คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : My name is Cris
My name is Cris
หลังจากไปส่งพิชญ์นาฏเสร็จ น้ำทิพย์ก็รีบขับรถไปยัง BNT Property สถานที่ทำงานของเธอเอง
ขอแนะนำเลยแล้วกัน BNT Propperty ของฉันเป็นบริษัทที่รับออกแบบ ก่อสร้างและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เป็นบริษัทที่สร้างจากน้ำพักน้ำแรงของฉันและได้รับความสนับสนุนและช่วยเหลือจากรุ่นพี่ที่ฉันเคารพมากคนหนึ่ง คือ พี่เต้ หรือ เต้ ปิยะรัฐ เป็นพี่ที่ช่วยตั้งแต่สมัยที่ฉันเข้าเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ตั้งแต่ปีแรกเลย พี่เต้เป็นพี่รหัสที่บังเอิญได้น้องคณะเดียวกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาพี่เค้าทุกที ทำให้ฉันสนิทกับพี่เต้มาก วันที่ฉันตัดสินใจสร้างบริษัทนี้ จึงไม่ลังเลที่จะดึงพี่เต้มาเป็นที่ปรึกษาและเข้ามาเป็นคณะกรรมการบริหารร่วมด้วย BNT Property เปิดตัวมาได้จนปีนี้เกือบๆจะ 6 ปีแล้วได้รับมาตรฐานการันตีมากมายตั้งแต่ปีแรกที่เริ่มเปิดทำการ
“สวัสดีครับ คุณบี”
เสียงทักทายดังขึ้นเมือน้ำทิพย์เดินผ่านประตูบริษัทเข้ามา
“สวัสดี งานยุ่งหน่อยนะ”
คนถูกทักเอ่ยตอบกลับไปก่อนจะเดินลิ่วไปทางลิฟท์สำหรับฝ่ายบริหารเท่านั้น ที่มี ธนัท
รออยู่ก่อนแล้ว ธนัท คือเลขาส่วนตัวและพลขับเวลาทำงานของน้ำทิพย์ทำทุกอย่างที่ตั้งแต่จัดตารางงาน
เดินเอกสาร ขับรถ
นัดลูกค้ารวมไปถึง...คอยสับรางไม่ให้รถไฟสาวๆของท่านประธานคนสวยมาชนกันในบริษัทด้วย
“วันนี้มีอะไรบ้าง”
น้ำทิพย์เอ่ยถามอีกคนที่โดยสารเจ้ากล่องเหล็กเคลื่อนที่ได้มาด้วย
“มีรับสมัครงานครับ แต่ตอนนี้ยังอยู่ที่ฝ่ายบุคคลอยู่ครับ
แล้วก็ดูความคืบหน้าก่อสร้างโรงแรมตอนบ่ายโมงครับ” ธนัท
เปิดสมุดบันทึกงานขึ้นดูก่อนจะเอ่ยตอบออกไป
“อืม...แล้วจะผ่านขึ้นมาเมื่อไร” น้ำทิพย์เอ่ยถาม
“ครับ??”ธนัท
พูดพร้อมกับทำหน้าสงสัยเมื่อคำถามที่ไม่มีหัวข้อของผู้เป็นนายเอ่ยขึ้น
“พนักงานใหม่...จะผ่านฝ่ายบุคคลขึ้นมาเมื่อไร” น้ำทิพย์ถามย้ำและขยายความให้มากขึ้น
“อ่อ...คงไม่เกิน 1-2 วันนี้ครับจะส่งขึ้นมาให้พิจารณา”ธนัท
รีบเอ่ยตอบกลับไป
“โอเค บอกฝ่ายบุคคลนะ ดูการทำงานเป็นหลัก
ไม่ใช่ดูแต่ความพึงพอใจของหัวหน้าฝ่ายเป็นหลัก” น้ำทิพย์พูดพร้อมกับก้าวเดินออกไปเมื่อลิฟท์ขึ้นมาถึงชั้นที่ต้องการ ธนัทได้แต่ยิ้มกับความเจ้าระเบียบในการทำงานของน้ำทิพย์ ปนขำในความไม่ลงรอยกันของประธานอย่างอย่างน้ำทิพย์กับผู้เป็นอาเขยที่เป็นหัวหน้าฝ่ายบุคคล
“พี่ธนัท สวัสดีค่ะ ท่านประธานมาแล้วเหรอคะ?” เสียงเอ่ยทักของลิลลี่เลขาของคุณเต้
ที่ธนัทดูแล้วน่าจะแอบมีใจให้กับหัวหน้าของเขาอย่างแน่นอน
“อือ...ทำไมเหรอ จะฝากขนม นม เนย
ไปให้ท่านประธานรึไง” ธนัทแกล้งหยอกอีกคน ส่งผลให้อีกคนหน้าแดงอย่างกับลูกตำลึงสุก
“บ้า...ลี่จะฝากไปทำไม ลี่ก็แค่ถามและนี่เอาไปให้ท่านประธานด้วย
พี่เต้ฝากมา” ลิลลี่พูดแล้วยัดกองเอกสารใส่อกธนัทอย่างแรงจนตัวของเขาแทบจะล้มลงไป
“โอ้ย! ลี่ ถ้าจะดันมาขนาดนี้ผลักพี่เลยก็ได้นะ”ธนัทแกล้งพูดออกไป
“ได้เหรอ งั้นเอาใหม่ไหมล่ะ ?”
ลิลลี่พูดแล้วทำท่าจะเข้าไปดึงกองเอกสารมาส่งให้ใหม่
“พี่ล้อเล่น แกล้งพี่เดี๋ยวท่านประธานไม่รักนะ”ธนัทพูดแล้วเดินจากไปยังห้องฝั่งมุมตึกที่เป็นห้องทำงานของเจ้านายเขา
“ไอ้พี่บ้า...ใครเค้าสนใจประธานกันเล่า”
ลิลลี่บ่นพึมพำก่อนจะกลับตัวเดินไปทางห้องพี่เต้เหมือนเดิม
ก๊อก ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจจากคนที่เพิ่งจะถอดเสื้อตัวนอกพาดไว้กับพนักพิงของเก้าอี้ตัวสูงให้หันมาก่อนจะตะโกนกลับไป
“เข้ามา”
“คุณเต้ ฝากมาครับ” ธนัท
เดินเข้ามาพร้อมกับวางกองเอกสารไว้บนโต๊ะของน้ำทิพย์
“โอเค แล้วก็...ขอกาแฟแก้วนึง” น้ำทิพย์เอ่ยบอกธนัทที่กำลังจะเดินออกไป
แล้วทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ก่อนจะเปิดลิ้นชักเพิ่มหยิบเอาปากกาออกมา
และเริ่มเปิดเอกสารไปทีละแฟ้มเพื่ออ่านและพิจารณาว่าจะอนุมัติดีหรือไม่ น้ำทิพย์นั่งทำงานไปสักพักธนัทก็เอากาแฟมาวางไว้ให้ก่อนจะเดินออกไปเงียบๆเพราะเขารู้ดีว่าเวลาน้ำทิพย์ทำงานมักจะชอบอยู่เงียบๆคนเดียวมากกว่า
เมื่อเวลาผ่านไปน้ำทิพย์เริ่มรู้สึกล้าสายตาจึงเงยหน้าขึ้นจากแผ่นกระดาษตรงหน้าแล้วเหลือบมองนาฬิกาที่ตั้งอยู่มุมโต๊ะ
แล้วก็พบว่าตนนั่งทำงานมาเป็นชั่วโมงแล้ว
จึงลุกไปยืดเส้นยืดสายเดินไปในห้องที่เธอทำขึ้นเหมือนคอนโดขนาดย่อมในห้องทำงานที่น้อยคนจะได้เข้าไป
เดินเข้าไปจะพบห้องย่อยอีกสามห้อง ห้องแรก เดินเข้าไปก็จะพบกับแท่นไม้ที่ตั้งขึ้นผ้าใบสีขาวที่ถูกคลุมด้วยผ้าขาวอีกชั้นวางเรียงรายกันไว้
ห้องที่สองเป็นห้องที่มีโต๊ะญี่ปุ่นตัวยาวหนึ่งตัว
และโต๊ะตัวสูงกว้างสำหรับเอาไว้ตัดโมเดลอีกหนึ่งตัวและมีกองเศษไม้เศษขยะจากการทำแบบของน้ำทิพย์อีกมากมายซึ่งเธอเป็นคนไม่เก็บกวาด
เพราะถ้าเก็บแล้วมักจะหาของที่จะใช้ไม่เจอ
และห้องสุดท้ายที่อยู่ลึกที่สุดเป็นห้องที่จะถูกล็อกด้วยรหัส
เป็นห้องล้างภาพและเก็บอัลบั้มรูปทุกอย่างไว้ซึ่งมีแต่ความทรงจำที่น้ำทิพย์อยากปิดตายมันในนั้นตลอดไป
พอเดินยืดเส้นยืดสายเสร็จก็กลับมานั่งทำงานต่อ
“เข้าไม่ได้นะครับ คุณ! เฮ้!! คุณ”
เสียงโวกแวกโวยวายด้านนอกของธนัทเรียกให้น้ำทิพย์เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองออกไปด้านนอก
“ฉันจะมาหาบี ! แล้วนี่แกเป็นใคร มีสิทธิ์อะไรมาห้ามฉัน ห๊า!”
เสียงแหวตอบกลับมาหาอีกคน
“คุณจะเป็นใครก็ช่าง แต่ที่มันเป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ไม่ใช่ที่ๆคุณจะเข้าไปที่ไหนก็ได้
รู้จักกาลเทศะบ้างนะครับ” ธนัทพูดพร้อมกับจ้องหน้าอีกคน
“อ๊ายย! แก! ฉันจะหาบี แกเป็นใคร ฉันจะบอกให้บีไล่แกออก”
เสียงแหวยังคงโวยวายอย่างต่อเนื่อง
“มีอะไรกัน เสียงดังไปถึงข้างใน”
เสียงบุคคลที่สามที่ถูกพาดพิงเอ่ยขึ้นจากทางห้องของประธาน
“บี! บีค่ะ”
แม่สาวคนงามที่เพิ่งจะโวยวายเมื่อกี้รีบปรี่เข้าไปหาคนที่ออกมาพร้อมกับกอดแขนเอาไว้แล้วชี้มาทางธนัท
“บีค่ะ ไล่มันออกเลยค่ะ มันไม่ให้แนทเข้ามาหาบี แล้วมันก็ว่าแนทด้วย” แนท หรือ
อนิพรณ์ 1 สาวในฮาเร็มของน้ำทิพย์
“คุยกันด้านในเถอะ” น้ำทิพย์ว่าพลางดึงตัวอธิพรณ์เข้าไปในห้องทำงานของตน
“แก ฉันว่าสาวๆของคุณบีเนี่ย ยัยนี่น่ารำคาญสุด
คนอื่นๆฉันไม่เห็นจะมาวุ่นวายกับคุณบีขนาดนี้เลย”
พนักงานคนนึงเอ่ยขึ้นกับเพื่อนของตน
“นั่นสิ คนอื่นฉันเห็นเขาก็อยู่สวยๆ ไม่มายุ่มย่าม มีแต่แม่นี่ละ
ไม่รู้ว่าคุณบีจะใจดีกับแม่นี่อะไรนักหนา”
“เฮ้ออ อย่างว่าแหละ ลูกสาวของคู่ค้าก็ต้องดูแลดีเป็นธรรมดา
ฝ่ายนั้นเค้ายิ่งตามใจลูกสาวเขาอยู่ เกิดไมพอใจขึ้นมาไปฟ้องพ่อ ยกเลิกสัญญากลางคันละแย่เลย”
“เราคงต้องทนกับแม่นี่ไปอีกเกือบ 4 เดือนเลยนะ
กว่าโครงการนี้ของบริษัทจะเสร็จ”
“เฮ้อออ”
“มายืนถอนหายใจอะไรกัน
งานการไม่มีทำรึไง หรือว่างจะได้หางานเพิ่มให้”
ธนัทเอ่ยขึ้นเสียงดังส่งผลให้พนักงานที่จับกลุ่มคุยกันกระจายตัวไปทำงานตามโต๊ะของตน
ฝั่งในห้องของน้ำทิพย์
หลังจากพาอธิพรณ์เข้ามาน้ำทิพย์ก็เดินอ้อมมาทางด้านหน้าของอีกคน
“ธนัทเขาว่าอะไร” น้ำทิพย์ถามพลางสบตากับอธิพรณ์
“...เขาบอกว่าแนทไม่รู้จักกาลเทศะ”
“แล้วมันจริงไหม อีกอย่างบีไม่ได้ให้มา
ถ้าจะมาที่นี่หมายความว่าคุณจะต้องมีธุระหรือติดต่องานกับบีเท่านั้น
ไม่ใช่นึกจะมาก็มา
“น้ำทิพย์ตอบกลับเรียกเสียงคิกคักจากบรรดาพนักงานที่มามุ่งดูอยู่
“บี! นี่บีกำลังจะว่าแนท บี!”
อธิพรณ์โวยวายแล้วทำท่าจะทุบอกอีกคน
“แนท แนทโตแล้วแนทควรจะรู้ว่าอะไรควรทำอะไรไม่ควรทำ
ถือบริษัทเราจะกำลังร่วมงานกันแต่การที่แนทจะมาก็ควรมีเหตุอันควร
ไม่ใช่นึกจะมาก็มาแบบนี้ ต้องติดต่อให้เป็นระบบ” น้ำทิพย์พูดแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
“บีคะ แต่แนทคิดว่าแค่เรื่องของเราก็ควรเป็นเหตุอันควรได้นะคะ”
อธิพรณ์พูดแล้วส่งยิ้มมาให้อีกคน
“หรือบีอยากให้พ่อแนทรู้เรื่องของเราเหรอคะ บี”
น้ำทิพย์ได้แต่ถอนหายใจออกมา ท่านอธิชัย ท่านรักลูกสาวท่านมากและท่านก็เป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีท่านหนึ่งแต่ถ้ามีใครมาทำร้ายหรือทำให้ลูกสาวท่านเสียใจก็แทบจะกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือกันเลยทีเดียว
“....”
“ต้องการอะไร”
น้ำทิพย์จนปัญญาจะต่อปากต่อคำด้วยจึงเอ่ยออกไปอย่างเบื่อหน่าย
“ไปทานข้าวกลางวันด้วยกันหน่อยสิคะ”อธิพรณ์พูดก่อนจะยกมือขึ้นกอดอกอย่างผู้มีชัย
“แต่บี..”
“อะไรคะ บีจะปฏิเสธแนทอีกครั้งเหรอคะ อย่าคิดว่าแนทไม่รู้นะว่าครั้งก่อนที่บีปฏิเสธบีไม่ได้ติดงานแต่บี
ไปหายัยพิชญ์นาฏ”
“...แนท”
“ยังไงคะ เรามันพวกเดียวกัน
แนทขอแค่วันนี้วันเดียวนะคะ วันนี้ พอล ไม่ว่างแนทไม่อยากกินข้าวคนเดียว”
“โอเคๆ”
น้ำทิพย์ว่าพลางเดินไปหยิบเสื้อคลุมตัวนอกสวมทับเชิ้ตด้านในก่อนจะหยิบกุญแจรถและเดินออกไปพร้อมกับอธิพรณ์
“นั่นไง เห็นมะ ออกไปด้วยกันจนได้ แม่นี่ร้ายไม่เบา”
พนักงานเมื่อเห็นเจ้านายเดินผ่านไปก็หันไปซุบซิบกัน
“เม้าท์เจ้านาย เดี๋ยวไล่ออกดีมั้ยน้า” เสียงแทรกขึ้นทำให้พนักงานทั้งสองหันไปมองก่อนจะพบกับ อรนภา หัวหน้าฝ่ายการตลาด
“โธ่ พี่ม้าคะ เราเป็นห่วงเจ้านายเฉยๆ ไม่ได้เมาท์เลยค่ะ”
พนักงานตอบกลับพร้อมกับมองตากันอย่างเข้าใจ
“จ้าๆ แต่ถ้ามัวแต่ห่วงนาย งานไม่เดิน
คุณน้องจะเดินออกจากบริษัทแทนนะคะ อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน”
พี่ม้า พูดขึ้นก่อนจะเดินเชิดกลับไป
“พี่ม้าอ่ะ”
ทางด้านสองคนที่เดินควงกันลงมากลายเป็นจุดสนใจได้ไม่ยากเมื่ออีกคนคือประธานกับอีกคนเป็นลูกสาวบริษัทร่วมลงทุนรายใหญ่
“แหมๆ ควงกันลงมาขนาดนี้ เหมาะหรือครับน้ำทิพย์”
เสียงแทรกขึ้นจากทางด้านหลังเรียกให้น้ำทิพย์หันกลับไปมอง
“ไม่เหมาะหรอกค่ะ แต่พอดีนี่ก็ลูกค้า ก็คงจะเหมาะกว่าการพาเด็กที่มาสมัครงานไปกินในห้องตัวเองนะคะ"
"เอ...หรือแบบนั้นเหมาะสมคะ” น้ำทิพย์พูดกลับ ทำให้อีกคนถึงกับหน้าชา
“พูดอะไร ระวังคำพูดบ้างนะครับ” หัวหน้าฝ่ายบุคคลพูดขึ้น
“อะอ้าว บียังไม่ว่าอะไรเลย มีแค่พูดลอยๆ ไม่ใช่คุณอย่าร้อนตัวสิคะ”
น้ำทิพย์พูดแล้วยกยิ้มขึ้น
“ทานข้าวด้วยกันไหมคะ คุณอา” อธิพรณ์เอ่ยถามขึ้นขัด วิรุต
ที่กำลังจะว่าน้ำทิพย์
“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวพวกคุณจะกินกันไม่อร่อย ขอตัว” วิรุต
พูดจบก็เดินออกไป
“ปากร้าย” อธิพรณ์พูดก่อนจะตีแขนอีกคนเบาๆ
“เรื่องจริงนี่ ไปกันเถอะ จะไปร้านไหน” น้ำทิพย์พูดพลางก้าวเดินต่อ
ก่อนจะหยุดเดินและสังเกตเห็นแผ่นหลังเล็กกับเสี้ยวหน้าคุ้นๆที่จู่ๆก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรง
น้ำทิพย์เอี้ยวมองจนลับสายตา
“มีอะไรคะบี” อธิพรณ์ถามเมื่ออีกคนหยุดเดินดื้อๆ
มองตามสายตาของน้ำทิพย์ไป
“ปะ เปล่าคะ ไปกันเถอะ” คนถูกถามเอ่ยตอบก่อนจะพาอีกคนไปขึ้นรถของตนแล้วขับออกไปยังห้างสรรพสินค้าที่ตนกับอธิพรณ์ตกลงกัน
.
.
.
“อีหมวย กว่าจะมาได้นะมึง นัดตั้งแต่เที่ยง
มึงมาเที่ยงครึ่ง”เสียงทักขึ้นเมื่อคนหน้าหมวยเดินเข้ามาในร้านอาหารที่นัดกันไว้กับแก๊งของเธอ ที่เพื่อนเธอมารอกันอยู่ก่อนแล้วอย่างครบหน้า
“เออ กูขอโทษละกัน ไปสัมภาษณ์งานมา นานไปหน่อย”
“ห้ะ! คริส มึงไปสัมภาษณ์งาน ที่ไหน”
วุ้นเส้นที่นั่งอยู่ติดกับเธอเอ่ยขึ้น
“BNT Property” คริส ตอบกลับไป
“มึงบ้าไปแล้วเหรอ หมวย” นานาที่ได้ยินก็ถามต่อ
เรื่องการสัมภาษณ์งานของเธอเลยกลายเป็นประเด็นประจำมื้อเที่ยงนี้ไป
“กูไม่บ้า มึงก้รู้ว่าบริษัทเค้ามีมาตรฐานการบริหารที่ดีขนาดไหน
แล้วอีกอย่างค่าตอบแทนก็สูง” คริสตอบพร้อมกับลงมือทานอาหารที่เพื่อนๆของเธอสั่งมาก่อนแล้ว
“อีคริส แต่นั่น บี บีน้ำทิพย์นะมึง” นานาถามย้ำให้เพื่อนมีสติตอบเธอ
“เออ กูรู้” ยังคงตอบเหมือนเดิม
“มึงแม่งบ้าไปแล้ว” ทั้งเจนี่และวุ้นเส้นบ่นออกมาเส้นดังพร้อมกัน
“เฮ้ออ ทำไงได้ งานที่ตำแหน่งเดียวกันที่อื่นให้ค่าตอบแทนน้อยจะตาย
กูยังมีพีท มีหนี้ที่บ้านที่กูต้องช่วย”
“เออๆ พวกกูเข้าใจ มึงก็สู้ๆนะ ไม่ไหวก็บอก พวกกูพร้อมช่วยมึงนะคริส” เพื่อนทุกคนบนโต๊ะพร้อมใจกันมองคนหน้าหมวยที่ชีวิตสตรองจนเกินไป
“อือ ขอบใจพวกมึงมาก ไว้กูเข้าตาจนจริงๆละกัน
มรดกพีทก็ยังเคลียร์ไม่จบ ไม่รู้ว่าจะยังไง” คริสตอบเพื่อนพร้อมกับทำหน้าเครียดในท้ายประโยค
“บ้านนั้นก็เกินทน ยังไงเจ้าพีทก็หลานเค้า
ทำไมไมคิดจะช่วยบ้างก็ไม่รู้” เจนสุดาที่นั่งนิ่งอยู่นานพูดขึ้น
“อย่าไปว่าเค้าเลย เค้าไม่ชอบยัยพลอยอยู่แล้ว พอพิชญ์เสียยิ่งแล้วใหญ่” คริสตอบเจนสุดาพร้อมกับนึกถึงเรื่องของน้องเธอที่คบกับพิชญ์ บ้านฝั่งนั้นรวยมากมีเงินมากมาย ทำธุรกิจอะไรก็ขึ้น ยัยพลอยน้องสาวเธอเป็นแค่เด็กคนนึงที่บ้านก็ไม่ได้ขัดสนแต่ก็ไม่รวยเหมือนเขาทำให้บ้านฝั่งพิชญ์ไม่ชอบน้องสาวของเธอเลยแต่ก็ยังดีที่พิชญ์รักยัยพลอยมากจนคบกันมาเกือบๆ 7 ปีตั้งแต่มัธยมปลายจนจบมหาวิทยาลัย ยัยพลอยเรียนจบมีงานทำ ก็เลยตกลงซื้อบ้านด้วยกัน
ผ่านไป 4 ปี เธอได้ข่าวว่าน้องเธอตั้งท้องเธอก็ดีใจด้วยแต่พอใกล้คลอดพิชญ์กลับประสบอุบัติเหตุระหว่างการเดินทางกลับจากประชุมที่ภูเก็ตทำให้พิชญ์และคนขับรถได้รับบาดเจ็บสาหัส และทนพิษบาดแผลไม่ไหวแล้วก็เสียชีวิต
ตั้งแต่นั้นมาบ้านฝั่งพิชญ์ก็ไม่ติดต่อมาอีกเลยจนน้องเธอคลอดก็ไม่กล้าบอกป๊ากับม๊าว่าบ้านฝั่งนั้นไม่ต้อนรับทั้งตัวน้องเธอและหลานของเขา
จึงหอบลูกพาไปอยู่ที่อังกฤษ ประสบพอดีกับที่ธุรกิจที่ป๊ากับม๊าเธอทำดันมาถูกโกง
ทำให้บ้านเธอเป็นหนี้จนถึงทุกวันนี้นับๆมาก็เกือบจะ 6 ปี แล้ว
ป๊ากับม๊าจึงตัดขาดกับยัยพลอยไปเลยเพราะคิดว่าน้องหนีออกจากบ้านตามผู้ชายไป แล้วบอกให้เธอไปแต่งงานกับลูกชายเพื่อนที่สนิทกัน
เพราะที่บ้านฝั่งนั้นมีเงินมากพอที่จะจ่ายหนี้ให้
แต่ด้วยลมปากตอนที่เธอและลูกชายเพื่อนเพิ่งเกิด ป๊าเธอกับพ่อเค้าตกลงกันว่าจะหมั้นหมายกันไว้
แต่ทั้งเธอและเขาต่างไม่ยอมจึงตกในสถานะเพียงแค่คู่หมั้นขอเวลาในการศึกษากันก่อนจะตกลงแต่งงาน หลังจากนั้นบ้านของ 'สามี' เธอจึงช่วยจ่ายหนี้ให้บ้านของเธอ
แต่ด้วยความเป็นคนขี้เกรงใจเธอจึงบอกเขาว่าจะทำงานแล้วเอาเงินมาคืนเท่าที่พอจะทำได้และทำไหวโดยไม่ให้พ่อเขารู้ เขาก็คอยช่วยเหลือเธอในทุกๆเรื่อง
รวมทั้งเรื่องเจ้าพีท เราตัดสินใจว่าจะแกล้งไปอยู่ต่างประเทศหนึ่งปี
และไปหย่ากันโดยไม่ให้พ่อกับแม่เราทั้งคู่รู้ เธอจึงหอบตาพีทซึ่งเป็นลูกของพลอยกลับมาแล้วบอกว่าเป็นลูกของเธอกับเขา
ปั้นจั่น เป็นคนที่ดีคนนึงที่เธอรู้จักมา
เขาสุภาพกับเธอมากจนเธอเกรงใจและบอกเขาว่าถ้าอยากมีแฟนหรือแต่งงานกับใครก็ได้นะ เธอไม่ห้ามเพราะมันเป็นสิทธิของเขา
แต่เธอก็ต้องมาเซอร์ไพร์สอีกครั้งเมื่อเขาพาเธอไปพบกับ แฟน ของเขา
ที่เป็นผู้ชาย...ทำให้เธอถึงบางอ้อว่าทำไมเขาถึงตกลงหมั้นกับเธอง่ายๆไม่มีท่าทีที่จะคิดเกินเลยกับเธอ
เพราะเขาไม่ชอบแบบเธอนี่เอง แต่ไม่กล้าบอกพ่อกับแม่เพราะเป็นลูกชายคนเดียว...
“เฮ้ออ เหนื่อยเนอะ ถ้าวันไหนไม่ว่างเอาเจ้าพีทมาฝากไว้ก็ได้นะ
พวกกูพร้อมรับ โดยเฉพาะกูว่างมาก” เจนี่พูดก่อนจะเน้นคำว่าว่างหนักๆ
“กูว่าพีทจะเสียคนเพราะอยู่คุณนี่แหละค่ะ เจที” คริสพูดแล้วหัวเราะตาม
“มึงก็ว่าไป กูดูแลดีนะมึง กูอยากมีลูก กูต้องฝึกไว้”
เจนี่พูดแล้วยิ้มร่า ก่อนจะหุบยิ้มแทบไม่ทันเมื่อเพื่อนๆประสานเสียงกันขึ้นมา
“มึงควรหาผัวก่อนนะคะ เจที!!!”
“พวกมึงอ่ะ กินไปเลย ใช่สิ
มีกันหมดล้วนิ มึงอยู่เป็นเพื่อนกูนะหมวย อย่าปล่อยให้กูว่างอย่างโดดเดี่ยว”
เจนี่พูดขึ้นอย่างงอนๆ
“เออๆ กูจะมีใครได้วะ ทุกวันนี้ก็วุ่นจนหัวยุ่งหมดแล้วเนี่ย”คริสตอบกลับเพื่อนรักอย่างแน่วแน่
“มึงกูกลับก่อนนะ โรงเรียนตาพีทจะปล่อยแล้ว”
คริสว่าพลางยกนาฬิกาขึ้นมาดู พบว่าเป็นเวลา 14.15 โรงเรียนลูกชายของเธอกำลังจะปล่อยจึงรีบขอตัวออกมาก่อน
“ไปกับไอมั้ย ไอจะไปรับไลลาพอดี”พอลล่าถามหลังจากยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
“....มะ ..”
“หมวย หยุด! พอลล่ายูไปเอารถเลยมารับที่หน้าห้าง” แอน
ผู้เป็นแม่ของกลุ่มกล่าวขึ้นขัดสาวหน้าหมวยที่กำลังจะอ้าปากพูด
พร้อมกับสาวหน้าฝรั่งที่รีบลุกแล้วเดินไปทางลานจอดรถทันที
สมาชิกที่เหลือจึงเรียกพนักงานมาคิดเงินก่อนจะพากันเดินมาส่งศิรินที่หน้าห้างบริเวณที่นัดพอลล่าไว้
“พวกมึงอ่ะ มันรบกวนพอลล่า โรงเรียนพีทไกลกว่าโรงเรียนไลลาอีก” ศิรินได้ทีก็บ่นเพื่อนทันที
“แต่ถ้าเพื่อนจะนั่งแท็กซี่ไป พวกกูก็ไม่โอเค ไปๆ พอลล่ามาแล้ว” นานาว่าพลางเหลือบไปเห็นรถของพอลล่าจึงรีบดันตัวศิรินไปพร้อมกับเจนสุดาที่ช่วยเปิดประตูรถให้เสร็จสรรพก่อนที่พอลล่าจะเหยียบคันเร่งออกไป
“อิคริสมันจะเกรงใจอะไรนักหนาวะ พอลล่าก็เพื่อนมันนะมึง กูไม่เข้าใจ”
เจนี่เอ่ยถามเพื่อนในกลุ่มในขณะที่พากันเดินไปลานจอดรถเพื่อกลับบ้าน
“มันคงคิดว่าแค่นี้มันก็เป็นภาระคนอื่นมาพอแล้วมั้ง ไม่อยากให้ใครเดือดร้อนกับมันอีก”
นานา พูดขึ้นพร้อมกับทำท่าครุ่นคิด
“ตามสไตล์ของมันแหละ
มันต้องสุดๆแล้วจริงๆมันถึงจะยอมขอร้องหรือขอความช่วยเหลืออ่ะ อิหมวยน้อ”
เจนสุดาพูดพอดีกับที่พวกเธอทั้ง 5 คนเดินมาถึงรถพอดี
“ไปๆกลับกันดีๆนะ” แอนอลิชาพูดขึ้นพร้อมกับไขกุญแจเข้ารถตนไป
“ถึงแล้ว ไลน์ด้วย” วุ้นเส้นพูดพร้อมกับเปิดประตูรถของตนเข้าไป
แล้วพวกเธอทั้ง 5 คนก็ต่างคนต่างกลับบ้านไป
บนรถ
“พอลล่า ตามจริง ไอขึ้นแท็กซี่ไปก็ได้นะส่งแค่นี้ก็พอ”
คริสพูดเมื่อรถแล่นเข้ามาจอดหน้าโรงเรียนที่ลูกสาวเพื่อนเธอเรียนอยู่
“โน โน ไอบอกว่าไอจะพาไป ก็ไปสิ อ้ะ! ไลลา มัมมี้
เฮียร์!” พูดกับเพื่อนของตนเสร็จก็หันไปเห็นลูกสาวตนเองกำลังชะเง้อหารถอยู่จึงลดกระจกรถลงแล้วโผล่ศีรษะออกไปเรียกไลลาให้ขึ้นมา
“ ไฮ มัมมี้ “ไลลาขึ้นรถเสร็จก็เขย่งตัวมาหอมผู้เป็นแม่ทันที แล้วจึงหันไปทักอีกคนที่นั่งอยู่บนเบาะข้างคนขับ
“ไฮ อานตี้คริส”
“ไฮ ไลลา”คริสพูดแล้วหันไปยิ้มให้หนูน้อย พร้อมกับที่พอลล่าเริ่มขยับรถอีกครั้งมุ่งหน้าไปยังโรงเรียนของตาพีท
“วันนี้เราจะไปสคูลของพีทด้วยนะ โอเคมั้ยคะ”พอลล่าถามลูกสาวของตน
“โอเคมากๆๆๆ”ไลลาตอบเสียงใสและยิ้มร่าให้คนถาม และเริ่มเล่าเรื่องราวที่ได้เจอในโรงเรียนวันนี้ให้ผู้เป็นแม่ฟังอย่างไม่รู้จักเหนื่อยแต่ก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่สองคนในรถได้เป็นระยะ
ไม่กี่อึดใจ รถของสาวหน้าฝรั่งก็แล่นมาจอดที่หน้าโรงเรียนของลูกชายศิริน
ศิรินยกสายคล้องคอของผู้ปกครองมาสวมก่อนจะเดินลงไปรับเจ้าลูกชายตัวดี
“สวัสดีค่ะ คุณคริส”คุณครูที่ประจำชั้นของลูกชายทักศิรินพร้อมกับยกมือไหว้
ก่อนจะหันไปเรียกเด็กชายที่กำลังวิ่งเล่นให้มาเตรียมกระเป๋ากลับบ้าน “น้องพีทครับ
คุณแม่มารับแล้ว หยิบกระเป๋ามาเร็วครับ”
เด็กชายวัยเกือบจะสี่ขวบในชุดนักเรียนที่ถูกเรียกก็หันมาก่อนจะพบกับแม่ของตนจึงรีบวิ่งมาตามคำบอกของคุณครูแล้วหยิบกระเป๋าก่อนจะออกวิ่งมาหาศิริน
“หม่ามี้!!”
“ระวังลูก เดี๋ยวล้ม" คริสดุลูกพร้อมกับจับมือของเด็กชาย “พีทครับ สวัสดีครับคุณครูก่อนนะ”
“สวัสดีครับ” เด็กชายยกมือขึ้นทำตามอย่างว่าง่าย
“วันนี้มีการบ้านคณิตกับภาษาอังกฤษนะคะ คุณคริส”
คุณครูประจำชั้นพูดขึ้น ศิรินพยักหน้าเข้าใจและส่งยิ้มให้ก่อนจะลาคุณครูพาลูกชายเดินออกมาขึ้นรถพอลล่า
“ว้าว วันนี้กลับกลับน้าพอลล่าด้วย” พีทเมื่อเห็นรถก็จำได้ทันที
รีบวิ่งไปเปิดประตูด้านหลังขึ้นไปนั่งก่อนที่ศิรินจะมาถึงรถเสียอีก
“เฮ้อ ตาพีทนี่จริงๆเลยนะ” เมื่อขึ้นรถเรียบร้อยศิรินก็หันไปดุแกมหยอกเจ้าตัวดี
“สวัสดีน้าพอลล่ารึยังครับ?”
“สวัสดีคร้าบน้าพอลล่า พี่ไลลา”
เด็กชายพูดขึ้นพร้อมกับประนมมือน้อยๆขึ้นแล้วก้มหน้า
เป็นภาพที่น่ารักในสายตาผู้ใหญ่ทั้งสอง แล้วรถทั้งรถก็ตกอยู่ในความเงียบเมื่อตัวแสบทั้งสองหมดฤทธิ์พากันนอนหลับไปแล้ว
“ยูจะต้องไปรับส่งตาพีทด้วยแท็กซี่อีกนานเท่าไรเนี่ย คริส”
พอลล่าถามเมื่อรถเคลื่อนมาติดไฟแดง
“อีกสักพักแหละ มีเงินเก็บอยู่บ้างแต่ยังไม่อยากซื้อรถหรอก
ตาพีทยิ่งป่วยบ่อยๆด้วย กลัวว่าถ้าซื้อไปจะไม่มีเงินไว้รักษาตาพีทเวลาไม่สบายน่ะ”
ศิรินตอบกลับ ทำให้พอลล่ารู้สึกสงสารเพื่อนตนจับใจ
คนๆเดียวทำให้ครอบครัวๆหนึ่งต้องลำบากขนาดนี้เชียว
“สู้ๆนะ
เอาไว้ถ้ายูไม่ว่าหรือไม่สะดวกวันไหนโทรบอกไอให้ไปรับก็ได้นะ
จะพามาส่งถึงบ้านแบบนี้เลย”
พอลล่าพูดเมื่อรถเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งของครอบครัวหอวัง
“โอเค ขอบใจมากนะพอลล่า” คริสพูดแล้วยิ้มให้พอลล่าก่อนจะเปิดประตูลงไปปลุกลูกชาย
“พีทครับ ถึงบ้านแล้วลูก
ขอบคุณน้าพอลล่าก่อนเร็ว” ศิรินว่าพลางอุ้มลูกชายขึ้นมาไว้
“ขอบคุณครับ ฮ้าวว”พีทพูดพร้อมกับขยี้ตาก่อนจะกอดคอคนที่เป็นดั่งแม่นอนซบเข้าบ้านไป
“ไปไลลากลับบ้านเรากัน”
พอลล่าพูดกับลูกสาวที่หลับอยู่เบาะหลังก่อนจะขับรถออกไป
.
.
“มาแล้วเหรอลูก คริส” หญิงวัยกลางคนเกือบปลายทักขึ้น
เมื่อเห็นลูกสาวของตนเดินเข้าบ้าน
“ค่ะ ขอพาพีทขึ้นไปด้านบนก่อนนะคะ เดี๋ยวคริสลงมาทานข้าวด้วย”ศิรินพูดพลางอุ้มลูกชายขึ้นไปด้านบน
“พีทครับ หม่ามี้ให้นอนต่ออีกครึ่งชั่วโมงนะครับ
เดี๋ยวหม่ามี้ขึ้นมาปลุกห้ามงอแงนะโอเคมั้ย?”
ศิรินพูดเมื่อพาลูกชายขึ้นไปนอนบนเตียงของเขาเรียบร้อยแล้ว
“งืมม คร้าบ” เด็กชายตอบรับก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราต่อ
ศิรินจึงไปจัดการวางกระเป๋าเป้ของลูกชายไว้ที่โต๊ะก่อนจะดึงสมุดการบ้านที่คุณครูบอกไว้ออกมาวาง แล้วนำที่เหลือไปจัดตารางเรียนในวันพรุ่งนี้ให้ แล้วเดินจัดชุดนอนเอาไว้ให้เพื่อจะได้สะดวกเวลาพาลูกอาบน้ำเสร็จ
ยอมรับเลยว่าแรกๆเหนื่อยมากตอนวันที่เอาเขากลับมาพร้อมกับเธอและปั้นจั่น แต่ดีตรงที่เธอได้ใช้เวลาก่อนหน้ากับเขาบ้างและเขาไม่ใช่วัยแบเบาะ
ตอนเธอพาเขากลับมาพีทก็ประมาณ 11 เดือนแล้วใกล้จะหัดเดิน
จึงไม่ค่อยเป็นอุปสรรคเท่าไรและระหว่างที่อยู่ที่นู่นเธอก็ได้ไปช่วยพลอยเลี้ยงบ้าง
แต่เธอก็ยังให้เจ้าพีทวิดีโอคอลกับพลอยเสมอ เขาจึงไม่เรียกเธอว่าแม่เพราะเขารู้ว่าแม่เขาอยู่ที่อังกฤษ พลอยทำงานและส่งเงินค่าเล่าเรียนกับค่ากินอยู่มาให้เสมอทำให้เธอนำเงินเดือนมาใช้จ่ายในครอบครัวได้เต็มที่
แต่ถ้าให้เจ้าพีทไปอยู่กับน้องสาวเธอคงยากเพราะงานที่น้องเธอทำมันเป็นเหมือนฟรีแลนซ์ทำอยู่บ้านก็จริง แต่แทบไม่มีเวลาดูแลเจ้าพีทหรอก
ทุกวันนี้วิดีโอคอลน้องสาวเธอยังมีเวลาคุยไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำส่วนใหญ่จะเป็นการที่ให้เจ้าพีทได้นั่งดูเห็นหน้าแม่ก่อนนอนแค่นั้น
พอจัดของเสร็จ ศิรินก็เดินถือของและเอกสารของตนไปยังห้องของตัวเธอเองเพื่อจัดการอาบน้ำเตรียมลงไปทานข้าวกับป๊าและม๊า
“ทานเลยนะคะ” คริสพูดขึ้นเมื่อเดินมาถึงห้องรับประทานอาหาร เดินถือโถข้าวมาวางไว้ก่อนจะตักให้ทั้งป๊า ม๊าและตัวเธอเอง ก่อนจะลงมือทานอาหารที่ม๊าเป็นคนลงมือเองทั้งหมด
ถ้าถามว่าที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ดีไหม
สำหรับตัวเธอเองเธอก็ว่าดีนะ ผ่านมาเกือบจะหกปี
ถ้านับตั้งแต่วันที่รู้ว่าติดหนี้กับทางธนาคารไว้วันนั้นป๊าเธอเกือบคิดสั้นโชคดีที่ม๊ากับตัวเธอเองเข้าไปเจอพอดี
ทำให้ท่านคิดได้ว่าจะไม่ปล่อยให้ลูกและภรรยาต้องเผชิญปัญหานี้แค่สองคน
เธอและป๊าช่วยกันรวบรวมหลักฐานเอาผิดคนเป็นอาแท้ๆที่ติดพนันจนเอาหุ้นทั้งหมดเข้าธนาคาร
ทำให้ธนาคารเข้าใจและยอมให้ป๊าเธอกู้เงินก้อนสุดท้ายมาลงทุนกอบกู้บริษัทขึ้นมาอีกครั้งทำให้ป๊าเธอพอจะมีรายได้แม้จะต้องหักส่วนแบ่งให้ธนาคารประหนึ่งว่าธนาคารคือหุ้นส่วนหนึ่งส่วนที่ต้องได้รับส่วนแบ่ง
เหมือนเป็นการชำระหนี้โดยการทำงานของพ่อเธอ
ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ตัวเธอเองออกมาหาต่างบริษัทไม่อย่างนั้นบ้านเราก็จะเหมือนทำงานส่งหนี้
จะไม่มีเงินใช้จ่ายในครอบครัวเลย
โชคดีที่ระหว่างนั้นพอผ่านมาได้หนึ่งปีเธอเข้าทำงานกับบริษัทของพ่อปั้นจั่นที่จ่ายในส่วนเงินต้นและดอกให้กับธนาคารไปให้แล้วคุณลุงก็เต็มใจที่จะให้เงินเดือนเธอเต็มจำนวนเท่ากับพนักงานคนอื่นๆ ตัวเธอก็จะแบ่งส่วนไว้คืนพ่อปั้นจั่น
ในวันที่เธอคืนท่านหมดเธอจะไปบอกท่านว่าเธอกับปั้นจั่นได้หย่ากันแล้ว
เพื่อความสะดวกใจของเธอเองและคุณลุงจะได้ไม่เสียเปล่าท่านจะได้เงินคืนจะเท่าเดิมไหมถึงไม่ได้ศิรินคนนี้จะทำให้เต็มที่ที่สุดจนกว่าจะถึงวันที่เธอจนตรอกไม่มีแล้วจริงๆเธอจะยอมไปบอกท่านว่าคงคืนได้เพียงเท่านี้จริงๆ
เมื่อทานข้าวเสร็จศิรินจึงยกจานทั้งหมดไปล้างแล้วจึงฝากป้าเพ็ญให้อุ่นนมร้อนเพื่อจะยกไปให้เจ้าตัวดื้อที่หลับปุ๋ยอยู่ด้านบน ป้าเพ็ญ คือ ป้าแม่บ้านที่ทำงานกับพ่อเธอมาตั้งแต่ที่พ่อเธอเริ่มมั่งมีจนทุกวันนี้ที่มีน้อยป้าเพ็ญก็ยังอยู่พร้อมกับพี่ๆอีกประมาณ 2-3 คน นอกนั้นที่เคยมีก็ขอลาออกไปทำงานที่อื่นป๊าเธอเข้าใจพวกเขาก็ต้องการความมั่นคงในชีวิตจะมาอยู่กับคนที่ยังมีหนี้ท่วมหัวคงไม่ได้ เมื่อได้นมและตักข้าวเรียบร้อยแล้วศิรินจึงเดินขึ้นไปบนห้องของเด็กชายก็พบว่าเด็กน้อยได้ตื่นขึ้นมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
"ตื่นนานรึยังครับ?" คริสเอ่ยถามพร้อมกับเดินถือแก้วนมไปวางไว้บนหัวเตียงก่อนจะเดินถือจานข้าวไปวางไว้บนโต๊ะญี่ปุ่นสำหรับทำการบ้านของเจ้าของห้อง
"ไม่ครับ เพิ่งตื่นเมื่อกี้นี้เองครับ" พีทตอบกลับแล้วส่งยิ้มสดใสไปให้กับหม่ามี้ของเขา
"หิวรึเปล่าครับ หม่ามี้เอาข้าวผัดใส่ไข่มาด้วยน้า"
"ข้าวผัดไข่ พีทหิวครับ" พีทรีบตอบก่อนจะกระโดดลงไปนั่งรอที่โต๊ะที่เห็นจานข้าววางไว้ ศิรินเห็นแบบนั้นจึงตามลงไปนั่งกับเด็กชายตัวน้อย
"อะ อ้าปากเร็วคร้าบ คนเก่ง" คริสตักข้าวใส่ช้อนคำไม่ใหญ่มากให้ก่อนบอกให้พีทอ้าปาก เด็กชายอมทำตามอย่างว่าง่าย
ศิรินก็ป้อน พีทก็กินจนหมดจาน จึงนั่งทำการบ้านสักพักก็พาเจ้าพีทไปอาบน้ำแต่งตัวพร้อมนอน ศิรินยกนมมาให้เด็กตัวน้อยดื่มก่อนจะพาเขาเข้านอนด้วยการวิดีโอคอลกับพลอยเหมือนทุกคืน
"แม่พลอยครับ" พีทส่งเสียงเรียกเมื่อวิดีโอขึ้นสัญลักษณ์ว่าอีกฝ่ายตอบรับวิดีโอแล้ว ภาพที่พลอยเห็นคือพี่สาวเธอนอนหงายแล้วเจ้าพีทก็นอนซบไหล่พี่สาวเธออีกทีเป็นภาพที่น่ารักมากทีเดียว
"พีท วันนี้ดื้อกับมี้คริสรึเปล่า หื้มม" คำถามเดิมๆถูกส่งออกมาจากปากคนเดิมซ้ำๆทุกวันเเหมือนกับเป็นคำทักทายก็ไม่ปาน
"ไม่ดื้อครับ ไม่เชื่อถามมี้คริสได้" พีทตอบกลับไปและบุ้ยหน้าไปทางคนถือโทรศัพท์
"คร้าบๆ ไม่ดื้อก็ไม่ดื้อ" คริสรับลูกส่งของเด็กตัวน้อย
"คร้าบ ฝันดีนะลูกนะ แม่พลอยรักพีทนะครับ" พลอยพูดและระบายยิ้มบนใบหน้าเมื่อเห้นว่าเวลาที่ประเทศไทยนั้นดึกมากแล้วพีทควรจะนอนได้แล้ว
"ครับ พีทจะฝันดีครับ ฝันถึงแม่พลอยด้วย รักๆๆ จุ้บ"ความไร้เดียงสาของพีททำให้พลอยยิ้มออกมาก่อนจะถือสายรอให้พี่สาวเธอจัดการเจ้าพีทให้นอนให้เรียบร้อยก่อนจะเปลี่ยนเป็นโทรแบบปกติเมื่อพี่สาวเธอเดินเข้าห้องตัวเอง
"เหนื่อยมั้ยพี่คริส" พลอยถามอีกคนเมื่อรับรู้ว่าอยู่กันแค่สองคน
"ไม่หรอก พีทไม่ดื้อ พี่เลยไม่ค่อยเหนื่อย ว่าแต่แกเหอะ พักบ้างนะพลอย อย่าทำงานมากนัก" คริสพูดเตือนน้องสาวที่ชอบหักโหมงานหนัก
"อื้อ พี่คริสก็เหมือนกันนะ ดูแลตัวเองนะ ไว้พลอยว่างพลอยจะไปหา" พลอยพูดตอบกลับมา
"โอเค ไปนอนก่อนนะ กินข้าวด้วยละพลอย" คริสพูดแล้วไม่ลืมกำชับพลอยอีก
"โอเคๆ บาย" พลอยพูดแล้วกดตัดสายไป พอวางหูจากพลอยคริสจึงกดเข้าแอพพลืเคชั่นไลน์เพื่อดูว่าเพื่อนของเธอคุยอะไรกันนักหนาส่วนใหญ่มักมีแต่ข้อความที่บอกว่าถึงแล้วนะ ถึงแล้วนะ โอเค ไม่มีอะไร นอนดีกว่า แต่ในขณะที่คริสกำลังจะปิดโทรศัพท์กลับมีการแจ้งเตือนจากเมลของเธอ คริสจึงกดเข้าไปดู
( BNT Prop.,20.10.20 , 17:40)
ถึง : คุณศิริน หอวัง
จาก : BNT Property
ขอแสดงความยินดีละขอต้อนรับเข้าสู่บ้าน BNT นะคะ
ขอให้คุณศิรินเดินทางเข้ามาที่บริษัทเพื่อทำการทดลองงานในวันพรุ่งนี้ เวลา 8.00 น. ที่อาคารสำนักงาน BNT Property ด้วยคะพร้อมกับนำเอกสารทั้งหมดเข้ามาอีกครั้งและการแต่งกายขอให้แต่งกายด้วยความสุภาพ ขอบคุณค่ะ
BNT Property
(Human Resources Management )
- ZanonZane -
..........................................................................................................................................................
ปล. 1
อาจมีผิดพลาดในส่วนของเรื่องเชิงธุรกิจ เพราะไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลยจึงขออภัยมา ณ ที่นี้ ในโลกของจินตนาการเราทำได้ทุกอย่างเนอะ
ปล.2 จ่าหัวตอนว่าศิรินแต่เปิดมาด้วยพี่บีเยอะเลย
อ่านแล้วเป็นอย่างไรงงมั้ยไม่งงเนอะ ติชมได้เลยจ้า
ฝากติดตามตอนต่อไปด้วยนะคะ
1 คอมเมนท์ = 1 กำลังใจ
ความคิดเห็น