ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Hidden Love ร้ายซ่อนรัก } [ บีคริส ]

    ลำดับตอนที่ #15 : I HATE U AGAIN.

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.27K
      20
      18 มี.ค. 61


    Chapter 15.1  I  H A T E   Y O U    A G A I N   

     

    เช้าวันอาทิตย์ศิรินยังคงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้าเผลอๆอาจตื่นก่อนหน้านั้นอีกเพราะวันนี้คือมีงานของบ้านคุณหมอพลอยที่จัดทั้งกลางวันและกลางคืน โดยงานกลางวันจัดที่โรงแรมที่บ้านบุณยศักดิ์ถือหุ้นอยู่ด้วยและงานกลางคืนจัดที่อีกโรงแรมหนึ่งซึ่งจองห้องที่เป็นหอประชุมใหญ่และห้องพักให้ตามจำนวนของคนที่ลงชื่อจะอยู่งานปาร์ตี้กลางคืนเรียบร้อยซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือเจ้านายตัวสูงของเธอ จึงต้องรีบตื่นมาอาบน้ำเพื่อรอเจ้านายมารับตามที่เขาบอกเธอไว้ตั้งแต่เมื่อวันก่อนที่ไปลองชุดกันว่าวันงานเขาจะมารับเธอเองเพราะรู้ว่ายังไงเธอก็ไปไม่ถูกแน่ๆ แต่เมื่อออกไปหน้าบ้านเพื่อจะนั่งรอ ก็ต้องแปลกใจเมื่อมีรถสีดำสนิทที่นั่งได้เพียงสองคนไม่ใช่รถเก๋งซีดานที่ขับไปทำงานเป็นประจำมาจอดรออยู่แล้วโดยเจ้าของรถนั่งรออยู่บนกระโปรงรถ ในชุดที่แปลกตาจากทุกวันเพราะวันนี้เขาสวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ไม่ใช่เชิ้ตและกางเกงสแลคเข้ารูปอย่างทุกวัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความดูดีของเขาลดลงไปเลย เมื่อศิรินเปิดประตูรั้วบ้านออกไป คนที่นั่งอยู่ถึงลุกและเดินอ้อมไปเปิดประตูรถฝั่งคนขับแทรกตัวเข้าไปนั่ง ร่างเล็กจึงเดินไปเปิดประตูอีกฝั่งขึ้นไปนั่งตาม ก่อนที่รถจะเคลื่อนตัวออกไปด้วยความเร็วปกติของรถระดับซูเปอร์คาร์แบบนี้ ศิรินจึงเผลอกลั้นหายใจชั่วครู่ด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อยๆผ่อนออกมาเมื่อปรับตัวได้

    “ขอโทษนะคะที่ให้รอ” ศิรินพูดเมื่อรถเคลื่อนมาติดสัญญาณไฟสีแดง

    “ไม่นานหรอก คนนั่งอยู่หลังพวงมาลัยพูดตอบกลับมา “บอกลูกไว้หรือยัง”

    “บอกไว้แล้วค่ะ” ร่างเล็กตอบแล้วหยิบโทรศัพท์ที่ส่งเสียงเตือนออกมาปลดล็อกหน้าจอ

    LINE!

    05.40  Metinee ถึงกันหรือยังหนูคริส

    “ใกล้จะถึงหรือยังคะ?” เอ่ยถามอีกคนเมื่ออ่านข้อความที่โชว์หราบนหน้าจอจบ

    5 นาที” คนตัวสูงตอบทั้งๆที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับท้องถนนด้านหน้า ก่อนที่จะหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าตามป้ายที่บอกสถานที่  WongBoon Royal Hotel เมื่อรถคันหรูจอดเทียบทางเข้าตัวโรงแรม ก็พบกับคนที่เพิ่งจะส่งข้อความหากัน

    “กลัวบีจะพาไปฆ่าแกงหรือยังไงคะ ถึงได้ประมาณเวลาไว้แบบนี้” คนตัวสูงก้าวลงจากรถพร้อมกับพูดเชิงน้อยใจผู้ให้กำเนิด แล้วยื่นกุญแจรถให้กับพนักงานมานำรถไปจอดอย่างสนิทกันเพราะตัวเขาเองมาที่นี่บ่อยราวกับบ้านก็ไม่ปาน บางครั้งถ้ามีเรื่องหรือนึกอยากสังสรรค์กันตามประสาเพื่อนแค่สามสี่คนก็จะนัดกับออร์แกนกับพลอยมาที่นี่ ค่อนข้างจะส่วนตัวและสงบ ดีกว่าสถานบันเทิงทั่วไปเยอะเลย

    “ไม่ใช่สักหน่อย แต่ก็ขับรถไวดีนี่” คุณเมทินีพูดเพราะเธอกะเวลาตั้งแต่น้ำทิพย์ออกจากโรงแรมไปก็ราวๆ 30 นาที นับว่าเร็วมากเพราะบ้านของศิรินอยู่ไกลจากที่นี่ ถูกล่ะ เจ้าลูกตัวสูงพาเธอมาที่นี่ก่อนแล้วจึงค่อยขับรถไปรับคนตัวเล็กอีกที ด้วยเหตุผลที่ว่า ศิรินไม่ตื่นเช้าขนาดนั้น รู้ดี!! เป็นว่าลูกตัวสูงของเธอขับรถหลายเที่ยว ทั้งจากบ้านไม่สิห้องรวมของตน มาโรงแรมแล้วก็ไปรับหนูคริสแล้วก็ขับกลับมาโรงแรมอีกครั้ง ขยันจริงนะคะลูก เมทินีคิดก่อนจะนำเดินเข้าไปในตัวโรงแรมแล้วพบกับห้องรับรองมากมาย

     

     

    “หนูคริสแต่งตัวในห้องนี้นะ ส่วนเรามานี่” คุณเมทินีพูดแล้วเปิดประตูให้คนตัวเล็กเดินเข้าไปในห้องที่อยู่ก่อน แล้วจึงลากลูกสาวตนมาอีกห้องนึง

    “ทำไมแม่ต้องทำอะไรใหญ่โตขนาดนี้ด้วยเล่า” น้ำทิพย์บ่นทันทีที่พบกับบรรดาช่างหน้าช่างผม ที่ยืนรออยู่ในห้อง

    “อย่ามาขี้บ่น จัดการได้เลยค่ะ” คนถูกกล่าวถึงหาได้สนใจไม่ พร้อมกับหันไปหาคนที่ยืนอยู่ร่วมด้วยให้เข้ามาทำงานเลยก่อนจะเดินไปทิ้งตัวลงบนโซฟาอ่านนิตยสารแฟชั่นไปเรื่อยๆ

    “แม่ไม่แต่งตัวเหรอ จะได้เวลาแล้วนะ” คนตัวสูงที่กำลังถูกช่างผมโรลผมตัวเองหันมาถามผู้เป็นแม่ที่นั่งอ่านหนังสือมาเป็นชั่วโมงแล้ว

    “ฉันมีทีมมือโปร ไม่ต้องห่วง” ผู้เป็นแม่ตอบก่อนจะยักไหล่อย่างไม่ยี่หระสิ่งใด คนถามจึงได้แต่เบือนหน้าหนีความมั่นใจเกินเบอร์ตลอดของแม่ตน แต่ไม่ชินสักที ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงสองสาวร่างสูงต่างวัยก็แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยโดยร่างสูงของคนลูกอยู่ในชุดสูทสีขาวสะอาดตา คนเป็นแม่ในชุดเดรสตัวยาวสีขาวส่งผลให้อีกกว่าสิบชีวิตที่เป็นผู้สรรสร้างเบื้องหลังตบมือกันเกรียวกราวในผลงานพรีเมี่ยมนี้

    “สวยมากเลยค่ะ คุณเมทิ” สาวประเภทสองที่ร่างกายเหมือนกับผู้หญิงแทบทุกประการพูดขึ้นแล้วส่งยิ้มกว้างมาให้

    “ต้องขอบคุณทุกคนมากเลยนะ ที่มาวันนี้ เดี๋ยวเพิ่มโบนัสพิเศษให้เลย” คนถูกชมกล่าวตอบกลับเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนทำงานอยู่กับบริษัทเสื้อของตนเอง เป็นทั้งดีไซน์เนอร์หรือแม้แต่คนที่อยู่หน้าร้านตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ

    “เริ่ดค่าา” เสียงประสานกันดังขึ้นพร้อมกับการปรบมือรัวๆ ก่อนจะถูกชัดด้วยเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์เครื่องหรูของน้ำทิพย์ เจ้าของจึงหยิบออกมารับสายแล้วเดินห่างออกไปจากผู้เป็นแม่

    “สวัสดีคะ”

    (บีคะ เมย์มาถึงแล้วนะ บีอยู่ตรงไหนเหรอคะ)

    “...เมย์รอหน้างานก็ได้เดี๋ยวบีเดินไปหาเองนะคะ”

    (ได้ค่ะ เจอกันนะ)

    “จะรีบไปค่ะ” ว่าจบก็เดินกลับเข้าไปหาแม่ของตน

    “แม่คะ เดี๋ยวบีออกไปก่อนแล้วกันนะ แม่กับคริสตามไปนะคะ” พูดเร็วๆก่อนจะจ้ำอ้าวเดินไป คนถูกบอกจึงได้แต่ยืนฟังโดยยังไม่ได้ตอบอะไรกลับไปแม้แต่คำเดียว “ให้มันได้แบบนี้สิ เฮ้ออ”

     

     

     

     

     

     

     

     

    ทางด้านบ้านหลังน้อยของสองสาวต่างวัย กุลธิดาตื่นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้ามืดเพราะกลัวเจ้านายตนจะรอนาน จึงเดินมานั่งรอที่ม้าหินอ่อนหน้าบ้านพลางคอยดึงกระโปรงตัวสั้นสีขาวสะอาดตาลงตลอดเวลา

    “หนูดึงจนจะขาดแล้วมั้งลูก” คนเป็นแม่กล่าวพลางตีเบาๆบนแขนลูกสาว

    “ก็แนนไม่ชินนี่คะแม่ สั้นจะตายไป ไหนจะเกาะอกนี่อีก” กุลธิดาเอ่ยตอบแล้วทำหน้างอ ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วกระชับเสื้อฮูดสีเทาที่ตนสวมคลุมมาด้วยให้แน่นขึ้น

    “สวัสดีครับป้ากาญจน์ อ้าวแนน จะไปไหนแต่เช้าน่ะ “ เสียงของชายหนุ่มข้างบ้านเอ่ยทักเพราะเขาคิดว่าหญิงวัยกลางคนจะลุกขึ้นมาใส่บาตรตอนเช้าดังเช่นทุกวัน แต่กลับมีคนเป็นลูกสาวนั่งอยู่ข้างกาย

    “จะไปงานกับเจ้านายน่ะ แล้วพี่เจษฏ์จะไปไหนล่ะ” ซีแนนตอบแล้วยิ้มบางๆให้

    “....เอ่อ พี่ไปทำงานน่ะ ไปก่อนนะ” เจษฎ์พิพัฒน์ตอบเสียงเบาก่อนจะสวมฮู้ดครอบศีรษะก่อนจะเดินออกจากบ้านไป

    “อะไรของเขากัน” กาญจนา เอ่ยแล้วขมวดคิ้วสวยเข้าหากัน ก่อนจะเหลือบไปเห็นแสงไฟอ่อนๆของยานพาหนะสาดเข้ามาที่ถนนหน้าบ้าน “คงมาแล้วล่ะ” สองคนแม่ลูกจึงพากันลุกขึ้นแล้วไขประตูรั้วออกมา ก็เป็นจริงดังว่า รถสีเหลืองเด่นสะดุดตากำลังเคลื่อนตัวช้าๆมาจอดที่หน้าบ้าน ก่อนที่เจ้าของตัวสูงจะลงมากล่าวทักทายทั้งคู่

    “สวัสดีค่ะ คุณแม่” ราศีว่าพลางพนมมือไหว้คนอายุมากกว่า

    “ไหว้พระเถอะลูก ฝากลูกป้าด้วยนะคะ” พูดออกไปตามประสาคนที่อยู่กันแค่สองคนแม่ลูก ซีแนนยกยิ้มให้คนตัวสูงก่อนจะเข้าไปสวมกอดผู้เป็นแม่  “ไม่ต้องห่วงนะแม่ อย่าลืมกินยาให้ตรงเวลานะคะ”

    “รู้แล้วน่า รีบไปกันเถอะ เดินทางดีๆนะลูก” หญิงวัยกลางคนพูด อีกสองคนจึงเดินไปขึ้นรถ โดยที่ราศีเดินไปเปิดประตูให้คนตัวเล็กก่อนหันมาไหว้ลาอีกครั้งแล้วอ้อมไปทางฝั่งตัวเองเพื่อประจำที่คนขับ กุลธิดาก็ลดกระจกลงมารอให้ผู้เป็นแม่เข้าบ้านให้เรียบร้อย ก่อนที่พาหนะสี่ล้อจะเริ่มเคลื่อนตัวออกจากหน้าบ้านไป เมื่อมาถึงหน้าปากซอยเข้าบ้านคิ้วเรียวสวยของกุลธิดาก็ขมวกเข้าหากันทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นพี่ชายข้างบ้านยืนยู่กับกลุ่มชายหน้าตาโหดรอยสักเต็มแขนที่หน้าปากซอยในมุมมืด เหมือนกำลังแลกเปลี่ยนบางอย่างกัน แต่ก็ต้องพับความสงสัยไว้ เพราะรถเคลื่อนผ่านไปแล้ว

    “พี่ลืมบอกแนนว่ายังไม่ต้องแต่งตัวมา ขอโทษนะ” ออร์แกนพูดเมื่อได้เห็นอีกคนเต็มตัวชัดในเวลาที่รถเคลื่อนมาติดไฟแดง

    “ไม่เป็นไรค่ะ ถึงพี่บอก แนนก็แต่งตัวมาอยู่ดี” ใครจะกล้าใส่ชุดย้วยๆมาพบหน้าอีกคนกัน

    “งั้นเอานี่ ไปเปลี่ยนส้นสูงออกก่อน เดี๋ยวจะปวดเท้า” คนตัวสูงเอ่ยพลางเอื้อมแขนไปหยิบรองเท้าแตะทางด้านหลงเบาะของคนข้างกายแล้วยื่นให้ คนรับจึงกล่าวขอบคุณแล้วก้มลงเปลี่ยนรองเท้าแต่ก็ช่างขัดตาเสียเหลือเกินเพราะบนหน้าตักของคนตัวเล็กมีกล่องเครื่องประดับวางอยู่ จึงส่งมือยาวดึงมาถือไว้ให้แล้วรอจนอีกคนเปลี่ยนเสร็จจึงยื่นให้คืน แล้วหันไปสนใจถนนตรงหน้าขับเคลื่อนรถไปยังปลายทางคือ WB Royal Hotel

     

     

     

     

    YingRatha

    Read 20.45  นี่คุณพยาบาล พรุ่งนี้จะไปด้วยกันมั้ยคะ :  Dr.Ploy

    YingRatha : ฉันไปเองได้ค่ะ หมอ  20.49 read

    YingRatha : อีกอย่าง หมอเป็นเจ้าของงานไม่ต้องแอบออกมารับฉันหรอก 20.50 read

     

     Read 20.50  Sent sticker Sadness crying :  Dr.Ploy

    Read 20.51 เจอกันในงานนะคะ  :  Dr.Ploy

    Read 06.45  มาถึงหรือยังคะ :  Dr.Ploy

    YingRatha : หมอพลอยค่ะ ฉันบอกคุณแล้วนะคะว่าจะออกจากบ้าน ตอน 6.30

          แล้วนี่เพิ่งจะผ่านไปแค่ สิบห้านาที ฉันนั่งรถนะคะ ไม่ได้เหาะไป    06.46 Read

     

    “มัวแต่จิ้มหน้าจออยู่นั่นละ ไปแต่งตัวได้แล้ว ไอ้พลอย” เสียงดุดังมาจากปากพี่ชายฉันเองละ ไอ้พี่บอย ชลนัท ที่ทำงานเป็นแพทย์ในโรงพยาบาลอีกแห่งด้วยเหตุผลที่ว่าโรงพยาบาลของที่บ้านก็มีน้องพลอยทำงานอยู่แล้ว ให้ตายเถอะ

    “รู้แล้วน่าพูดมากจริง” ตั้งแต่เช้ามามันยังไม่หยุดบ่นเลย ทั้งที่มันเพิ่งจะกลับมาบ้านแท้ๆ เห็นว่าเพิ่งออกเวร สงสัยไปแอบหลับตอนเข้าเวรแหงๆถึงมีแรงมีด่ากันแบบนี้

    “ยังๆ ไม่ลุกอีกต้องให้ฉันเอามีดมางัดแกออกจากโซฟามั้ยฮะ ถ้าปู่มาเห็นแกจะต้องได้ไปขัดห้องน้ำแน่” บอยพูดพลางจะเดินเข้าไปทำอย่างที่พูดจริงๆ การขัดห้องน้ำเป็นสิ่งที่ปู่บุณย์ หรือที่เรียกกันว่าเจ้าสัวบุณย์ใช้เป็นบทลงโทษหลานทุกคนในบ้าน ห้องน้ำที่ว่าไม่ใช่ห้องน้ำคน แต่มันคือห้องน้ำของสัตว์เลี้ยงในบ้านที่ตั้งอยู่ทางหลังบ้าน พูดง่ายๆก็คือไปล้างกรงสุนัขนั่นเอง ซึ่งมีทั้งฉี่ และขี้ของสุนัขมากกว่าห้าตัว เป็นพันธุ์ใหญ่ทุกตัว คิดดูละกันว่าจะเหม็นขนาดไหน เป็นที่โจทย์ขานกันว่าอย่าได้ทำอะไรผิดเด็ดขาก ถ้าผิดก็อย่าให้ปู่รู้หรือเห็น ไม่งั้น ไม่รอดแน่

    “ไม่ต้องโว้ย! ไปแล้ว” คนน้องจึงรีบเก็บเครื่องมือสื่อสารแล้วลุกทันที ก็ไอ้พี่บ้า ปากว่ามือถึงจะตาย อย่างกับแม่คนที่สอง

    “ตีอะไรกันอีกสองพี่น้องนี่ ตั้งแต่เด็กไม่เบื่อบ้างหรือยังไง” นายแพทย์ มนัส บุณยศักดิ์ ผู้เป็นพ่อที่เดินลงมาพร้อมกับภรรยาพูดพลางทำหน้าฉงน

    “ก็ไอ้...พี่เพชร เป็นคนเริ่มเลย” เฌอมาลย์ว่าพลางวิ่งสวนขึ้นไปพอพ้นสายตาพ่อก็หันมาแลลิ้นปลิ้นตาใส่ผู้เป็นพี่

    “เราก็ไปแกล้งน้อง ส่วนเราพลอย ไปอาบน้ำได้แล้ว มัวแต่เล่นอยู่นั่น” พอสิ้นเสียงผู้เป็นแม่ที่ยืนข้างกายพ่อ พี่ชายจึงยกยิ้มแห่งชัยชนะใส่ผู้เป็นน้องด้านบนบันได

     

    “อะไรกันฮึ ตรงนั้นน่ะ” เจ้าสัวบุณย์ ที่แต่งตัวเรียบร้อยแล้วกำลังใช้ไม้เท้าเดินออกมาจากห้องนอนเพื่อจะมานั่งรออยู่ห้องโถงกลางบ้านถามผู้เป็นลูกชายที่เพิ่งเดินเข้ามา

    “เด็กๆแหละครับ คุณพ่อ โตป่านนี้แล้วยังไม่เลิกทะเลาะกันอีก” ผู้ถูกถามเอ่ยตอบพลางทิ้งตัวนั่งลงโซฟาข้างกัน แล้วจึงเปลี่ยนหัวเรื่องสนทนากัน ระหว่างรอทั้งบ้านให้ลงมา บ้านบุณยศักดิ์เรียกได้ว่าเป็นบ้านแห่งแพทย์เลยก็ว่าได้  ตั้งแต่รุ่นพ่อของท่านเจ้าสัวบุณย์ บุณยศักดิ์ หรือปู่ของมนัส ที่เป็นแพทย์และก่อตั้งโรงพยาบาลขึ้นพร้อมๆกับที่เจ้าสัวเกิดได้ไม่กี่ปี ส่งไม้ต่อให้ท่านเจ้าสัวมาเป็นแพทย์ ลูกทั้งสามคนของท่านก็เป็นแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายของเขา ตัวเขาเอง และน้องสาว ส่งต่อรุ่นลูกอย่างเฌอมาลย์และมนัสและลูกของอีกสองคนก็ล้วนเป็นแพทย์ทั้งสิ้น เรียกได้ว่า ส่งต่อกันในสายเลือดเลยล่ะ แต่อย่างเฌอมาลย์ หรือยัยพลอยลูกสาวเขาคนทั้งบ้านไม่ได้หวังจะให้มาเป็นแพทย์หรอก เพราะตั้งแต่เรียนก็ไม่ค่อยจะอยากไปโรงเรียน ไปก็ไปโดดเรียนทั้งกับเพื่อนอีกสองคนนั้นละ แต่ก็นะสามคนนี้หัวดี คบกันจนโตถึงทุกวันนี้ ได้ดิบได้ดีกันทั้งนั้นไม่ว่าจะเจ้าบี หรือ ออร์แกน แต่พอจบแพทย์มาได้คนที่ภูมิใจสุดคงไม่พ้นเจ้าสัวบุณย์ ผู้เป็นปู่เพราะท่านรักและเอ็นดูไอ้ตัวแสบนั้นอย่างกับอะไร สักครู่ทุกคนเริ่มทยอยลงมาจนครบคนจึงพากันเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน

     

    เมื่อถึงกำหนดเวลาเริ่มงานบรรดาสื่อมวลชนเริ่มจะหนาตามากขึ้น ก่อนที่แฟลชจากกล้องถ่ายรูปจะสว่างขึ้นถี่ๆเมื่อการปรากฏตัวของบุคคลระดับไฮคลาสที่มาร่วมงานในวันนี้ รวมทั้งการปรากฏตัวของ คุณเมทินี กิ่งโพยม อดีตนักธุรกิจฉายาเสือสาวในแวดวงธุรกิจ ที่หายหน้าหายตาจากหน้าหนังสือพิมพ์และสื่อโทรทัศน์ไทยไปนานนับหลายปี ควงคู่มากับสาวสวยไม่คุ้นหน้าค่าตา จึงทำให้เป็นที่สังเกตว่าหญิงสาวหน้าหมวยคนนี้คือใคร ทำไมจึงมาปรากฏกายคู่กันได้ พอแม่ผ่านไปแน่นอนว่าคนเป็นลูกตามมาติดๆ

    “แหม...” คนเป็นแม่เอ่ยพึมพำคนเดียวแต่ก็ดังพอ คนที่อยู่ใกล้อย่างศิรินจะได้ยินจึงหันสายตาไปมองตาแนวสายตาของคนพูด ก่อนจะพบร่างสูงของเจ้านายตนเองที่กำลังควงแขนมากับพิชญ์นาฏ กำลังเดินเข้ามาทางทั้งสองคน

    “สวัสดีค่ะ คุณเมทินี” พิชญ์นาฏเอ่ยขึ้นพร้อมกับละมือที่เกาะแขนอีกคนมาสวัสดี คนถูกไหว้ก็รับไหว้ สายตาของร่างสูงข้างกันกลับจ้องมองมาที่คนหน้าหมวยข้างกายแม่ อย่างตกตะลึงและนิ่งค้างแบบนั้น เพราะวันนี้ชุดที่ใส่โชว์เนื้อหนังมากกว่าทุกวันยิ่งทำให้ชวนมองและดูน่าค้นหามากกว่าเดิมเสียอีก กว่าจะได้สติก็ตอนที่พิชญ์นาฏแตะแขนให้เดินเข้าไปหน้าฉากที่มีป้ายงานเขียนไว้ ก่อนจะจัดตำแหน่งยืนกันให้ช่างภาพทั้งหลายได้เก็บภาพไปก่อนจะเดินเข้างานกันไป เสียงซุบซิบจึงดังขึ้นทันที

    มีแววว่าต้องใช่’  ‘คุณบีควงนานสุดเลยนะคนนี้’  ‘แบบนี้เรียกเปิดตัวหรือเปล่า และอีกมากมายสารพัน

    ก้าวเท้าเข้ามาในงานทั้งสี่คนจึงเดินหาโต๊ะที่มีชื่อตัวเองติดไว้ พอพบแล้วจึงทิ้งตัวลงนั่ง เพียงแต่น้ำทิพย์เท่านั้นที่เดินไปส่งคนข้างกายที่โต๊ะของบ้านหญิงสาวก่อนจะเดินกลับมานั่งที่โต๊ะของตนก่อนจะไล่อ่านชื่อบุคคลร่วมโต๊ะ

    Wachara Diamond , Rachata Group , Metinee Clothe  , BNT Property     ใครจัดโต๊ะวะ

    เวลาไม่ปล่อยให้ร่างสูงหายใจสะดวกนานนักก็ปรากฏร่างของชายวัยกลางคนและผู้ติดตามอีกสองคน มาพร้อมด้วยกับอาตัวแสบของร่างสูงอย่างอาวิรุต คนเป็นลูกจึงเบือนหน้าหนีพร้อมกับถอนหายใจออกมาอย่างแรง ศิรินที่นั่งอยู่ด้านข้างจับสังเกตได้จึงหันมองตามสายตาไป ก่อนจะพบกับคนที่ไม่อยากพบเจอมากที่สุด เสียงของเขาในอดีตลอยวนเข้ามาในสมองเธออีกครั้ง

    ออกไปจากชีวิตของลูกสาวฉันซะ ถ้าเธอยังอยากเห็นพ่อเธอมีชื่อบนบอร์ดธุรกิจนี้อยู่

    ไม่นานนักร่างสูงภูมิฐานก็เดินมาทางโต๊ะนี้ แล้วทิ้งตัวลงนั่ง โดยเว้นระยะจากน้ำทิพย์ไปสองตัว ทำให้โต๊ะเหลือพื้นที่ข้างน้ำทิพย์สองตัวแล้วข้างเมทินีอีกหนึ่งตัว บรรยากาศบนโต๊ะเต็มไปด้วยความอึมครึมและอึดอัด จนร่างสูงทนไม่ไหวเตรียมจะลุกหนี

    “บี” เสียงกดต่ำของเมทินีที่เอ่ยเรียกเขาไว้ น้ำทิพย์จึงพ่นลมหายใจหนักออกมา

    “สวัสดีวิทย์” เสียงดังขึ้นจากผู้มาใหม่พร้อมกับวางมือทักทายบนไหล่ของผู้เป็นพ่อของน้ำทิพย์ พร้อมกับปรากฏร่างของอีกสองสาวอย่างราศีและกุลธิดาที่เดินตามมาทีหลัง

    “สวัสดีค่ะ คุณวัชร” ทั้งเมทินีและน้ำทิพย์เอ่ย ก่อนที่ทั้งสามรวมศิรินด้วยจะยกมือไหว้ แล้วสามผู้มาใหม่จึงเดินไปนั่งบนเก้าอี้ที่เหลือโดยผู้เป็นพ่อย่างคุณวัชร วัชรพลเมฆ นั่งระหว่าง คุณวิทย์และคุณเมทินี ที่ว่างอยู่หนึ่งที่ ราศีจึงเดินไปฝั่งน้ำทิพย์ก่อนดันให้คนตัวเล็กข้างกายไปนั่งติดกับน้ำทิพย์เพราะการจะให้นั่งข้างผู้เป็นอาของเพื่อนตน ไม่ใช่ที่ปลอดภัยนัก

    “สวัสดีค่ะ คุณอาวิรุต คุณแม่” ราศีพูดแล้วยกมือไหว้ทั้งคนข้างตัวเองและก็คนที่นั่งติดกับศิริน

    “คุณหญิงประภาไม่มาเหรอ” เมทินีรับไหว้แล้วถามขึ้น

    “งานกลางคืนค่ะ งานเช้าแม่ขอบาย” ราศีพูดติดตลก

    “รายนั้นคงไปทำเล็บทำผมล่ะมั้ง ถึงขอบาย”

    “คุณแม่ควรไปเป็นธิดาพยากรณ์ค่ะ” ราศีว่าพลางฉีกยิ้มกว้าง

    ก่อนที่เสียงพิธีกรในงานจะดังแทรกขึ้นมา เมื่อแขกเหรื่อเข้ามาภายในงานกว่า เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ พิธีกรจึงกล่าวเริ่มเปิดงานโดยเริ่มจากการกล่าวถึงประวัติของบ้านบุณยศักดิ์จนถึงปัจจุบันที่มาเป็นโรงพยาบาลอันดับท็อปๆของประเทศ แล้วเชิญเหล่าบรรดาลูกหลานบ้านเจ้าภาพงานขึ้นกล่าวอะไรเพื่อเป็นการคล้ายๆจะอวยพรและกล่าวแผนดำเนินงานในปีนี้สักเล็กน้อยแล้วยกเค้กที่มีเทียนเลข 60 ปักไว้ยกมาให้ท่านเจ้าสัวในวัย 60 ปลายๆได้ตัดเค้กเพื่อเปิดพิธี

    “...และในเวลานี้ก็ถึงเวลาที่ดีสำหรับการเฉลิมฉลองให้แก่ท่านเจ้าสัวบุณย์ บุณยศักดิ์และกิจการของท่าน Boonya hospital เชิญทุกท่านตามสบายนะครับ ใครต้องการมอบของขวัญหรือการ์ดแสดงความยินดีก็เชิญได้เลยนะครับ” พอสิ้นเสียงพิธีกรพลุกระดาษขนาดเล็กๆสีสดใสก็โปรยลงมาจากเพดานพร้อมกับเสียงเพลงคลอเบาๆสร้างบรรยากาศ สิ้นเสียงพิธีกร ก็กลายเป็นเสียงแฟลชจากกล้องหลากหลายสื่อดังขึ้นมาแทน ตัวแทนจากหลากหลายบริษัทพากันทยอยเดินเอาสิ่งของที่เตรียมมาไปมอบให้ท่าน รวมถึง ผู้เป็นพ่อของน้ำทิพย์และราศี และคุณเมทินีด้วยเช่นกัน คิดว่าพวกท่านคงลุกแล้วกลับเลยแน่นอน หรืออาจทานอาหารที่ทางเจ้าภาพจัดไว้สักพักแล้วกลับ

    “กูอยากรู้ใครแม่งจัดโต๊ะวะ” ราศีพูดทันควันหลังจากที่เขาลุกไป

    “กูก็อยากรู้” น้ำทิพย์แสดงความเห็นที่ตรงกันขึ้น สักพักเครื่องมือสื่อสารของน้ำทิพย์จึงดังขึ้น

    แม่กลับก่อนนะ พาหนูคริสกลับด้วยละ M.t เดาไม่ผิดเลย

    ทั้งสี่คนบนโต๊ะจึงรอให้คนน้อยๆลงก่อนจึงพากันนำของขวัญไปให้เจ้าของงานวันนี้ ด้วยความที่เห็นว่าคนในงานค่อนข้างมาก น้ำทิพย์จึงคว้ามืออีกคนมาจับไว้ก่อนจะพาเดินไป ไม่ใช่อะไรเดี๋ยวจะคลาดกัน ไม่มีอะไรสักหน่อย

    “สวัสดีค่ะ คุณปู่” เมื่อมาถึงที่หมายจึงเดินเข้าไปข้างๆแล้วกล่าวทักทายขึ้น

    “ปู่คิดว่าจะไม่มากันแล้ว” เจ้าสัวพูดอย่างอารมณ์ดี เพราะเห็นว่าเพื่อนหลานตัวแสบช่วงนี้งานยุ่งน่าดู เล่นทำผลงานกันขนาดนั้น อาจไม่มางานวันนี้ก็ได้

    “เห็นว่าคนยังเยอะๆ เลยไม่อยากเข้ามามุงเพิ่ม กลัวคุณปู่หายใจไม่ออกน่ะสิคะ” ราศีพูดแล้วยิ้มกว้าง

    “เอ้อๆ ดีๆ แล้วนี่ใคร แฟนเจ้าเหรอ” คนสูงวัยถามพลางยกไม้เท้าชี้ไปที่กุลธิดา

    “ไม่ใช่ค่ะ!!” เสียงประสานทั้งจากราศีและกุลธิดาดังขึ้นพร้อมกัน

    “ไม่ใช่ก็ไม่ใช่จะเสียงดังทำไม ห้ะ” เสียงแทรกขึ้นมาต้นเสียงจากเฌอมาลย์ที่เดินมาได้ยินเข้าพอดี

    “จุ้น!!”ราศีจึงเอ็ดตอบกลับไป ก่อนจะยื่นกล่องของขวัญให้คนสูงวัย แล้วหลบทางให้น้ำทิพย์ละศิรินได้เข้าไปบ้าง

    “หนูศิริน ลูกสาวเจ้า...หอวังใช่มั้ยเนี่ย” เจ้าสัวทักคนหน้าหมวยขึ้น ก็พอมีโอกาสได้เจอบ้างแต่ก็ไม่บ่อยนัก ด้วยความที่บ้านของสาวหน้าหมวยคงไม่กล้าเข้าวงสังคมเท่าไร หลังจากล้มครานั้น

    “ค่ะ ท่านเจ้าสัว” ศิรินตอบแล้วยกยิ้มเบาๆ

    “ป๊าเราไม่ม้าเหรอ ถึงมากับเจ้าบี หรือเป็นแฟน?

    “ปู่ก็ เห็นใครก็แฟนไปหมดเลยเหรอคะ” เฌอมาลย์แหวขึ้น ทีเขาไปพารฐามาปู่ไม่เห็นทักแบบนี้บ้าง

    “ก็ปกติเจ้าพวกนี้ปกติไม่เห็นจะพาใครมา ก็ต้องคิดเป็นธรรมดา” เจ้าสัวจึงพูดตอบกลับไป

    “ทีพลอยพาหญิงมา ปู่ไม่เห็นทักแบบนี้บ้างเลยคะ” หลานตัวแสบขี้น้อยใจบ่นขึ้น

    “ก็ปู่รู้ว่าไม่ใช่นี่นา ฮาฮ่าฮา” คนสูงวัยเอ่ยย่างอารมณ์ดีคนรอบพื้นที่จึงพากันหัวเราะครื้นไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่ถูกกล่าวถึงอย่างรฐาเอง

    “หัวเราะอะไรเล่า ตัวนั่นแหละต้นเหตุเลย” เฌอมาลย์หันไปพูดใส่รฐา

    “ฉันไปเกี่ยวอะไรกันละคะ คุณหมอพลอย” รฐาพูดแล้วทำหน้าสงสัย

    “ใจแข็งชะมัด” คุณหมอเอ่ยพึมพำเบาๆ

    “ฉันได้ยินนะคะ” รฐาพูดแล้วเดินออกไปหาอะไรรับประทานกับเหล่าเพื่อนพยาบาล

    “ดูสิค่ะ ใจแข็งจะตาย พลอยไม่ได้อ่อนซะหน่อย” เฌอมาลย์พูดให้คนทั้งบ้านได้ยิน ทุกคนจึงหัวเราะร่วนในความเด็กน้อยของตัวแสบประจำบ้านที่ริจะจีบสาวอย่างจริงจัง เล่นประกาศให้คนทั้งบ้านรู้แบบนี้

    “แทนที่แกจะมาบอกพวกพี่ แกไปตาเขาดีกว่ามั้ย ไอ้! เด็ก! บื้อ!” ยังคงเป็นพี่ชายตัวแสบคนเดิมที่มาซ้ำเติม

    “ยุ่ง!!” จบคำก็เดินไปตามทางที่อีกคนเดินไปก่อนหน้า เรียกเสียงหัวเราะให้ดังขึ้นอีกครั้ง

    “งั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ” ราศีและน้ำทิพย์จึงกล่าวลาคนทั้งบ้านบุณยศักดิ์แล้วเดินออกไปทางโซนอาหาร

    มาถึงโซนอาหารก็พบกับกลุ่มเพื่อนของศิรินนั่งอยู่ก่อนแล้วและก็พวกแก๊งพยาบาลที่นั่งอยู่โต๊ะข้างกันรวมถึงหมอตัวแสบอย่างพลอยด้วย

    “อิหมวย มาๆ คุณบีด้วยนะคะ ทุกคนเลยมานั่งโต๊ะเดียวกันก็ได้ค่ะ”เสียงเรียกจากตัวจี๊ดอย่างเจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ เรียกให้ไปนั่งเพราะในเวลานี่ทุกโต๊ะแทบจะถูกจับจองไปหมดแล้ว

    “ถ้าอย่างนั้นขอรบกวนด้วยนะคะ” น้ำทิพย์พูดแล้วเลื่อนเก้าอี้ให้ศิรินอย่างลืมตัว ก่อนจะทำเมินเดินไปตักอาหารมาทานกัน

    “คุณออร์แกน ข้างๆนั่นใครเหรอคะ” เจนี่ เทียนคนเดิมถามขึ้นอย่างสงสัย

    “เผือกจริงๆเลยนะยะ” วิริฒิพาแทรกขัดขึ้น

    “วอสอ เขาไม่ได้เรียกว่าเผือก เขาเรียกว่าใส่ใจในความเป็นไปย่ะ” คนถูกว่าตอบกลับไป

    “นี่ซีแนน มาฝึกงานกับบริษัทแกนค่ะ” ราศีแนะนำคนข้างกาย คนถูกแนะนำจึงยกมือสวัสดีทุกคน เกร็งไปหมดแล้วเนี่ย สวยกันจังเลย สมชื่อนางฟ้าจริงๆ

    “น่ารักนะคะ หนุ่มๆมองกันเป็นแถวเชียว” นานาพูดขึ้นก่อนทำตามองรอบๆบริเวณ ก็เป็นดังว่าจริงๆ ราศีจึงเกิดอาการไม่พอใจอยู่เนืองๆ แต่อย่างศิริน พอเห็นว่าเดินมากับน้ำทิพย์ก็ไม่มีใครริมองเว้นแต่...

    “สวัสดีครับ คุณน้ำทิพย์”

    “สวัสดีค่ะ คุณธราภุช มาด้วยเหรอคะ” น้ำทิพย์รับคำแล้วพูดกลับไปอย่างเนิบนาบ แต่แววตานี่ฉายแววไม่พอใจชัดเจน ไม่คิดว่าคนไม่เอาไหนอย่างเขาจะมางาน ทั้งที่ควรจะเป็นพี่ชายเขามางานซะอีก

    “แรงว่ะ” เสียงกระซิบระหว่างนานา และวุ้นเส้น

    “ครับ ว่าแต่วันนี้คุณคริสสวยมากเลยนะครับ” คนถูกถามพูดพลางใช้สายตากรุ้มกริ่มมองเจ้าของชื่อ น้ำทิพย์จึงยกแขนขึ้นมาพาดเก้าอี้ศิรินไว้ ก็แน่ละชุดที่แม่เธอเลือกก็ช่างโชว์เนื้อหนังขนาดนี้

    “กรุณาอย่าใช้สายตาต่ำๆแบบนั้นมองคนของฉัน” น้ำทิพย์พูดด้วยน้ำเสียงกดต่ำอย่างพยายามข่มอารมณ์

    “โว้ว ดุซะด้วยนะครับ วันนี้” ชายหนุ่มยังคงปั่นหัวอีกคนต่อไป

    “ถ้าไม่มีอะไรก็เชิญค่ะ” น้ำทิพย์กล่าวขึ้น

    “ผมแค่จะมาทำความรู้จักกับคู่ค้าผมก็เท่านั้น ทำไมเราไม่ผูกมิตรกันไว้ล่ะครับ”

    “.....”

    “อย่าทำให้บรรยากาศเสียดีกว่านะคะ” ราศีพูดขึ้นเรียบนิ่ง แล้วตวัดสายตามามองชายหนุ่มเพียงแวบเดียว

    “โอเคครับ เรายังต้องได้พบกันอีกเยอะ ขอตัวนะครับ” ว่าจบก็เดินแยกออกไป

    “ขอตัวนะคะ ขอโทษที่ทำให้เสียบรรยากาศ” น้ำทิพย์ว่าพลางลุกออกจากโต๊ะไป ศิรินจึงเดินตามไปบ้างก่อนที่ร่างสูงจะมาหยุดที่รถคันหรูของตนเอง

    “ตามมาทำไม ไม่นั่งอยู่กับเพื่อนเธอล่ะ” ร่างสูงถามพลางเดินไปหยิบกล่องกระดาษที่บรรจุมวนนิโคตินในรถมานั่งบนกระโปรงรถ “กลับเข้าไปข้างในเถอะ ไม่ชอบกลิ่นไม่ใช่รึไง” น้ำทิพย์พูดแล้วโบกมือไล่อีกคน เมื่อก่อนเวลาที่ทำงานเครียดๆตั้งแต่สมัยเรียนด้วยซ้ำก็จะหยิบขึ้นมาพอให้สมองได้โล่งไปสักพัก ไม่ได้เสพติดที่จะต้องทุกวัน

    “ไม่ ถ้าคริสเดินเข้าไปบีก็สูบใช่มั้ย งั้นคริสก็จะยืนตรงนี้ละ”

    “ตามใจ” ว่าพลางคาบมวนนิโคตินไว้ในปากก่อนจะหยิบแช็คไฟฟ้าขึ้นมาจุดแล้วเดินหนีอีกคนไป ศิรินก็ยังเดินตามมา

    “บ่อยเหรอ”

    “แค่เวลาเครียดๆ ไม่บ่อยหรอก ขอเถอะ” น้ำทิพย์ว่าพลางเดินไปพิงราวเหล็กเตี้ยๆขนาดพอดีเอวให้ได้นั่งได้ แล้วหลับตาปล่อยควันออกมาเบาๆอย่างอยากจะลืมไปสักพัก คนเดินตามมาจึงได้หยุดแล้วยืนมองภาพนั้น ตามคำขอของคนตัวสูง

    เหนื่อยมั้ย เป็นห่วงนะ ระบายออกมาเถอะนะบี ไม่อยากให้สูบเลย อีกหลายคำที่อยากจะพูดแต่ก็ไม่กล้าจะพูดออกไป

     

    “สวัสดีค่ะ” น้ำทิพย์กดรับสายโทรศัพท์ที่เข้ามาแล้วพูดขึ้น

    (นี่บีอยู่ไหนเหรอคะ)

    บีว่าจะกลับแล้วค่ะ ไว้เจอตอนเย็นทีเดียวนะเมย์”

    (ค่ะ เครียดรีเปล่าคะ เสียงแบบนี้ แก่ไวน้า)

    “นิดหน่อย ไม่แก่หรอก ถ้ามียาบำรุงที่ดี”

    (ฮาฮ่า ขับรถดีๆนะคะ เจอกัน)

    กดตัดสายแล้วบี้มวนนิโคตินกับถังที่เขาตั้งไว้ให้ แล้วจึงเดินไปที่รถ เปิดให้อีกคนเข้าไปนั่งรอ ส่วนตัวเองก็นั่งให้กลิ่นหายหรือจางลงสักพักก่อนจึงเดินไปประจำที่คนขับด้วยสีหน้าที่ยากจะคาดเดา เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง

    หมา()พลอย

    “มีอะไร”

    (มึงจะไปพักก่อนมั้ย ที่บ้านเรา) บ้านเราในความหมายของพวกเธอคือ Penthouse ที่มาซื้ออยู่ด้วยกันในชั้นสูงสุดของโรงแรมที่เป็นโอกาสดีที่บ้านออร์แกนกับพลอยร่วมลงทุนในที่นี่จึงไม่ยากในการขอซื้อเพนท์เฮาส์นี้

    “อื้อ”

    (เออๆ ถามแค่นี้แหละ ไว้เจอกัน)

    วางสายพลางเหยียบคันเร่งจุดหมายปลายทางคือบ้านที่มีพวกเขาสามคน มาถึงจุดหมายตึกสูงระฟ้าที่ดูภายนอกคำนวณราคาห้องพักด้วยสายตาคร่าวๆคงราวๆเกือบหลายสิบล้านได้ จึงหันไปพูดกับคนที่นั่งรถมาด้วย

    “พักที่นี่ก่อนแล้วกัน ไปส่งบ้านไม่ไหวหรอก” ร่างสูงพูดแล้วเดินนำเข้าไป ก่อนจะกดลิฟต์ที่ชั้น P ตลอดระยะทางที่กล่องเหล็กเคลื่อนที่ไม่มีเสียงพูดคุยใดๆ มีเพียงร่างสูงของน้ำทิพย์ที่ยืนพิงผนังลิฟต์อย่างเหนื่อยใจ และร่างเล็กของศิรินที่ยืนมองด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    ติ๊งง

    ประตูลิฟต์เปิดออกปรากฏเพียงประตูขนาดใหญ่เพียงบานเดียว นี่มันลิฟต์ส่วนตัวชัดๆ ร่างสูงเดินนำไปแตะคีย์การ์ดที่ประตูห้องแล้วประตูจึงเปิดออก ศิรินเดินตามมาด้วยแววตาอึ้งๆปนสงสัยในคราเดียวกันเมื่อเดินเข้าจะพบกับเขตที่แบ่งเล็กน้อยให้เป็นที่เปลี่ยนรองเท้าเป็นสลิปเปอร์ มองทางหน้าตรงจะพบกับห้องรับแขกขนาดใหญ่ที่มีทั้งทีวี โซฟาขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก เครื่องเล่นเกมครบครัน ไหนจะโต๊ะบิลเลียดขนาดกลาง ขวามือถัดไปจะเป็นห้องครัวที่ครบครันทั้งบาร์เครื่องดื่มครัวไทยครัวเทศ

    “แบ่งเป็นสามโซนของพวกฉันสามคน ฝั่งซ้ายนี่ ของฉัน เดินได้ ตรงกลางของพี่แกน ส่วนขวามือของพลอย” ร่างสูงอธิบายให้ฟัง ศิรินจึงลากสายตาตามนิ้วที่ชี้บอก แล้วพบว่าแต่ละห้องจะมีชั้นหนังสือเตี้ยๆวางไว้ ว่าจบก็เดินไปทิ้งตัวกึ่งนั่งกึ่งนอนบนโซฟา ศิรินจึงเดินเข้าไปหา

    “นอนดีๆไหมค่ะ ถอดสูทตัวนอกออกนิดนึงนะคะ” สิ้นเสียงน้ำทิพย์ก็ลุกขึ้นมาถอดสูทออกเหลือเพียงเสื้อเชิ้ตที่เจ้าตัวก็พับแขนขึ้นทันทีแล้วทิ้งตัวลงนอนสักพักก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปสังเกตจากลมหายใจที่หายใจสม่ำเสมอ ศิรินจึงเดินดูรอบๆอย่างระมัดระวังหน้าห้องของออร์แกนยังคงมีกระเป๋าเดินทางวางไว้แสดงว่าเจ้าตัวคงเพิ่งกลับจากไปต่างประเทศมาแน่ๆ มาถึงก็วางกระเป๋าแล้วออกไปเลย ศิรินคิดพลางนั่งลงอ่านตั๋วที่วางไว้บนกระเป๋า วันนี้ตอนตีสาม วันนี้!! บ้าไปแล้ว นี่คือมาถึงก็อาบน้ำไปงานต่อเลยนะสิ ว่าก่อนจะลุกเดินไปดูที่ชั้นวางทีวี พบแต่แผ่นหนัง ภาพยนตร์เต็มไปหมด นี่ว่างกันมากนักหรือยังไง พอเปิดดูบางแผ่นก็ถึงกับลายกันไปแล้ว ส่ายหัวเบาๆ กับความไม่มีระเบียบของพวกเขาสามคนที่บางอย่างก็วางเกะกะ จะมีก็แค่หน้าห้องของเฌอมาลย์ที่ไม่ค่อยมีอะไรวางไว้ ไม่รู้ว่าเพราะเก็บเรียบร้อยหรือไม่ค่อยมากันแน่

    เดินสำรวจไปรอบๆก็ไปหยิบไม้กวาดกวาดนั่นกวาดนี่จัดนู่นนี่นั่นให้เข้าที่ไปด้วย ก่อนจะเดินมาตรงครัวแล้วคำนวณเวลาที่คาดว่าอีกคนจะตื่น แล้วหาของสดมากองๆไว้เพื่อทำอาหารรองท้องให้อีกคน สักพักอีกสองคนเจ้าของที่พักก็เดินเข้ามาที่ผิดแปลกคือราศีพาคนตัวเล็กมาด้วย

    “หลับเหรอ”ราศีถามศิรินเสียงเบา คนถูกถามจึงพยักหน้าเบาๆ ราศีจึงบอกให้คนตัวเล็กอยู่กับศิรินตรงครัวแล้วตัวเองเดินไปเก็บกระเป๋าในห้องสักครู่ ส่วนหมอพลอยมาถึงก็เดินไปยืนแทงสนุกเกอร์ทันที แถมยังชวนอีกสองคนให้ไปเล่นด้วย

    “เล่นเลยค่ะ คริสเล่นไม่เป็นหรอก” ศิรินพูดแล้วส่งยิ้มให้ ซีแนนก็พยักหน้าเห็นด้วย

    ทั้งสองคนจึงนั่งคุยกันไปเรื่อย จนได้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอย่างไร เริ่มสนิทกันมากขึ้น ราศีที่เดินออกมาด้วยชุดเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงวอร์มสบายๆ ทำให้กุลธิดาถึงกับมองตาค้าง

    “เป็นอะไรแนน” คนตัวสูงเดินมาถามอีกคน

    “เอ่อ..แปลกตาดีค่ะ ปกติเห็นแต่พี่แกนใส่เสื้อเชิ้ต” คนถูกถามตอบพลางก้มหน้าซ่อนอาการเห่อร้อนบนใบหน้า ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ว่าในชุดไหนๆก็มีผลต่อจิตใจเธอทั้งนั้น

    “แนนจะเปลี่ยนชุดรึเปล่าละ ในห้องมีนะ เสื้อยืดกับกางเกงแบบนี้อ่ะ เข้าไปอยู่ซ้ายมือ” ออร์แกนพูด ร่างเล็กจึงเดินเข้าไปตามคำบอก

    “แล้วนี่คริสจะทำอะไรเหรอ” ออร์แกนถามคนที่ยืนอยู่หน้าเตา

    “ว่าจะทำข้าวรองท้องให้น่ะ กว่าจะถึงเวลางานเย็น อีกตั้งหลายชั่วโมง” ศิรินพูดก็งานเย็นมีตั้ง 2 ทุ่ม นี่เพิ่งจะบ่ายสอง เดี๋ยวจะหิวกันจนตาลาย

    “ฝากท้องด้วยน้า” เฌอมาลย์พูดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้บาร์ทรงสูง พลางเสียงโทรศัพท์ของคนที่นอนอยู่ดังขึ้น เจ้าของจึงลืมตาขึ้นมาก่อนจะกดรับ

    “สวัสดีค่ะแม่”

    (ลูกอยู่ไหน)

    “บ้านสาม

    (แม่ก็นึกว่าหายไปไหน เดี๋ยวแม่ฝากชุดหนูคริสไปที่ธนัทแล้วกันนะ)

    “แม่จะไม่ไปเหรอคะ”

    (พอดีมีงานด่วนเข้ามา ต้องรีบบินกลับวันนี้ ซอรี่นะลูก เดี๋ยวแม่จะมาหาใหม่)

    “ค่ะ เดินทางปลอดภัยนะคะ” ว่าจบก็กดวางสายไป แล้วเดินเข้าห้องนอนไปเปลี่ยนเสื้อผ้า พอเดินออกมาก็ได้กลิ่นหอมของอาหารที่คาดว่าน่าจะเป็นสเต็ก เดินไปจนถึงห้องครัวก็มั่นใจทันที

    “ทานแล้วนะคะ” เฌอมาลย์พูดแล้วลงมือจัดการอาหารตรงหน้า อย่างเอร็ดอร่อย เรื่องที่ถูกหยิบยกมาเป็นหัวข้อสนทนาก็ทั่วไปเรื่อยๆมีเสียงหัวเราะออกมาตลอด จากการชอบพูดจากวนๆของหมอพลอย และก็วีรกรรมเปิ่นๆสมัยเด็กของหมอก็มีแต่แสบๆทั้งนั้น พอทุกคนอิ่ม ศิรินก็อาสาเอาไปล้าง

    “พี่คริสไม่ต้องหรอกคะ เดี๋ยวแนนไปล้างเอง พี่คริสเป็นแม่ครัวไปแล้วแล้วนะคะ” ซีแนนพูดพลางยกจานไปที่ซิงค์ล้างจานโดยมีเจ้านายตัวสูงช่วยยกไปให้ ศิรินเองก็ขอตัวไปรับโทรศัพท์

    “ปากแข็ง” เฌอมาลย์พูดเมื่อราศีเดินกลับมาที่โต๊ะทานข้าว

    “อะไร ก็น้องเขาตัวแค่นั้น ยกจานกระเบื้องห้าจานใหญ่หล่นแตกพอดี”

    “โกหก” น้ำทิพย์พูดขึ้นบ้าง

    “หรือจะรวมเงินกันซื้อใหม่” แน่นอนว่าคำตอบคือการส่ายศีรษะของอีกสองคน ราศีจึงหัวเราะฮึเบาๆ

     

     

    “ฮัลโหล ปั้น”

    (พาพีท มาส่งบ้านแล้วนะ)

    “โอเค ขอบคุณมากนะที่พาเขาไปเที่ยวอ่ะ”

    ไม่เป็นไร เแล้วนี่ว่างเหรอย่ะ

    “อื้อ รอไปงานราตรี เฮ้อ ใครจะพาพีทเข้านอนล่ะที่นี้”

    เขาโตแล้ววนะยะ นอนเองได้ สบายมาก บอกเลย

    “ขอบคุณอีกครั้งนะ ปอจอ”

    ย่ะ เจอกันตอนเย็น

    “บาย”

     

    “อดคิดถึงกันไมได้เลย” น้ำทิพย์พูดขึ้นเมื่อคิดว่าจะเดินมาตามให้อีกคนไปเปลี่ยนชุดให้สบายกว่านี้ ต้องมาได้ยินประโยคพ่อแม่ลูกแบบนั้น  ไม่น่าเดินมาเลย

    “ค่ะ พอดีปั้นเขา....”

    “ไม่ได้อยากรู้” น้ำทิพย์พูดขัดขึ้นทั้งที่อีกคนยังพูดไม่จบ “อยากเปลี่ยนชุดก็เดินไปเปลี่ยน ในห้องฉันมีชุดอยู่ในตู้ซ้ายมือ” ว่าจบก็เดินเข้าห้องที่เชื่อมระหว่างห้องตัวเขาเองกับห้องของราศี

    “ยังจะทำงานอีกเหรอวะ ไอ้บี” ราศีทักเพราะห้องที่ร่างสูงเดินเข้าไปมันคือห้องทำงานรวมของพวกเขาสามคน

    ศิรินเดินเข้าห้องนอนของน้ำทิพย์ตามที่เจ้าตัวบอก เดินเข้าไปซ้ายมือ นี่สินะ ตู้สีเทาเรียบหรู พอเปิดออกก็ต้องตกใจเมื่อในตู้นั้นมีแต่เสื้อผ้าของตนเองที่เคยเอาไปทิ้งไว้ที่คอนโดเขาเมื่อครั้นที่ยังคบกันอยู่ ยังเก็บไว้อีกเหรอ คิดพลางหยิบออกมาชุดนึงลองสวมดูปรากฏว่าตัวเธอเองไม่ได้ตัวใหญ่ขึ้นเลยสินะ ไม่เขิน ไม่คับ พอดีเป๊ะ แล้วพับชุดเดรสสีขาวให้เรียบร้อยก่อนจะหมุนตัวเดินออกมา สายตาพลันไปสะดุดกับรูปบนโต๊ะข้างเตียงเป็นรูปของนักศึกษาสองคนยืนกอดคอกัน ก็คือรูปเดียวกับที่อยู่บนหัวเตียงในห้องนอนตัวเธอเอง น้ำตาเจ้ากรรมก็พากันรื้นมาเกาะที่ดวงตาเล็กทั้งสองข้างก่อนที่คนหน้าหมวจะรีบสลัดความคิดออกไปแล้วยกมือขึ้นปาดน้ำตาลวกๆ พัดมือไปมาให้ตาแห้งแล้วออกจากห้องไป

    สักพักทุกคนก็แยกย้ายกันไป ราศีเข้าไปจัดกระเป๋าให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะบอกให้เด็กสาวตัวเล็กเข้าไปพักในห้องตนก็ได้ส่วนตัวเองก็ไปห้องที่น้ำทิพย์เดินเข้าไปก่อนแล้ว คุณหมอคนสวยก็เดินเข้าไปนอนพักบ้าง อย่าให้หมอจีบคุณพยาบาลได้บ้างนะจะพามานอนนี่ทุกคืนเลย อิจฉาโว้ยยย ศิรินจึงเดินจัดนู่นนี่สักพักตามฉบับคนไม่อยู่เฉยบ้างก็อ่านอีเมลของร้านเสื้อผ้าบ้างก่อนจะผล็อยหลับไป

     

     

    To be continued…

     

     

    -ZenonZane-

    TALK :

     ขอโทษทุกคนที่หายไปนานนะคะ พอดีช่วงนี้มีสอบนู่นนี่นั่นเต็มไปหมดเลย มีสอบทุกอาทิตย์กันเลยทีเดียว เลยไม่ว่างเขียนไม่ว่างอัพเลย บางทีว่าจะมาอัพก็มีอันจะไม่ได้อัพสักที มีเวลาก็เลยแอบไปเขียนไว้บ้างหลายตอนแล้วแบบย่อๆ หลังจากนี้จะอัพให้ทุกคนได้อ่านต่อกันยาวๆนะคะ

     ปล.หวังว่ายังไม่ลืมกันเนอะ รักทุกคนที่กดเข้ามาอ่านนะคะ ทั้งคนที่รออ่าน และคนที่เข้ามาอ่านใหม่ฝากเป็นกำลังใจให้กันด้วยนะคะ

     

     

    รัก

    ZenonZane

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×