ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    { Hidden Love ร้ายซ่อนรัก } [ บีคริส ]

    ลำดับตอนที่ #7 : Hate? U or Me

    • อัปเดตล่าสุด 5 มิ.ย. 62


     

         H   A  T  E  

     


    หลังจากที่น้ำทิพย์เดินเข้าเปลี่ยนชุดเสร็จเตรียมจะกลับ ก็พบกับธราภุชที่กำลังปลอบศิรินอยู่ และศิรินเองก็ดูจะยิ้มแย้มมากขึ้น ก็เกิดความไม่พอใจขึ้นอีกครั้ง ระหว่างที่ธราภุชปล่อยให้ศิรินนั่งรออยู่คนเดียวแล้วจึงเดินเข้าไปหา

    "มีความสุขมากละสิ ชอบใช่มั้ยละแบบนี้น่ะ" น้ำทิพย์พูดแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น ศิรินที่นั่งอยู่ได้ยินก็เงยหน้าขึ้นสบตากับคนที่ยืนพิงลอกเกอร์ในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่

    "ใช่ค่ะ" ศิรินตอบแล้วสบตากับน้ำทิพย์นิ่ง

    "ไปต่อกันที่ไหนละ โรงแรม ม่านรูด หรือคอนโด" น้ำทิพย์ถามพลางยกนิ้วขึ้นมานับตาม "หรือทุกที่"

    "บี น้ำทิพย์!" ศิรินที่เริ่มจะทนไม่ไหวพูดขึ้นเสียงดัง

    "มีอะไรคะ คุณศิริน เรียกซะเสียงดังเชียวอยู่กันแค่นี้เอง เก็บเสียงไว้เถอะนะคะ เผื่ออีกไม่นานคุณต้องใช้" น้ำทิพย์พูด ศิรินเงื้อมือหมายจะฟาดลงกับใบหน้าของอีกคน "ถ้าคุณตบฉันจะจูบคุณจริงๆด้วย ชอบนักนะ ตบจูบๆ น่ะ" ศิรินได้ยินแบบนั้นก็กำหมัดแน่น น้ำทิพย์เห็นแบบนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าใกล้คนตัวเล็กมากขึ้้น

    "หรือจะจูบเลยดี วันนี้คุณตบฉันมาสองครั้งแล้วนะ" 

    "อย่าเข้ามานะ"

    "ทำไม ฉันก็แค่อยากจะเช็คของก่อนจะส่งต่อให้คนอื่นก็แค่นั้นเอง" น้ำทิพย์พูดแล้วขยับใบหน้าเข้าใกล้ศิรินมากขึ้น

    "หยุดนะ"

    "จะเก็บไว้ให้มันรึไง กลัวมันจะว่าฉันเอาของเก่าให้มั้นเหรอ แต่ก็นะ น่าจะผ่านมาเยอะแล้วนี่ มันคงเข้าใจ"

    "ใช่ ฉันจะเก็บไว้ให้เขา ถึงยังไงเขาก็ไม่เลวแบบคุณ"

    "ศิริน! รู้ได้ยังไงว่ามันไม่เลว เผลอๆอาจมากกว่าฉันก็ได้มั้ง"

    "คนไม่มีหัวใจแบบคุณน่ะ จะมีอะไรเลวมากกว่านี้"

    "คนที่ไม่มีหัวใจและเลวกว่า มันคือเธอต่างหากศิริน ฉันชักไม่อยากปล่อยเธอให้มันซะแล้วสิ อยากจะรู้นักปากเก่งแบบนี้ถึงเวลานั้นจะปากเก่งรึเปล่า" น้ำทิพย์กล่าวขึ้นพลางลากศิรินให้เดินไปกับตน ผ่านหน้าธราภุชไป "ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วยค่ะ!!!" ศิรินร้องออกมาเมื่อเจอหน้าธราภุช

    "เอารถไปซะ คนนี้ฉันขอคืน!!" น้ำทิพย์พูดแล้วดึงศิรินออกไปจากตรงนั้นพากลับมายังรถที่ตนขับมาแล้วเหยียบคันเร่งออกไป

    "เป็นอะไรไป ไม่ปากเก่งแล้วรึไง" น้ำทิพย์พูดแล้วหันไปมองหน้าศิริน

    "....."

    "ดี เงียบปากให้ได้ตลอดแล้วกัน ฉันจะดูว่าเธอจะทนได้ขนาดไหน" น้ำทิพย์พูดแล้วหันไปสนใจถนนด้านหน้าต่อก่อนจะพบกับป้ายที่คุ้นเคยที่เธอมักจะมาบ่อยๆหลังจากกลับจากสนามแข่งซึ่งเป็นที่ๆใกล้ที่สุดเหมาะเจาะพอดี เลี้ยวรถเข้าจอดหน้าห้องเรียบร้อยก่อนจะส่งธนบัตรจำนวนหนึ่งให้พนักงานที่รูดม่านให้แล้วหันมาสนใจอีกคนที่นั่งอยู่บนรถ ก่อนจะดึงประตูออกแล้วดึงตัวอีกคนออกมา แล้วลากศิรินเข้ามาด้านในห้องก่อนจะส่งร่างเล็กขึ้นไปบนเตียงขนาดคิงไซต์

    "จะทำอะไร" ศิรินพูดขึ้นพร้อมกับใจที่เต้นระส่ำ เธอไม่คิดว่าเขาจะทำจริงๆ นี่ก็เพิ่งจะเที่ยง เขาคงไม่บ้าขนาดนั้นหรอกน่า

    "เธอคิดว่าการที่อยู่ในที่แบบนี้ ควรทำอะไรดีละ" น้ำทิพย์พูดแล้วเดินเข้ามาใกล้ ศิรินถดตัวหนีแต่แล้วก็ต้องจนมุมเมื่อหลังติดกับหัวเตียงเรียบร้อยแล้ว น้ำทิพย์ยกยิ้มขึ้นเมื่อเห็นศิรินทำท่าทางแบบนั้น

    "เธอจะกลัวอะไร เมื่อกี้ยังปากเก่งอยู่เลย ทำไมตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้มแบบนี้ละ หืมม" น้ำทิพย์ว่าพลางขยับตัวขึ้นไปคร่อมศิรินไว้

    "หยุดนะ! อย่าเข้ามา" ศิรินพูดเสียงดัง

    "ฉันก็แค่อยากจะรู้ว่าเธอมีอะไรดีทำไมผู้ชายพวกนั้นถึงอยากได้เธอกันนักแค่ฉันเอาเธอไปวางไว้ก็พากันอยากจะลงแข่งกันแทบตาย" น้ำทิพย์พูดแล้วยกมือขึ้นเกลี่ยใบหน้าของอีกคน ศิรินหันหน้าหนีมือซนของน้ำทิพย์

    "เธอมันก็แค่ผู้หญิงรักสบายคนหนึ่ง แค่เห็นเงินเธอก็ไป สกปรก น่าสมเพชจริงๆ" น้ำทิพย์พูดแล้วยกยิ้มมุมปาก

    "แล้วคุณจะอยากมาแตะตัวคนสกปรกอย่างฉันทำไม" ศิรินพูดออกไปโดยไม่รู้ว่าหายนะกำลังจะมาเยือนตัว

    "ปากเก่งคืนแล้วนี่ จะคอยดูว่าจะเก่งอีกนานมั้ย" ว่าจบน้ำทิพย์ก็ก้มลงประกบริมฝีปากลงไปกับส่วนเดียวกันของอีกคนก่อนจะค่อยดูดดึงริมฝีปากของศิรินเบาๆแล้วขบเม้มให้อีกคนได้เคลิ้มตามได้ง่ายๆแล้วจึงค่อยทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆจนได้ยินเสียงครางอื้ออึงในลำคอของศิรินอย่าต้องการอากาศหายใจ น้ำทิพย์จึงผละออกมาแต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้นก็กลับลงไปอีก หวาน เป็นสิ่งเดียวที่น้ำทิพย์คิดออกในเวลานี้ และแล้วแรงอารมณ์ก็พาให้ทั้งคู่เริ่มจะคุมสติไมได้ น้ำทิพย์ละริมฝีปากออกมาก่อนจะซุกไซร้ซอกคอขาวหอมของอีกคนพาลทำให้ศิรินยกมือขึ้นขยุ้มผมของคนกระทำแล้วหลับตารับสัมผัสหวาบหวามนั้น มือซนของน้ำทิพย์ก็ปลดซิปด้านหลังเสื้อของศิรินออกก่อจะค่อยๆรูดออกจากตัวไปแล้วกลับมาสนใจริมฝีปากศิรินอีกครั้ง ก่อนจะหยุดการกระทำทั้งหมดเมื่อสติกลับมาก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูของคนด้านล่าง  "ง่ายจริงๆเลยนะเธอเนี่ย" ก่อนจะดันตัวเองออกมายืนอยู่ข้างเตียง

    "ฉันเกลียดเธอได้ยินมั้ยศิริน!" น้ำทิพย์พูดแล้วหลับตาลงอย่างข่มอารมณ์หวิวในใจก่อนจะเดินออกจากห้องขับรถออกไปอย่างหงุดหงิดใจ พร้อมกับต่อสายหาเลขาคู่ใจของตนเอง "มารับ ศิรินด้วยที่เดิมจากสนาม" แล้วก็วางสายไป พอวางสายจากธนัทน้ำทิพย์จึงจอดรถเลียบข้างถนนก่อนจะฟุบหน้าลงกับพวงมาลัยรถของตน ปล่อยน้ำตาที่กลั้นเอาไวตลอดเกือบ 7 ปีให้ไหลออกกมา "ฉันเกลียดเธอ แต่คนที่ฉันเกลียดมากกว่าคือตัวฉันเอง ที่แม่งมันยังรักเธอทั้งๆที่สมควรจะเกลียดเธอไงวะ!!" 

    พอระบายออกมาแล้วฟุบอยู่แบบนั้นนานนับนาที ก็กดเท้าจะเหยียบคันเร่งออกไป ทางด้านศิรินที่ถูกทิ้งก็ได้แต่ปิดหน้าร้องไห้อย่างนึกสมเพชตัวเองที่สมยอมอีกคนง่ายๆกับถ้อยคำดูถูกและสุดท้ายกับคำว่าเกลียดที่ออกมาจากปากของน้ำทิพย์กัดกร่อนหัวใจของเธอจนแหลกสลายไปหมดแล้ว เมื่อเริ่มกลับสู่สภาวะปกติศิรินจึงลุกจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมของตนให้เรียบร้อยก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้องก็ต้องพบกับรถสัญชาติยุโรปสีขาวสะอาดตาและผู้ชายที่เธอคุ้นหน้าเค้าดี

    "คุณธนัท" ศิรินเรียกคนที่ยืนหันหลังให้เธอ

    "คุณศิริน เชิญครับ ท่านประธานให้ผมมารับคุณครับ" ธนัทพูดแล้ววิ่งมาเปิดประตูให้ศิริน

    เมื่อทั้งคู่ขึ้นรถแล้วธนัทจึงขับออกไป

     "คุณธนัทค่ะ ฉันขอไม่เข้าบริษัทแล้วนะคะ รู้สึกไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวจอดตรงข้างหน้านั้นก็ได้ค่ะ" ศิรินพูดขึ้นเมื่อถึงถนนที่พอจะเรียกแท็กซี่กลับบ้านได้

    "ครับ? คุณจะลงตรงนี้เหรอ ผมไปส่งคุณที่ๆคุณจะไปได้นะ คุณจะไปไหน" ธนัทถามเมื่อเขาดูรอบๆแล้วมีแต่รถส่วนบุคคล รถโดยสารหายากขนาดนี้

    "ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปเองได้ ขอบคุณนะคะ" ศิรินว่าพลางออกจากรถไป ธนัทจึงลงตามแล้วมองจนศิรินลับสายตาไปจึงขึ้นรถขับกลับไปยังบริษัทอีกครั้ง ซึ่งเขาอาจโดนเฉ่งหัว ในวันนี้

     

     "บี มึงเป็นไรวะ ซึมตั้งแต่มาถึงละ" พลอย เอ่ยถามเพื่อนเมื่อเธอเห็นว่าตั้งแต่เข้ามาน้ำทิพย์นั่งเหม่อเขี่ยซูชิตรงหน้าไปมา

    "หือ  เปล่าหรอก กูแค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย" น้ำทิพย์ตอบกลับก่อนจะคีบซูชิเข้าปาก

    "เออ..อย่าเครียดมากนะมึง เดี่ยวได้ไปโรง'บาลเหมือนอิแกนมัน" เฌอมาลย์พูดพลางบุ้ยปากไปทางออร์แกน ราศี

    "หมอมึงอย่าจุดไฟ" ออร์แกนพูดแล้วยัดซูชิเข้าปากเฌอมาลย์คำใหญ่

    "ว่าแต่น้องคนนั้นใครวะ" เฌอมาลย์ได้ทีจึงถามราศี

    "ก็น้องที่ทำงาน" ออร์แกนตอบแล้วก้มหน้าก้มตากินซูชิต่อ

    "มึงจำเป็นต้องไปในเวลางานด้วยเหรอวะ กูไม่เข้าใจ" เฌอมาลย์ยังคงซักไซร้ ทำให้น้ำทิพย์หลุดยิ้มออกมา

    "มึงยิ้มไรบี เดี๋ยวกูทิ่มตาแตก" ออร์แกนพูดแล้วยกตะเกียบชี้หน้าบี ก่อนจะตอบเฌอมาลย์ "ก็น้องเค้าอยู่กับแม่แค่สองคน แล้วก็มีกูที่เค้ารู้จัก ถ้ากูไม่พาไปน้องเค้าก็ต้องนั่งแท็กซี่ไปกว่าจะมาทำงานก็สายพอดี"

    "คนดีซะงั้นน่ะมึง" เฌอมาลย์แกล้งแหย่

    "มึงแม่งเหมือนท่องสคริปต์มาเลยวะแกน" น้ำทิพย์พูดขึ้น

    "ไมอ่ะ"

    "ก็มึงตอบพลอย เหมือนที่มึงตอบกูเลย อย่างกับเตรียมมา" น้ำทิพย์พูดแล้วเท้าคางมองออร์แกน

    "แล้วแฟนน้องเค้าไม่มีรึไง ถึงไม่พาไป" พลอยถามขึ้น

    "กูไม่รู้ แต่เท่าที่ดูไม่มีนะ" ออร์แกนตอบ

    "แสดงว่ามึงก็สนใจเค้า ถูกมั้ย" น้ำทิพย์เอ่ยแซว

    "อะไรของพวกมึงเนี่ย" ออร์แกนแห้วเสียงดัง

    "คนอย่างมึงจะสืบประวัติใครถ้าคนนั้นไม่สำคัญหรือสนใจจริงๆมึงไม่สนใจจะดูหรอก" เฌอมาลย์พูดก่อนจะหันไปพยักหน้ากับน้ำทิพย์

    "พวกมึงก็เรื่อยเปื่อย เค้าเป็นคนทำงานกับกู กูก็สนใจทุกคนแหละ" ออร์แกนเถียง

    "มึงลองบอกพวกกูเกี่ยวกับน้องคนนั้นเท่าที่มึงรู้" เฌอมาลย์พูดขึ้น

    "น้องเค้าชื่อซีแนน อยู่กับแม่สองคน เกิด 23 พฤศจิ 36 ชอบสีชมพู ชอบกินข้าวผัด ไม่กินผักเกือบทุกชนิด กลัวความสูง และก็เป็นคนเปิ่น ทำอะไรเก้ๆกังๆ แต่ก็น่ารักดี"  ออร์แกนค่อยๆนึกทีละอย่างก่อนจะพูดออกมา

    "ป้ายุพินเกิดวันไหน" เฌอมาลย์ถามถึงประวัติของป้าคนสนิทออร์แกน

    "2 มีนา" ออร์แกนตอบอย่างสบายๆ

    "ป้าแกชอบสีอะไร"

    "กูจะรูัมั้ย"

    "ป้าแกชอบกินอะไร"

    "ส้มตำ ...มั้ง"

    "ลุงสมานกลัวอะไร"

    "กูไม่รู้"

    "ครอบครัวคุณวรวุฒิเป็นยังไง"

    "กูจะรู้มั้ยละ"

    "นั่นไง คนที่พวกกูถามทั้งป้ายุพิน ลุงสมาน คุณวรวุฒิ ก็คนใกล้ตัวมึง ทำงานกับมึงมากกว่าน้องเค้าด้วยซ้ำ มึงยังไม่รู้เลยแกน" น้ำทิพย์พูดทำให้ออร์แกนนึกขึ้นได้

    "แต่กับน้องคนนั้น มึงกลับรู้ทุกอย่างมึงยังบอกว่าไม่ชอบเค้างั้นเหรอ" เฌอมาลย์ถามขึ้น

    "......กู ไม่รู้" ออร์แกนนึกตามที่เพื่อนพูดก่อนจะอ้อมแอ้มตอบ

    "เอ้า  อิแกน มึงจีบมากี่คน จะตกม้าตายที่คนนี้เนี่ยนะ" น้ำทิพย์ถามแล้วหัวเราะ

    "ก็กูไม่รู้ เค้าอาจไม่ได้เป็นแบบกูมั้ยละ" ออร์แกนตอบแล้วสบตาเพื่อนทั้งสอง

    "มึงลองแล้ว?" เฌอมาลย์พูด

    "ยัง"

    "แกน!!" เสียงประสานของน้ำทิพย์และเฌอมาลย์ดังขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ

    "ก็กูไม่กล้าอ่ะ น้องเค้าอาจเห็นกูเป็นพี่ กูไม่อยากมองหน้ากันไม่ติด" ออร์แกนตอบ

    "เอาเถอะ ระวังสุนัขจะคาบไปรับประทาน" เฌอมาลย์พูดแล้วสนใจอาหารตรงหน้า

    "ที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว กูไม่อยากเอาตัวเองไปผูกกับใครอีกแล้ววะ" ออร์แกนพูดก่อนจะนึกถึงเรื่องของเดียร์น่า

    "น้องคนนี้กับเดียร์ก็คนละคนปะวะ มันจะเหมือนกันได้ไง" น้ำทิพย์พูดเมื่อเห็นออร์แกนนิ่งไป

    "กูเข้าใจ แต่กูว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว กูมีความสุขเวลาเค้ามีความสุขก็พอ" ออร์แกนพูด

    "สาธุ" ทั้งเฌอมาลย์และน้ำทิพย์พูดออกมาพร้อมกัน

    "แล้วนี่มึงไปไหนมา เห็นหุนหันออกไปแบนั้น" ออร์แกนเอ่ยปากถามน้ำทิพย์บ้าง

    "กูไปสนามมา" น้ำทิพย์ตอบอย่างไม่ยี่หระอะไร

    "ไปคนเดียวโดยไม่ชวนพวกกูนี่นะ" เฌอมาลย์ถามขึ้น

    "อื้อ ไมอ่ะ กูจะไปกูต้องรอพวกมึง"

    "นานๆทีนะคะคุณน้ำทิพย์ กว่าหมอที่สวยสุดในกุมารจะว่าง"

    "มึงก็หาเวลาไปเองสิ"

    "เอ้า เดี๋ยวตบคว่ำจุ่มซูชิเลย" เฌอมาลย์พูดก่อนจะงุ้ยหน้าใส่น้ำทิพย์

    "เออๆ พอเถอะ" ออร์แกนห้ามสงครามก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของตนจะดัง น้ำทิพย์ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆจึงแอบดูคนโทรเข้า Z-Nan

    เมื่อเห็นแบบนั้นจึงรีบหันไปทำตาล่อกแล่กกับเฌอมาลย์จนออร์แกนอยากจะถีบทั้งคู่แล้วทำท่าจะเดินออกไปคุยนอกร้านแต่ก็ถูกน้ำทิพย์จับขาไว้พร้อมกับเฌอมาลย์ที่ทำนิ้วจิ้มลงเชิงว่าให้นั่งคุยที่นี่แหละ

    "ว่าไงแนน"

    'พี่แกนคะ คือ ตอนบ่ายนี้แนนขอลาได้มั้ยคะ คือไม่มีใครอยู่กับแม่น่ะค่ะ แม่เพิ่งพักฟื้นน่าจะยังทำอะไรไม่ถนัด"

    "อื้อ เอาสิ แล้วไปยังไงอ่ะ ให้พี่ไปส่งมั้ย"

    'เอ่อ...เดี๋ยวแนนไปแท็...'

    "โอเค งั้นเจอกันอีก 15 นาทีรออยู่นั่นแหละ" ออร์แกนพูดจบก็วางสายไป แล้ววางธนบัตรไว้เพื่อแชร์ค่าอาหาร แล้วรีบลุกออกไป

    "นี่เหรอวะไม่ชอบ โธ่! ก็แค่ไอ้ปากแข็ง" เฌอมาลย์พูดก่อนที่จะเดินไปจ่ายเงินแล้วจึงแยกย้ายกันกับน้ำทิพย์


    BNT Property

    เมื่อน้ำทิพย์มาถึงห้องทำงานของตนกลับไม่พบศิรินที่จะต้องนั่งอยู่หน้าห้อง จึงถามคนที่ตนให้ไปรับ

    "ธนัท ศิรินล่ะ"

    "คือ เธอขอกลับบ้านครับเห็นว่าไม่สบายนะครับ" ธนัทเอ่ยตอบ

    "โอเค ขอกาแฟแก้วนะ" น้ำทิพย์ว่าพลางเปิดประตู้เข้าไปในห้อง ก็พบผู้ชายใส่สูทยืนรออยู่ ทำให้เจ้าของห้องต้องขมวดคิ้วเข้าหากัน ใครกันเข้ามาได้ยังไง

    ก่อนที่จะได้ถามออกไป ผู้ชายคนนั้นก็หันมายิ่งทำให้น้ำทิพย์ตกยิ่งกว่าเดิม คนๆนั้นคือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อของเธอเอง

    “มาทำไมคะ” น้ำทิพย์ถามออกไป

    “นี่คือคำถามที่คนเป็นลูกควรถามพ่อเหรอ บี” ผู้ชายคนตรงข้ามถามกลับ

    “คนที่ได้ชื่อว่าพ่อ กับคนที่เป็นพ่อไม่เหมือนกันนะคะ” น้ำทิพย์ตอบแล้วเดินไปยังเก้าอี้ประจำตำแหน่งของตน

    “ฮาฮ่า  เอาเถอะ ว่าแต่ได้ยินข่าวว่ารับเลขาใหม่ ศิริน หอวัง งั้นเหรอ” ชายวัยกลางคนปลายๆถามแล้วเลิกคิ้วขึ้นทั้งสองข้าง

    “ทำไมคะ มีปัญหาอะไรกับพนักงานของฉันรึเปล่าคะ” น้ำทิพย์ถามทั้งๆที่ยังไม่ละความสนใจจากเอกสารตรงหน้า

    “เปล่า แต่แกก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร อย่ามาทำให้มีปัญหาดีกว่า”ผู้ที่เป็นดั่งพ่อเอ่ยขึ้น

    “คุณไม่ถูกกับพ่อเขา ไม่เกี่ยวว่าฉันจะต้องไม่รับคนที่มีความสามารถเข้าทำงาน” น้ำทิพย์กล่าวแล้วเงยหน้าสบตากับคนที่พูดด้วย

    “แล้วเหตุผลคือแค่เขาทำงานดีแค่นั้นเหรอ ไม่ใช่ว่าแกยังไม่ลืมเขารึไง!” ชายวัยกลางคนพูดขึ้นเมื่อได้ฟังคำตอบของน้ำทิพย์

    “มันไม่เกี่ยวกันเลย งานก็คืองาน แล้วเรื่องนั้นมันก็นานแล้ว อีกอย่างคนอย่างคุณไม่สมควรมาตำหนิการรับบุคลากรของใคร ในขณะที่คนของคุณส่วนใหญ่ก็คัดมาจากบนเตียงทั้งนั้น อย่าเอาตัวเองมาเป็นมาตรฐานวัดคนอื่นเลยค่ะ ” น้ำทิพย์พูดขึ้นอย่างมีโทสะ

    “บี น้ำทิพย์!!!” ชายวัยกลางคนยืนกำมือแน่น เขาไม่คิดว่าลูกสาวคนเดียวของเขาจะพูดแบบนี้ โอเค มันอาจผิดที่เขาเองที่ไม่ได้เลี้ยงดูน้ำทิพย์เลยตั้งแต่ลูกคนนี้เกิดขึ้นมาบนโลก

    “ถ้าจะมาเพราะเรื่องแค่นี้ก็เชิญค่ะ สวัสดี” น้ำทิพย์พูดแล้วผายมือไปยังประตูบานใหญ่หน้าห้อง ชายวัยกลางคนจึงยอเดินออกไปแต่โดยดี คำพูดของน้ำทิพย์ยังก้องอยู่ในโสตประสาท

    เมื่ออีกคนเดินออกไปน้ำทิพย์ได้แต่สูดลมหายใจเข้าปอดให้ลึกที่สุด แล้วจึงผ่อนออกมา เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อวัยเด็กของตน คนที่ได้ชื่อว่าพ่อไม่เคยจะทำหน้าที่พ่อเลยซักครั้ง ได้แต่วางกรอบทางเดินชีวิตไว้ให้ทำตามแล้วก็ยื่นเงินมาให้ ตั้งแต่จำความได้เธอไม่เคยได้รับความรักจากเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ส่วนคนเป็นแม่ก็มักจะบินกลับมาหาเธอในวันที่เขาว่างซึ่งนั่นก็บ่อยกว่าที่เธอจะได้คุยกับพ่อเสียอีก

    พ่อคะ มาสอนบีต่ออันนี้หน่อยสิคะ” เด็กหญิงน้ำทิพย์วัยสี่ขวบที่เป็นดั่งคุณหนูของบ้านจงรัชตวิบูลย์เดินถือกล่องเลโก้รูปตึกแสนยากมาหาผู้เป็นพ่อที่เดินเข้ามาในบ้านหลังจากกลับจากงาน

    “ป้าจิตต์ไปสอนเจ้าบีหน่อยสิ ฉันไม่ว่าง งานยุ่งและด่วนมาก” คนที่ถูกเรียกว่าพ่อบอกกับป้านมที่เดินเข้ามาพอดีแล้วเดินขึ้นชั้นสองไป

    “มามะ หาป้าเร็วค่ะ คุณบี” ป้าจิตต์เดินเข้าไปใกล้เด็กตัวเล็กและย่อตัวลง น้ำทิพย์ยอมเดินเข้ามาหาคนเรียกแต่โดยดี แต่แววตาที่สดใสกลับเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด และยิ่งโตแววตานั้นเริ่มนิ่งมากขึ้นกว่าเก่าจากเด็กที่สดใสในวันวานกลับกลายเป็นคนเย็นชา จนถึงเวลาที่ประกาศผลว่าน้ำทิพย์สอบติดในมหาวิทยาลัยชื่อดังในคณะที่คนเป็นพ่อและตัวน้ำทิพย์เองชอบ การวาดรูปคงเป็นสิ่งเดียวที่คนเป็นพ่อลูกนั้นชอบเหมือนกัน และแล้วแววตาที่เคยนิ่งสงบ เย็นชาก็กลับมามีประกายอีกครั้งเมื่อพารุ่นพี่สาวมาที่บ้านในวันที่คนเป็นพ่อไปต่างประเทศ จนป้าจิตต์อดแซวไม่ได้เรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าคมสวยอีกครั้ง

    น้ำทิพย์ลบความคิดนั้นออกไป ก่อนจะเดินไปปิดไฟในห้องแล้วเดินไปยังห้องที่เธอมักจะเดินเข้ามาขลุกอยู่เมื่อมีเรื่องต้องคิด ห้องเก็บแผ่นผ้าใบวาดรูป และห้องเขียนแบบ

    น้ำทิพย์ค่อยๆลดผ้าสีขาวสะอาดที่คลุมกระดานวาดรูปขนาดใหญ่ ปรากฏเป็นรูปของบ้านขนาดไม่ใหญ่มากที่มีการลงชื่อและวันเวลาไว้ตั้งแต่ 7 ปีที่แล้ว.....

    คนสองคนที่นั่งกอดกันอยู่หน้ากระดาษแผ่นใหญ่

    “บี นี่ๆๆ คริสอยากได้แบบนี้” คนหน้าหมวยพูดก่อนจะชี้ลงไปในกระดาษแล้วเตรียมหยิบดินสอมาวาด

    “เฮ้!! อย่าวาดลงไปมั่วๆแบบนั้นสิ มาบอกบีมา เดี๋ยววาดให้” คนตัวสูงที่นั่งซ้อนด้านหลังพูดก่อนจะเอื้อมืไปดึงดินสอในมือออก

    “นี่ เอาห้องตรงนี้เป็นห้องของเรา ข้างๆเป็นห้องของบีดีมั้ย ห้องที่มีแต่พวกนี้อ่ะ” ศิรินชี้ลงไปในกระดาษตรงนั้นตรงนี้ก่อนจะชี้ไปรอบๆห้องที่เธอยืนอยู่ มีแต่กระดาษปอนด์เต็มพื้นไปหมด และทั้งที่ถูกม้วนไว้และกางไว้บางส่วน

    “อืมม ก็ดีนะ เพิ่มห้องอีกสองห้องดีกว่า”

    “ทำไมอ่ะ”

    “ห้องของลูกเราไง มีสักสองคน เอ...หรือสี่คนดี”

    เพียะ

    “บ้า จะเลี้ยงรึไง ให้ผ่านป๊าม๊าคริสให้ได้ก่อนเถอะ ค่อยคิด”

    “สบายอยู่แล้ว อีกไม่กี่ปีคริสก็จะสามสิบอยู่แล้วนะ ช้าเกินจะยากน้า มีผู้หญิงสักสองคน ผู้ชายสักสองคน พอดีเลย”

    “พอเลย ไม่พูดด้วยละ”

    “เขินเหรอ มาช่วยบีคิดก่อน บ้านของเราเลยนะ”

    “ไม่ช่วยเล่า ไปทำกับข้าวดีกว่า ทำให้เสร็จเลยนะบี ไม่เสร็จไม่ยอมไปอยู่ด้วยไม่รู้นะ”

    “เอ้า!! แบบนี้ก็ได้เหรอ”

    น้ำทิพย์ยืนนิ่งอยู่หน้ารูปนั้นอยู่นานก่อนจะหลับตาลง " นี่ก็ใกล้เสร็จแล้วนะ จะมาอยู่ด้วยกันจริงเหรอ" แล้วพับแขนเสื้อตนเองขึ้นก่อนจะหยิบดินสอขึ้นมาวาดต่อในส่วนที่ยังไม่เสร็จดี

    ผ่านไปหลายนาที

    “บอสบีคร้าบบ” เสียงเรียกเสียงดังด้านนอกทำให้น้ำทิพย์วาดินสอในมือลง แล้วเดินออกไปดู

    “มีอะไร ขุน มารยาทน่ะ เคาะประตูหน่อยมั้ย” ขุน หรือชานนท์ที่บ้านของน้ำทิพย์เลี้ยงมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ทำงานอยู่กับบริษัทของพ่อน้ำทิพย์ แต่ถ้ามีงานใหญ่ก็จะถูกลงมาทำกับบริษัทเธอ ชานนท์จบวิศวกรรมโยธา ซึ่งก็จะสามารถช่วยคุมงานก่อสร้างในบางส่วนได้และเขายังไปสนิทกับคนในบริษัทรับเหมาอื่นๆนั่นทำให้เขาทำงานง่ายขึ้น

    “บิ๊กโปรเจกต์ของคุณพิบูลย์ ผมได้ลงมาช่วยบอสด้วยละ” ชานนท์พูดแล้วยิ้มกว้าง

    “งานอีกสองอาทิตย์น่ะนะ รีบมาทำไม”

    “งานฝั่งนู้นเสร็จหมดแล้วนี่ครับ คนเก่งก็เงี้ย”

    “เบื่อคนหลงตัวเอง กี่โมงแล้ว” คำถามจากปากน้ำทิพย์ทำให้ชานนท์ก้มลงดูนาฬิกาข้อมือของตน

    4 โมงแล้ว จะไปไหนเหรอ” ชานนท์ถาม

    “เปล่า แค่อยากรู้ จะกลับเลยมั้ย” น้ำทิพย์ถามชานนนท์

    “ยังอ่ะ มีนัด บอสจะกลับรึยังล่ะ” ชานนท์ถามเพราะปกติน้ำทิพย์ไม่ค่อยจะกลับไปบ้านอยู่แล้ว ตัวเขาเองอาศัยอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ของครอบครัวน้ำทิพย์ แต่ลูกเจ้าของบ้านนี่สิไม่เห็นค่อยจะกลับบ้าน เมื่อก่อนที่เจ้าสัวที่เป็นปู่ของน้ำทิพย์ยังอยู่บอสเขาก็มักจะกลับบ้านทุกอาทิตย์จนท่านเจ้าสัวจากไปน้ำทิพย์ก็ไม่เคยที่จะกลับไปเหยียบบ้านหลังนั้นอีกเลย

    “ยังหรอก คิดว่าจะทำงานต่ออีกแปปนึง” น้ำทิพย์ตอบก่อนจะเดินกลับไปในห้องที่เดินออกมาอีกครั้ง ชานนท์จึงถือวิสาสะเดินตามมา จนเห็นงานที่อีกคนทำค้างไว้

    “สวยดีนี่บอส จะสร้างอยู่เองเหรอ” ชานนท์ถามก่อนจะเดินเข้าไปดูใกล้ๆ

    “ว่าจะ แต่ยังไม่เสร็จหรอก” น้ำทิพย์ตอบแล้วลงมือร่างภาพต่อ

    “สมควรแล้วที่จบเกียรตินิยมนะบอส ทำดีขนาดนี้ งานเนียน งานละเอียด” ชานนท์พูดแล้วนึกถึงวันที่เขาไปช่วยตัดโมเดลกับงานจบของน้ำทิพย์ทั้งเขา พี่หมอพลอย พี่ออร์แกน แทบจะไม่ได้นอนเพียงเพราะชิ้นงานของน้ำทิพย์ชิ้นนั้น

    “ว่าไป ฉันไม่ได้เก่งขนาดนั้นซะหน่อย ว่าแต่แกเหอะเป็นไงบ้าง ทำงานกับที่นู่นดีมั้ย”

    “ก็ดีนะพี่ แต่มันมีแต่คนโบราณน่ะ เข้าใจมั้ย แบบเราจะทำแบบนั้นก็ไม่ได้ ต้องแบบนี้ๆ ตามที่เขาวางไว้มันก็จะอึดอัดหน่อยแต่ก็ดีเหมือนเวลามีอะไรผิดมามันไม่ใช่ความผิดเราคนเดียว” ชานนท์พูดแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ในห้องที่ว่างไว้ เขาเปิดภาพที่วางกองกันไว้ใกล้เก้าอี้ไปเรื่อยๆ จนพบกับรูปๆหนึ่งที่ผืนผ้าใบมีรอยซึมของน้ำอยู่ “รูปอะไรน่ะ” ชานนท์พึมพำก่อนจะหยิบออกมาดู

    “โครตสวย” นั่นคือคำแรกที่ออกมาจากปากชานนท์

    “อะไร” น้ำทิพย์ละสายตาออกมาดูว่าชานนท์ทำอะไร ก่อนจะต้องตกใจว่านั่นคือภาพที่เธอคิดว่าเธอทิ้งไปแล้วแต่ทำไมตอนนี้ถึงมาอยู่ในมือของชานนท์

    “เอามาจากไหน ขุน” น้ำทิพย์ถามเสียงเรียบ

    “ก็วางอยู่ในกองนี้อ่ะบอส ใครเหรอ สวยจัง” ชานนท์ตอบก่อนจะพิจารณาองค์ประกอบของนางแบบที่น้ำทิพย์วาดไว้ ถ้าแบบไม่สวยต่อให้วาดสวยขนาดไหนก็คงไม่สวยหรอกเนอะ

    เหอะ เธอมีอะไรดีนักหนา แค่ในรูปยังมีคนมองว่าเธอสวยเนี่ยนะ 

    “คนเลว” น้ำทิพย์ตอบเสียงเรียบนิ่ง ส่งผลให้ชานนท์ต้องเงยหน้าสบตากับอีกคนนิ่งอย่างหาความหมายของคำตอบที่จู่ๆก็ตอเหมือนไม่ได้ผ่านกระบวนการคิดออกมาจาความรู้สึกในขณะนั้น

    “อะไรนะ คนเลวเหรอ สวยขนาดนี้น่ะนะ” ชานนท์ถามน้ำทิพย์ตาใส

    “รู้หน้าไม่รู้ใจนะ ขุน” น้ำทิพย์พูดแล้วหันกลับไปสนใจแบบบ้านตรงหน้าต่อ ชานนท์เห็นแบบนั้นก็เลิกถามแล้วเก็บรูปนั้นลงไปคืนที่เดิม ก่อนจะเปิดดูรูปอื่นต่อมีทั้ง ตึกสูง บ้าน สถาปัตยกรรมต่างๆที่ล้วนเป็นฝีมือของพี่ตัวสูงที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขานี้ ชานนท์แอบชื่นชมน้ำทิพย์มาตั้งแต่ตอนเด็กๆแล้วเพราะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาไม่เคยเห็นน้ำทิพย์จะร้องไห้หรือท้อเลยสักครั้ง มีแต่สู้กับสู้ เป็นผู้หญิงที่ถ้าเขาเป็นผู้ชายทั่วไปที่ไม่เคยอยู่ด้วยมาก่อนก็คงจะไม่ต้องคิดเลยว่าจะจีบดีไหม แต่ก็นะพี่เค้าคนนี้ก็ไม่สนผู้ชายซะด้วยสิ แถมแฟนที่ควงแต่ละคนนี่ตัวแม่ทั้งนั้น ว่าไปก็อิจฉาเล็กๆนะ

    “บอส ยังติดต่อกับคุณมย์อยู่มั้ย” ชานนท์เอ่ยทำลายความเงียบ

    “ทำไม” น้ำทิพย์ตอบอย่างไม่สนอะไร

    “ก็เพื่อนผมมันจะทำเสื้อผ้า อยากได้คุณเมย์มาเป็นพรีเซนเตอร์ให้” ชานนท์พูดต่อ

    “ลองไปถามเค้าเองดีกว่ามั้ย จะได้คุยรายละเอียดกันได้” น้ำทิพย์ถามพลางยื่นโทรศัพท์ให้ชานนท์เลื่อนหาเบอร์ของพิชญ์นาฏ

    “บอกได้เปล่า ว่าเอามาจากบอสอ่ะ” ชานนท์ถามน้ำทิพย์เพราะว่าบางทีพิชญ์นาฏอาจไม่ชอบการที่ไม่ได้มาจากเธอโดยตรง

    “อือ บอกไปเหอะ” น้ำทิพย์ตอบรับ ชานนท์นั่งเล่นกับน้ำทิพย์ซักพักจึงขอตัวกลับบ้านโดยไม่ลืมบอกให้น้ำทิพย์รีบกลับเหมือนกัน น้ำทิพย์นั่งอยู่ในห้องนั้นอีกเป็นชั่วโมงก่อนจะปิดผ้าคลุมคืนแล้วปิดไฟเดินออกมาก็พบว่านาฬิกาบนผนังบอกเวลา 19.08  หนึ่งทุ่มแล้วเหรอ คิดแบบนั้นก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อตัวนอกกับกุญแจรถแล้วเดินออกจากห้องมาก็พบกับคนที่ตนลากออกไป กลับเข้ามาเอากระเป๋าและเอกสารจำนวนหนึ่งกำลังจะกลับออกไปเช่นกัน ศิรินที่คิดว่าไม่มีใครอยู่แล้วเมื่อเห็นเงามืดๆพอเงยหน้ามาพบว่าเป็นคนใจร้ายคนนั้นยิ่งทำให้เธอกลัวมากกว่าเดิมเสียอีก ศิรินจึงรีบเดินไปเข้าลิฟท์แล้วกดปิดลิฟท์ แต่แล้วก็มีมือยื่นมาขวางไว้ก่อน ประตูที่ดีก็เปิดออก คนตัวสูงจึงก้าวเท้าเข้ามาในกล่องเหล็กสี่เหลี่ยมด้วยกัน ตลอดการเดินทางไม่กี่นาทีกลับมีแต่ความอึดอัดระหว่างคนที่โดยสารมาด้วยกัน เมื่อถึงชั้นที่ต้องการประตูจึงเปิดออกพร้อมกับศิรินที่รีบก้าวเท้าออกไป

    “หม่ามี้คริสสส ทางนี้คร้าบ” เสียงของเด็กชายตัวเล็กที่นั่งอยู่บนรถเก๋งสีดำ ตะโกนออกมาทางหน้าต่างเรียกศิริน น้ำทิพย์ได้ยินก็หันไปแล้วพบภาพที่ทำให้เธอรู้สึกจุกขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อมีผู้ชายคนนึง เดินลงมาช่วยศิรินถือของขึ้นไปบนรถแล้วขับออกไป น้ำทิพย์มองดูภาพนั้นจนลับตา แล้วเดินไปโรงจอดรถของบริษัทที่ไม่มีรถจอดซักคันนอกจากคันของตนเองจึงกดปลดล็อกประตูขึ้นไปนั่งแล้วขับกลับคอนโดไปด้วยหัวใจที่บอบช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า...

    จะตอกย้ำใจกันไปถึงไหน ศิริน

     

    To be continued…


    _______________________________

     

    TALK :

     มาแว้ว ตอนที่แล้วมีแต่คนว่าพี่บี พี่บีเค้าอ่อนแอนะ

    รักรีดทุกคนเลย ขอบคุณที่ติดตามกันน้า

     

     

                

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×