว่ามีวิญญาณที่ประสบอุบัติเหตุคอยหลอกหลอนอยู่ในอุโมงค์นั้น
      ไร้สาระน่า เรื่องผีเผออะไรมีซะที่ไหนล่ะ คนเรากลัวแล้วลือกันไปเองมากกว่าเลิกพูดเรื่องแบบนี้แล้วมาช่วยกันมองทางดีกว่าชายคนนั้นบอกปัดเพราะตัวเองก็เริ่มจะหวั่นขึ้นมาเหมือนกัน
      รถไฟที่เฉียดเข้าไปในอุโมงค์ตกอยู่ในความมืดมิด มีเพียงแสงไฟจากด้านหน้าที่คอยส่องสว่างคอยชี้เส้นทางให้ได้เห็นลางๆ เท่านั้น ร่องรอยของอุบัติเหตุยังคงหลงเหลือให้ได้เห็นจากแสงไฟที่ส่องไปด้านหน้า ไม่มีใครเลยรึไงนะที่คิดจะมาซ่อมแซมมันบ้าง เก่าขนาดนี้แถมยังดูน่ากลัวอีก
      วูบบบบ
      อากาศที่หนาวอยู่แล้วกลับรู้สึกเย็นยะเยือกหนักขึ้นกว่าเก่า เหมือนกับขนตามร่างกายจะค่อยๆ ตั้งขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ ใจคอรู้สึกไม่ดีเลยแฮะแบบนี้
      บ้างก็ว่าอุโมงค์แห่งนี้เข้ามาแล้วไม่มีทางออก…”
      เสียงของชายคนนั้นดังขึ้นอีกครั้ง หากแต่คราวนี้ความรู้สึกมันกลับต่างออกไป น้ำเสียงของเขาดูหย่อนยานและลากยาวอย่างแปลกๆ น้ำเสียงก็ฟังแล้วแหบพร่าค่อนข้างน่ากลัว
      ก็บอกให้เลิกพูดได้แล้วไง…”
      เขากล่าวตักเตือนเพื่อนร่วมงานอีกครั้ง สายตายังคงจับจ้องไปยังทางเบื้องหน้า อุโมงค์ที่ยังคงมืดสนิท ทั้งๆ ที่เห็นทางออกอยู่เบื้องหน้า แต่กลับไปไม่ถึงสักทีเหมือนกับทางออกนั้นจะยืดออกไปตามความเร็วของรถไฟที่เพิ่มขึ้น
      บ้างก็ลือกันว่า…”
      ก็บอกให้เลิกพูดได้แล้วไง เอาเวลามาเล่าเรื่องไร้สาระแบบนี้ มาช่วยกันทำงานดีกว่า !”
      .
      .
      .
      เฮ้อ ! ค่อยสบายหน่อยได้ปลดปล่อยซะบ้าง
      เสียงของชายหนุ่มอีกคนหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงปกติที่เขาจำมันได้เป็นอย่างดี เขาหันไปมองทางประตูที่ชายคนนั้นเดินเข้ามา มือค่อยๆ เอื้อมไปสัมผัสทั้งๆ ที่ยังคงมองไม่เห็น
      นี่พี่จะทำอะไรเนี่ย ! ผมไม่ได้เป็นพวกโฮโมนะ !!”
      ชายคนนั้นบอกปัด
      นายไปไหนมา ?”
      ก็ไปเข้าห้องน้ำน่ะสิ อั้นมาตั้งนานแล้วนี่ทำไมเหรอ ?” ถามกับอย่างปกติ
      ไปตั้งแต่เมื่อไร ?”
      น้ำเสียงเริ่มสั่นขึ้นเล็กน้อย หัวใจเริ่มเต้นถี่เร็ว
      ก็ตั้งแต่เริ่มวิ่งเข้ามาในอุโมงค์นี่แหล่ะมีอะไรงั้นเหรอ ?”
      ตั้งแต่เริ่มเข้ามาในอุโมงค์แล้วเมื่อกี้ เราคุยกับใครล่ะ ?
      เหมือนกับสิ่งๆ นั้นจะยังคงอยู่ เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง โดยที่ชายทั้งสองไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย เม็ดเหงื่อเริ่มผุดขึ้นบนใบหน้าทั้งๆ ที่อากาศหนาวเหน็บ อุณหภูมิ 4 องศา ใบหน้ารู้สึกเย็นจนปวดไปหมด เรี่ยวแรงเริ่มหายไปทีละนิดๆ
      กึกกึกก
      เสียงฝีเท้านั้นยังคงดังต่อไป ความรู้สึกบ่งบอกว่ามันใกล้เข้ามาเรื่อยๆเรื่อยๆ
      กลิ่นเหม็นเน่าคล้ายกับศพโชยเข้ามาจนรู้สึกสะอิดสะเอียนอยากจะอ้วก และที่เขารู้และมั่นใจในตอนนี้ก็คือในห้องคนขับไม่ได้มีเพียงเขาสองคนเท่านั้นที่อยู่กันตามลำพัง มันมีบางสิ่งบางอย่างอยู่ร่วมกับพวกเขาด้วย
      กึกกกึกกก
      เสียงฝีเท้านั้นยังคงเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมๆ กับลิ่นเหม็นเน่าอย่างรุนแรงเหมือนกับสิ่งๆ นั้นหยุดยืนอยู่เบื้องหน้า หากแต่เพราะความมืดที่อยู่ในอุโมงค์ทำให้มองอะไรไม่เห็น นั่นถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่งเพราะพวกเขาจะได้ไม่ต้องเห็นไอ้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้า แต่เพราะความมืดที่ทำให้มองไม่เห็นนี่แหล่ะ ที่ทำให้พวกเขารู้สึกกลัวกันมากยิ่งขึ้น
      เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความกลัวจนแทบจะตั้งสติไม่อยู่ มันรู้สึกกดดันและหวาดกลัวยิ่งกว่า เพราะเราไม่รู้เลยว่าไอ้สิ่งที่อยู่เบื้องหน้านี้มันหน้าตายังไง สภาพเป็นแบบไหน หรือมันจะทำอะไรกับเรา
      สิ่งๆ นั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าสยดสยอง ทั้งๆ ที่พวกตนมองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ว่าสิ่งๆ นั้นกำลังยิ้มออกมา
      .
      .
      .
      เสียงแตรจากรถไฟอีกขบวนดังขึ้นพร้อมๆ กับแสงไฟที่สว่างวาบขึ้น สายตาที่จดจ้องไปยังภาพของชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าแทบจะทำให้เขาเป็นลมหมดสติ เมื่อใบหน้านั้นเน่าเฟะ กะโหลกศีรษะเปิดมีเลือดและน้ำหนองไหลนองออกมาจากส่วนต่างๆ ดวงตาห้อยออกมาอยู่ด้านนอกข้างหนึ่งส่วนอีกข้างนั้นแหลกเละไม่มีชิ้นดี
      ร่างนั้นขยับใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
      แฮ่ !!!!!”
      อ๊ากกกกกก !!!!!!”
      กระทั่งอยู่ๆ ก็พุ่งเข้าใส่และหายไปอย่างรวดเร็วราวกับผ่านทะลุร่างของเขาไป เหมือนกับสติหลุดลอยออกจากร่างทำให้เขาถึงกับเป็นลมหมดสติ ชายหนุ่มอีกคนที่เห็นเหตุการณ์สยองขวัญดังกล่าวเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาก็ถึงกับเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้น
      กรี๊ดดดดดดดดดดด !!!!!!”
      แต่เพราะเสียงหวีดร้องที่ดังขึ้นจนแสบแก้วหูทำให้เขาต้องพยุงร่างของตนขึ้นมาอย่างตกใจ ก่อนที่รถไฟจะพุ่งเข้าชนร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเข้าอย่างจัง
      เอี๊ยดดดดดดดดดดดด !!!!!!!!!!
      แม้จะเบรกแต่มันก็ไม่ทันเสียแล้ว รถไฟยังคงขับเคลื่อนต่อไปโดยที่ความเร็วค่อยๆ ลดช้าลง ร่างของหญิงสาวคนนั้นขาดครึ่ง เพราะถูกเหยียบเข้าที่กลางลำตัว ส่วนล่างนั้นถูกล้อที่เหลือเหยียบซ้ำจนแหลกเละ เลือดสีแดงฉานเจิ่งนองไปทั่วรางรถไฟ หยดเลือดยังคงลากยาวมาตามรอยล้อ
      กึกกก
      รถไฟจอดนิ่งสนิทก่อนที่ชายคนนั้นจะคว้าเอาไฟฉายติดตัวไปด้วย เขาเปิดประตูรถไฟออกมายังพื้นด้านล่าง อากาศหนาวเหน็บที่ตีเข้ามาแทบจะทำให้เลือดทั้งตัวหยุดแข็ง มันหนาวมากจนรู้สึกถึงความทรมาน เขาฉายไฟไปตามล้อและพบกับชิ้นส่วนเครื่องในที่ถูกลากมา
      เขาเดินย้อนกลับไปเรื่อยๆ ตามรอยเลือดกลับไปเรื่อยๆ แม้ว่าอากาศจะหนาวแต่เขาก็ต้องทน
      กระทั่งมายังจุดเกิดเหตุที่ห่างร่วมเป็นกิโล หลังจากที่ได้ติดต่อไปยังศูนย์และแจ้งเหตุว่ามีคนฆ่าตัวตายแล้ว ต่างคนก็ต่างช่วยหาร่างของหญิงสาวคนนั้น อากาศที่หนาวเหน็บทำให้เลือดนั้นแข็งตัวทันที และสิ่งที่พวกเขาพบก็มีแต่เพียงส่วนล่างที่แหลกเละไม่เหลือชิ้นดีเท่านั้น
      แล้วส่วนบนล่ะ ?
      คำถามต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ต่างคนก็ต่างเร่งระดมพลช่วยกันออกค้นหา เพราะคิดว่าอาจจะถูกความเร็วของรถไฟทำให้กระเด็นหล่นไปตามข้างทาง หากแต่ว่าผ่านไปนานเกือบชั่วโมงแล้วก็ยังคงหาส่วนบนของหญิงสาวคนนั้นไม่พบอยู่ดี กระทั่งต่างฝ่ายก็ต่างเลิกล้มความหวัง และพากันแยกย้ายกลับ
      นาขบวนคนนี้จึงเดินกลับมาที่ส่วนหัวของรถไฟพร้อมกับนายตำรวจอีก 2 คน
      และสิ่งที่พบอยู่ในห้องคนขับทำให้สามคนที่เดินมาถึงกับผวาด้วยความตกใจ เพราะบนร่างของนายขบวนอีกคนหนึ่งที่แข็งตายในสภาพตกใจสุดขีดแล้ว ยังมีร่างส่วนบนของหญิงสาวคนนั้นกอดอยู่ด้วย
      เพราะความอากาศที่หนาวเหน็บจึงไม่ทำให้หญิงสาวคนนี้ตายภายในทันที เธอต้องทนทุกข์ทรมานทนความเจ็บปวดพยายามลากสังขารของตนมาตามทางเรื่อยๆ อาจจะเพราะความเคียดแค้นที่ตนเองต้องมาตายแบบนี้
      .
      .
      .
      และที่ยิ่งไปกว่านั้นเพราะมีคำกล่าวลือกันว่า หญิงสาวคนนั้นคลานกลับมาพร้อมกับถามนายขบวนคนนั้นว่า
      เห็นขาของหนูไหม… ขาหนูอยู่ไหน ?”
      .
      .
      .
      แล้วคุณล่ะจะทำอย่างไร เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง และวิญญาณของเด็กคนนี้จะตามไปหาคุณหลังจากที่ได้ยินเรื่องนี้ภายใน 7 วันคุณจะทำอย่างไรเมื่อต้องเผชิญหน้ากับเธอ
      แล้วขาของคุณจะอยู่หรือไม่หรือว่าจะเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ตายไป
      ภายใน 7 วันเธอจะตามไปหาคุณถึงที่ แน่นอน
       
       
      หารู้ไม่เลยเพราะความสนุกเล็กๆ ที่ซันนี่ได้ปริปากเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง จะนำพามาซึ่งฝันร้ายชนิดที่ว่าไม่มีวันหนีพ้นไปได้เลย


      + + Day 1 : Jessica + +
       
      ย้า !! หุบปากไปเลยนะซันนี่ !!!”
      เจสสิก้าโวยขึ้นทันทีพร้อมกับเอามือยกขึ้นอุดหูตัวเองเอาไว้ ส่วนซันนี่ที่เป็นคนเล่าเรื่องผีก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างชอบอกชอบใจกับท่าทางของเพื่อนสาว
      “7 วันนะสิก้า ฮ่าๆๆ
      หุบปากไปเลย !!”
      เธอตะโกนตามหลังซันนี่ที่เพิ่งจะเดินออกไปจากห้องพักของตน ก่อนที่ยูริจะเดินเข้ามาแทนที่ และนั่งลงข้างๆ เจสสิก้าด้วยความสงสัย
      เสียงเธอดังออกไปยันข้างนอกเลยรู้ตัวไหมน่ะสิก้า ชั้นนึกว่าเธอกับยัยนั่นมีเรื่องอะไรกันซะอีก
      ก็ดูรูมเมทเธอสิ มันมาเล่าเรื่องผีให้ชั้นฟังก่อนนอน โหยแล้วยังงี้ใครมันจะไปหลับลงล่ะ !”
      ยูริยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับเอื้อมมือไปลูบศีระษะของเจสสิก้าเบาๆ
      เพราะมันรู้ว่าเธอกลัวผีไงล่ะสิก้า มันถึงได้แกล้ง…”
      พูดอย่างกะเธอไม่กลัวยังงั้นแหล่ะยูริเธอตอบกลับก่อนที่จะสวมกอดที่เอวของเพื่อนสาวเบาๆ ทำเอายูริรู้สึกสะดุ้งขึ้นมาน้อยๆ ยูริโอบกอดเธอกลับเบาๆ ทำเอาเจสสิก้าหน้าแดงขึ้นมา พวกเธอเป็นเพื่อนที่สนิทกันมากๆ แต่บางที ไอความสนิทที่มากเกินไปมันจะแปรเปลี่ยนไปเป็นอีกอย่าง
      ไม่รู้ว่าเธอจะรู้สึกอย่างเดียวกับชั้นรึเปล่านะเจสสิก้า แต่กับเธอชั้นรู้สึกหวั่นๆ ไงก็ไม่รู้แฮะ
      หรือว่าชั้นจะคิดเกินเลยกับเพื่อนคนนี้ไปซะแล้ว ?
      บรรยากาศที่เหมือนกับจะเอื้ออำนวยให้สองสาวได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกัน ยูริเหลือบหันไปมองดูนาฬิกาที่หัวเตียง ซึ่งตอนนี้มันก็ค่อนข้างจะดึกแล้ว ยูริจึงค่อยๆ คลายอ้อมกอดของตนออกจากเจสสิก้าพร้อมกับลุกขึ้น
      เธอเห็นซูยองรึเปล่ายูริ ป่านนี้ยังไม่เห็นโผล่หัวมาเลย…”
      อ๋อตอนนี้ที่ห้องเหลือเรากันแค่ 2 คนนี่ล่ะสิก้า ยัยพวกนั้นมันออกไปข้างนอกกันน่ะ
      ทิ้งไว้ให้เราอยู่กัน 2 คนเนี่ยนะ ?”
      อือใช่ เหลือแค่เรา 2 คน…”
      ยูริตอบกลับพร้อมกับเดินไปที่ประตูและเปิดมันออกอย่างช้าๆ พลันสายตาของเจสสิก้าเหลือบไปเห็นเหมือนกับมีมือของคนอยู่ที่พื้นในลักษณะสีขาวซีด เธอลองขยี้ตาดูอีกครั้งเพราะคิดว่าตนเองอาจจะตาฝาด
      เป็นอะไรไปเหรอสิก้า ?”
      ยูริถามขึ้นเมื่อสังเกตเห็นว่าเจสสิก้าดูแปลกๆ ไป
      เจสสิก้าสลับมามองยูริอีกครั้งก่อนที่จะหันกลับไปมองที่ประตู แต่สิ่งที่เธอเห็นเมื่อครู่กับหายไปแล้ว หรือว่าเธออาจจะตาฝาดไปเองเพราะเรื่องที่ซันนี่มันเล่าให้ฟัง ยูริที่เห็นว่าเจสสิก้าเงียบไปจึงแง้มประตูออกมากขึ้น และสิ่งที่เจสสิก้าเห็นก็ทำให้เธอเกือบช็อค
      เมื่อพบว่ามีเงาเหมือนกับคนวิ่งผ่านหลังของยูริไปอย่างรวดเร็ว สาบานได้ว่าเธอไม่ได้ตาฝาดแน่ๆ
      เดี๋ยว !!”
      อะไรเหรอ ?”
      ปิด ปิดประตูก่อน !!” เธอกล่าวต่อยูริจึงปิดลงตามคำขอของเจสสิก้า เธอมองมาทางหญิงสาวผมบลอนด์ที่นั่งกอดผ้าปูเตียงอยู่บนเตียงนอนอย่างสงสัย ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาเจสสิก้าอีกครั้ง
      เธอเป็นอะไรรึเปล่าเนี่ยเจสสิก้า ดูเธอแปลกไปจริงๆ นะ ?”
      คืนนี้เธอนอนเป็นเพื่อนชั้นได้มั๊ยยูริ ?”
      ก็เอาสิชั้นยังไงก็ได้แหล่ะ ถ้ากลับมาซูยองมันไม่ถีบชั้นตกเตียงมันน่ะนะ…”
      เธอพูดอย่างสบายๆ พร้อมกับเดินมาเตรียมจะนั่งลงที่เตียงว่างฝั่งตรงข้าม
      ไม่นอนกับชั้นบนเตียงนี้เลยนะยูริ
      .
      .
      .
      เวลา 23.30 .
      ยูริที่นอนอยู่ข้างๆ เจสสิก้าแทบไม่เป็นอันได้นอน เพราะเจสสิก้าที่นอนกอดเธอเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ยูริยิ้มออกมาบางๆ พร้อมกับเอามือลูบที่ศีรษะของเพื่อนสาวเบาๆ
      แกร๊กกก
      ประตูห้องถูกเปิดออกช้าๆ ก่อนที่หญิงสาวร่างสูงจะเดินเข้ามา เพราะความมืดจึงทำให้ไม่รู้ว่าใคร แต่จากท่าทางการเดินบวกกับทรงผมแบบนั้น ก็มีแค่ซูยองคนเดียวเท่านั้นแหล่ะ เหมือนกับไม่รู้ว่ายูริมานอนด้วย ร่างนั้นเดินไปยังเตียงที่ว่างอยู่และค่อยๆ เอนตัวนอนลง
      กระทั่งเวลาผ่านไปอีกสักพัก ยูริจึงผล็อยหลับไปโดยที่ทั้งเธอและเจสสิก้าต่างฝ่ายก็ต่างนอนหันหลังให้กัน
      .
      .
      .
      อืมมม…”
      ความรู้สึกอึดอัดแปลกๆ เริ่มทำให้เจสสิก้ารู้สึกตัวขึ้นมา ความรู้สึกเหมือนกับมีใครสักคนมาจับที่ขาของเธอ พยายามคิดในแง่ดีว่าอาจจะเป็นยูริที่นอนอยู่ข้างๆ แต่เพราะสัมผัสนั้นเย็นเฉียบจนทำให้เจสสิก้ารู้สึกกลัวขึ้นมาจับใจ เพียงแค่นั้นไม่พอ มือนั้นเริ่มไต่สูงขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ
      ร่างกายที่พยายามจะขยับไปสะกิดยูริที่นอนอยู่ข้างๆ กลับแข็งทื่ออย่างไม่ทราบสาเหตุ เหมือนกับถูกอะไรมากดทับเอาไว้ เรี่ยวแรงที่จะฝืนขยับก็ไม่มี แถมที่ร้ายไปกว่านั้น แม้แต่เสียงก็ยังไม่สามารถจะเล็ดลอดออกมาได้เลย กลิ่นเหม็นเน่าเตะจมูกค่อยๆ ลอยฟุ้งออกมาอยู่ๆ หน้าของเจสสิก้าก็หันไปยังเตียงของซูยองเองโดยที่เธอไม่ได้บังคับ พร้อมกับเห็นเหมือนมีใครอีกคนนั้นนอนอยู่ด้วย
      หากแต่คนๆ นั้นกลับไม่ใช่ซูยอง
      หญิงสาวผมสั้นที่ค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นจากเตียง คอของเธอเอียงจนติดกับไหล่กระทั่งหญิงสาวคนนั้นหันมาทางเจสสิก้า พระเจ้าช่วย !! คอของผู้หญิงคนนั้นหักจนเห็นกระดูกแทงทะลุออกมา จะหลับตาก็ไม่สามารถจะทำได้ เหมือนกับถูกบังคบให้เห็นในสิ่งที่ไม่ต้องการ จนน้ำตาไหลออกมาเองด้วยความหวาดกลัว
      ไม่เอานะแบบนี้ชั้นไม่เอา ฮือๆ ไม่ไม่เอา !!!
      ร่างนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาอย่างช้าๆ ร่างนั้นแสยะยิ้มให้อย่างน่าเกลียดน่ากลัว ดวงตาทั้งสองข้างปูดโปนจนแทบจะหลุดออกมาจาเบ้าตา เพียงแค่นั้นไม่พอ ความรู้สึกที่เหมือนกับใครกำลังมุดผ้าห่มเข้ามา ยิ่งทำให้เจสสิก้ากลัวจนแทบเป็นบ้า
      แม้ว่ายูริจะนอนอยู่ข้างๆ แต่เธอก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย
      ดวงตาเบิกโพลงด้วยความหวาดกลัวสุดขีด เมื่อผีสาวตนนั้นยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ๆ มันยังคงแสยะยิ้มให้กับเจสสิก้ากระทั่งหัวของผีสาวตนนั้นหลุดลงจากบ่าและตกลงมาบนหน้าอกของเธอ
      ตุบบบ
      ใบหน้านั้นยังคงฉีกยิ้มให้อย่างน่าสยดสยอง
      กรี๊ดดดดดดดดดด !!!!!!”
      เจสสิก้ากรีดร้องลั่นห้องพร้อมกับพยายามลุกขึ้นจากเตียงวิ่งไปที่ประตูห้อง
      หมั่บบ !!
      แต่เพราะขาเหมือนถูกใครฉุดเอาไว้จนทำให้เธอล้มลงอย่างแรงหน้าเกือบฟาดกับพื้น เจสสิก้าหันมองไปยังขาของตนและเห็นผีสาวอีกตนหนึ่งกำลังฉุดขาของเธอเอาไว้
      เอามา…”
      ปล่อย ! ปล่อยชั้น !!!!”
      เอาขาของชั้นมา…”
      ชั้นบอกให้ปล่อยไง ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ !!!!”
      แรงฉุดเริ่มจะมากขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนกับขาของเธอกำลังจะหลุดออกจากตัว เจสสิก้ากรีดร้องและพยายามดิ้นจนสุดชีวิต กระทั่งไฟในห้องถูกเปิดขึ้นโดยมียูริยืนมองเธอลงมาดิ้นอยู่กับพื้นด้วยความตกใจ
      เธอเป็นอะไรน่ะสิก้า ! เกิดอะไรขึ้น ?”
      โฮๆ ยูริ สิก้ากลัว โฮๆ
      เธอโผเข้ากอดร่างของยูริเอาไว้อย่างแนบแน่น โดยที่ยูริยังคงงงไม่หายที่อยู่ๆ เจสสิก้ามีสภาพแบบนี้ เพราะเธอรู้สึกว่าเจสสิก้าลุกขึ้นจากเตียงและมีเสียงกรีดร้องตามมา ตาทั้งๆ ที่เพ่งดูกลับไม่เห็นอะไรในความมืด มีเพียงแค่เจสสิก้าที่ลงไปดิ้นอยู่ตามลำพังเท่านั้น
      เธอแค่ฝันร้ายนะเจสสิก้า เธอแค่ฝันร้าย
      ผีผีหลอกสิก้า โฮๆ มันมันจะเอาขาขของสิก้าไป ฮือๆๆ
      ยูริเหลือบหันไปมองที่ข้อเท้าของเจสสิก้าและเธอเองก็ต้องตกใจเมื่อพบว่ามีรอยคล้ำเหมือนถูกใครบีบเอาไว้ที่ข้อเท้า เธอหันไปยังเตียงของซูยองเพื่อจะถามถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น ทว่าทันทีที่หันไป กลับไม่พบแม้แต่วี่แววของซูยองเลย ไม่มีแม้แต่รอยยุบลงไปของผ้าปู ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่เปลี่ยน
      แล้วซูยองที่เธอเห็นนั่นล่ะ… ?
      เธอย้อนคิดกลับไปถึงเพื่อนสาวที่ตัวเองเห็นว่าเดินมานอนลงที่เตียงฝั่งตรงข้าม แต่ในตอนนี้มันไม่มีแม้แต่รอยยับบนเตียงเลย สรุปแล้วไอที่เธอเห็นนั่นมันใครกันล่ะ !?
      .
      .
      .

      + + Day 2 : Yuri + +
       
      ซูยองเมื่อคืนแกได้กลับเข้าไปนอนในห้องรึเปล่า ?”
      ยูริถามขึ้นด้วยความสงสัย เพราะเรื่องของผู้หญิงคนนั้นยังคงคาใจอยู่ ก่อนที่ซูยองหันกลับมาพร้อมกับตอบอย่างเคืองๆ
      จะเข้าไปนอนได้ยังไงล่ะ ก็ยัยเจสสิก้ามันดันล๊อคห้องเอาไว้ กุญแจชั้นก็ไม่ได้ไป แถมเรียกเท่าไรมันก็ไม่ยอมตื่นมาเปิดให้ซะที จนชั้นขี้เกียจรอเลยไปนอนที่ห้องแกแทนนั่นแหล่ะ ยูริ !”
      เธอเงียบไปสักพัก ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง
      แล้วเมื่อคืนแกไปนอนที่ไหนน่ะ ?”
      ก็ที่ห้องของแกไง…” ยูริตอบกลับอย่างไม่ได้คิดอะไร รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซูยองอีกครั้ง ก่อนที่จะใช้ศอกกระทุ้งที่สีข้างของยูริเบาๆ
      เมื่อคืนคงจะมีความสุขน่ะสิ
      มีความสุขกับผีน่ะสิ !!”
      ยูริตอบกลับ และมันก็จริงอย่างที่เธอได้พูดออกไป เพราะถ้าหญิงสาวคนนั้นไม่ใช่ซูยองแล้ว ก็ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นไปได้เลยนอกจาก ผีจริงๆ เพียงแค่คิดก็เย็นวาบไปทั้งร่าง แล้วไหนจะอาการของเจสสิก้าที่น่าเป็นห่วงอีก ตั้งแต่เกิดเรื่องเมื่อคืนขึ้น เจสสิก้าก็แทบจะไม่กล้านอนอีกเลย เพราะกลัวว่าจะเจอกับเหตุการณ์เหมือนดังเมื่อคืนเกิดขึ้นอีก
      เพราะแกคนเดียวซันนี่ ! ที่เล่าเรื่องนี้ให้ยัยนั่นฟัง !”
      ยูริหันไปโวยใส่เพื่อนสาวที่นั่งเงียบอยู่ที่มุมห้อง
      ไม่ใช่แค่ยัยนั่นหรอกยูริพวกเราทุกคนรู้เรื่องนี้หมด…”
      สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปยังซันนี่ทางเดียว ท่าทางของเธอดูสำนึกผิดและดูสงบเสงี่ยมลงเป็นอย่างมาก
      ก็ชั้นไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้นี่…”
      ก็เพราะทำอะไรไม่ทันได้คิดไง มันเลยเป็นแบบนี้ !!”
      ยูริตวาดกลับอย่างหัวเสีย ไม่รู้ว่าเป็นอะไร ทำไมพอเป็นเรื่องของเจสสิก้าทีไรเธอถึงควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่สักที จนแทยอนที่นั่งซึมอยู่จะพูดแทรกขึ้น
      แกก็ใจเย็นก่อนดีกว่ายูริ เรามาคิดช่วยกันหาทางออกดีกว่าไอเรื่องแบบนี้
      จะทำยังไงล่ะ ?”
      เธอถามกลับ
      ก็นั่นน่ะสิไอชั้นก็ไม่ค่อยถูกกะไอเรื่องพวกนี้ด้วย…”
      เฮ้อ ! บ้าชะมัด แล้วเย็นนี้เวรใครออกไปซื้อของเนี่ย ?”
      ยูริถามต่อก่อนที่จะเดินมานั่งลงที่โซฟาข้างๆ เพื่อนสาวที่ยังคงเกาะกันอยู่เป็นกลุ่ม แทยอนหันไปมองดูปฏิทินที่ตนเองเป็นคนเขียนคิวเวรเอาไว้สักพัก ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง
      วันนี้ก็แกกับชั้นนะยูริ
      .
      .
      .
      ทั้งสองคนพากันเดินออกมายังซูเปอร์มาร์เก็ตแถวๆ บ้านเพื่อเตรียมของสำหรับทำอาหารเย็น อาหารเริ่มชื้นเหมือนกับฝนกำลังทำท่าจะตก ยูริแหงนมองไปยังท้องฟ้าเบื้องหน้าซึ่งมันมืดดำมาแต่ไกลจนดูน่ากลัว แทยอนคว้าที่ข้อมือเธอเอาไว้และพากันรีบเดินต่อ เพราะดันไม่ได้เอาร่มติดออกมาด้วย
       
      แล้วอาการยัยนั่นเป็นไงบ้าง ?” แทยอนถามขึ้นขณะเลือกซื้อผักสดอยู่กะว่าเย็นนี้กลับไปจะทำผัดผักกินกัน ยูริที่อยู่ข้างๆ ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนที่จะพูดขึ้น
      ก็อย่างที่แกรู้นั่นแหล่ะแทยอน วันๆ แทบจะเอาแต่ขลุกตัวอยู่ในผ้าห่ม
      เธอไม่ลองหาพวกไม้กางเขนหรืออะไรมาให้ยัยนั่นมันล่ะ เผื่อมันจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง หรือไม่ก็เอาเป็นพวกเครื่องรางก็ได้ ให้ยัยนั่นพกติดตัวไว้ อย่างน้อยมันก็จะได้อุ่นใจขึ้นมาบ้าง
      นั่นสินะเอาไว้จะลองไปหาดูแล้วกัน
      เธอตอบกลับเบาๆ
      การเลือกซื้อของยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงในส่วนของขนมขบเคี้ยว
      เปรี้ยงงงงง !!!!
      เสียงฟ้าผ่าที่ดังขึ้นสร้างความตกอกตกใจไม่น้อย เพราะมันดังสนั่นเหมือนกับมันเกิดขึ้นใกล้ๆ แต่นั่นก็ไม่แย่ยิ่งกว่าการที่ไฟฟ้าในซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้จะดับวูบลง ด้วยความที่อยู่ด้านในสุด จึงทำให้ในส่วนที่ทั้งสองคนอยู่นั้น มีแต่เพียงแสงอาทิตย์สลัวๆ ส่องลอดเข้ามาจากบานกระจกน้อยๆ เท่านั้น
      ตามมาติดๆ ด้วยเสียงฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก
      ครืนนนครืนนนนนน
      เปรี้ยงงงง !!!!
      แสงที่สว่างวาบเข้ามาทำให้ยูริเหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังยืนก้มหน้าอยู่ที่ชั้นวางขนมถัดออกไปจากเธอล็อตหนึ่ง แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะคิดว่าผู้หญิงคนนั้นคงจะเลือกซื้อขนมแบบเดียวกับพวกเธอ เธอหันกลับไปมองหญิงสาวคนนั้นอีกครั้ง และเธอก็ต้องตกใจไม่น้อยเพราะหญิงสาวคนนั้นดันมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ เธอห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
      เป็นไปได้ไงกันเรากลับมามองยัยแทยอนแค่วิสองวิหันกลับไปอีกที ยัยนี่มาอยู่ข้างๆ ได้ไงกัน
      ยูริเลือกที่จะขยับถอยออกมาเพราะเธอเองก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยแล้ว เพราะจากที่ดู สภาพของหญิงสาวคนนั้นอยู่ในชุดสีขาวลายสีแดงเหมือนกับจะเป็นลายดอกไม้หรืออะไรสักอย่าง เพราะความมืดและแสงอาทิตย์ที่ถูกเมฆฝนบดบังจนมองอะไรแทบไม่เห็น
      แค่แสงแดดในตอนเย็นก็น้อยจนแทบจะมองอะไรไม่เห็นอยู่แล้ว ซ้ำร้ายไฟฟ้าในห้างยังดับ และที่ยิ่งไปกว่านั้นฝนก็ดันตกลงมาหนักอีก ทำให้แสงที่มันน้อยอยู่แล้วแทบจะมืดสนิทไปเลยทีเดียว
      ยูริพยายามไม่หันไปสนใจหญิงสาวคนนั้นและหันมาหาเพื่อนสาวของเธอแทน
      แต่ยัยนี่มันหายไปไหนซะแล้วล่ะ ?
      บ้าน่ะ ! นี่ชั้นหันไปมองแค่แปปเดียวเองนะ ยัยแทยอนมันไปไหนของมันแล้วเนี่ย ! ยูริพยายามทิ้งความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่มองไม่เป้นออกไปจากหัวและเริ่มออกเดินหาเพื่อนแทน
      กึกกกึกกก
      เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นทำให้ยูริชะงักกึกพร้อมกับหันไปมองยังทิศที่มาของเสียง
      ยัยแท ?”
      ยังคงไร้ซึ่งการตอบรับใดๆ ความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งสันหลังทำให้ยูริรู้สึกวังเวงมากยิ่งขึ้น ราวกับถูกสายตาของใครจับจ้องอยู่แต่หารู้ไม่ว่ามาจากทิศใด ยูริยังคงก้าวขาเดินต่อไปเรื่อยๆ จนพ้นออกมาจากล๊อตนั้น แต่เพราะเสียงที่เหมือนกับใครกำลังเข็นรถอยู่ทำให้เธอชะงักฝีเท้าลงอีกครั้งและหันกลับไปดูทางด้านหลังของตน
      และสิ่งที่เธอได้เห็นก็คือรถเข็นคันหนึ่งกำลังวิ่งผ่านเธอไปอย่างช้าๆ ทั้งๆ ที่มันไม่มีใครเป็นคนเข็น และที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ มันขยับได้ยังไงใครเข็นมันมาจากทางไหน ?
      กึงงกึงงง
      เยงรถเข็นนั้นยังคงดังต่อไปก่อนที่มันจะหยุดลง ใจหนึ่งก็รู้สึกดีแต่อีกใจหนึ่งก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเพราะนอกจากเสียงรถเข็นแล้ว มันยังมีเสียงเหมือนใครกำลังลากอะไรใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับเจ้าของเสียงนั้นเดินลากอะไรอยู่อีกฝั่งหนึ่งของชั้นวางของ ก่อนที่จะมาหยุดเงียบลง ณ. ตำแหน่งที่เธอยืน
      แทยอน ?”
      “…”
      มันไม่ตลกนะยัยบ้า เลิกแกล้งกันได้แล้ว !”
      ยูริตวาดกลับอย่างเหลืออด หากแต่ฝั่งตรงข้ามก็ยังคงเงียบไม่ให้คำตอบใดๆ กับเธออยู่ดี
      ตุบบ !!
      ยูริหันไปมองดูห่อขนมที่หล่นตุ๊บลงมากับพื้นอย่างตกใจ และมันไม่ใช่เพียงแค่ห่อเดียว กลับกลายเป็นว่าชั้นทั้งชั้นกลับถล่มลงมาราวกับเกิดแผ่นดินไหว ยูริกรีดร้องด้วยความตกใจกลัวจนถอยหลังไปชนเข้ากับหญิงสาวอีกคนหนึ่งหญิงสาวที่ไม่รู้ว่ามาอยู่หลังเธอได้ตั้งแต่เมื่อไร
      กลิ่นคาวเลือดที่โชยเข้ามาจนอยากจะอ้วกทำให้ยูริถึงกับต้องกลั้นหายใจ เธอพยายามจะหันกลับไปมองหญิงสาวที่อยู่ทางด้านหลังอย่างช้าๆ หัวใจเต้นถี่เร็วเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว หากแต่มือของหญิงสาวที่อยู่ทางด้านหลังนั้นจะสวมกอดเธอเอาไว้ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนและเย็นยะเยือกไปด้วยความหวาดกลัวทำให้ยูริพยายามจะสลัดอ้อมกอดนี้ให้หลุดออก แต่มันไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ง่ายๆ เลย ราวกับเรี่ยวแรงของเธอนั้นถูกดูดหายไปจนหมดสิ้น
      ยูริก้มลงมองดูที่ข้อมือและพบกับแผลเหวอะดูน่ากลัว เลือดสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากบาดแผลนั้นจนเจิ่งนองราวกับจะให้เธอจมหายไปในกองเลือด ฝ่ามือคู่นั้นกอดรัดเธอแน่นยิ่งขึ้นจนไม่สามารถหนีออกมาได้เลย รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสาวผมบลอนด์คนนี้
      ฮิฮิๆ
      เสียงหัวเราะในลำคอที่ดูเหมือนกำลังมีความสุขทำให้ยูริแทบจะสิ้นสติ น้ำตาไหลรินออกมาเพราะความหวาดกลัวอย่างสุดขีด ตัวสั่นเทาและเหมือนจะทรุดลงนั่งกับพื้น หากแต่เธอถูกผีสาวคนนั้นรั้งตัวเอาไว้ไม่ให้ล้ม มือขาวซีดที่เปรอะเปื้อนไปด้วยหยดเลือดค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นมา จนสัมผัสกับใบหน้า และบังคับให้หันกลับไปอย่างช้าๆ
      กรี๊ดดดดดด !!!!”
      ยูริกรี๊ดลั่นด้วยความตกใจ เพราะผีสาวที่ยืนกอดเธออยู่นั้นไม่ใช่ใครอื่นเลยแต่กลับเป็นเจสสิก้า ที่สภาพในตอนนี้ดูช่างน่ากลัวเหลือเกิน เธอถอยหลังกรูดด้วยความกลัวอย่างสุดขีด พยายามหนีออกมาสุดชีวิต หากแต่ใบหน้าของเจสสิก้านั้นจะดูเศร้าลง เธอพยายามจะเดินตามเข้ามาแต่ยูริกลับหยิบเอาห่อขนมที่หล่นอยู่ตามพื้นเขวี้ยงใส่
      อย่าอย่าเข้ามานะ !!”
      เสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นเบาๆ ก่อนที่น้ำตาที่แปรสภาพเป็นสายเลือดจะรินไหลออกมาจากใบหน้านั้น
      ยูริอา…”
      ออกไปนะ ! ออกไป !!!!!!”
      กึกๆ กึกก
      ร่างที่ถอยไปกระแทกเข้ากับชั้นวางขอทำให้ข้าวของต่างๆ เริ่มตกลงมา บ้างก็กระแทกใส่ศีรษะหรือตกลงพื้นจนแตกกระจาย ยูริที่มัวแต่กลัวอยู่กับเจสสิก้าที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นหารู้ไม่เลยว่าผีสาวอีกตนหนึ่งที่ค่อยๆ ปีนขึ้นไปบนชั้นวางของนั้น มันแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียดน่ากลัว
      ก่อนที่ผีสาวตนนั้นจะค่อยๆ เอื้อมมือยืดยาวลงมาจับที่ใบหน้าของยูริเอาไว้ ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจแบบสุดขีด ก่อนที่ร่างนั้นจะแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายและ...
      .
      .
      .
      กร๊อบบบบ !!!


      + + Day 2 : Taeyeon + +
       
      ป่านนี้ยัยนั่นคงจะรอนานเลยละมั๊ง
      แทยอนคิดในใจและยังคงนั่งทำธุระของตัวเองต่อไป ทั้งๆ ที่ไฟมันดับแต่เพราะว่ามันไม่ไหวจริงๆ เธอก็เลยต้องกัดฟันทนไปก่อน แล้วเมื่อไรไฟมันจะติดละเนี่ยเฮ้อ !
      เธอถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก่อนที่จะเอื้อมมือไปกดสวิตซ์เบาๆ และจัดการตัวเองให้เรียบร้อยก่อนที่จะเปิดประตูออกมาเบาๆ เสียงประตูที่ถูกแง้มเปิดออกทำให้บรรยากาศอันเงียบสงบในขณะนี้กลับยิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
      แอ๊ดดดด
      แทยอนกลืนน้ำลายลงไปอึกหนึ่ง เธอเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าอ่างล้างมือ ความสว่างอันน้อยนิดที่ลอดผ่านช่องระบายอากาศเข้ามาก็พอจะทำให้มองเห็นอะไรได้บ้างหากเพ่งสังเกตดูดีๆ
      ใช่หากเพ่งสังเกตดูดีๆ จะพบว่าตนนั้นไม่ได้อยู่เพียงลำพังในห้องน้ำนี้
      แอ๊ดดดดดดดด
      เสียงประตูที่แง้มเปิดออกทำให้แทยอนชะงักกึก พร้อมกับหันกลับไปมองทางด้านหลังของตนเอง ยังห้องน้ำที่ประตูนั้นเปิดออก แต่สิ่งที่พบกลับไม่มีอะไร ตรงกันข้าม ภาพของหญิงสาวอีกคนหนึ่งกลับสะท้อนอยู่ในกระจกแทน
      ก็ไม่มีอะไรนี่นะ
      วิ้วววววววิ้ววววววววววว
      เสียงหวีดหวิวของกระแสลมที่พัดลอดรูระบายอากาศเข้ามายิ่งทำให้บรรยากาศน่าขนลุกมากยิ่งขึ้น แทยอนพยายามจะไม่คิดอะไรในแง่ลบ อาจจะเป็นพระกระแสลมที่พัดผ่านเข้ามาจึงทำให้ประตูนั้นเปิดออก
      แอ๊ดดดดดด
      เสียงประตูห้องเดิมเปิดขึ้นอีกครั้ง แทยอนที่พยายามจะเอื้อมมือไปเปิดก๊อกน้ำล้างมือกลับต้องชะงักกึกหนึ่งและหันกลับไปมองดังเดิม หากแต่ครั้งนี้ภาพสะท้อนของแทยอนในกระจกกลับไม่ได้หันกลับไปมองด้วย มันยังคงจ้องตรงมาราวกับมันกำลังจับตาดูเธออยู่
      “…”
      แทยอนหันกลับมาอีกครั้งและเปิดก๊อกน้ำออกมาล้างมือตัวเองเสีย สายน้ำยังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง เธอเอื้อมมือไปคว้าสบู่ที่คาดว่าน่าจะอยู่ข้างๆ แต่สิ่งที่เธอสัมผัสมันกลับมือความรู้สึกแตกต่างออกไป มันเหมือนกับอะไรสักอย่างที่มันนิ่มๆ แฉะๆ
      แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไร เธอวางมันกลับไปยังที่เก่าและล้างมืออีกครั้ง น่าแปลกที่สบู่เมื่อกี้กลับไม่มีฟองให้เห็นแม้แต่น้อย ยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย เธอจึงหยิบเอาผ้าเช็ดมือที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาและเช็ดมือตัวเองเบาๆ สายลมที่พัดเข้ามาทำให้ผมของเธอปลิวไสวจนมองอะไรแทบไม่เห็น รู้งี้ไปตัดให้มันสั้นซะก็ดีหรอก
      เธอบ่นกับตัวเองในใจ พลันสายตาเหลือบไปเห็นเหมือนกับมีอะไรโผล่ขึ้นมาเหนือประตูห้องน้ำจากภาพสะท้อนในกระจก ลักษณะมันคล้ายกับหัวคน และมันก็หายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเธอหันกลับไปจ้องดีๆ แต่เมื่อกี้เธอมั่นใจว่าเห็นสิ่งที่เหมือนกับหัวคนแน่ๆ จากห้องน้ำห้องริมสุดด้านใน
      ห้องที่เธอเข้าไป
      และเป็นห้องที่ประตูมันเปิดออกมาเองถึง 2 ครั้ง
      แทยอนพยายามสลัดความคิดของตนออกไปจากหัวพร้อมกับหยิบเอาโทรศัพท์มือถือออกมา บรรยากาศเริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ และทวีความน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน แสงไฟที่ส่องสว่างจากโทรศัพท์มือถือแม้ว่ามันจะเพียงสลัวๆ และไม่ไกลมาก แต่มันก็พอจะทำให้เธอมองเห็นอะไรต่ออะไรได้บ้าง
      จังหวะที่จะเดินก้าวออกมาพลันสายตาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างกำลังโผล่ออกมาจากห้องน้ำ เพียงแต่รอบนี้มันหนักข้อยิ่งกว่าเก่า เพราะเธอสามารถใช้ไฟสลัวจากโทรศัพท์ส่องไปยังจุดๆ นั้นได้ และสิ่งที่เธอได้พบก็ทำให้แทยอนตกใจจนแทบสิ้นสติ เมื่อพบว่ามีบางอย่างพยายามคลานออกมาอย่างช้าๆ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าตลบอบอวนจนแทบอยากจะอ้วก
      เธอถอยหลังกรูดด้วยความตกใจกับสิ่งที่คลานใกล้เข้ามาจนหลังติดกับกำแพง แทยอนพยายามจะตั้งสติและวิ่งออกมาจากห้องน้ำนั้น แต่ก็เหมือนกับมีอะไรมาสะกัดเอาไว้จนทำให้ส้นรองเท้าของเธอหักและล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรงจนขาเคล็ด
      โอ๊ยยยยย !!!”
      แม้ว่าจะเจ็บ แต่เพราะความกลัวที่มากล้นนี้ก็ทำให้เธอพยายามจะตะเกียกตะกายไปต่อ โทรศัพท์ที่ร่วงตกลงพื้นทำให้ชิ้นส่วนต่างๆ แตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ทิฟฟานี่ที่พยายามจะโทรติดต่อทั้งแทยอนและยูริกลับไม่สามารถติดต่อใครได้เลย
      เพราะเธอมีเรื่องจำเป็นที่จะต้องบอกทั้งสองคนนั้นให้ได้ ว่าเจสสิก้าได้ตัดสินใจที่จะจบชีวิตของตนเองด้วยการกรีดข้อมือฆ่าตัวตายไปแล้ว และตอนนี้ศพของเจสสิก้าก็ถูกทางตำรวจนำออกไปจากหอพักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
      สถานการณ์ในตอนนี้แย่ลงจนถึงที่สุด เพราะทุกคนต่างก็ไม่อยากจะยุ่งหรือพูดคุยกับซันนี่ที่เป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เจสสิก้าต้องตายไปแล้ว เธอจึงเอาแต่เก็บตัวอยู่ในห้องเงียบๆ ไม่ยอมเปิดประตูให้ใครและไม่ยอมพูดคุยอะไรกับใครอีกเลย
      นี่เธอมัวทำอะไรอยู่นะแทยอนยูริ
      ทำไมถึงไม่ยอมรับโทรศัพท์ของชั้นนะ
      ทิฟฟานี่อดที่จะคิดเป็นห่วงไม่ได้ โดยที่เธอเองก็ไม่รู้เลยว่า ยูริเองก็ได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว เพราะถูกชั้นวางสินค้าล้มทับจนคอหักและสิ้นใจลงทันที และแทยอนที่ยังไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองในขณะนี้
      .
      .
      .
      อย่าเข้ามานะ !!!”
      ปากตะโกนออกไปและพยายามตะเกียกตะกายคลานหนีต่อไป ผีสาวครึ่งตัวนั้นก็ค่อยๆ คลานตามเธอออกมาอย่างช้าๆ ทำให้แทยอนแทบจะเป็นบ้า สายฝนตกหนักขึ้น... หนักขึ้น จนเสียงเม็ดฝนที่ตกลงกระทบกับพื้นนั้นกลบเสียงร้องของแทยอนจนมิด
      เปรี้ยงงงงง !!!!!
      ฟ้าผ่าลงมาอีกครั้งพร้อมกับเสียงอันดังสนั่น แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าอันน่าเกลียดน่ากลัวของผีสาววตนนั้น น้ำตาไหลพรากไม่ยอมหยุดเรี่ยวแรงเหมือนกับถูกดูดออกไปจนแทบจะไม่มีแรงคลานไปต่อ
      มา...
      ไม่นะ ฮือๆ ไม่เอา...
      เอาขา... ของชั้นมา...
      ระยะทางใกล้เข้ามาเรื่อยๆ กระทั่งผีสาวตนนั้นคว้าข้อเท้าของแทยอนได้ มันดึงและลากเธอเข้ามาหาโดยที่แทยอนก็พยายามจะเกาะพื้นกระเบื้องเอาไว้จนเล็บของเธอขูดจนหัก เลือดไหลซึมออกมาทั้ง 10 นิ้ว แม้ว่าจะพยายามสะบัดให้หลุด แต่เรี่ยวแรงของเธอก็ไม่อาจจะต้านทานกำลังของผีสาวตนนั้นได้เลย
      ปล่อย... ปล่อยชั้นนะ !!!!”
      เอามา...
      เอาขาของชั้นคืนมา !!!!”
      กรี๊ดดดดดดดด !!!!!!”
      .
      .
      .
      แว่บบ !!
      ไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้อีกครั้ง แสงไฟค่อยๆ สว่างไล่มาเป็นส่วนๆ จนสภาพทุกอย่างนั้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม หญิงสาวสองคนเดินคุยกันมาตามทางเรื่อยๆ ก่อนที่จะเปิดประตูห้องน้ำเข้ามา พลันสายตาเหลือบไปเห็นรอยเลือดที่ขูดเป็นทางยาวเข้าไปยังห้องน้ำด้านในสุด
      สองสาวค่อยๆ ก้าวเท้าตามเข้าไปอย่างกล้าๆ กลัวๆ เลือดสีแดงสดที่ไหลนองออกมาทำให้ความกลัวของพวกเธอนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เธอเอื้อมมือไปผลักประตูนั้นให้เปิดออก และสิ่งที่เห็นเบื้องหน้าก็ทำให้พวกเธอกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง เข่าอ่อนทรุดลงนั่งกับพื้น เพราะเบื้องหน้ากลับมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ข้างๆ ชักโครก ในสภาพที่มีแต่ร่างกายเพียงครึ่งบนตั้งแต่สะโพกขึ้นมาเท่านั้น...
      .
      .
      .
      กรี๊ดดดดดดดดดดดด !!!!”


      + + Day 3 : Tiffany + +
       
      ณ. พิธีฝังศพของเพื่อนสาว แทยอน และ ยูริ...
       
      ความเศร้าที่ต้องสูญเสียเพื่อนรักไป มันช่างเจ็บปวดและรวดร้าวเหลือเกิน น้ำตาใสๆ ยังคงไหลพรากออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าทิฟฟานี่เลย แต่คนที่เจ็บปวดที่สุดคงไม่พ้นต้นเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอย่างซันนี่
      เธอไม่มาแม้กระทั่งงานฝังศพของเพื่อน...
      เธอยังคงขังตัวเองอยู่แต่ในห้อง...
      ไม่ว่าเรียกเท่าไร... เคาะประตูยังไง...
      ก็ไม่มีวี่แววว่าเธอจะยอมเปิดประตูออกมาจากห้องเลย...
      หลังจากเสร็จสิ้นพิธีฝังแล้ว ต่างคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้าน หากแต่ทิฟฟานี่ยังคงจะอยู่ต่อ เธอได้แต่ยืนร้องไห้อยู่หน้าหลุมศพของแทยอน ยูริ และเจสสิก้าอยู่อย่างนั้น สายลมหนาวที่พัดผ่านไปมายิ่งทำให้ความเจ็บปวดในหัวใจนั้นทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่าใจหาย
      เฮือกก !!
      อยู่ๆ ความรู้สึกเสียวสันหลังก็ทำให้ทิฟฟานี่หันกลับไปมองด้านหลังของตนอย่างรวดเร็ว
      “…”
      ความรู้สึกมันเหมือนกับถูกสายตาของใครกำลังจับจ้องอยู่ แต่กลับหามีผู้ใดไม่... ทิฟฟานี่ค่อยๆ หันกลับมาด้านหน้าอีกครั้ง แต่ความรู้สึกที่เหมือนกับมีคนมองอยู่ก็ยังคงไม่หายไปไหน ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัวเพราะตอนนี้เธอก็อยู่ที่นี่ตามลำพังเท่านั้น เมฆฝนเหมือนจะตเริ่มตั้งเค้าขึ้นมาอีกครั้ง เธอหันกลับมามองป้ายหลุมศพของเพื่อนสาว พร้อมกับพูดขึ้นเบาๆ
      ชั้นคิดถึงเธอนะแทยอน... ยูริและหันมองไปทางป้ายหลุมศพของเจสสิก้า
      ...เจสสิก้า
      ก่อนที่ทิฟฟานี่จะเดินออกมาจากสุสานแห่งนั้น โดยมีสายตาของผีสาวตนหนึ่งจ้องตามออกไป
      .
      .
      .
      กลับมาแล้ว...
      ทิฟฟานี่พูดขึ้นเบาๆ หลังจากปิดประตูห้องพักลงพร้อมกับถอดรองเท้าใส่ในตู้และเดินเข้ามายังห้องนั่งเล่นด้านใน เป็นครั้งแรกในรอบ 2 วันที่เห็นว่าซันนี่เดินออกมานอกห้องก่อนที่จะหายกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง ทิฟฟานี่ได้แต่มองตามซันนี่ไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด
      ทิฟฟานี่ทิ้งความคิดดังกล่าวออกไปจากหัว เธอเดินตรงมายังห้องของซันนี่ก่อนที่จะเคาะประตูเบาๆ
      ก๊อกๆ ก๊อก...
      “…”
      เปิดประตูให้ชั้นซันนี่ ชั้นมีเรื่องต้องคุยกับเธอ...
      “…”
      ซันนี่...
      ก็ยังคงเงียบเช่นเดิมไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แม้ว่าจะทุกประตูจนมือถลอกก็ไม่มีวี่แววว่าซันนี่จะยอมเปิดปประตูออกมาเลย แรงที่จะถีบหรือกระแทกเข้าไปแรงๆ ก็ไม่พอและที่ร้ายไปกว่านั้น แม้แต่กุญแจสำรองก็ยังไม่มีเลย จนทิฟฟานี่โมโหกับการกระทำของเพื่อนสาวจึงเดินกระทืบเท้ากลับเข้าห้องนอนของตน
      ปึงงงง !!!
      และปิดประตูลงกระแทกอย่างแรงด้วยความไม่พอใจ
      บรรยากาศวังเวงชวนขนลุกแม้ว่าจะเป็นช่วงบ่ายของวันก็ตาม เมฆดำด้านนอกเริ่มก่อตัวขึ้นทำให้แสงแดดที่เคยสาดส่องลงมาเป็นอันต้องถูกบดบังอย่างช่วยไม่ได้ กระแสลมพัดแรงขึ้นจนกิ่งไม้ที่อยู่ด้านนอกหักและถูกพัดปลิวไปตามแรงลม เสียงหวีดหวิวที่ดังลอดเข้ามาภายในทำให้รู้สึกใจคอไม่ดีเอาเสียเลย
      ทิฟฟานี่ลุกขึ้นจากเตียงและคว้าเอารีโมตโทรศัพท์ขึ้นมากดหารายการอะไรดูไปเรื่อยๆ อาศัยเสียงจากโทรทัศน์นี้ช่วยกลบความเงียบที่ปกคลุมอยู่ในห้อง เสียงโทรทัศน์ยังคงดังต่อไปเรื่อยๆ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาเลย กลับกลายเป็นว่ามันจะยิ่งหนักข้อขึ้นกว่าเก่าเสียอีก
      ครืนนนนนครืนนนนนนนนน
      เสียงฟ้าร้องทางด้านนอกดังขึ้นบ่งบอกให้รู้ว่าฝนกำลังจะตก และดูท่ามันจะหนักมากๆ เสียด้วย ก่อนที่เสียงฟ้าผ่าจะตามมาติดๆ พร้อมกับแสงสีขาวสว่างวาบขึ้น
      เปรี้ยงงง !!!
      .
      .
      .
      เวลาผ่านไปนานหลายชั่วโมงจนย่างเข้าสู่ช่วงหัวค่ำ ทิฟฟานี่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งบนเตียงนอนของตน เสียงของโทรทัศน์ยังคงถูกเปิดค้างเอาไว้อยู่อย่างนั้น เธอหันกลับไปดูที่นอกหน้าต่าง เม็ดฝนขนาดใหญ่ที่ตกกระหน่ำลงมาทำให้กลบเสียงโทรทัศน์จนหมด
      ความมืดที่ปกคลุมในห้องยังพอมีแสงไฟสลัวๆ จากโทรทัศน์ที่เปิดเอาไว้
      เธอลุกขึ้นจากเตียงหมายจะเดินไปเปิดไฟ หากแต่เสียงที่เหมือนกับมีบางอย่างอยู่นอกห้องทำให้เธอต้องชะงักฝีเท้าทันทีและหยุดชั่งใจคิดว่าเสียงที่ได้ยินนั้นคืออะไร หรือว่าเพื่อนคนอื่นๆ ของเธอจะกลับมาแล้ว ? เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงเอื้อมมือไปแตะที่สวิตซ์ไฟ
      ครืดดดดดครืดดดดดดด
      หากแต่เสียงที่ดังอยู่นอกประตูมันเหมือนกับใครกำลังลากอะไรอยู่มากกว่า เธอทิ้งความคิดที่จะเปิดไฟออกไปจากหัวและชักมือกลับถอยห่างออกมาจากประตู เพราะเสียงที่ได้ยินมันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนกับจะมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง
      ทิฟฟานี่กลืนน้ำลายลงไปอึกใหญ่ทิ้งความคิดเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ ออกไปจากหัวเพราะคิดว่าอาจจะเป็นเพื่อนๆ พากันไปซื้อของมาแล้วมันหนักจนต้องลากพื้นก็ได้ เธอเอื้อมมือไปเปิดสวิตซ์ไฟที่ห้องและรอให้ไฟมันสว่าง
      “…”
      เธอลองขยับสวิตซ์ไฟเปิดปิดย้ำๆ อีกครั้ง แต่ไฟก็ไม่ยอมสว่างขึ้นมาสักที ซ้ำร้ายไปกว่านั้นโทรทัศน์ที่เปิดค้างเอาไว้อยู่ๆ ก็ดับลงไปเสียดื้อๆ เหมือนกับถูกใครกดปิด เพราะหากไฟดับมันจะต้องับพร้อมกันหมด ไม่ใช่ดับทีละอย่างแบบนี้
      ครืดดดดดดด
      พอได้ลองเงี่ยหูฟังดีๆ มันเหมือนกับอะไรบางอย่างกำลังคลานเข้ามาใกล้ๆ มากกว่า ความคิดเรื่องผีที่ซันนี่เล่าให้ฟังผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เธอถอยหลังกลับขึ้นไปนั่งลงบนเตียงอีกครั้งเนื้อตัวเริ่มสั่นเพราะความกลัว สายตามองตรงไปยังประตู เงาสีดำของอะไรบางอย่างกำลังขยับไหวอยู่ด้านหน้า สร้างความหวาดกลัวให้พุ่งสูงขึ้น เธอพยายามประคองสติให้อยู่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในสถานการณ์อย่างในตอนนี้
      กึกกกกึกกกกกก
      เหมือนกับพยายามจะเคาะประตูและเปิดเข้ามา ทิฟฟานี่ที่คิดได้ว่าตนนั้นไม่ได้ล๊อคห้องเอาไว้จึงรีบแจ้นลงจากเตียงไปคว้าที่ลูกบิดจะกดล๊อค แต่เพราะว่าลื่นมือของเธอจึงเผลอไปหมุนเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจจนประตูนั้นเปิดอ้าออก และสิ่งที่อยู่หลังประตูนั้นก็ทำให้ทิฟฟานี่ตกใจจนเข่าอ่อนทรุดนั่งลงกับพื้นไร้สิ้นซึ่งเรี่ยวแรง
      ร่างของหญิงสาวคนหนึ่งในสภาพที่ไม่มีขา เลือดสีแดงสดไหลเจิ่งนองไปทั่วทั้งบริเวณ ร่างนั้นเงยหน้าขึ้นมามองทิฟฟานี่ มือค่อยๆ เอื้อมเข้ามาเหมือนจะคว้าตัว
      ด้วยความกลัวจึงทำให้ทิฟฟานี่ถอยกลับไปจนติดขอบเตียงสายตามองดูร่างของผีสาวที่กำลังคลานเข้ามา แม้ใบหน้าจะโชกเลือดแต่เค้าโครงนั้นบวกกับเสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ทำให้ทิฟฟานี่รู้ได้ทันทีว่าผีสาวตนนี้คือใคร แต่เพราะความกลัวก็ทำให้เธอปล่อยโฮออกมาและหลับตาสนิท ไม่กล้ามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
      แทยอนพยายามคลานเข้ามาอย่างยากลำบาก มือที่เปรอะเปื้อนหยดเลือดเอื้อมเข้าไปจนสัมผัสกับร่างของทิฟฟานี่ แต่เพราะความกลัวทำให้ทิฟฟานี่พยายามจะปัดออกและกระโดดขึ้นไปอยู่บนเตียง
      ไม่นะ อย่าเข้ามา ได้โปรดเถอะแทยอน ฮือๆชั้นชั้นกลัวแล้ว !!!”
      “…นี่ ฟฟานี่…”
      ร่างที่ชุ่มไปด้วยเลือดของแทยอนยังคงพยายามจะคลานเข้ามา พร้อมกับเอ่ยเรียกทิฟฟานี่ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เธอรู้ดีว่าทั้งเธอและทิฟฟานี่อยู่กันคนละส่วนแล้ว แต่เพราะความเป็นห่วง นั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมแทยอนถึงได้โผล่มา
      ฟานี่…”
      ชั้นกลัวแล้วฮือๆ อย่านะแทยอน อย่า…”
      กลิ่นคาวเลือดอันน่าสะอิดสะเอียนที่โชยมาเตะจมูกทำให้รู้สึกอยากจะอ้วกออกมา สัมผัสอันน่าขนลุกจากร่างของแทยอนทำให้ทิฟฟานี่กลัวจนแทบสิ้นสติ เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งและพบว่าใบหน้าของแทยอนอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน ถึงแม้ว่าจะเคยเป็นเพื่อนสนิทกันก็ตามที
      หากแต่ร่างนั้นค่อยๆ สวมกอดเธอเอาไว้อย่างแผ่วเบา แม้ว่าจะยังคงกลัวไม่กล้าลืมตา แต่กับสิ่งที่แทยอนทำอยู่ในตอนนี้ก็ไม่ได้สื่อออกมาในรูปแบบของความกลัวเลยมันเหมือนกับเธอยังคงเป็นห่วงทิฟฟานี่อยู่ เพราะคิดได้ดังนั้นทิฟฟานี่จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และค่อยๆ ยกมือขึ้นมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ แตะที่แผ่นหลังของแทยอนกลับ
      รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้า มันไม่ใช่รอยยิ้มน่ากลัว แต่เป็นรอยยิ้มที่แทยอนมักจะยิ้มให้กับเธออย่างเสมอๆ รอยยิ้มที่แสดงออกว่าเธอยังคงเป็นเหมือนเดิม แม้ว่าเธอจะตายไปแล้วก็ตาม
      ฟานี่
      ความกลัวที่เคยมีค่อยๆ เลือนหายไป ทิฟฟานี่ค่อยๆ โอบกอดร่างของแทยอนกลับเบาๆ แม้จะไร้ซึ่งความอบอุ่นและมีแต่เพียงร่างกายที่เย็นเฉียบ แต่ผู้หญิงคนนี้ก็คือแทยอน น้ำตาค่อยๆ ไหลรินออกมาจากขอบตา ไม่ว่าจะทั้งทิฟฟานี่หรือแทยอนก็ตาม
      แทยอน…”
      เธอกอดร่างของแทยอนให้แนบแน่นยิ่งขึ้น พร้อมกับปล่อยโฮออกมา แม้ว่าเลือดจะเปรอะเปื้อนตามตัว แต่เธอก็ไม่ได้รังเกียจเลย เธอซบใบหน้าเข้ากับไหล่ของแทยอนเหมือนเช่นเคยเวลาที่เธอร้องไห้ มือของแทยอนพยายามยกเอื้อมขึ้นไปลูบที่ศีรษะของทิฟฟานี่เบาๆ
      ก่อนที่ร่างของแทยอนจะค่อยๆ หายไป
      .
      .
      .
      ยัยทิฟ !! แกเป็นอะไรของแกเนี่ย !?”
      ซูยองที่เดินมาเขย่าตัวเพื่อนสาวที่กำลังนอนร้องไห้อยู่ให้ตื่นขึ้น
      ยัยทิฟ !!!”
      ซูยองตะโกนเรียกเพื่อนสาวอีกครั้ง ก่อนที่ทิฟฟานี่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ
      แกเป็นอะไรรึเปล่าน่ะถึงได้นอนร้องไห้แบบนั้น ? หรือว่ายังทำใจเรื่องยัยพวกนั้นไม่ได้ ?”
      “…”
      ทิฟฟานี่ไม่ได้ตอบอะไร เธอเพียงแต่มองไปรอบๆ ห้องที่เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือว่าเมื่อกี้นี้เธอเพียงแค่ฝันไป ? ซูยองมองดูเพื่อนสาวที่อยู่ตรงหน้าก่อนที่จะเอื้อมมือมายีหัวเธอเบาๆ ด้วยความเอ็นดู ก่อนที่จะพูดขึ้น
      อย่าเศร้าไปเลยนะชั้นว่ายัยแทก็คงไม่อยากเห็นเธอร้องไห้หรอก…”
      ก่อนที่ซูยองจะยิ้มให้และลุกขึ้นจากเตียงไปหยุดอยู่ที่ประตู ทิฟฟานี่ลองมองไปยังรอบๆ ตัวอีกครั้ง พลันสายตาเหลือบไปเห็นแหวนวงหนึ่งหล่นอยู่ข้างๆ ตัว ซึ่งมีรอยเลือดสีแดงเปรอะเปื้อนอยู่ด้วย เธอเอื้อมมือไปคว้ามันขึ้นมาและนำมาทาบที่อกตัวเองเบาๆ
      เธอมาหาชั้นจริงๆ สินะแทยอน
      งั้นชั้นไปทำอะไรกินก่อนแล้วกัน หิวก็ออกมาล่ะ…”
       ซูยองพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับเปิดประตูออกไป และสิ่งที่เห็นอยู่หน้าประตูคือร่างของผีสาวตนหนึ่งที่กำลังแสยะยิ้มให้เธออย่างน่าเกลียดน่ากลัว !!!



      + + Day 4 : Sooyoung + +
       
      แกร๊งงงง !!!
      โอ๊ยยยย !!”
      เสียงช้อนสแตนเลสที่หล่นลงกระทบกับจานจนเกิดเสียงดัง ตามมาติดๆ ด้วยเสียงร้องของซูยองที่ล้มลงจากเก้าอี้และเอามือกุมท้องเอาไว้อย่างเจ็บปวดสีหน้าของเธอดูทรมานแบบสุดๆ
      เฮ้ยย !! แกเป็นอะไรไปเนี่ยซูยอง !!?”
      ฮโยฮยอนที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกตกใจไม่น้อยที่อยู่ๆ ซูยองก็อยู่ในสภาพแบบนี้ เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ที่อยู่ด้วยกัน ซอฮยอนน้องเล็กเอื้อมมือไปหยิบของที่ซูยองเพิ่งจะกินไปเมื่อครู่ขึ้นมาด้วยความสงสัย ก่อนที่จะกล่าวถามขึ้น
      พี่คะ ซื้อไอนี่มาวันไหนน่ะ ?”
      วันวันนี้โอ๊ยยยย !!! ปวดท้อง !!”
      เธอกุมท้องเอาไว้แน่นในลักษณะตัวงอเหมือนกุ้งและเริ่มบิดไปบิดมา ยูนอาที่พอจะรู้ถึงสาเหตุจึงรีบวิ่งไปคว้าโทรศัพท์และโทรติดต่อไปยังเบอร์ฉุกเฉินของโรงพยาบาลทันที นานหลายนาทีกว่าที่จะมีคนมารับสาย และเพราะความตกใจบวกกับความเร่งรีบจึงทำให้เธอพูดติดๆ ขัดๆ จนกว่าจะสื่อสารกันรู้เรื่อง ทิฟฟานี่จึงต้องเป็นคนไปคุยแทน
      พี่ซื้อไอนี่มาวันนี้แต่นี่มันหมดอายุไปตั้งแต่เดือนที่แล้วๆ นะคะ…”
      ไม่จริงน่าวันนี้พี่ยังไปเดินซื้อมากับมันอยู่เลย จะไปเสียได้ไง ?”
      ฮโยยอนแย้งกลับอย่างไม่ค่อยเชื่อ เธอละมือจากซูยองมาและดูวันหมดอายุที่ก้นกระป๋อง ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ซอฮยอนว่ามันหมดอายุไปตั้งแต่วันที่ 06/04/2011 จริงๆ ซึ่งก็คือหนึ่งเดือนพอดี
      บ้าน่า…”
      และนั่นก็คือสาเหตุว่าทำไมซูยองถึงได้มานอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลแบบนี้ซึ่งสาเหตุหลักๆ เลยก็คือเพราะอาหารเป็นพิษอย่างรุนแรง และก็คงถือเป็นความโชคดีของคนอื่นๆ ด้วยที่ไม่ได้ไปแตะมันเข้า ไม่อย่างนั้นพวกเธอก็คงมีสภาพไม่ต่างอะไรกับซูยองที่นอนไม่ได้สติอยู่ในตอนนี้
      .
      .
      .
      ซูยองค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืนที่เงียบสงบ บรรยากาศในห้องนั้นเงียบสนิท ซูยองลองสังเกตมองไปยังรอบๆ ห้องเพราะสายตาที่เริ่มชินกับความมืดแล้วจึงทำให้เธอเริ่มมองเห็นอะไรได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ห้องที่อยู่นั้นเป็นห้องเตียงคู่ ซึ่งมีเพียงผ้าม่านสีครีมปิดกั้นเอาไว้ระหว่างเธอกับเตียงว่างอีกเตียงหนึ่งเท่านั้น...
      แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาสลัวๆ บวกกับความเงียบของยามค่ำคืนทำให้บรรยากาศในตอนนี้ไม่น่ารื่นรมย์เท่าไรนัก กระแสลมที่พัดผ่านไปมาอยู่ด้านนอกค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อย... ทีละน้อย อากาศที่เย็นกำลังพอดีทำให้ซูยองคิดที่จะหลับอีกครั้ง
      ตุบบบ !!!
      แต่เพราะเสียงที่เหมือนกับอะไรหล่นกระแทกพื้นอย่างแรงจึงทำให้รู้สึกผวาขึ้นมา เสียงมันเหมือนกับดังขึ้นมาจากที่ข้างๆ ทำให้ซูยองเลือกที่จะแหวกม่านออกน้อยๆ ซึ่งสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าก็มีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น... แล้วเมื่อกี้มันเสียงอะไรล่ะ ?
      เธอค่อยๆ เลื่อนม่านปิดอีกครั้งพยายามจะไม่คิดอะไร
      ตุบบบบ !!!
      แต่เสียงนั้นกลับดังขึ้นมาอีกครั้งทำเอาเธอผวามากยิ่งขึ้น เพราะเตียงข้างๆ นั้นก็ไม่มีใครแล้วเสียงนั่นมันดังมาจากไหนกันล่ะ ? เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งทำเอาซูยองเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ไม่เพียงแค่เสียงที่เหมือนกับอะไรหล่นเท่านั้น ยังมีเสียงเหมือนกับข้าวของต่างๆ ล้มระเนระนาดด้วย
      ใครน่ะ !!?”
      เพราะรู้สึกไม่ไหวแล้ว ซูยองจึงตัดสินใจตะโกนถามออกไปตรงๆ เสียงที่เคยดังนั้นกลับเงียบลงจนทำให้รู้สึกได้ถึงความน่ากลัว ขนลุกซู่อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...
      ชั้นถามว่าใคร !?”
      “…”
      ความน่ากลัวค่อยๆ ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างเหมือนกับเคลื่อนที่ผ่านทางกระจกที่อยู่ด้านข้างไป ความรู้สึกเย็นยะเยือกและเสียวสันหลังตรงเข้ามาเล่นงานเธออีกครั้ง ซูยองหันกลับไปมองทางนอกหน้าต่างแต่ก็ไม่พบอะไร กลับกลายเป็นว่าหางตาของเธอเหลือบไปเห็นเหมือนกับมีเงาของคนเดินผ่านกระจกที่ประตูแทน
      ชั้นถามว่าใครไงล่ะ !!!?”
      ไร้ซึ่งเสียงตอบรับใดๆ ซูยองพยายามสลัดความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่มองไม่เห็นออกไปจากหัวและเอนตัวนอนลง ตาทั้งสองข้างหลับสนิทและพยายามจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอาไว้ แต่กลับรู้สึกเหมือนกับมันติดอะไรสักอย่าง...
      มันเหมือนกับมีใครกำลังดึงผ้าห่มอยู่ที่ปลายอีกด้าน...
      ปล่อย... นะ !!!”
      ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้ว... มันแค่ติดอยู่กับซอกเหล็กปลายเตียงเท่านั้น ไม่มีอะไรดึงปลายผ้าห่ม เพราะความกลับของตนจึงทำให้ความคิดเริ่มเตลิดไปไกลจนคุมสติเอาไว้ไม่ค่อยจะอยู่ ที่ปลายเตียงนั้นไม่มีอะไร... แต่กับใต้เตียง...ดันมีร่างของใครก็ไม่รู้มานอนอยู่ในสภาพขึ้นอืดจนน่าเกลียดน่ากลัว สายตามองตรงขึ้นไปยังร่างที่อยู่บนเตียงราวกับจะทวงเอาสิ่งที่เป็นของๆ ตนคืน
      ร่างนั้นหายไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงเหมือนกับคนกำลังเข็นรถเข็นเข้ามาใกล้... รถเข็น... ที่จะมีคนบ้าที่ไหนมาเข็นเอาในเวลาตี 2 กว่าๆ แบบนี้ ?
      ครืดดดดด... ครืดดดดดดด...
      ตามมาติดๆ ด้วยเสียงที่เหมือนกับอะไรบางอย่างกำลังคลานใกล้เข้ามา เริ่มทำให้ซูยองหวาดกลัวมากยิ่งขึ้นจนได้แต่ภาวนาขอให้มันเช้าเร็วๆ ผ้าที่หลุดออกจากซอกนั้นทำให้ซูยองดึงมันขึ้นมาคลุมตัวเอาไว้ ตัวสั่นเทาไปด้วยความกลัวจนไม่สามารถจะควบคุมเอาไว้ได้ น้ำตาใสๆ ค่อยๆ ไหลรินออกมาจนเปียกหมอนจนชุ่ม
      ครืดดดดด...
      เสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...
      เรื่อยๆ...
      จนเหมือนกับมาหยุดอยู่ที่ขอบเตียงและเงียบไป หากแต่ความรู้สึกที่เหมือนกับกำลังถูกจ้องอยู่มันกลับยิ่งทำให้ซูยองกลัวจนแทบเป็นบ้าน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด อยู่ๆ เตียงก็สั่นเหมือนกับถูกเขย่าอย่างแรง ซูยองที่ทนต่อไปไม่ไหวแล้วจึงคิดที่จะวิ่งหนีออกไปจากห้อง เธอเปิดผ้าที่คลุมตัวอยู่ออกและเตรียมจะวิ่ง แต่สิ่งที่เห็นอยู่เบื้องหน้านั้นทำให้เธอตกใจจนแทบสิ้นสติ
      เมื่อพบว่าผีสาวตนหนึ่งพยายามที่จะคลานขึ้นมาบนเตียง มือสีขาวซีดค่อยๆ เกาะปลายเตียงขึ้นมาอย่างน่ากลัว ซูยองตัดสินใจลุกจากเตียงและวิ่งออกมาที่ประตูโดยไม่คิดที่จะหันกลับไปมองสิ่งที่อยู่ด้านหลังเลยแม้แต่น้อย ปากเปิกสั่นจนไม่สามารถพูดออกมาเป็นภาษามนุษย์ได้
      กึกกกๆๆๆๆ
      ลูกบิดถูกบิดไปมาอย่างแรงแต่กลับเหมือนถูกมันล็อคเอาไว้ไม่สามารถเปิดออกไปได้ อีกทั้งผีสาวตนนั้นก็ค่อยๆ คลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
      ขา... เอามา...
      มันแสยะยิ้มอย่างน่าเกลียดน่ากลัวพร้อมกับจับที่ข้อเท้าของซูยองเข้าและบิดอย่างแรง ความเจ็บปวดที่เส้นประสาทกำลังจะขาดออกจากกันทำให้เธอกรีดร้องออกมาอย่างโหยหวน
      กรี๊ดดดดดดดดดดด !!!!”
      เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นทำให้คนไข้ที่พักอยู่ห้องข้างๆ ถึงกับสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ เช่นเดียวกับเหล่าพยาบาลสาวที่ได้ยินเสียงนั้น ซูยองพยายามใช้ขาอีกข้างหนึ่งถีบเข้าที่ใบหน้าของผีตนนั้นจนมันยอมปล่อยมือจากขาของเธอ และหันมาจับขาอีกข้างเอาไว้แทน
      โอ๊ยยยยยย !!!”
      มันเหวี่ยงตัวเธอกระแทกกับขอบเตียงอย่างแรงจนข้าวของในห้องต่างก็ล้มระเนระนาดไปหมด และตรงเข้ามาหาเธออีกครั้ง ซูยองพยายามจะลุกขึ้นและหนีออกมาแต่ขาของเธอกลับไร้ซึ่งความรู้สึก... เพราะเส้นเอ็นถูกแรงดึงกระชากของผีสาวตนนั้นจนขาดออกจากกันแล้ว ซ้ำร้ายเส้นปราสาทต่างๆ ที่เชื่อมอยู่ก็พลอยขาดไปด้วย
      เธอพยายามจะคลานหนีออกมาแต่เพราะประตูห้องที่ล็อคอยู่จึงไม่สามารถออกไปทางนั้นได้ และเพราะขาเธอไร้ความรู้สึกไปแล้วจึงไม่สามารถเดินได้เหมือนคนปกติ ทางเดียวที่น่าจะพาเธอหนีออกไปจากตรงนี้ได้ก็มีเพียงแค่หน้าต่างที่อยู่ข้างๆ เท่านั้น เธอพยายามคลานมาหยุดอยู่ที่หน้าต่างและเปิดมันออกแต่เพราะผีสาวที่ตามมาจับขาของเธอเอาไว้และออกแรงดึงจนเต็มแรง
      ฮือๆ... ปล่อยชั้น !! ปล่อย !!!!”
      เพราะแรงถีบของซูยองที่ทำให้มือของผีสาวตนนั้นหลุดออก และด้วยแรงฉุดที่ถูกปล่อยออกอย่างกระทันหันกลับกลายเป็นแรงส่งที่ทำให้ร่างของซูยองพลัดตกลงมาจากหน้าต่างแทน
      กรี๊ดดดดดดดด !!!!!”
      .
      .
      .
      บรืนนนนน...
      รถของยูนอาที่ขับเข้ามาในเขตของโรงพยาบาลพยายามจะมองหาที่จอด แต่เพราะร่างของซูยองที่ตกลงมาเสียบเข้ากับเหล็กต่อหน้าต่อตาทำให้เธอกรีดร้องลั่นด้วยความตกใจ
      กรี๊ดดดดดดดด !!!!!!”


      + + Day 5 : Yoona + +
       
      เพื่อนที่ทยอยตายไปทีละคนๆ ทำให้สภาพจิตใจของคนที่เหลืออยู่ในตอนนี้พากันคิดไม่ตกเลยทีเดียว เพราะไม่รุ้ว่าใครจะเป็นรายต่อไป... ความสุขเหมือนกับหลุดลอยออกไปจากชีวิต ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม ไม่มีแม้เพียงเสียงหัวเราะ... ทุกอย่างเหมือนกับถูกลบออกไปจนหมดสิ้น
      ทำไมเรื่องบ้าๆ แบบนี้ถึงต้องเกิดขึ้นกับพวกเราด้วย...
      ก็เพราะใครกันล่ะ...
      ยูนอาบ่นออกมาอย่างไม่พอใจ ขาถูกยกขึ้นมากอดเอาไว้บนเก้าอี้
      เรื่องที่พี่ซันนี่เล่า... มีใครที่ได้ฟังมั่งคะ ?”
      ซอฮยอนถามขึ้นพร้อมกับสังเกตสีหน้าของแต่ละคน ซึ่งทุกคนต่างก็ยกมือขึ้นกันหมด ยกเว้นเพียงแค่ทิฟฟานี่ที่ยกมาครึ่งหนึ่ง และเหมือนจะเอามือลง
      เธอก็นั่งฟังด้วยไม่ใช่เหรอฟานี่ ?”
      ฮโยยอนถามขึ้นอย่างสงสัย ทิฟฟานี่หันมาหาเพื่อนสาวก่อนที่จะพยักหน้าและพูดอธิบายขึ้น
      เธอก็รู้ว่าชั้นขี้กลัวขนาดไหน... ตอนที่ยัยนั่นเล่า ชั้นยังเอามือปิดหูไว้เลย ที่ชั้นกรี๊ดบอกไม่อยากฟังๆ นั่นอะ เธอก็ได้ยินไม่ใช่เหรอ ?” ซึ่งมันก็จริงอย่างที่ทิฟานี่พูด เพราะเธอกลัวจึงเอามือปิดหูเอาไว้
      ถ้างั้นหนูก็ด้วยสิคะพี่... ?”
      ยูนอากล่าวขึ้น เพราะเธอเองก็รีบแจ้นออกไปจากห้องเหมือนกันเพราะความกลัว
      แต่ชั้นว่านี่มันแปลกไปแล้วนะ... นี่ก็พาเข้าไปหลายวันแล้วเธอเห็นยัยนั่นออกมาจากห้องมั่งไหมล่ะ ?”
      ฮโยยอนถามขึ้นอย่างสงสัย เพราะที่เดินผ่านหน้าห้องของซันนี่ เธอรู้สึกเหมือนกับได้กลิ่นอะไรแปลกๆ โชยออกมา เพราะเธอไม่เห็นซันนี่โผล่ออกมาจากห้องเลยสักวันหลังจากที่เกิดเรื่องขึ้น
      ชั้นเห็นนะ... เมื่อวานหลังจากที่ชั้นกลับมาถึงบ้าน
      ทิฟฟานี่พูดขึ้น
      แต่ชั้นพยายามจะเดินตามยัยนั่นเข้าไปที่ห้อง แต่ไม่ว่าจะเรียกยังไงหรือเคาะยังไง มันก็ไม่ยอมเดินมาเปิดให้ชั้นเลย จนชั้นโกรธเลยกลับไปนอนที่ห้องนั่นแหล่ะ...
      หรือว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่เขา... ?”
      และเพราะความที่ซอฮยอนพูดขึ้นมาจึงทำให้เพื่อนๆ ที่เหลือต่างก็พากันสงสัย พวกเธอพากันมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของซันนี่และเคาะประตูเรียกเธอเบาๆ
      ก๊อกกๆ ก๊อกกก...
      ซันนี่ ?”
      ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง... ผลที่ได้ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน คือไร้ซึ่งเสียงตอบรับและไม่มีวี่แววว่าเธอจะเดินมาเปิดประตูให้เลย และสิ่งที่น่าสงสัยที่สุดก็คงจะเป็นกลิ่นแปลกๆ ที่โชยออกมาจากในห้องนี่แหล่ะ ซึ่งมันอาจจะเป็นเหมือนดังที่ซอฮยอนบอกเอาไว้ก็เป็นได้
      ว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับยัยนี่จริงๆ
      ชั้นว่ามันท่าไม่ดีแล้วนะแบบนี้...
      หนูก็ว่างั้นนะคะพี่...
      ซอฮยอนกล่าวเสริม เมื่อตกลงกันได้แล้ว ทิฟฟานี่และฮโยฮยอนจึงพากันลงไปยังชั้นล่าง ไปติดต่อขอกุญแจสำรองเพื่อเปิดห้อง เพราะเพื่อนสาวของตนขาดการติดต่อมาหลายวันแล้วปล่อยให้สองสาวอย่างยูนอาและซอฮยอนอยู่ในห้องกันสองต่อสอง ไม่นับซันนี่ที่ยังไม่รู้ชะตากรรม
      .
      .
      .
      เวลาผ่านไปนานพอสมควรกว่าที่ทิฟฟานี่และฮโยยอนจะกลับขึ้นมา และทันทีที่กุญแจสำรองมาถึงไม่ทันที่จะได้ไข ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของซันนี่ เพียงแต่เธอแค่แง้มประตูออกมานิดๆ เท่านั้นโดยยื่นหัวโผล่ออกมามองดูเพื่อนๆ ของตนที่อยู่ทางด้านนอก
      “…”
      นี่เธอทำบ้าอะไรอยู่ในห้องตั้งหลายวันน่ะฮะ ซันนี่ !! รู้มั๊ยว่าพวกชั้นเป็นห่วงเธอกันแค่ไหน ?”
      สีหน้าของสาวร่างเล็กดูสลดลงจนเห็นได้ชัด เมื่อรู้ว่าซันนี่นั้นยังคงปลอดภัยดีความกังวลก็หายไปเปรอะหนึ่ง หากแต่ความสงสัยนั้นก็ยังคงอยู่เพราะที่พวกเธอกำลังสงสัยก็คือ กลิ่นแปลกๆ ที่โชยออกมานั้น มันคืออะไรกันแน่...
      ชั้น... ขอ โทษ...
      เธอตอบกลับเบาๆ
      ชั้น... ขอโทษจริงๆ
      กระทั่งน้ำตาใสๆ นั้นไหลรินออกมาจากขอบตา เหมือนรู้ว่าทิฟฟานี่จะดึงเธอเข้าไปกอด ซันนี่กลับถอยห่างออกก่อนที่จะปิดประตูลงกลับไปดังเดิมอีกครั้ง
      ด... เดี๋ยวว !!”
      ...
      เอาเถอะ... อย่างน้อยก็รู้ว่ายัยนั่นยังปลอดภัย
      ฮโยยอนตอบกลับเบาๆ ก่อนที่ต่างคนจะต่างแยกย้ายกันออกมาจากบริเวณนั้น
       
      เย็นวันนั้นคุณแม่ของซอฮยอนก็มารับเธอกลับไปนอนบ้าน ฮโยยอนเองก็เช่นเดียวกัน เธอเลือกที่จะกลับไปอยู่กับครอบครัวของตน ยูนอาก็กำลังเก็บข้าวของเครื่องใช้ของตนใส่กระเป๋าเตรียมย้ายออกไปจากห้องพัก เพราะงั้นที่ห้องพักในตอนนี้จึงเหลือเพียงแค่ทิฟฟานี่และซันนี่อยู่ด้วยกันเท่านั้น
      เวลาเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่วงหัวค่ำอย่างรวดเร็ว โต๊ะอาหารที่ปกติจะเต็มไปด้วยเหล่าเพื่อนๆ แต่ในครานี้กลับเหลือเพียงทิฟฟานี่อยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น บรรยากาศช่างเงียบเหงาและวังเวงยิ่งนัก
      .
      .
      .
      ทางด้านของยูนอาที่กำลังขับรถมาตามเส้นทางเรื่อยๆ ตามลำพัง บรรยากาศที่มืดสนิทของยามค่ำคืนท่ามกลางถนนที่ปล่าวเปลี่ยว มีเพียงแสงไฟที่คอยส่องสว่างตามถนนเท่านั้นที่เป็นเพื่อนร่วมทาง จังหวะเพลงที่เปิดฟังไปเรื่อยๆ ยังพอช่วยให้อุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง
      เธอเลี้ยวรถผ่านแยกนอนฮยอนและตรงมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะติดไฟแดงอยู่ที่แยกอีกแยกหนึ่ง ผู้คนที่เดินข้ามถนนสวนกันไปมาดังเช่นปกติ... หากแต่สิ่งที่ไม่ปกติที่แฝงตัวปะปนอยู่กับคนเหล่านั้นกำลังจ้องมองยูนอาอย่างเคียดแค้นโดยที่ยูนอาไม่ได้สังเกตเห็นเลย เธอยังคงวุ่นอยู่กับการสลับเปลี่ยนแผ่นเพลงอยู่อย่างนั้น
      สัญญาณไฟเขียวสว่างขึ้นพร้อมกับการหายไปอย่างไร้ร่องรอยของผีสาวตนนั้น ยูนอาขับรถเลี้ยวขวามาอีกทางซึ่งถนนเส้นนี้เป็นทางลัดที่จะมุ่งหน้าไปยังบ้านของเธอ แม้ว่ามันจะค่อนข้างมืด แต่มันก็ใกล้กว่าการที่ต้องอ้อมไปหลายกิโล เธอมองซ๊ายมองขวาก่อนที่จะเหยียบคันเร่งอีกครั้ง
      เพียงแต่เธอกลับลืมที่จะมองไปยังกระจกหลัง... ไม่อย่างนั้นเธอคงจะเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็นนั่งแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายอยู่หลังเธอไปแล้ว... ร่างนั้นหายไปเมื่อยูนอาเหลือบมองกระจกหลังและเห็นไฟหน้าของรถคันที่ขับตามมากระพริบใส่ นอกนั้นยังบีบแตรใส่อย่างบ้าคลั่ง โดยที่เธอก็ไม่รู้เลยว่าตนเองไปทำอะไรให้ไม่พอใจรึเปล่า...
      ปิ๊นนนนนนๆๆๆๆ !!!!!”
      เป็นอีกครั้งที่รถคันหลังบีบแตรใส่ และรีบขับแซงไปอย่างรวดเร็วสร้างความสับสนให้กับยูนอาไม่น้อย ไม่เพียงแต่รถที่วิ่งตามหลัง แม้แต่รถที่วิ่งสวนมาก็ยังคงทำแบบเดียวกับที่คันอื่นๆ ทำ
      ความหวาดกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นในหัวใจ เพราะตอนนี้เธอสามารถสัมผัสได้ถึงไอเย็นและบรรยากาศที่ดูแปลกไป อยู่ๆ ก็รู้สึกเสียวสันหลังขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเย็นวาบที่ต้นคออย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งขนอ่อนตามร่างกายก็ยังตั้งขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
      หากเธอได้ลองมองกระจกหลังดีๆ จะสังเกตเห็นเหมือนกับมีผมของคนกำลังเลื้อยยาวลงมาจากหลังคารถที่ละนิดๆ และเพราะมีบางสิ่งบางอย่างเกาะอยู่บนหลังคานั่นจึงเป็นสาเหตุว่าทำไมรถที่ขับสวนไปมาถึงได้บีบแตรใส่ โดยที่เธอนั้นไม่ได้รู้เรื่องเลย
      เธอพยายามสลัดความคิดแย่ๆ ออกจากหัว และคิดเสียว่าเพราะไอเย็นจากแอร์ที่ทำให้เธอรู้สึกหนาววูบๆ แบบนี้ เธอเลี้ยวรถตัดออกสู่ถนนอีกเส้นหนึ่งเพราะทางที่มันต่างระดับจึงทำให้เกิดการกระแทกเล็กน้อย แต่เพราะการกระแทกนั้นก็ทำให้ยูนอาถึงกับผวาขึ้นมาทันที เพราะมันเหมือนกับมีอะไรบางอย่างกระแทกอยู่บนหลังคาของรถ
      กึงงงงง !!!!
      เพราะเสียงที่อยู่ๆ ก็ดังขึ้นทำให้ยูนอาเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา เธอพยายามขับรถต่อไปเรื่อยๆ พยายามไม่คิดถึงเจ้าสิ่งที่เกาะอยู่บนหลังคา แต่เหมือนกับรู้ผีสาวตนนั้นจึงค่อยๆ คลานให้เกิดเสียงดังหนักขึ้นหนักขึ้น น้ำตาแห่งความหวาดกลัวไหลรินออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือที่เกาะกุมพวงมาลัยอยู่เริ่มสั่น แค่จะประคองสติให้อยู่ในตอนนี้ก็ยากพอแล้ว ไหนจะต้องประคองรถเอาไว้ด้วย มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยสำหรับยูนอาที่กำลังสั่นเทาเพราะความกลัวในตอนนี้
      ผมดำยาวที่ถูกกระแสลมตีเข้ามาปลิวไสวอย่างน่าสยดสยอง เส้นผมที่ถูกกระแสลมตีลงมาปิดกระจกหน้าเริ่มทำให้ยูนอากลัวจนอยากจะกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง ณ. จุดนี้ มันเกินกว่าการที่เธอจะรับไหวจริงๆ ใจหนึ่งก็อยากจะหลับตา แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น น้ำตาไหลทะลักออกมาหนักขึ้นจนมือไม้เริ่มสั่นและรถเริ่มจะวิ่งไม่ตรงเลน
      ทันทีที่ส่วนหัวยื่นลงมาและแสยะยิ้มให้อย่างน่าสยดสยอง ยูนอาก็จัดการเหยียบเบรกจนมิดด้วยความตกใจกลัว
      เอี๊ยดดดดดดดด !!!!!
      จนผีสาวตนนั้นหลุดกระเด็นออกจากรถไป ร่างนั้นกระแทกกับพื้นอย่างแรงและกลิ้งห่างออกไปก่อนที่จะหยุดลง มันจ้องกลับตรงมาทางยูนอาด้วยสายตาอันเคียดแค้น พร้อมกับค่อยๆ ดันร่างเพียงครึ่งตัวพยายามจะลุกขึ้น ยูนอาที่กลัวจนตั้งสติไม่อยู่ตัดสินใจเหยียบคันเร่งจนมิด
      เธอหลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัวกระทั่งรถเก๋งของเธอขับบี้ร่างของผีสาวตนนั้นไปเต็มๆ
      กร๊อบบบบบ !!!!
      เสียงที่เหมือนกับกระดูกถูกป่นละเอียดดังขึ้นอย่างชัดเจน เลือดสีแดงเข้มจนออกดำสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งพื้นถนน เศษร่างของผีสาวตนนั้นถูกบี้จนแหลกละเอียดคาล้อ
      ยูนอาที่คิดว่าตนเองรอดแล้วจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ เบื้องหน้าไม่มีอะไรขวางอยู่อีกแล้วด้วยความดีใจเธอจึงหลุดยิ้มออกมา พลันสายตาเหลือบไปเห็นสภาพของผีสาวตนนั้นที่เพิ่งจะเหยียบมาจนแหลกเละนั่งอยู่ข้างๆ กะโหลกศีรษะแหลกละเอียด ดวงตาถลนออกมาจากเบ้า
      รอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัวปรากฏขึ้นอีกครั้งบนใบหน้าของผีสาวตนนั้น
      .
      .
      .
      กรี๊ดดดดดดดดดดดดดด !!!!!!!!!!”



      + + Day 5 : Hyoyeon + +
       
      ทางด้านของฮโยยอนที่กำลังเดินดูดน้ำมาเรื่อยๆ ตัดสินใจนั่งลงที่ม้านั่งตัวหนึ่งพร้อมกับวางกระเป๋าและข้าวของลงข้างตัว และเอนศีรษะลงกับที่พิงเบาๆ พร้อมกับหลับตาลงอย่างเหนื่อยๆ
      กระแสลมที่พัดผ่านไปมาทำให้ใบไม้นั้นเริ่มปลิวไหว หากแต่ความรู้สึกเย็นวูบแบบแปลกๆ เมื่อครู่นี่มันอะไรกันนะ ? ฮโยยอนหันไปมองทางต้นลมสักพัก แต่สิ่งที่เห็นก็ไม่มีอะไรอื่นนอกจากความมืด หลังจากที่นั่งพักมานานพอสมควรแล้ว ฮโยยอนจึงค่อยๆ ลุกขึ้นอีกครั้งและก้มไปหยิบของเตรียมจะก้าวเดินต่อ
      ทันทีที่ลุกกลับปรากฏว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ตรง ณ. จุดนั้น จุดเดียวกับที่ฮโยยอนนั่งเมื่อครู่นี้เลย ส่วนหัวค่อยๆ หันมองตามฮโยยอนไปอย่างช้าๆ จนคอนั้นแทบจะหมุนได้รอบทิศ รอยยิ้มน่าเกลียดน่ากลัวค่อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผีสาวตนนั้น เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องอยู่ ฮโยยอนจึงหยุดเดินและลองหันกลับไปยังจุดที่ตัวเองเพิ่งจะลุกขึ้นมาเมื่อครู่
      “…”
      หากแต่สิ่งที่พบกลับไม่มีอะไร เธอจึงหันกลับและก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง สิ่งๆ นั้นยังคงอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน สายตายังคงจดจ้องไปที่ฮโยยอนอย่างไม่กระพริบ
      เธอเดินมาหยุดอยู่ที่สัญญาณไฟจราจรและเตรียมที่จะข้ามถนนดังเช่นปกติ เบื้องหน้าหญิงสาวผมยาวสีดำกำลังยืนก้มหน้าอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม แต่ฮโยยอนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เธอเพียงแค่ก้มลงไปเก็บของที่หล่นลงกับพื้นและลุกขึ้นมาอีกครั้ง ปรากฏหญิงสาวคนนั้นกลับหายไปจากสายตาแล้ว ทั้งๆ ที่ฝั่งตรงข้ามเป็นถนนยาวไม่มีตรอกซอกซอย แล้วผู้หญิงคนนั้นไปไหนแล้ว ?
      หรือว่าเราจะตาฝาดไปเอง… ?
      .
      .
      .
      เธอพยายามจะไม่คิดอะไรและก้าวเดินต่อไป แต่ราวกับทุกฝีก้าวเหมือนมีใครกำลังจับตาดูอยู่ ทุกครั้งที่หยุดเดินและหันกลับมา หรือมองไปยังทางที่รู้สึกว่ามีคนมอง แต่เธอก็มองไม่เห็นอะไรอยู่เลย ความกดดันและความน่ากลัวทวีความรุนแรงขึ้นทีละน้อยๆ จากความรู้สึกที่เหมือนกับถูกคนมองแปลเปลี่ยนเป็นเสียงฝีเท้าที่เดินตามหลังมา
      กึกกึกกก
      ทันทีที่ฮโยยอนหยุดเดินเสียงนั้นก็หยุดตามไปด้วย ฮโยยอนตัดสินใจหันกลับไปอีกครั้งและสิ่งที่เห็นก็ยังคงเหมือนเดิมคือความว่างเปล่า แต่เธอยังมีสติดีและรู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่ เธอได้ยินเสียงฝีเท้านั้นจริงๆ ไม่ได้หูฝาดแน่ๆ เธอลองตัดสินใจเดินถอยหลังดูบ้าง เพราะอยากรู้ว่าจะมีอะไรอยู่อีกหรือไม่
      กึกก
      กึกกก
      ไร้ซึ่งเสียงฝีเท้าของใครอีกคน ฮโยยอนจึงคิดว่าเธอหูแว่วไปเองจึงพลิกตัวกลับและก้าวเดินต่อไปอีกครั้ง อยู่ๆ สายลมกระโชกก็พัดเข้ามาอย่างแรงคล้ายพายุเข้า เธอรู้สึกเย็นวูบจนเสียวไปทั้งสันหลังมันไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีแน่ๆ ในบรรยากาศแบบนี้ เธอเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นกว่าเดิม โดยพยายามไม่สาในว่าอะไรจะตามหลังมาอีกแล้ว จากการเดิมเริ่มเปลี่ยนเป็นการวิ่งและยังเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ อีกด้วย
      .
      .
      .
      สุดท้ายเพราะฝืนวิ่งมานานในที่สุดร่างกายก็ถึงขีดจำกัด ฮโยยอนถึงกับหมดเรี่ยวแรงและทรุดนั่งลงกับพื้น หัวใจเต้นถี่รัวหอบหายใจอย่างเหนื่อยเหน็ด เม็ดเหงื่อเปียกชุ่มจนเหมือนกับเพิ่งจะไปตากฝนมา เรี่ยวแรงไม่เหลือเลยแม้แต่จะขยับกาย
      แฮ่กกๆๆ
      RRRRRRR… RRRRRRRRRRR…
      เพราะเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ฮโยยอนถึงกับสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เธอหยิบเอาโทรศัพท์ที่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าออกมา ก่อนที่จะกดรับและพูดขึ้น
      แฮ่กๆนี่ ฮฮโยแฮ่กๆ ยอนพูด
      /ฮือๆ/
      สิ่งแรกที่ได้ยินคือเสียงร้องไห้ที่ดังมาจากปลายสาย เธอจำมันได้ดีว่าเป็นเสียงของทิฟฟานี่เพื่อนสาวของเธอ แต่ทำไมยัยนั่นถึงเอาแต่ร้องไห้ล่ะ ? หรือว่ามีใครเป็นอะไรอีก ?
      เกิดเกิดอะไรขขึ้น !?”
      /ยุนฮือๆ/
      ทำไมฟานี่เกิด เกิดอะไรขึ้นกับ ยัยนั่น… ?”
      /…/
      สิ่งที่ฮโยยอนได้ยินแทบจะทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้นไปเลยทีเดียว เรี่ยวแรงที่แทบไม่เหลืออยู่แล้วกลับยิ่งไปกนใหญ่ กระทั่งโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นค่อยๆ ร่วงหลุดลงจากมือราวกับเป็นภาพสโลว์โมชั่น
      /ระ…/
      /วัง…/
      /ตัว…/
      /ด้ว…/
      โทรศัพท์ที่ตกกระแทกพื้นนั้นแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ แม้แต่ประโยคสุดท้ายที่ทิฟฟานี่เพื่อนสาวกล่าวเตือนเธอก็ไม่ได้ยิน เธอยังคงช็อคอยู่กับเรื่องของยูนอาทั้งๆ ที่เพิ่งจะแยกจากกันเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ กลับต้องมาจบชีวิตลงเพราะอุบัติเหตุรถที่ขับมาพลิกคว่ำ
      ยูนอาตายแล้ว…’
      ข้อความดังกล่าวยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ราวกับตัดขาดจากโลกภายนอก สติเหมือนกับหลุดลอยออกจากร่างไป เวลากลับมาเริ่มต้นเดินต่อดังเดิมอีกครั้งเมื่อน้ำตาหยดแรกตกลงกระทบพื้นและแตกกระจายออกเป็นเม็ดเล็กๆ
      .
      .
      .
      แปะ
      ความรู้สึกเสียวสันหลังและเย็นวาบบริเวณต้นคอกลับมาพร้อมๆ กับความรู้สึกที่เหมือนกับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเธออยู่ สิ่งนั้นมันคืออะไรกันแน่และมันต้องการอะไรจากเธอ หรือจากเพื่อนๆ ของเธอ ? ฮโยยอนหันกลับไปมองทางด้านหลังอีกครั้ง สิ่งที่เธอพบเบื้องหน้านั้นไม่มีอะไรแต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นไปบนเสาไฟที่ส่องสว่างอยู่เบื้องบน เธอก็ต้องช็อคสุดขีดเมื่อพบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดเสานั้น สายตาจ้องเขม็งมายังเธอราวกับต้องการจะเอาเลือดเอาเนื้อ
      และที่สำคัญที่สุดเธอคนนั้นกลับมีเพียงร่างกายเพียงส่วนบนเท่านั้นเหมือนดั่งที่ซันนี่ได้เล่าเอาไว้
      ซันนี่งั้นเหรอ… ?
      เมื่อนึกไปถึงชื่อของเพื่อนสาว เรื่องผีที่ซันนี่ได้เล่าให้ฟังก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
       
      ถ้าใครได้ยินเรื่องนี้แล้วผีตัวนั้นจะมาตามเอาขาไป…’
       
      ครั้งแรกที่คิดว่าเป็นเรื่องเล่นๆ แต่เมื่อได้เจอแบบนี้ เรี่ยวแรงมันไม่เหลือเลย ฮโยยอนได้แต่นั่งร้องไห้อยู่ตรงนั้นโดยมิได้ขยับ มีเพียงน้ำตาแห่งความหวาดกลัวเท่านั้นที่ไหลรินออกมา สติเหมือนกับหลุดออกไปจากร่าง และเพราะความเหนื่อยหอบที่สะสมมา จึงไม่สามารถจะก้าววิ่งไปไหนได้อีก
      ผีสาวตนนั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างน่าเกลียดน่ากลัว
      ฮโยยอนพยายามรวบรวมแรงที่อาจจะเหลืออยู่เพื่อขยับหนีออกมาจากตรงนั้น ผีสาวตนนั้นหายไปจากสายตา ก่อนที่มันจะปรากฏตัวอีกครั้งที่พื้นระดับเดียวกันห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร
      ครืดดดดครืดดดดดดด
      อย่าอย่านะ !!!”
      ขา
      ไม่เอานะ !! ไม่ !!!”
      เธอพยายามตะเกียกตะกายให้พ้นออกมาจากสถานการณ์ตรงนั้น ข้าวของถูกขว้างใส่อย่างบ้าคลั่งโดยไม่สนว่ามันคืออะไร โดยที่ผีสาวตนนั้นก็ยังคงคลานเข้ามาต่ออย่างไม่สาทกสะท้าน ฮโยยอนจึงดันตัวลุกขึ้นเตรียมจะวิ่งแต่เพราะมือที่คว้าเข้าที่ข้อเท้านั้นทำให้เล็บที่จับอยู่จิกฝังเข้าไปโดนเอ็นร้อยหวายจนขาด เลือดสีแดงสดพุ่งพรวดออกมาราวกับท่อประปาแตกเลยทีเดียว ตามมาติดๆ ด้วยเสียงกรีดร้องอันโหยหวนของฮโยยอน
      กรี๊ดดดดดดดด !!!!!!”
      ขาเอา ขาของช้านมาาาาาาา…”
      ฮือๆๆปล่อยชั้นนะ ปล่อยยย !!!”
      ฮโยยอนใช้ขาอีกข้างถีบเข้าที่กลางแสกหน้าของผีตนนั้นเต็มๆ จนมือข้างนั้นหลุดออกสร้างบาดแผลลึกจนน่ากลัว แม้ว่าพยายามจะลุกเดิน แต่ขากลับใช้งานไม่ได้ มันอ่อนปวกเปียกและไร้สิ้นเรี่ยวแรง แค่ยืนตรงยังมิอาจทำได้
      ขาของชั้น เอามาาาาาาาาาา !!!!”
      ฮโยยอนพยายามลากตัวเองเลือกที่จะขึ้นบันไดข้ามรางรถไฟไปยังอีกฝั่ง เลือดสีแดงสดยังคงพุ่งกระฉูดเป็นทางยาวลากตามขาของเธอมาเรื่อยๆ เธอหันหลังกลับไปดูปรากฏผีสาวตนนั้นหายไปจากสายตาแล้ว กลับกลายเป็นว่ามันมาโผล่อยู่ด้านหน้าและแสยะยิ้มออกมาอีกครั้ง
      เสียงแตรจากรถไฟดังขึ้น แสงไฟส่องใกล้เข้ามาเรื่อยๆ มันชะลอความเร็วลงเพราะเตรียมเทียบเข้ากับชานชาลา เลยจากจุดที่พวกเธออยู่ไปไม่ไกลนัก เพียงแค่ไม่กี่ 10 เมตร
      ผีตนนั้นจับขาของฮโยยอนเอาไว้และค่อยๆ ปีนร่าของเธอขึ้นมารอยยิ้มน่าเกลียดน่ากลัวสะท้อนอยู่บนดวงตาที่เบิกโพลงของฮโยยอน เนื้อตัวสั่นจนสติหลุดลอยออกไปจากร่าง พร้อมๆ กับที่ทั้งตัวเธอและผีสาวตนนั้นจะพลัดตกลงมาบนรางรถไฟด้วยกันทั้งคู่และ !!!!!
      .
      .
      .
      "ม่ายยยยยยยยยยยยย !!!!!!"



      + + Day 6 : Tiffany + +
       
      ช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง ทิฟฟานี่รู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งเพราะความรู้สึกหนาววูบบริเวณปลายขาจนเธอต้องดึงมันกลับขึ้นมาและไขว้กันเอาไว้อาศัยอุณหภูมิจากขาอีกข้างหนึ่งช่วยให้มันหายเย็น แต่กับความรู้สึกที่เหมือนกับมีใครกำลังจ้องอยู่แถวปลายเตียงเริ่มทำให้หัวใจของเธอเต้นรัวและเร็วขึ้นมาอีกครั้ง
      เธอพยายามที่จะข่มตาเอาไว้ไม่ให้มันลืมขึ้นมาเพราะความกลัว แต่อีกใจหนึ่งเธอก็อยากจะรู้ว่ามันคืออะไร อาจจะเหมือนกับหลายต่อหลายคน ที่แม้ว่าจะกลัวแต่ก็ยังอยากรู้ว่ามันคืออะไร ความรู้สึกดังกล่าวเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินเสียงข้าวของในห้องนั้นขยับ แต่นั่นก็ไม่เท่ากับการที่เตียงนอนของเธอบริเวณที่ว่างอยู่ยุบลงไปเหมือนกับมีใครมานั่งอยู่ข้างๆ
      “…”
      แบบนี้ไม่เอานะ
      ทิฟฟานี่คิดในใจและพยายามจะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวเอาไว้อย่างกลัวๆ ร่างนั้นขยับสร้างความหวาดผวาให้กับทิฟฟานี่มากยิ่งขึ้น จนน้ำตาแทบจะไหลออกมาอยู่แล้ว เสียงสะอื้นในลำคอถูกข่มเอาไว้ไม่ให้เล็ดลอดออกมา เนื้อตัวเริ่มสั่นเพราะความกลัวความหนาวเย็นแผ่กระจายไปยังทั่วร่างจนขนอ่อนตามร่างกายลุกตั้งขึ้น
      แกร่กกกก…. แกร่กกกกกกก
      เสียงที่เหมือนกับใครกำลังเอาเล็บตะกุยอยู่ที่ประตูห้องทำให้น้ำตาแห่งความกลัวไหลรินออกมาในที่สุด ความรู้สึกในตอนนี้มันไม่สามารถที่จะควบคุมเอาไว้ได้อีกแล้ว เพราะแต่เดิมแล้วเธอเป็นคนที่อ่อนไหวกับเรื่องประเภทนี้มาก ดึกๆ หากได้ยินเสียงอะไรเข้าก็ทำให้เธอคิดไปนู่นไปนี่จนแทบไม่เป็นอันนอนอยู่แล้ว
      เสียงปริศนาที่ดังอยู่เมื่อครู่อยู่ๆ ก็เงียบหายไปกลับมาสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ทิฟฟานี่พลิกตัวหันหน้าเข้ากับกำแพงดึงเอาตุ๊กตามิ๊กกี้เมาส์เข้ามากอดเอาไว้จนแน่นและซุกใบหน้าเข้ากับตุ๊กตาตัวนั้น ความรู้สึกหวาดผวายังคงเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ จนแทบจะทำให้เธอเป็นบ้า
      ไม่เอานะแบบนี้ฮือๆ แทแทช่วยฟานี่ด้วย
      .
      .
      .
      จิ๊บๆ จิ๊บบ…”
      ไม่รู้ว่าเช้าตั้งแต่เมื่อไร และเธอผล็อยหลับไปได้ยังไง แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาในห้องอย่างน้อยก็ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง เพราะเธอสามารถผ่านพ้นค่ำคืนที่แสนจะน่ากลัวมาได้แล้วค่ำคืนที่เหมือนกับเป็นฝันร้ายสำหรับเธอ ทิฟฟานี่ลุกขึ้นจากเตียงและลองมองไปยังรอบๆ ห้อง ข้าวของต่างๆ ยังคงเหมือนเดิมหากแต่บางอย่างเท่านั้นที่มันไม่ได้อยู่ที่เดิม ราวกับมีใครมาเปลี่ยนที่มัน
      เธอพยายามสลัดเอาความคิดดังกล่าวออกไปและรีบเดินออกมาจากห้อง ทันทีที่ผ่านหน้าห้องของซันนี่ กลิ่นอับรุนแรงก็เริ่มโชยลอดออกมาจากช่องว่างใต้ประตู
      “…”
      ด้วยความสงสัยจึงทำให้ทิฟฟานี่เอื้อมมือมาจับยังลูกบิดและลองบิดจะเปิดเข้าไปอีกครั้ง แต่ผลก็ยังคงเหมือนๆ เดิมเพราะประตูนั้นยังคงถูกล๊อคเอาไว้ ซึ่งพอลองดมดูดีๆ สิ่งที่แฝงอยู่ในกลิ่นอับที่โชยออกมามันเหมือนกับมีกลิ่นเน่าเหมือนกับอะไรตายอยู่ด้วย
      ซันนี่ !!”
      ก๊อกๆ ก๊อก !!!
      พร้อมกับเริ่มลงมือเคาะประตูไปด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงไม่มีวี่แววว่าเพื่อนสาวของเธอจะยอมเปิดประตูออกมาเลย เธอที่พยายามจะทุบอีกครั้ง แต่อยู่ๆ ประตูกลับเปิดอ้าออก ทิฟฟานี่จึงชักมือลงและมองดูซันนี่ที่ยืนอยู่เบื้องหน้าของตน
      เธอทำอะไรอยู่ในนี้กันแน่ซันนี่ ?”
      น่าแปลกที่กลิ่นอับเมื่อครู่กลับหายไปแล้วหรือว่าเพราะเปิดประตูออกมาให้อากาศถ่ายเท ?
      เธอทำให้ชั้นเป็นห่วงมากเลยรู้มั๊ยซันนี่ วันๆ เธอทำอะไรบ้างนอกจากขังตัวเองอยู่ในห้องแบบนี้เนี่ย !?”
      ทิฟฟานี่โวยใส่พร้อมกับเดินเข้าไปยังด้านในห้อง ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เธอเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ที่โต๊ะเครื่องแป้งโดยที่ซันนี่นั้นเดินมานั่งลงที่ขอบเตียงของตน สีหน้าของเธอดูเศร้าลงแปลกๆ
      เธอเป็นอะไรรึเปล่าน่ะซันนี่… ?”
      ทิฟฟานี่กล่าวถามขึ้นพร้อมกับลุกเดินเข้าไปหา ซึ่งสาวร่างเล็กก็ได้แต่เพียงร้องไห้ออกมาเท่านั้น เธอเอื้อมมือไปจะคว้าตัวของซันนี่เข้ามากอด แต่เพราะการที่มือของเธอทะลุตัวเพื่อนสาวไปทำให้ทิฟฟานี่รู้สึกตกใจไม่น้อย พระเจ้าช่วยทำไม… ?
      ทำทำไม ?”
      ซันนี่ยังคงร้องไห้ต่อไปไม่หยุด ทิฟฟานี่ชักมือกลับพร้อมกับเริ่มเขยิบถอยหลังออกไป ซันนี่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง หากแต่คราวนี้เธอกลับได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างชัดเจนจนแทบอยากจะอ้วก สายตายังคงจับจ้องอยู่ที่ร่างของซันนี่ตรงหน้า
      ถึงแม้ว่าเธอจะยังคงอยู่ในสภาพแบบเดิม แต่ตอนนี้ทิฟฟานี่ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมซันนี่ถึงไม่ยอมออกไปข้างนอก และกลิ่นเหม็นเน่านี้คืออะไร และทำไมเธอถึงไม่สามารถจับต้องตัวของซันนี่ได้
      ก็เพราะเธอตายไปแล้วยังไงล่ะแล้วที่ผ่านๆ มาเราใช้ชีวิตอยู่กับคนที่ตายไปแล้วน่ะเหรอ ?
      ชั้นขอโทษฟานี่ฮือๆ
      ก่อนที่สภาพของซันนี่จะค่อยๆ เปลี่ยนไป เนื้อตัวเริ่มเปลี่ยนไปเป็นศพดูน่าสะอิดสะเอียนและน่าเกลียดน่ากลัว ไฟดับลงไปวูบหนึ่งก่อนที่จะติดขึ้นมาอีกครั้ง และสิ่งที่เห็นอยู่กลางห้องก็แทบจะทำให้ทิฟฟานี่กรีดร้องออกมา เพราะมันคือร่างของซันนี่ที่ห้อยอยู่กับโคมระย้า ร่างนั้นหมุนกลับมาหาทิฟฟานี่สภาพของซันนี่ในตอนนี้ทำให้ทิฟฟานี่หวาดกลัวจนตัวสั่น
      ชั้นขอโทษ…”
      กรี๊ดดดดดดดดดดด !!!!!!”
      เธอแหกปากร้องลั่นจนสุดเสียงก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
      .
      .
      .
       
      ทิฟฟานี่รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากหมดสติไปนานพอสมควร เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับแสงสีขาวสว่างจ้าจนแสบตา ก่อนที่จะค่อยๆ ดันตัวลุกขึ้นนั่ง สายตาพยายามปรับสภาพก่อนี่จะมองไปยังบริเวณรอบๆ ตัว เพียงแค่สายน้ำเกลือที่ห้อยอยู่ข้างๆ ก็ทำให้เธอรู้แล้วว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน
      แกร๊กก
      ประตูห้องถูกเปิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของซอฮยอน เธอวิ่งตรงเข้ามานั่งลงที่ข้างเตียงน้ำตาไหลรินออกมาเป็นสาย เพราะตอนนี้คนที่เธอรู้จักนั้นทยอยตายกันไปเกือบจะหมดแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่เธอและทิฟฟานี่เพียงสองคนเท่านั้น เด็กสาวซบใบหน้าเข้ากับอกอิ่มของพี่สาวและปล่อยโฮออกมา ทิฟฟานี่เองก็เช่นเดียวกัน
      ทั้งคู่ใช้เวลาอยู่ด้วยกันและพยายามจะคิดหาทางออกจากเรื่องดังกล่าว ซอฮยอนที่เล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้กับทางครอบครัวของเธอฟัง ทั้งคู่ก็พาเธอไปหาซื้อเครื่องรางสำหรับกันภูตผีมาห้อยติดตัวเอาไว้ แม้ว่าพวกตนจะไม่ค่อยเชื่อก็ตามว่าหากได้ยินเรื่องผีเรื่องนึงแล้ว ผีตนนั้นจะมาตามเอาขาไป ทั้งคู่เชื่อในเรื่องของหลักวิทยาศาสตร์มาตลอดแต่เพราะลูกสาว จึงได้พาซอฮยอนไปหาซื้อเครื่องรางมากันเอาไว้
      เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้พวกตนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา
      .
      .
      .
      วันเวลาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วกระทั่งเข้าสู่ช่วงดึกของวัน ซอฮยอนที่กลับไปตั้งแต่ช่วงหัวค่ำจึงเหลือแต่เพียงทิฟฟานี่ที่อยู่ตามลำพังเท่านั้น พยาบาลสาวที่เพิ่งจะเดินออกไปจากห้องก็ได้ปิดไฟเอาไว้ เหลือแต่โคมไฟตั้งโต๊ะข้างเตียงเท่านั้น กระทั่งเธอผล็อยหลับไปนานเท่าไรไม่รู้จนมารู้สึกตัวอีกทีคือได้ยินเป็นเสียงเหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังเคลื่อนที่ผ่านประตูไปมา
      มันเหมือนกับใครกำลังลากอะไร
      ครืดดดดดดครืดดดดดดดดดด
      เสียงนั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนเหมือนกับจะหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้อง
      แกร๊กก
      เสียงประตูถูกเปิดออกเบาๆ ทิฟฟานี่ที่รู้สึกกลัวไม่น้อยดึงเอาผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวจนมิด พยาบาลสาวที่เป็นเวรรอบดึกถึงกับยิ้มออกมาน้อยๆ ก่อนที่จะพูดขึ้น
      ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะคุณฮวังดิฉันมาตรวจความเรียบร้อยรอบดึกน่ะค่ะ
      เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึงค่อยๆ คลายผ้าห่มออก พยาบาลสาวคนนั้นยิ้มให้เธออีกครั้ง ก่อนที่จะเข็นเอารถอุปกรณ์ของตนเข้ามาใกล้ๆ และทำการเปลี่ยนน้ำเกลือที่ห้อยอยู่นี้
      คืนนี้นอนพักผ่อนให้สบายนะคะ
      เธอพูดและยิ้มให้อีกครั้งก่อนที่จะเข็นรถนั้นออกไปปล่อยให้ทิฟฟานี่อยู่ตามลำพัง ?
      หากแต่อยู่ๆ ความรู้สึกเย็นวาบจนเสียวสันหลังก็ตรงเข้ามาจู่โจมเธออีกครั้ง และเธอก็ต้องตกใจแบบสุดขีดเมื่อพบว่าตนไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง แต่กลับมีผีสาวอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย รอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมันอีกครั้ง
      แม้ว่าพยายามจะร้องให้คนช่วย แต่เสียงนั้นกลับหายไปอย่างดื้อๆ ผีสาวตนนั้นค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาหาเธออย่างช้าๆ ปลายขารู้สึกเย็นเฉียบร่างกายไม่สามารถขยับไปไหนได้ราวกับถูกจับเอาไว้ น้ำตาไหลออกมาจนเปียกหมอนด้วยความหวาดกลัวจนสุดขีด
      ใบหน้าที่เลื่อนเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ เผยให้เห็นภาพที่ไม่อยากจะเห็นเป็นที่สุดในชีวิต ท่าทางหวาดกลัวของทิฟฟานี่ทำให้ผีสาวตนนั้นฉีกยิ้มให้กว้างยิ่งขึ้นราวกับชอบใจ
      ขาขาของชั้น…”
      ฮือๆ
      เสียงสะอื้นค่อยๆ กลับมาอีกครั้ง ผีสาวตนนั้นเอื้อมมือไปจับขาของทิฟฟานี่เอาไว้และออกแรงเหมือนจะดึงให้มันขาดออกจากกัน นั่นจึงทำให้หญิงสาวตายิ้มกรีดร้องลั่นด้วยความหวาดกลัว
      ขาเอาคืนมา…”
      นี่นี่มันขาชั้น !!”
      เธอตะโกนออกไปด้วยความหวาดกลัวและพยายามจะดิ้นให้หลุด เธอรู้สึกได้ถึงแรงที่ถูกผ่อนออกเหมือนกับผีตนนั้นจะชะงักไปชั่วครู่
      ขาชั้น ไม่ใช่ขาเธอ !!”
      ที่นี่ไม่มีขาของเธอ !!!”
      เธอตะโกนออกไปทั้งน้ำตาที่ไหลรินคิดว่าตนเองก็คงจะไม่รอดเสียแล้ว หากแต่ผีสาวตนนั้นกลับยืนอยู่เฉยๆ ใบหน้าไม่ได้แสยะยิ้มดังเก่ามันแน่นิ่งคล้ายกับคนผิดหวัง ก่อนที่ผีสาวตนนั้นจะค่อยๆ หายไป
      ปึงงง !!
      ประตูห้องถูกเปิดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของพยาบาลสาวคนเมื่อครู่ เพราะเสียงกรีดร้องของทิฟฟานี่จึงสร้างความแตกตื่นและตกใจให้กับเธอจนต้องรีบวิ่งกลับมาดู
      เกิดอะไรขึ้นคะคุณฮวัง ! ใจเย็นๆ ไว้ก่อนนะคะ !!”
      แม้จะถามอะไรเธอก็ได้แต่ส่ายหน้าเท่านั้น ทางแพทย์จึงลงความเห็นว่าเธอคงจะฝันร้ายไปเท่านั้น หากแต่สิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อครู่สำหรับเธอมันไม่ใช่ความฝันแน่ๆ เพราะรอยช้ำที่เกิดขึ้นบริเวณข้อเท้าเหมือนกับถูกบีบเอาไว้อย่างแรงจนห้อเลือด นั่นคือสิ่งๆ เดียวที่ยืนยันได้ว่า
      มันไม่ใช่ความฝันอย่างแน่นอน
      .
      .
      .
      แล้วซอฮยอนล่ะ ?



      + + Day 7 : Seohyun + +
       
      ทางด้านของซอฮยอนหลังจากที่กลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว เธอก็ตรงกลับมาบ้านและหลังจากที่ทำธุระอะไรต่างๆ เสร็จ เธอก็ขึ้นนอนทันที ถุงเครื่องรางนั้นถูกห้อยไว้กับคอติดตัวเอาไว้ตลอดไม่ไปไหน เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้เธอรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาได้บ้าง แม้ว่าจะไม่เต็ม 100% ก็ตาม
      สายลมที่พัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบริเวณหัวนอนยังคงพัดเข้ามาเป็นระลอกๆ บรรยากาศกำลังเย็นสบายเหมาะแก่การหลับฝันเป็นที่สุด เธอพลิกตัวกลับมานอนหงายเอาไว้โดยนำตุ๊กตาสิบตรีตัวโปรดขึ้นมากอดเบาๆ
      วิ้ววววว
      สายลมนั้นพัดมาอีกครั้ง หากแต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเย็นยะเยือกอย่างผิดปกติ โดยเฉพาะส่วนลำคอขึ้นมาถึงศีรษะ มันรู้สึกเย็นแปลกๆ แฮะเธอนึกในใจแต่ก็ไม่คิดอะไร เพียงแค่ดึงผ้าขึ้นมาคลุมเอาไว้เท่านั้น แต่หารู้ไม่เลยว่าที่อากาศมันเย็นลงเพราะมีบางอย่างกำลังจ้องมองเธออยู่ที่นอกหน้าต่างนั้น
      ส่วนหัวค่อยๆ โผล่เข้ามาทางหน้าต่างอย่างช้าๆ สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าที่ยังคงหลับอยู่ของซอฮยอน เด็กสาวที่นอนอยู่รับรู้ได้ถึงสายตาของใครบางคนที่เหมือนกับกำลังจ้องตัวเองอยู่ อีกทั้งขนทั้งตัวกลับตั้งขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันรู้สึกหวิวแปลกๆ และเย็นยะเยือกจนขนลุก แต่เหมือนกับมีอะไรบางอย่างมาฝืนเอาไว้ราวกับไม่อยากให้ลืมตาขึ้นมา สัญชาตญาณเตือนเหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล...
      เส้นผมสีดำยาวค่อยๆ ยืดยาวลงมาเรื่อยๆ จนแทบจะสัมผัสกับใบหน้า แต่เพราะถุงเครื่องรางที่เธอห้อยเอาไว้ทำให้ตนต้องผงะออกมาทันที สายตายังคงจับจ้องมองไปยังเด็กสาวที่หลับอยู่อย่างแค้นเคือง แม้ว่าจะพยายามเข้าใกล้ยังไง แต่ตนก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
      .
      .
      .
      ค่ำคืนผ่านพ้นไปจนเข้าสู่ช่วงเช้าของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ ที่สาดส่องเข้ามากระทบกับเปลือกตาบางๆ ทำให้ซอฮยอนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาและบิดขี้เกียจน้อยๆ เธอหันไปมองดูบานหน้าต่างที่เปิดอ้าเอาไว้ทางหัวนอน ม่านยังคงปลิวไหวเข้ามาตามแรงลม
      “…”
      เธอลุกขึ้นและบิดขี้เกียจอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกจากห้องลงไปยังชั้นล่าง เพื่ออาบน้ำล้างหน้าทำธุระส่วนตัวของตน ประตูถูกปิดลงเบาๆ โดยมีหน้าต่างบานนั้นเป็นฉากหลังและหากว่าเธอได้ลองสำรวจมันดีๆ จะพบรอยนิ้วมือของใครที่ไม่ต้องการจะเจออยู่ด้วย
      ซอฮยอนเดินลงมายังชั้นล่างของตัวบ้านเช่นดังปกติ น่าแปลกที่วันนี้กลับไม่เห็นวี่แววของผู้เป็นพ่อหรือแม่เลย ทั้งบ้านเงียบสนิทจนดูวังเวง เธอก้าวลงบันไดต่อมาโดยไม่คิดอะไร กระทั่งเหลือบไปเห็นแผ่นโน๊ตสีเหลืองติดเอาไว้ที่ประตูตู้เย็น ซอฮยอนเอื้อมมือไปดึงมันออกมาและอ่านอย่างตั้งใจ
       
      ถึงจูฮยอนวันนี้พ่อกับแม่ต้องไปธุระที่บ้านย่า อาจจะกลับดึกสักหน่อย อาหารอยู่ในตู้ถ้าหิวก็เวฟได้ ปล. หวังว่าเงินที่ให้ไว้คงจะพอใช้นะจ๊ะ
       
      พร้อมกับเหลือบหันไปมองดูบนโต๊ะอาหาร เงินจำนวนหนึ่งถูกวางทับเอาไว้โดยจานใส่ผลไม้ เด็กสาวเอื้อมไปหยิบมันมาและใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ พร้อมกับถือเอาแอปเปิ้ลติดมือมาด้วยอีกลูกหนึ่ง พลันสายตาเหลือบไปเห็นซองจดหมายสีขาวที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโต๊ะ ซอฮยอนเดินไปและหยิบขึ้นมาดู
      ไหนแม่บอกว่าจ่ายค่าโทรศัพท์แล้วไงคะ เธอมองดูใบระงับการใช้โทรศัพท์ที่ถืออยู่ในมือสักพัก ก่อนที่จะนำมันมาวางไว้บนลิ้นชักและไปทำธุระอย่างอื่นต่อ
      .
      .
      .
      วันเวลายังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ซอฮยอนยังคงนั่งเล่นเปียโนอยู่ตามลำพังอย่างสบายอารมณ์ในห้องนั่งเล่นของเธอ ท่วงทำนองอันไพเราะทำให้เธอมีความสุขราวกับกำลังท่องอยู่ในโลกแห่งท่วงทำนองของดนตรีจนลืมเรื่องอะไรต่างๆ ออกไปจนหมด
      เธอวางมือจากเปียโนตัวนั้นและเปลี่ยนความสนใจไปที่ตู้เย็นแทนเพราะเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมา ซอฮยอนจึงเดินเข้ามาในครัวและเปิดตู้เย็นมองหาอะไรทานดังเช่นปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติก็คือมันเหมือนกับมีอะไรผ่านหลังเธอไป
      “…”
      เธอทำเป็นเหมือนกับไม่สนใจและก้มลงมองหาของกินต่อ แต่ความรู้สึกดังกล่าวก็ยังคงอยู่ มันเหมือนกับมีเงาคนดำๆ เดินผ่านหลังไปจนเธอต้องหันกลับไปมอง แต่กลับไม่พบอะไร... เธอจึงหันกลับมาและจัดการนำอาหารนั้นมาใส่เครื่องไมโครเวฟและเดินไปนั่งรอที่โซฟาดังเดิม
      เธอกดเปิดโทรทัศน์และหยิบเอาแผ่นการ์ตูนเรื่องโปรด Keroro ขึ้นมาและใส่เข้าไปในเครื่องเล่น ก่อนที่จะเดินกลับมานั่งลงที่โซฟาและดูต่อไปตามปกติ เหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้ง แต่ในครั้งนี้มันกลับรู้สึกต่างออกไป เพราะอยู่ๆ เธอก็รู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมา
      “…”
      เธอหันกลับไปมองทางด้านหลังของตนแต่ก็เหมือนกับทุกๆ ครั้ง นั่นก็คือไม่เห็นมีอะไร เธอจึงหันกลับมาและดูทีวีของตนต่อไป เสียงไมโครเวฟที่ดังขึ้นทำให้ซอฮยอนรีบลุกขึ้นไปทันที ความรู้สึกเย็นวาบกลับเข้ามาเล่นงานเธออีกครั้ง มันเหมือนกับมีใครกำลังมองเธอยู่ แต่ไม่ว่าจะหันไปมองทางไหนก็ไม่เห็นมีวี่แววของใครอยู่เลย เหมือนกับตัวเองจะคิดมากไปเองเท่านั้น
      เพล้งงงง !!!!”
      จานอาหารหลุดร่วงจากมือจนแตกกระจายออกเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า. จุดที่เธอเพิ่งจะลุกออกมา ร่างของหญิงสาวผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้ เด็กสาวถอยกรูดด้วยความกลัวจนหลังติดกับเคาท์เตอร์ ร่างนั้นค่อยๆ หันกลับมาอย่างช้าๆ นั่นยิ่งทำให้ซอฮยอนอยากจะกรี๊ดออกมาให้ลั่นบ้าน เพราะหญิงสาวคนนั้นกลับหันมาเพียงแค่ส่วนหัว โดยที่ตัวยังคงหันหลังให้ไม่ได้ขยับ
      ผมสีดำยาวปิดหน้าแต่รอยยิ้มที่แสยะจนเห็นฟันสีเหลืองดูน่าเกลียดน่ากลัวทำให้ซอฮยอนถึงกับผวา
      เฮือกกก !!
      ซอฮยอนรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอย่างตื่นตกใจเม็ดเหงื่อผุดขึ้นจนเต็มใบหน้า เสียงการ์ตูนที่ได้เปิดเอาไว้ยังคงเล่นอยู่ เธอมองสำรวจตัวเองอย่างงงๆ นี่สรุปเราฝันไปอย่างนั้นเหรอ ?
      เธอหันไปมองดูบริเวณครัวจุดที่เธอเพิ่งจะทำจานแตกไปเมื่อครู่แต่มันก็ยังคงว่างเปล่าเหมือนเดิม สงสัยเราจะง่วงจนผล็อยหลับไปเองจริงๆ น่ะแหล่ะซอฮยอนคิดในใจก่อนที่จะหยิบรีโมตขึ้นมาและกิปิดโทรทัศน์ของตนไป หากแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อกี้มันช่างเหมือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ เหลือเกิน เด็กสาวสลัดเอาความคิดดังกล่าวออกไปจากหัวและเริ่มหันไปหาอะไรทานบ้าง
      โดยที่มีผีสาวตนหนึ่งยืนมองเธออยู่จากบานหน้าต่างตรงข้าม และหายไปอย่างเงียบๆ
      .
      .
      .
       
      เมื่อไรแม่จะกลับมานะ

      + + ต่อ + +

      ซอฮยอนคิดในใจอย่างหวั่นๆ ขณะอาบน้ำอยู่ตามลำพัง สายน้ำจากฝักบัวยังคงไหลผ่านลำตัวไปเรื่อยๆ เธอเอื้อมมือไปควานหาขวดแชมพูที่วางเอาไว้บนชั้น มือที่ค่อยๆ คลำไปสัมผัสเข้ากับอะไรบางอย่าง เพราะน้ำนี่รดหัวอยู่และเส้นผมที่ลงมาปิดจึงทำให้เธอไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้ทันที
      เธอคลำมันอยู่สักพักและพยายามนึกว่ามันคืออะไรลักษณะมันเหมือนกับ
      มือของคน
      เธอชักมือกลับทันทีด้วยความหวาดกลัว หัวใจเต้นถี่รัวและเร็วขึ้นพร้อมกับก้มหน้าหลับตาปี๋ ความรู้สึกเหมือนกับมีคนเดินผ่านประตูห้องน้ำไปทำให้ขนทั้งตัวลุกตั้งขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ตัวเริ่มสั่นจนแทบจะทรุดนั่งลงกับพื้น เด็กสาวพยายามสลัดเอาความคิดดังกล่าวออกไปจากหัว และค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองไปยังหิ้งเมื่อครู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ
      เฮ้อ !”
      เธอถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก เพราะสิ่งที่เธอจับได้เมื่อครู่นั้นเป็นเพียงที่วางสบู่ล้างหน้าเท่านั้นพร้อมกับเอื้อมมือไปกดเอาสบู่เหลวที่อยู่ในขวดข้างๆ ออกมาและเริ่มทำความสะอาดร่างกายของตน สายน้ำยังคงไหลรินต่อไปโดยที่ซอฮยอนนั้นไม่ได้รู้สึกตัวเลยสักนิดว่ามันเริ่มจะมีเส้นผมสีดำยาวไหลออกมาจากฝักบัวนั้นด้วย
      ซ่าาซ่าาาาาา
      จนเธอมาเริ่มสังเกตเพราะเส้นผมนั้นมันไหลมาติดตามแขนและขาของเธอ หรือว่าผมเราจะขาดแต่มันก็ไม่น่าจะเยอะขนาดนี้นี่เธอมองดูมันอย่างสงสัยและเริ่มเอามือสางผมตัวเอง เมื่อลองได้สังเกตดีๆ จะพบว่าผมที่ขาดหลุดร่วงนั้นมันหยักศกเล็กน้อยและค่อยไปทางสีดำแต่ของเธอนั้นเป็นผมตรงยาวสีออกน้ำตาล
      “…”
      แล้วนี่มันผมของใครกันล่ะ ?
       
      ตัดมาที่ด้านของทิฟฟานี่
      เธอพยายามจะโทรหาซอฮยอนอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่ว่าจะกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ผลก็ยังคงเหมือนๆ เดิมจนทิฟฟานี่อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ เพราะซอฮยอนเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ได้ฟังเรื่องผีเรื่องนั้นด้วย และยิ่งการที่ติดต่อไม่ได้แบบนี้ ยิ่งทำให้เธออดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ โทรศัพท์มือถือเข้าระบบฝากข้อความ ส่วนโทรศัพท์บ้านกลับถูกระงับ
      โถ่เว้ยย !! ทำไมเวลาสำคัญๆ มันต้องเป็นแบบนี้ด้วยนะ !
      กระทั่งเธอเหลือบมองดูหน้าปัดนาฬิกาข้อมือซึ่งบ่งบอกเวลา 20.00 . แล้วด้วย เวลาก็ยิ่งน้อยเข้าไปอีก กระทั่งรถแท็กซี่คันหนึ่งวิ่งผ่านมาอย่างพอดิบพอดี
      ไปอีแทวอน เขต2 ด่วนเลยนะคะ !!”
      .
      .
      .
      ขอให้เธอยังปลอดภัยอยู่ด้วยเถอะซอฮยอน
       
      ซ่าาาซ่าาาาา
      ซอฮยอนยังคงสระผมของเธอต่อไปพยายามไม่คิดอะไร เพราะยาสระผมที่ไหลลงมาตามกระแสน้ำทำให้เธอต้องหลับตาลง และถ้าหากหลับตาลงช้าไปกว่านี้สักวิเดียวนอกจากจะแสบตาแล้ว อาจจะได้เห็นสิ่งที่ไม่อยากจะเห็นที่อยู่เบื้องหน้าด้วย
      เพราะเบื้องหน้าของตนนั้น มีขาคนยืนอยู่โดยที่ไม่มีส่วนตัวขึ้นมามีแต่เพียงขาเปล่าๆ เท่านั้น
      กึกๆกึกก
      เสียงที่ดังขึ้นมาจากทางด้านนอกทำให้ซอฮยอนถึงกับชะงัก ยิ่งเสียงที่เหมือนกับมีคนเดินอยู่ที่ระเบียงทางเดินด้วยแล้ว ทำให้เธอต้องยิ่งเงี่ยหูฟังมากขึ้น กระทั่งเสียงนั้นมันชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ว่าคิดจะลืมตาขึ้นไปมอง แต่เหมือนกับร่างกายของเธอมันฝืนเอาไว้ไม่อยากให้ลืมตาขึ้นมา
      และเพราะว่ายังหลับตาอยู่ แม้ว่าไฟจะดับไปแล้ว เธอก็ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวเลย กระทั่งเธอเริ่มรู้สึกว่ามันผิดปกติ ซอฮยอนจึงรีบล้างหน้าออกและค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาปรากฏแสงไฟกลับมาสว่างเช่นดังเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หากแต่เสียงฝีเท้าทางด้านนอกนั้นยังคงดังอยู่อย่างนั้น
      นั่นใครน่ะ ! …แม่เหรอคะ ?”
      “…”
      ไร้ซึ่งเสียงใดๆ ตอบรับ พร้อมๆ กับที่เสียงฝีเท้านั้นก็เงียบหายไปด้วย
      สงสัยเราจะหูฝาดไปเอง
      ซอฮยอนหันกลับมาและอาบน้ำต่อกระทั่งเสร็จธุระของตนเธอจึงเอื้อมมือไปหยิบเอาผ้าเช็ดตัวที่พาดเอาไว้มาเช็ดตัวให้แห้ง แต่อยู่ๆ น้ำจากฝักบัวก็ไหลออกมาจนเปียกตัวของเธออีกครั้งทำเอาซอฮยอนสะดุ้งด้วยความตกใจจนห้องหันไปดู ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเธอถอยไปโดนวาล์วเปิดของมันเข้าฝักบัวถึงได้เปิด เธอเอื้อมมือไปปิดและเช็ดตัวให้แห้งอีกครั้งก่อนที่จะเปิดประตูห้องน้ำออกมา
      โดยที่มีแขกไม่ได้รับเชิญยืนมองเธออยู่ด้วย
      .
      .
      .
      จนเวลาเฉียดเข้าไปเกือบ 21.30 . แม่ของเธอก็ยังไม่กลับมาสักที จนเธอเริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจึงกะจะเดินขึ้นไปนอน หากแต่เสียงที่เหมือนกับมีคนเดินอยู่ที่ชั้นสองของตัวบ้านทำให้เธอต้องชะงักไปอีกครั้ง เธอปล่อยมือออกจากราวบันไดและถอยห่างออกมาแทบจะในทันที
      เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ในความมืดมันคือขาของคน และที่สำคัญ มันไม่มีส่วนบนด้วยน่ะสิ
      ครืดดดครืดดดดดด
      เสียงที่เหมือนกับมีอะไรบางอย่างกำลังคลานเข้ามาดังมาจากทางห้องครัว และทันทีที่ซอฮยอนหันไปมองเธอก็แทบจะกรี๊ดจนลั่นบ้าน เพราะมันมีผีสาวตนหนึ่งกำลังคลานเข้ามาหาเธอ ใบหน้าซีดเซียวปรากฏรอยยิ้มอันแสนจะน่าเกลียดน่ากลัว
      เครื่องราง ?
      เด็กสาวพยายามควานหาถุงเครื่องรางของตนที่ปกติมักจะห้อยคอติดตัวเอาไว้ แต่คราวนี้มันกลับไม่อยู่กระทั่งเธอคิดย้อนกลับไปถึงช่วงก่อนที่จะอาบน้ำ และนึกออกทันทีว่าเธอเป็นคนวางถุงเครื่องรางนั้นเอาไว้ที่โต๊ะข้างเตียงนอนที่ชั้นสอง
      ซอฮยอนเหลือบมองไปยังชั้นสองนั้นอีกครั้ง ปรากฏว่าขาที่เธอเห็นนั้นหายไปแล้ว เธอจึงคิดที่จะวิ่งขึ้นไปหยิบเอาถุงเครื่องรางนั้น แต่เพราะร่างของผีสาวที่คลานเข้ามาหานั้นก็หายไปเช่นกัน กลับมาดังขึ้นอีกครั้งที่บริเวณชั้นสองเหนือบันไดที่เธอกำลังจะวิ่งขึ้นไป
      ขา…”
      ซอฮยอนถอยกลับลงมาพร้อมกับน้ำตาไหลทะลักออกมาทั้งสองข้างด้วยความหวาดกลัว สายตามองดูผีสาวตนนั้นที่กำลังคลานลงบันไดมาอย่างช้าๆ ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองเสียเหลือเกิน
      เอาขาชั้นคือมา…”
      โครมมมม !!!
      เพราะว่าก้าวพลาด เธอจึงเสียหลักและพลัดตกลงมาหัวกระแทกกับพื้น อาการปวดศีรษะตรงเข้ามาเล่นงานอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว มันเหมือนกับหัวจะระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ
      โอยยย…”
      เธอพยายามดันตัวลุกขึ้นเบื้องหน้าที่เห็นคือเลือดสีแดงสดที่เจิ่งนองอยู่ที่พื้น บวกกับความรู้สึกปวดตุบๆ ที่ศีรษะทำให้ซอฮยอนลองเอามือไปสัมผัสกับส่วนที่ฟาดกับพื้นดู ของเหลวอุ่นๆ ที่เปียกมือเพียงแค่นั้นก็รู้แล้วว่าตนเองนั้นหัวแตก สายตาเบลอจนมองทางเบื้องหน้าไม่ค่อยชัด แต่ถึงกระนั้นเธอก็พยายามจะคลานหนีต่อไป
      ผีสาวตนนั้นคลานใกล้เข้ามาเรื่อยๆเรื่อยๆ รอยยิ้มอันน่าเกลียดน่ากลัวปรากฏขึ้นบนใบหน้าของมันอีกครั้ง ซอฮยอนพยายามตะเกียกตะกายหนีมาเรื่อยๆ จนมาถึงบริเวณประตูบ้านของตน และพยายามจะหมุนเปิดมันออก แต่เหมือนกับมันจะติดอะไรบางอย่างอยู่จนไม่สามารถเปิดออกไปได้
      ฮือๆ
      เด็กสาวทรุดนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ไร้สิ้นความหวัง เธอเอาแต่นั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นราวกับรู้ว่ายังไงตัวเองก็ไม่รอดในขณะที่ผีสาวตนนั้นคืบคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
      ขาาาาา…”
      ขาของช้านนนนนนน…”
      แกร๊กกก !!!
      ประตูถูกกระชากเปิดออกอย่างแรงพร้อมๆ กับการปรากฏตัวของทิฟฟานี่ ร่างของซอฮยอนที่เซล้มลงมาตามแรงกระชากถูกทิฟฟานี่ประคองเอาไว้พร้อมกับกอดเอาไว้แน่น
      ที่นี่ไม่มีขาที่เธอกำลังตามหา…”
      ทิฟฟานี่ที่มาได้อย่างตรงจังหวะพอดีตอบกลับไป
      ปล่อยมือจากขาของน้องสาวชั้น ! นั่นไม่ใช่ขาของเธอ !!!”
      ที่นี่ไม่มีขาของเธอ !!”
      เธอตอบกลับไปอีกครั้งพร้อมกับโอบกอดร่างของซอฮยอนเอาไว้ให้แน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เด็กสาวโอบกอดร่างของทิฟฟานี่เอาไว้แน่นพร้อมกับปล่อยโฮออกมาอย่างหวาดกลัว ก่อนที่สติของเธอจะดับวูบลง
      .
      .
      .
      ซอฮยอนรู้สึกตัวอีกครั้งในรุ่งเช้าของวันต่อมาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งและพบว่าพ่อและแม่ของตนก็นั่งอยู่ในห้องนั้นด้วย เธอที่รอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์โอบกอดพ่อและแม่ของตนเอาไว้ทั้งน้ำตา พร้อมกับมองไปยังรอบๆ ห้องมองหาทิฟฟานี่
      แล้วพี่ฟานี่ล่ะคะแม่ ?”
      ผู้หญิงคนนั้นน่ะเหรอเธอบอกว่าจะไปเดินเล่นกับเพื่อนรักของเธอน่ะ
      ผู้เป็นแม่ตอบกลับและโอบกอดร่างของซอฮยอนเอาไว้อย่างอบอุ่น ปล่อยให้ซอฮยอนอดที่จะสงสัยในคำพูดของแม่ของตนเสียมิได้ เธอบอกว่าจะไปเดินเล่นกับเพื่อนรักของเธอน่ะเพื่อนรักยังงั้นเหรอ ?
      แล้วเพื่อนรักที่ว่ามันใครกันล่ะ ?
      .
      .
      .
      เอี๊ยดดเอี๊ยดด
      เสียงรถเข็นที่ดังขึ้นไปตามทางโดยมีทิฟฟานี่นั้นกำลังเข็นอยู่สร้างความสงสัยปนประหลาดใจให้กับเหล่าผู้คนที่เดินสวนผ่านไปมา เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะพวกเขาเห็นแต่ว่าเธอกำลังเข็นรถเปล่าๆ อยู่น่ะสิ หลายต่อหลายคนอาจจะคิดว่าเธอบ้า ที่เอารถเข็นมาเข็นเล่นแบบนี้ อีกทั้งยังได้ยินเหมือนกับพูดอยู่คนเดียวด้วย แต่ถึงกระนั้นทิฟฟานี่ก็ไม่ได้แคร์ในสายตาที่ใครต่อใครมองเธอเลย
      เพราะอะไรน่ะเหรอ ?
      เพราะเธอไม่ได้เข็นอยู่ตามลำพัง หากแต่มีร่างเล็กของเพื่อนสาวนั่งอยู่ด้วย ทิฟฟานี่ก้มลงมองร่างเล็กของเพื่อนสาวพร้อมกับยิ้มให้และพูดขึ้นเบาๆ
      เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไปใช่มั๊ย… “แทยอน
      แหวนสีเงินเปื้อนเลือดของแทยอนยังคงถูกสวมเอาไว้บนนิ้วนางของทิฟฟานี่ มันสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายดูสวยงาม ราวกับเป็นพันธะสัญญาระหว่างเธอและแทยอนสัญญาว่าพวกเธอจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
      .
      .
      .
      ใช่ฟานี่เราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป
      แทยอนหันกลับมาตอบพร้อมกับยิ้มให้


      + + Special Day : Sunny + +
       
      เพราะเธอแท้ๆ อี ซุนคยู !! เพราะเธอ เจสสิก้าถึงได้ตาย เพราะเธอ !!!”
      ซูยองตวาดใส่เพื่อนสาวอย่างโกรธๆ สายตาที่มองตรงมาเหมือนกับเธอได้กลายเป็นคนอื่นในสายตาไปแล้ว ไม่ใช่เพื่อนที่เคยรู้จักกันอีกต่อไป เพียงแค่ความผิดที่ตนเองเป็นสาเหตุเท่านั้นก็ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดแล้ว ไหนจะต้องถูกคนที่เคยเรียกว่า เพื่อนเกลียดอีก ความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามามันเกินกว่าที่คนตัวเล็กแบบเธอจะสามารถรับเอาไว้ได้จริงๆ
      กระทั่งน้ำตาใสๆ ได้ไหลรินลงมาจนอาบแก้ม
      แล้วเธอคิดว่าชั้นอยากให้มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นรึไง !!?”
      ก็เพราะเป็นแบบนี้ไงล่ะ กี่ครั้งแล้วที่เธอทำให้คนอื่นๆ ต้องซวย กี่ครั้งแล้วที่เรื่องแย่ๆ มันเกิดขึ้น เพราะเธอเป็นต้นเหตุ !! แล้วครั้งนี้เป็นไงล่ะ อีซุนคยู เพราะความสนุกของเธอทำให้เพื่อนต้องมาตายแบบนี้ มันสนุกมากเลยใช่มั๊ย !!?”
      อย่างเธอน่ะตายไปซะเถอะ !!”
      ซูยองตวาดลั่น คนอื่นๆ ที่ได้ยินดังนั้นจะปิดปากเธอเอาไว้มันก็ไม่ทันเสียแล้ว ยูนอาที่อยู่ใกล้ที่สุดแม้ว่าเธอจะโกรธซันนี่ แต่เธอก็รู้ว่าซูยองไม่ควรจะพูดอะไรออกไปแบบนั้น เพราะถ้าหากซันนี่เกิดคิดสั้นขึ้นมาอีกคน มันจะทำให้เรื่องทั้งหมดยิ่งแย่ไปกันใหญ่
      และไม่ทันที่จะได้พูดอะไรต่อ ซันนี่ก็วิ่งออกมาจากตรงนั้นแล้ว
      ปึ้งงงงง !!!!
      ประตูถูกปิดกระแทกเข้าอย่างแรงจนซอฮยอนถึงกับสะดุ้ง ก่อนที่จะเบนสายตากลับมามองดูซูยองที่กำลังเดือดอยู่ในตอนนี้ ทิฟฟานี่มองดูเพื่อนสาวอย่างโกรธๆ เพราะเธอรู้ดีว่าซันนี่เพียงแค่เล่นสนุกเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าเรื่องมันจะเลวร้ายถึงขนาดทำให้เจสสิก้าถึงกับฆ่าตัวตาย
      แต่ถ้าหากซันนี่เป็นอะไรขึ้นมาอีกคน คราวนี้แหล่ะที่ซูยองจะเป็นฝ่ายผิดขึ้นมาเต็มๆ
      เพี๊ยะ !!
      ฝ่ามือของฮโยยอนตบเข้าที่ใบหน้าของซูยองอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ใบหน้าหันไป 90 องศาปรากฏรอยมือแดงๆ ที่แก้มอย่างชัดเจน
      เธอบ้าไปแล้วรึไงชเว ซูยอง !! ถ้ายัยนั่นมันฆ่าตัวตายขึ้นมาอีกคนจะเป็นยังไงฮะ ยัยบ้า !!!”
      ฮโยยอนตะคอกใส่อย่างโกรธๆ ซูยองที่เหมือนกับจะได้สติกลับมาเพราะฮโยยอนแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้วในเมื่อซันนี่ไม่ได้อยู่ในห้องนั้นอีกต่อไปแล้ว
      .
      .
      .
       
      ใช่สิเรามันตัวซวย เป็นตัวซวยที่ไม่มีใครต้องการ
      ฮือๆ
      ซันนี่ยังคงเดินหลับหูหลับตาร้องไห้มาตามเส้นทางเรื่อยๆ ก่อนที่จะทรุดนั่งลงกับพื้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงใดๆ หรือแม้แต่ใครจะสนใจ เสียงไซเรนของรถพยาบาลที่ดังขึ้นผ่านตัวเธอมุ่งหน้าไปยังห้างสรรพสินค้าที่อยู่อีกไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไรนัก บวกกับเสียงกระซิปของผู้คนที่เดินสวนกันไปเกี่ยวกับการตายของหญิงสาวสองคน
      คนหนึ่งถูกชั้นวางของล้มทับจนคอหัก
      และอีกคนที่นอนจมกองเลือดอยู่ในห้องน้ำในสภาพที่ไม่มีขา
      ได้ยินเพียงแค่นั้นซันนี่ก็พอจะเดาออกแล้วว่าผู้ที่เสียชีวิตนั้นคือใคร ความเศร้าและความเจ็บปวดยิ่งถาโถมเข้ามาหนักขึ้นจนหัวใจอันบอบช้ำเหมือนกับถูกรถบรรทุกเหยียบบี้จนแหลกเละ เพราะเธอเป็นต้นเหตุที่ทำให้เพื่อนของตนต้องตาย
      เหมือนอย่างที่ซูยองพูดเอาไว้ไม่มีผิด
      ทุกอย่างมันเป็นเพราะเธอ อีซุนคยู
      .
      .
      .
      เพราะเธอ
       
      อย่างเธอน่ะตายไปซะเถอะ !!’
       
      คำพูดของซูยองผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เสียงของเธอคนนั้นยังคงดังกึกก้องสะท้อนไปมา คนอย่างเราอยู่ไปก็คงไม่มีอะไรงั้นสินะน้ำตายังคงไหลรินออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เธอหันมองไปทางท้องถนนเบื้องหน้ารถรายังคงวิ่งสวนกันไปมาเป็นระยะๆ
      ถ้าเราตายทุกอย่าง ก็คงจะดีขึ้น
      ถ้าเราตาย
      ทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น
      ความคิดดังกล่าวตรงเข้าครอบงำเธออย่างรวดเร็ว เธอดันตัวลุกขึ้นอย่างช้าๆ และก้าวเดินไปเบื้องหน้าคล้ายกับคนที่จิตหลุดลอยออกจากร่าง แววตาไร้ซึ่งความหวังและแสงสว่างเหมือนกับคนที่หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ขายังคงก้าวไปข้างหน้า น้ำตายังคงรินไหลออกมา
      สายตาของผู้คนที่มองไปยังเธอเริ่มเปลี่ยนไป แต่ก็ไม่มีใครคิดจะห้ามเธอเลยแม้แต่น้อย พวกเขาได้แต่ยืนมองเฉยๆ ทั้งๆ ที่รถคันหนึ่งกะลังจะพุ่งเข้าชนซันนี่
      ปิ๊นนนนนนนน !!!!!!!
      แสงไฟสว่างวาบใกล้เข้ามาจนแสบตา ซันนี่หยุดเดินพร้อมกับหันมองไปทางรถคันนั้นก่อนที่จะหลับตาลง เตรียมรับความตายที่กำลังจะเข้ามาเยือนตน หากแต่เพราะแรงฉุดจากทางด้านหลังอย่างแรงจนทำให้ตัวเธอหลุดพ้นออกมาจากระยะของรถคันนั้นอย่างหวุดหวิด
      เธอทำบ้าอะไรของเธอฮะ อีซุนคยู !!”
      ตามมาด้วยเสียงตวาดของทิฟฟานี่
      เธอคิดว่าถ้าตัวเองตายไปอีกคนเรื่องมันจะดีขึ้นรึไงฮะ ยัยบ้า !”
      ร่างเล็กไม่ตอบอะไร เธอได้แต่ปล่อยโฮออกมาเท่านั้น ทิฟฟานี่มองดูเพื่อนสาวที่นั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ ก่อนที่จะตัดสินใจดึงเข้ามากอดเอาไว้ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกโกรธอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ในเมื่อเหตุการณ์มันเกิดขึ้นไปแล้ว มันไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีกแล้ว
      และเธอเองก็รู้ว่าซันนี่เองก็คงเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่าพวกตนเลย
      ฮือๆ ชั้นชั้นขอโทษ…”
      .
      .
      .
      ชั้นขอโทษ…”
       
      วันเวลายังคงผ่านไปอย่างช้าๆ ซันนี่ที่กลับมาถึงห้องแล้วก็ยังคงเอาแต่ขังตัวเองอยู่ในนั้นไม่ยอมพูดคุยอะไรกับใครอีกเลย แม้ว่าใครพยายามจะตะโกนเรียกทุบประตู เธอก็ไม่มีท่าทีว่าจะยอมลุกขึ้นไปเปิดเลย ซันนี่ยังคงจมปรักอยู่กับความรู้สึกผิดที่ตนเองเป็นต้นเหตุให้เพื่อนๆ ต้องเสียชีวิต
      เธอเหลือบหันไปมองดูเชือกที่ม้วนกองเอาไว้ที่มุมห้องซึ่งครั้งหนึ่งเธอและยูริเคยเอามาใช้ ความคิดเกี่ยวกับเรื่องที่ซูยองได้กล่าวเอาไว้ยังคงไม่หายไปไหน มันยังคงคอยตอกย้ำการกระทำอันสิ้นคิดของเธออยู่ตลอดเวลา เพราะเธอเพื่อนๆ ถึงได้ตาย เพราะเธอคนอื่นๆ ถึงได้เจอแต่เรื่องซวยๆ
      ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะเธอคนเดียว
      .
      .
      .
      ถ้าเราตายไปทุกอย่างมันคงจะดีขึ้น
      ไม่มีตัวซวยอย่างอีซุนคยูไม่มี อีกต่อไป
      คิดได้ดังนั้นเธอจึงลุกขึ้นจากเตียงและเดินไปคว้าเชือกนั้นขึ้นมาและมองดูมันสักพัก ซันนี่จัดการผูกมันเข้ากับโคมไฟระย้าด้านบน ลาก่อนทุกคน
      ถ้าความตายของชั้นมันทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
      เธอหยิบเก้าอี้มาวางไว้และก้าวขึ้นไปนำห่วงนั้นมาสวมไว้กับคอ น้ำตายังไงไหลรินออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่เพราะภาพของทิฟฟานี่ที่ผุดขึ้นมาในหัวเริ่มจะทำให้เธอรู้สึกผิดกับสิ่งที่ตัวเองกำลังจะทำ แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อยู่ดี
      ชั้นขอโทษนะฟานี่ชั้นขอโทษ
      ก่อนที่เธอจะตัดสินใจจบชีวิตของตัวเองลงในห้องอย่างเงียบๆ
       
      ลาก่อนทุกคน
      .
      .
      .
      ชั้นขอโทษขอโทษจริงๆ

      จนถึงในตอนนี้วิญญาณตนนั้นก็ยังคงตามหาขาของมันต่อไปคนแล้วคนเล่าที่ต้องตายไป ระวังตัวเอาไว้ เพราะคนต่อไป อาจเป็นคุณ !

      -------------------------------------------
      เรื่องนี้เป็นเพียงนิยายที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงเท่านั้น หากทำให้ใครรู้สึกไม่พอใจ ก็ขออภัย ณ. ที่นี้ด้วย... Zeritherlyn

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      คำนิยม Top

      "ถึงกะฝันร้าย !!!"

      (แจ้งลบ)

      เพราะห้องน้ำของไรท์เตอร์อะ เก็บเอาไปฝันเฉยเลย แงๆๆๆๆๆTT_TT น่ากลัวโฮกอะ เขียนมาซะเหมือนกะเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย จะบรรยายให้มันหลอนไปถึงไหน เค้าก้อกลัวเป็นนะ T_T น่ากลัวอะ ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นเรื่องหักมุม ที่ไหนได้ดันตายจริงๆ แถมสยองด้วยโดยเฉพาะกะแทยอน น่ากลัวมากกกกกกกกกกก อะ แต่งได้สุดยอดต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เคยอ่านเลยอะ เหมือนกะประสบการณ์เรื่อ ... อ่านเพิ่มเติม

      เพราะห้องน้ำของไรท์เตอร์อะ เก็บเอาไปฝันเฉยเลย แงๆๆๆๆๆTT_TT น่ากลัวโฮกอะ เขียนมาซะเหมือนกะเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย จะบรรยายให้มันหลอนไปถึงไหน เค้าก้อกลัวเป็นนะ T_T น่ากลัวอะ ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นเรื่องหักมุม ที่ไหนได้ดันตายจริงๆ แถมสยองด้วยโดยเฉพาะกะแทยอน น่ากลัวมากกกกกกกกกกก อะ แต่งได้สุดยอดต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เคยอ่านเลยอะ เหมือนกะประสบการณ์เรื่องผีที่โดนมากะตัวเองเลย หรือว่าไรท์เตอร์เคยโดนมาก่อนอะเลยรู้ ? หรือว่าชอบนั่งฟังรายการผีๆ กะอ่านหนังสือประเภทนั้น ? นี่ก็ชอบอ่านชอบดูนะ แต่ก็กลัว... เขียนได้สุดยอดเกินอะ บทที่จะหลอนก็เอาซะน่ากลัวจนเก็บไปฝันร้าย บทจะเศร้าก็เอาซะน้ำตาร่วง ทำไมยูลสิกไม่มีงี้มั่งอะ TT_TT ปล. เป็นกะลังใจให้ต่อไปนะคะ ไม่รู้จะมีใครฝันร้ายแบบเราด้วยอ๊ะเปล่า น่ากลัวโฮก!!!!!   อ่านน้อยลง

      (ยูล)ลิงกินผัก | 6 พ.ค. 54

      • 5

      • 0

      คำนิยมล่าสุด

      "ถึงกะฝันร้าย !!!"

      (แจ้งลบ)

      เพราะห้องน้ำของไรท์เตอร์อะ เก็บเอาไปฝันเฉยเลย แงๆๆๆๆๆTT_TT น่ากลัวโฮกอะ เขียนมาซะเหมือนกะเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย จะบรรยายให้มันหลอนไปถึงไหน เค้าก้อกลัวเป็นนะ T_T น่ากลัวอะ ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นเรื่องหักมุม ที่ไหนได้ดันตายจริงๆ แถมสยองด้วยโดยเฉพาะกะแทยอน น่ากลัวมากกกกกกกกกกก อะ แต่งได้สุดยอดต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เคยอ่านเลยอะ เหมือนกะประสบการณ์เรื่อ ... อ่านเพิ่มเติม

      เพราะห้องน้ำของไรท์เตอร์อะ เก็บเอาไปฝันเฉยเลย แงๆๆๆๆๆTT_TT น่ากลัวโฮกอะ เขียนมาซะเหมือนกะเราเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย จะบรรยายให้มันหลอนไปถึงไหน เค้าก้อกลัวเป็นนะ T_T น่ากลัวอะ ตอนแรกก็นึกว่าจะเป็นเรื่องหักมุม ที่ไหนได้ดันตายจริงๆ แถมสยองด้วยโดยเฉพาะกะแทยอน น่ากลัวมากกกกกกกกกกก อะ แต่งได้สุดยอดต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่เคยอ่านเลยอะ เหมือนกะประสบการณ์เรื่องผีที่โดนมากะตัวเองเลย หรือว่าไรท์เตอร์เคยโดนมาก่อนอะเลยรู้ ? หรือว่าชอบนั่งฟังรายการผีๆ กะอ่านหนังสือประเภทนั้น ? นี่ก็ชอบอ่านชอบดูนะ แต่ก็กลัว... เขียนได้สุดยอดเกินอะ บทที่จะหลอนก็เอาซะน่ากลัวจนเก็บไปฝันร้าย บทจะเศร้าก็เอาซะน้ำตาร่วง ทำไมยูลสิกไม่มีงี้มั่งอะ TT_TT ปล. เป็นกะลังใจให้ต่อไปนะคะ ไม่รู้จะมีใครฝันร้ายแบบเราด้วยอ๊ะเปล่า น่ากลัวโฮก!!!!!   อ่านน้อยลง

      (ยูล)ลิงกินผัก | 6 พ.ค. 54

      • 5

      • 0

      ความคิดเห็น

      ×