คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : I HATE U AGAIN [II]
Chapter 15.2 Why you like to make me
H A T
E Y O U…
Solution
Hostel Bangkok .
งานเลี้ยงกลางคืนถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ
ประดับประดาด้วยไฟสีส้มอ่อนให้บรรยากาศที่อบอุ่นถึงความเป็นครอบครัว
มีทั้งบาร์เครื่องดื่ม อาหารคาวหวานทั้งไทยและเทศ เพราะงานในเวลานี้นั้นมีเฉพาะคนที่สนิทกันมากๆเท่านั้นต่างจากงานในตอนเช้าที่มีสื่อมวลชนและคนในแวดวงสังคมที่กว้างกว่า
ทางด้านเจ้าของงานทั้งหมดก็ยืนต้อนรับไม่หวาดไม่ไหว แขกใคร ใครเชิญมาก็ดูแลกันไป
อย่างเช่นเฌอมาลย์ที่รุดหน้ามาก่อนเพื่อนอีกสองคนเพื่อมาเตรียมตัวและเตรียมงาน
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ตัวเขาเองไม่ชอบงานสังคม เพราะทั้งพิธีรีตอง
ปั้นหน้ายิ้มให้กันแม้ว่าจะไม่ชอบหน้ากันก็ตาม
พอใกล้เวลาเริ่มงานบรรดาแขกเหรื่อก็เริ่มเข้ามาจับจองโต๊ะเพื่อสนุกในค่ำคืนนี้
เช่นกันกับเพื่อนตัวสูงอีกสองคนก็เดินเข้างานมาเรียบร้อยแล้ว
พร้อมขนาบข้างกายด้วยสาวสวยหน้าตาน่ารักทั้งคู่กันเลยทีเดียว เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดาชายหนุ่มสาวสวยที่อยู่ในวัยเดียวกันหรือเด็กกว่าที่เป็นแขกของบรรดาลูกพี่ลูกน้องของคุณหมอเฌอมาลย์ได้เป็นอย่างดี
แหม มีให้เกาะคงเกาะแขน หมอล่ะอยากจะอาเจียน เหม็นฟามรัก
“ฮอต
จนอากาศที่นี่ร้อนอบอ้าวไปเลยนะจ้ะ” เฌอมาลย์เอ่ยแซวทันทีที่เพื่อนเดินเข้ามาหาตน
“ที่นี่เมืองไทยก็ร้อนเป็นธรรมดาอยู่แล้วจ้ะ
หมอพลอย” ราศีพูดกระซิบตอบกลับไปอย่างยียวนกวนประสาท
“แล้วนี่ปู่แกอยู่ไหน”
ร่างสูงอีกคนเอ่ยถาม เกรงว่าจะมัวแต่คุยกันแล้วท่านเจ้าสัวจะหนีไปพักผ่อนเสียก่อน
“ในงาน ไปๆ
จะได้ออกมาฉลองกัน” คุณหมอคนสวยว่าพร้อมกับเดินนำไปแล้วลากข้อมือเพื่อนทั้งสองมาด้วย
“นั่นสิ
ไม่ได้ไปเที่ยวกันตั้งนานละ” ราศีพูดเสริมทัพขณะที่ขายาวก็ก้าวตามคนที่เดินนำไป
“สองอาทิตย์นี่เรียกว่านาน” น้ำทิพย์บ่นพึมพำคนเดียวขณะที่เดินตามไปข้างหลัง
ก็เข้าใจเพื่อนนะเพราะปกติก็สังสรรค์กันบ่อยจนบางทีก็สงสัยว่าหมอพลอยมันไปทำงานไหวได้ยังไง
บางวันมันออกเวรดึกก็นัดไปกัน เช้าอีกวันมันก็เข้าเวรเช้าอีก
คนไข้จะฝากชีวิตกับมันได้เหรอ ยิ่งมีแต่เด็กอีก สงสารคนไข้จริงๆ
“อิบี!!”
เสียงประสานจากคนด้านหน้าที่หยุดแล้วพร้อมใจกันหันมา เจ้าของชื่อทำเพียงไหวไหล่ขึ้นแล้วเดินนำขึ้นไป
อีกสองคนจึงหันมามองบนพร้อมกันแล้วเดินตามไปโดยมีร่างเล็กของกุลธิดาแอบอมยิ้มกับความน่ารักของทั้งสามคนที่ในแวดวงธุรกิจบอกว่าพวกเขาเปรียบเสมือนม้ามืด
เพราะพวกเขามีกลยุทธ์ในการเดินธุรกิจไม่เหมือนกับรุ่นพ่อแม่ของพวกเขาเลย
แต่กลับทำรายได้
ได้พอๆกันเผลอๆอาจมากกว่าด้วยซ้ำแต่ใช้แรงน้อยกว่าเน้นไหวพริบและปัญญามาก
แต่สิ่งที่ร่างเล็กเห็นมีเพียงเด็กซนๆสามคนที่เหมือนแข่งกันเพื่อผลตอบแทนคือการได้ดูการ์ตูนเรื่องโปรดอย่างไงอย่างนั้น ท่านเจ้าสัวอยู่เป็นเจ้าภาพงานฉลองสักครู่ใหญ่ก่อนจะขอตัวไปพักผ่อนปล่อยให้ลูกหลานดูแลงานต่อ
คนหนุ่มสาวคงอยากดื่มสุราของเมากันจะแย่ละ
เห็นบางคนไม่กล้าดื่มเยอะอาจด้วยความเกรงใจ จึงขอตัวไปพักผ่อนดีกว่า
คนในงานแบ่งออกเป็นช่วงวัยโดยที่รุ่นพ่อแม่
ก็นั่งคุยกันในโซนหนึ่ง ส่วนคนหนุ่มสาวรุ่นลูกก็สังสรรค์กันอยู่อีกโซน
แน่นอนว่าสามคนอยู่ในโซนหนุ่มสาวแม้อายุจะก้าวเข้าเลขสามกันหมดแล้วก็ตามแต่คนที่มาส่วนใหญ่ก็อายุไม่ต่างกันเท่าไรนัก
“บีคะ”
เสียงเรียกทำให้น้ำทิพย์ที่นั่งคุยกันสนุกในกลุ่มเพื่อนที่เรียนด้วยกันสมัยมหาวิทยาลัยหันไปมองรวมทั้งราศีและเฌอมาลย์ด้วย
“เมย์
ขอโทษนะคะที่เมื่อเช้าบีกลับก่อน ไม่ได้บอก”
ร่างสูงยืนขึ้นเลื่อเก้าอี้ให้อีกคนนั่งพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ
แล้วนี่เพื่อนบีหมดเลยเหรอคะ” พิชญ์นาฏถามแล้วมองทุกคนอย่างเป็นมิตร
“ค่ะ
นี่คุณเมย์คงรู้จักกันอยู่แล้วสินะ ดูทำหน้าเข้า” น้ำทิพย์พูดแล้วแซวเพื่อนตนทั้งผู้หญิงผู้ชายเกือบสิบคน
โดยเฉพาะพวกผู้ชายมองตาเยิ้มเชียว
“ครับ ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ
คุณเมย์ SK ent. สื่อใหญ่” เพื่อนชายคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้น
“ค่ะ
ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนเลยนะคะ” พิชญ์นาฏพูดแล้วส่งยิ้มให้ทุกคน
ก่อนที่ทั้งโต๊ะจะมีแต่เสียงหัวเราะกับเรื่องที่แต่ละคนหยิบยกขึ้นมาพูดมาเล่าสู่กันฟังหลังจากที่ไม่ได้เจอกันมานาน
แน่นอนว่าเกือบทุกคนก็รู้จักศิริน
เพราะตอนที่น้ำทิพย์คบกับศิรินค่อนข้างจะเป็นข่าวดังในสมัยนั้นเลยล่ะ
เพราะทั้งคู่ถือว่าเป็นตัวป็อปที่ชายยหนุ่มทั้งมหาวิทยาลัยหมายปองแต่สุดท้ายหันมาคบกันเสียนี่
และก็รู้ว่าทั้งคู่เลิกกันไม่ดีนัก และศิรินเองก็แต่งงานกับปรมะไปแล้ว
จึงไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้สักคนได้แต่สงสัย่าทำไมถึงมาด้วยกันได้
แต่นั่นกลับทำให้คนตัวเล็กยิ่งอึดัดเพราะทุกคนก็ทำหน้าเหมือนอยากจะถามอะไรแต่ก็ไม่พูดเวลาที่พวกเขาหยิบประเด็นตอนสมัยเรียนมาพูดเมื่อเรื่องเหมือนจะโยงมาถึงเธอก็เลี่ยงที่จะพูดกัน
ศิรินเองจึงขออนุญาตออกมาจากตรงนั้นไปหาที่สบายๆอยู่คนเดียว
ความรู้สึกมันตีกันไปหมดจนแทบจะไม่ไหว ทั้งอยากจะพูดความจรงออกไป อยากบอกทุกคน
หรือแม้แต่คิดถึงบรรยากาศเก่าๆที่ทุกคนมาล้อมวงกันแบบนี้
ทุกความรู้สึกมันตีขึ้นมาจนจุกอยู่เต็มอกไปหมด
“คริส
ใช่คริสหรือเปล่า” เสียงเรียกทางด้านหลังดังขึ้น
ทำให้เธอรีบปาดน้ำตาออกแล้วหันไปทางต้นเสียง แล้วพบกับผู้ชายรูปร่างสูงผอม
หน้าคมเข้ม คุ้นหน้าเป็นอย่างดี
“พี่ภัทร”
ภัทร กาไชย พี่ชายของแฟนน้องสาวเธอ เป็นคนเดียวในบ้านพิชญ์ที่ชอบน้องสาวเธอ
คอยสนับสนุนตลอด
“พี่ไปหาคริสที่ๆคริสเคยทำงาน
เขาก็บอกว่าคริสออกแล้ว ไม่คิดว่าพอจะเจอก็เจอง่ายๆแบบนี้” ชายหนุ่มพูดขึ้น
“ค่ะ
ได้เกือบปีแล้วค่ะ พี่ภัทรตามหาคริสทำไมคะ” ศิรินถามขึ้น
“พี่ว่าเราไปหาที่คุยกันดีกว่า
ข้างนอกเหมือนฝนจะตกนะ”
ว่าจบจึงพากันไปนั่งบริเวณที่ทางโรงแรมเหมือนจัดไว้ให้มานั่งคุยกันได้ไม่ไกลจาห้องจัดงานนัก
แต่ก็มีหลังคาพอจะกันฝนได้หากเทลงมาจริงๆ
“พี่เพิ่งรู้มาว่า
พลอยท้อง แล้วตอนนี้หลานพี่เป็นยังไงบ้างเหรอ” พี่ภัทรถามขึ้นอย่างร้อนรน
“ใครบอกพี่คะ”
ศิรินไม่ตอบแต่กลับถามกลับไป
“พี่ขอโทษนะที่ละลาบละล้วง
แต่พี่ให้คนไปตามสืบเรื่องพลอย น้องคริสมา”
ภัทรตอบเพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางที่ควรทำ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ
ลูกพลอยก็สบายดีคะ”
“เขาอยู่ที่ไหนเหรอ
พี่ไปหาได้ไหม”
“....”
“เอาตามตรงนะคริส
พี่เองก็รู้สึกผิด ทั้งที่พี่ควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้
ให้พิชญ์กับพลอยเขาได้อยู่ด้วยกันอย่างที่ต้องการ แต่พี่...กลับไม่ช่วยอะไรเลย
แล้วถ้าวันนั้นเป็นพี่ที่ไปงานวันนั้นแทนพิชญ์มันก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”
ภัทรพูดออกมาทั้งน้ำตา
“พี่ภัทร...”
ศิรินพูด
“พี่อยากให้คริสกับพลอยแล้วก็บ้านริสให้โอกาสบ้านพี่ได้ไหม
ให้โอกาสได้แก้ตัวอีกครั้ง ตอนนี้ที่บ้านพี่รู้หมดแล้วว่ายัยพลอยท้องและคลอดแล้ว
แต่ติดที่ว่าพี่ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่หรือยู่กับยัยพลอยที่อังกฤษ” ภัทรพูด
“ถ้าพี่รู้
พี่จะทำยังไงคะ พี่จะเอาเขาไปเหรอ” ศิรินพูดเมื่อนึกถึงผลที่จะเกิดขึ้น
ถ้าเป็นแบบนั้นเธอจะทำยังไง
“ไม่หรอกคริส
บ้านพี่จะดูแลทั้งพลอยและลูกของพลอย พวกท่านเองก็รู้สึกผิด ที่ตอนนั้นกีดกันแล้วยังพยายามหาผู้หญิงมาให้พิชญ์อีก
ท่านทั้งสองก็พร่ำโทษตัวเองอยู่ทุกวัน
ขอโอกาสให้บ้านเราได้เจอหลานบ้างได้ดูแลในส่วนที่พ่อเขาต้องทำบ้าง ได้ไหมคริส”
ภัทรพูดแล้วสบตาศิรินนิ่ง
เพราะแค่เขาคิดว่าเด็กคนนึงต้องเติบโตขึ้นมาอย่างไม่มีพ่อและเห็นแม่ต้องทำงานอย่างหนัก
เขาจะรับไหวขนาดไหนเชียว
“คริสขอไปถามพลอยก่อนแล้วกันนะพี่ภัทร
ได้ความยังไงจะฝากคนไปบอก” ศิรินพูดแล้วผุดลุกขึ้น
“งั้นเอาเบอร์พี่ไว้นะ
ติดต่อพี่ได้ทุกเมื่อเลย” ภัทรพูดพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้ศิรินกดเบอร์ลงไป
เพื่อจะได้โทรเข้าและตัวเขาเองก็จะมีเบอร์ศิรินเช่นกัน
“มีนามบัตรไหมคะ”
ศิรินพูด ยอมรับตามตรงว่ายังไม่ไว้ใจครอบครัวนี้ แม้คนที่มาพูดจะเป็นภัทร
แต่ก็ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาจะโอเคอย่างที่บอกหรือเปล่า ภัทรได้ยินแบบนั้นก็ยิ้มขึ้น
ก่อนจะหยิบนามบัตรในกระเป๋าเสื้อส่งให้
“คริสก็ยังเป็นคริส
รอบคอบเสมอเลยนะ” ภัทรพูดแล้วยิ้ม
เพราะครั้งนึงเขาก็เคยจีบผู้หญิงตรงหน้ามาก่อนแต่เจ้าหล่อนก็ระวังตัวแบบนี้เสมอไม่ให้ใครเข้าถึงง่ายๆ
เขาจึงไม่ได้สาสัมพันธ์ฉันท์คนรักกับหล่อน
ได้เพียงเป็นพี่น้องแบบนี้แต่พอเวลาผ่านไปเขาก็รู้สึกว่าบางทีการเป็นพี่น้องแบบนี้อาจดีกว่าการเป็นคนรักก็ได้
เพราะเมื่อมีปัญหาอะไรกับคู่ของน้องสาว
ศิรินมักจะมาขอให้เขาช่วยไปพูดกับน้องชายทุกทีไป
จนพาลให้คนเป็นแฟนตัวจริงอย่างเด็กตัวสูงคณะสถาปัตย์หึงทุกรอบ
แต่ก็น่าแปลกใจที่คนหน้าหมวยประกาศแต่งงานกับปรมะ ซะงั้นในไม่กี่ปีต่อมา
“ค่ะ
งั้นคริสขอตัวนะคะ ยังไงคริสจะโทรบอกนะคะ”
ศิรินว่าพลางลุกขึ้นอย่างเร็วจนเกือบจะล้มชายหนุ่มจึงรีบรับตัวอีกคนไว้ก่อนจึงดูเหมือนกอดกันปรายๆ
“ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษครับ”
สองเสียงที่แทบจะดังในเวลาเดียวกัน
ก่อนที่ศิรินจะพยายามทรงตัวยืนดีๆ แล้วหันไปขอบคุณชายหนุ่มก่อนจะเดินกลับเข้างานไป
ภัทรหัวเราะตามหลังไปกับความโก๊ะๆของศิรินที่เหมือนจะแก้ไม่หาย
เมื่อเข้ามาในงานก็พบว่าปรมะยืนสังเกตการณ์สักพักแล้วจึงเดินเข้าไปหา
“ปั้น”
“พี่ภัทรมาพูดอะไรเหรอ”
ปรมะถามขึ้น
“เขารู้แล้ว
ว่าพลอยมีลูก เขากำลังตามหาพีทอยู่” ศิรินพูดพร้อมกอดอีกคนแน่นแล้วร้องไห้ออกมา
อย่างกลัวว่าอีกฝ่ายนั้นจะมาเอาตัวเด็กชายไปเพราะรู้ดีว่าบ้านนั้นถ้าหากคิดจะทำอะไรไม่หยุดง่ายๆแน่นอน
“แล้วแกได้บอกหรือเปล่าว่าอยู่ไหน”
ปรมะถามอย่างหน้าตื่นๆ ได้รับคำตอบเป็นการส่ายศีรษะของคนในอ้อมกอด เพราะ ณ
เวลานี้ศิรินก็มีเขาเป็นที่พึ่งเดียว
“ใจเย็นๆก่อน
อาจไม่แย่”
“กลัว
ฉันกลัวปั้น” ศิรินพูด
“เออน่า
ตอนนี้ยังไม่มีอะไรนี่ ค่อยๆคิด โทรไปหาพลอยก่อน” ปั้นจั่นเสนอขึ้น
“คิดแล้ว
รอกลับบ้านก่อน แล้วนี่พ่อแม่แกมาด้วยใช่มั้ย” ศิรินถามเปลี่ยนเรื่อง
ก็จริงดังที่อีกคนบอก ตอนนี้ยังไม่มีอะไรนี่
“อื้อ
จะมาตามหาแกไปไหว้นี่ละ ไปทำหน้าที่ลูกสะใภ้ที่ดีซะ”
ปั้นจั่นพูดแล้วดึงมือศิรินมาคล้องแขนตัวเอง
ศิรินเบะปากก่อนจะแกล้งซบลงบนแขนของปรมะ เจ้าของแขนจึงหันมาพูดเบาๆ “ฉันขนลุก
เอาหัวออกไป” ศิรินจึงหัวเราะแต่ก็แกล้งต่อไป
การกระทำทั้งหมดอยู่ในสายตาร่างสูงที่แอบมองตั้งแต่อีกคนคุยกับชายหนุ่มด้านนอกนั่น
จนมาอ้อนสามีในงาน แม้จะในมุมที่ไม่มีใครมองแต่คนที่จับตามองอยู่ตลอดไม่พลาดหรอก
เฮอะ มารยาล้านเล่มเกวียนสินะ สามีคงจับได้ว่าไปแอบคุยกับชายใหม่สินะ
ถึงได้ออดอ้อนทั้งกอดทั้งซบทั้งควงแขน
ไม่จูบกันไปเลยล่ะ น่าเกลียด
คิดก็พาลให้หน้านิ่วคิ้วขมวดจนเพื่อนทั้งโต๊ะสงสัยแล้วหันไปตามสายตาของร่างสูงแต่ไม่พบอะไร
จึงหันสบตากันอย่างสงสัย
“บีมองอะไรคะ
หน้าเครียดเชียว” หน่วยกล้าตายอย่างแม่สาวสวยข้างกาย พิชญ์นาฏถามแทนคนทั้งโต๊ะ
“เปล่าหรอกคะ
บีขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ” น้ำทิพย์ตอบก่อนจะลุกเดินไปทางห้องน้ำอย่างว่า
เพื่อล้างหน้าล้างอารมณ์โมโหให้ลดลง ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมต้องหงุดหงิดด้วยวะ
“แอบมองคุณคริสค่ะ”
กุลธิดาพูดบอกกับราศีเพราะเธอแอบมองตามสายตาของน้ำทิพย์ตั้งแต่แรกด้วยความที่บทสนทนาบนโต๊ะเธอไม่รู้เรื่องด้วยสักอย่างจึงละความสนใจได้ยาก
“รู้ดีนะเรา”
ราศีว่าอีกคนยิ้มๆแล้วยกมือโคลงศีรษะอีกคน
จนเพื่อนหมอที่นั่งตรงข้ามมองแล้วขยับปากพูดล้อเลียน แบบไม่มีเสียง ป๋ามาก ราศีก็ยักไหล่ขึ้นเบาๆส่งกลับไป
ทางด้านคนตัวสูงที่เดินออกมา
ใกล้จะถึงห้องน้ำก็ยิ่งแต่อยากจะกลับเดินไปทางเดิมทันที อีตาธราภุช หลอกหลอน
ว่าทำบุญเยอะแล้วนะ
“เป็นอะไรเหรอครับ
หน้าเครียดเชียว”
“เสือก!”
ตอบด้วยอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“โว้ว!
ไม่หยาบคายสิครับ
ให้ผมเดาคงเป็นเลขาหน้าหมวยสุดสวย ที่เพิ่งยืนคุยกับคุณภัทร
ทายาทไฮโซชื่อดังตรงนู้นสินะครับ” ธราภุชพูดยียวน
เพราะเขาแอบรู้มาว่าคนตรงหน้ากับแม่เลขาของอีกฝ่าย เคยคบกันมาก่อน
แต่ก็เลิกรากันไปก่อนจะไปแต่งงานกับคนที่รวยกว่า คงเหยียบซ้ำเผลอเดิมสินะ หึ
“อย่าแส่รู้”น้ำทิพ์ตอบแล้วเดินกระแทกไหล่อีกคนผ่านไป
“เสือน่ะ
เจ็บแล้วมันจะนอนรักษาแผลไม่ให้เจ็บซ้ำ แต่หมามันมักจะไม่หลาบจำคุณว่ามั้ย?”
ธราภุชพูดสิ่งที่เขากำลังสื่อก็ไม่ต่างจากการว่าอีกคนเป็นหมา
เพราะเหมือนเต็มใจจะเจ็บซ้ำกับแผลเดิมๆไม่หาทางรักษาสักที
ผลัวะ!! ผู้หญิงตรงหน้าที่เพิ่งเดินกระแทกไหล่ไปหันมาปล่อยหมัดกระแทกหน้าตี๋ๆนั่นจังๆจนอีกฝ่ายลงไปนอนอยู่บนพื้นพลางจับปากตัวเองแล้วละมือออกมาดูพบว่ามีเลือดติดมาด้วย
“มึงต่อยกูเหรอ”
ธราภุชพูดแล้วลุกขึ้นมาประจันหน้าอีกคนอย่างเคียดแค้น
“กูก็อยากรู้ว่ามึงจะเป็นเสือหรือเป็นหมา”
ว่าจบก็เดินกลับเข้างานไป ทิ้งให้อีกคนยืนหัวเสีย
พร้อมกับอายสายตาคนที่เดินออกมาจากห้องน้ำที่เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่
สายตาที่ส่งมาคล้ายๆกับจะว่าเขาว่าหน้าตัวเมีย หรือไม่ก็อ่อน
ถูกผู้หญิงต่อยได้ขนาดนั้น ไม่ใช่ไม่อยากสู้โว้ย แต่เขาไม่เคยเรียนต่อสู้เลยต่างหาก
ต่างจากอีกคนที่ดูน่าจะเรียนมาเต็มที่หมัดเดียวเน้นๆโครตเจ็บ ฝากไว้ก่อนเถอะ
คอยดูละกันว่าเขาคนนี้จะทำอะไร
ทางด้านศิรินที่เดินไปไหว้คุณพ่อคุณแม่ของปรมะ
ท่านก็บ่นว่าทำไมไม่ทำงานกับบ้านท่านอีกจะลาออกทำไม แล้วก็บ่นคิดถึงเธอและพีท
เพราะเธอก็ไม่ได้ไปหาท่านหลายเดือนตั้งแต่มาทำงานกับน้ำทิพย์ มีแต่พีทที่เทียวไปมา
ศิรินก็ได้แต่ตอบเลี่ยงๆไป ก่อนที่จะพากนเดินออกมาขืนอยู่ต่อไปโดยซักจนทางตันแหงๆ
“ปั้น
แกตอบยังไงให้พ่อแม่ไม่สงสัย” ศิรินถามทันทีที่เดินออกมา
“ก็เลี่ยงบ้าง
บอกว่าแกทำงานเยอะบ้าง บ้างก็บอกว่าแกดื้อเตือนก็ไม่ฟังหรอก
คงต้องรอให้หายดื้อก่อนถึงจะยอมมาเป็นแม่บ้านให้ฉัน” ปรมะตอบ
แล้วยิ้มให้กับความฉลาดของตัวเอง
“โบ้ยเฉย
ก็ดีละ แล้วนี่จะกลับยัง” ศิรินพูด
“ยังอ่ะ
มีนัดกับพอล”
“แหม
หลัวสำคัญตลอด”
“ทำไมยะ
อย่าคิดว่าสามีไม่รู้นะ ว่าระหว่างแกกับคุณตัวสูงนั่นน่ะ” ปรมะพูดขึ้นบ้าง
“อะไร
อย่ามาพูดไปทั่ว ว่าจะให้ไปส่งภรรยาบ้าง ไม่ยุ่งแล้วจ้ะ บาย
เชิญไปอยู่กับหลัวเถอะ” ศิรินพูดแล้วเดินหนีออกมา
ก็ชนกับน้ำทิพย์ที่เดินเข้ามาในงานพอดี
“อ๊ะ
ขอโทษค่ะ”
“ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้น
ฉันไม่ใช่คนจะหลงกับคำพูดดีๆแบบนั้น” น้ำทิพย์ตอบเสียงแข็ง
“คุณน้ำทิพย์!”
“ค่ะ
ไม่ต้องย้ำชื่อ ฉันจำได้ แล้วนี่สามีไปไหนคะ ไม่ไปง้อกันต่อในห้องรึไง”
น้ำทิพย์พูดอย่างมีโทสะ
“พูดอะไรของคุณ
ระวังคำพูดบ้างนะคะ” ศิรินพูด ทำไมพูดจาไม่ให้เกียรติกันแบบนี้
“พูดความจริงรับไม่ได้รึไง
ฮึ น่าสงสารสามีนะ ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเมียตัวเองไปคุยกับชู้ด้านนอกก็ต้องปิดหูปิดตา”
น้ำทิพย์พูดแล้วยิ้มเยาะ
“ระวังคำพูดด้วยนะคะ
คุณน้ำทิพย์” ศิรินพูดแล้วเดินไปที่โต๊ะบอกเฌอมาลย์ว่าจะกลับแล้ว
ก่อนจะเดินออกจากห้องไปซึ่งด้านนอกเดินครู่เดียวก็ถึงหน้าโรงแรมแล้วจึงหวังจะเดินไปรอแท็กซี่ตรงนั้น
โดยไม่ได้สนฝนที่โปรยปรายลงมา คนตัวสูงที่เดินตามออกไม่สิ เรียกว่าวิ่งดีกว่า
เห็นเหตุการณืแบบนั้นก็ยิ่งแต่หัวเสีย อวดดี
แต่ก็ทำยังได้นอกจากไปเอารถมารับอีกคนก็แม่เขาสั่งมาให้ไปส่งอีกคนโดยมีเอนกประสงค์คอยตามประกบแจ
รายงานผลตลอดเวลา ถ้าเขาไม่ทำมีหวังแม่ได้รีบบินมาด่าหูชาไปสามวันเจ็ดวันแหงๆ
ไม่รู้ว่าใครเป็นลูกกันแน่
เอี๊ยดด
เสียงล้อของรถคันหรูจอดเทียบฟุตบาทที่อีกคนยืนรอรถอยู่แม้พอจะมีที่บังฝนบ้างแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากสังเกตได้จากเสื้อที่เรื่มจะลู่เข้าตามรูปทรงของร่างกาอีกคน
และผมที่เยกประมาณนึง จอดอยู่นานอีกคนก็ไม่มีที่ท่าว่าจะขึ้นมา
น้ำทิพย์จึงลงจากรถตากฝนไปหาอีกคน
“ขึ้นรถ
เดี๋ยวนี้”
“ไม่! ฉันกลับเองได้ค่ะ”
“อย่ามาดื้อตอนนี้ได้มั้ย
ฝนมันตก เริ่มจะแรงแล้วด้วย”
“ฉันรอได้ค่ะ
คุณกลับไปเถอะ”
“จะบอกให้ว่าเสื้อผ้าเธอตอนนี้เปียกหมดแล้ว
และแนบเนื้อเธอมาก ถ้าอยากจะมีสามีเป็นคนบ้า โรคจิตตามข้างทางก็เชิญรออยู่ตรงนี้”
“ก็ยังดีกว่าไปกับคนใจร้าย
ปากเสียเหมือนคุณ”
“...คริส
ฝนตกหนักแล้วนะ อย่าดื้อได้มั้ย”
“ฉันบอกว่าฉันจะรอลง
มาแล้ว แท็กซี่ๆ!” ศิรินพูดแล้วเดินไปโบกรถ
ก่อนจะชะโงกหน้าเข้าไปถามว่าจะไปส่งเธอได้ไหม แท็กซี่ก็พยักหน้าจึงเปิดประตูจะเข้าไปนั่ง
แต่ก็ต้องหยุดขาไว้เมื่ออีกคนที่ยืนเถียงกันยื่นมือมาดึงประตูแล้วเข้ามาขวางไว้
ก่อนจะไปบอกคนขับว่าไม่ไปแล้ว
“นี่คุณ
ทำอะไร” ศิรินหันมาแหวใส่อีกคน
“ฉันบอกให้ขึ้นรถ”
น้ำทิพย์ย้ำคำชัดๆ ก่อนจะลากอีกคนไปที่รถตัวเอง
“ไม่ ฉันก็บอกแล้วเหมือนกันว่าไม่ไปกับคนใจร้าย
ปากเสีย...” ศิรินก็ไม่ยอมเหมือนกัน
ก่อนจะต้องหุบปากฉับเมื่ออีกคนผลักตัวเธอให้ติดกับตัวรถแล้วเลื่อนหน้ามาใกล้
“อยากจะพิสูจน์ว่าเสียจริงหรือเปล่าไหมล่ะ”
พอเห็นว่าอีกคนสิ้นฤทธิ์ จึงเปิดประตูยัดร่างสาวหมวยเข้ารถไปแล้วอ้อมไปนั่งฝั่งคนขับ
แล้วเคลื่อนรถออกไป บนรถคันหรูมีแต่ความเงียบเข้าปกคลุม
คนตัวเล็กนั่งลูกแขนคลายหนาวเพราะตัวเย็นๆมาเจอเครื่องปรับอากาศเย็นก็ไม่ไหวอีกคนที่นั่งข้างกัน
จึงเอี้ยวตัวไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่มักจะติดรถไว้ด้วยเวลาเดินทางไปทำงานไกลๆมาส่งให้อีกคน
“เช็ดหัวซะ จะห่มก็ไม่ว่า”
ศิรินรับมาแล้วยกขึ้นยีศีรษะไปมาเพื่อให้ผมแห้งขึ้นบ้างก่อนจะลดมาคลุมตัวก่อนจะหันไปถามอีกคน
“แล้วคุณล่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอก
ห่มไปเถอะ เดี๋ยวหนาวตายบนรถ ไม่อยากได้คนเฝ้ารถ”
น้ำทิพย์พูดพอดีกับที่รถเคลื่อนมาติดไฟแดง
“ก้มหัวมาค่ะ”
ศิรินพูดแล้วหันไปมองอีกคนจริงจัง
“ไม่
บอกให้ทำอะไรก็ทำไปสิ” คนตัวสูงหันมาพูดบ้าง
“ฉันบอกให้ทำอะไร
ก็ทำสิคะ” ศิรินย้อนคำ ว่าจบก็ยื่นมือไปวางผ้าบนศีรษะอีกคนแล้วลงมือขยี้เบาๆ
“เฮ้ยย”เจ้าของศีรษะโวยวายออกมา
สุดท้ายก็ยอมก้มลงมาให้ยีง่ายๆ
“อวดเก่ง
ป่วยมา ยาก็ไม่กินอยู่แล้ว ขอให้ตายไปเลย” ศิรินพูดทั้งๆที่ยังขยี้ศีรษะอีกคนอยู่
“แช่งกันเหรอ
ฉันเป็นเจ้านายเธอนะ” น้ำทิพย์พูดพร้อมกับจะเงยหน้ามาเถียงแต่ถูกอีกคนกดไว้
“นั่นละดีเลย ตายไปฉันจะได้มีเจ้านายใหม่” ศิรินพูดแล้วละมือออกจากอีกคน
“ฉันไม่ให้เธอสบายง่ายๆหรอก”
น้ำทิพย์ได้โอกาสพูดออกมาเสียงเรียบ
“งั้นก็เชิญอยู่นานๆนะคะ
คุณท่านประธาน” ศิรินพูดประชดก่อนจะเอาผ้าไปห่มตัวเองไว้ แล้วเผลอหลับไป
น้ำทิพย์จึงหันมายิ้มให้กับความขี้ประชดประชันของอีกคนก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแอบถ่ายรูปอีกคนไว้
แล้วกดเข้าไลน์ พิมพ์ข้อความส่งไปหาผู้เป็นแม่
Bee ตัวแสบ
เสร็จภารกิจแล้วนะคะ มาดาม :P
เอนกประสงค์
1(T)
Mission complete. Madam M.
เอนกประสงค์
2(R)
จบภารกิจครับ
คนได้รับข้อความระบายยิ้มเบาๆออกมาอย่างระอาในความกวนของลูกสาว
นี่แค่บอกให้ไปส่งสาวหนาหมวยนี่ยิ่งใหญ่เป็นภารกิจระดับชาติหรือยังไง
พอกันทั้งนายทั้งลูกน้อง ดูมันส่งมาเฮอะๆ
สักพักก็มีแจ้งเตือนอีกครั้ง
เอนกประสงค์
1(T)
Sent video
เอนกประสงค์
2(R)
Sent photo
พอกดเข้าไปดูที่รูปก็พบว่าเป็นรูปที่ถูกถ่ายจากคนที่อยู่ไกลพอสมควร
แต่ภาพที่ส่งมาก็เห็นอยู่ว่าคือลูกสาวตัวแสบกับสาวหน้าหมวยอีกคนโดยที่ทั้งคู่ยืนพิงรถอยู่ท่ามกลางสายฝนในสภาพที่คนตัวเล็กกว่าอยู่ติดรถ
แต่ลูกสาวเธอนั้นอยู่ซ้อนออกมา บัดสีที่สุด ทำไมข้ามขั้นอย่างนี้ละ ลูกสาวแม่
แม่ต้องเตรียมสินสอดไปสู่ขอเลยไหมเนี่ยหรือต้องไปคุยปรึกษาหาสินสอดที่พอดีกับศศิก่อน
ก่อนจะมาสะดุดกับข้อความที่ส่งต่อมา
ขอโทษนะครับมาดาม ฝนตกหนักมาก พวกผมไม่สามารถไปถ่ายใกล้กว่านี้ได้
ข่มใจให้สงบไม่สนข้อความนั้น
เพราะมันหมายความว่าไอ้สองคนปล่อยให้ลูกสาวของฉันตากฝนพวกมันหลบในร่ม พุทโธ พุทโธ
เมทิ ก่อนจะกดเข้าไปดูวีดิโอ ของอเนกประสงค์สอง ก็คือวีดิโอยืนยันรูปเมื่อครู่นั่นเอง
ตายแล้ว ลูกชั้นมันร้าย แม่จะเป็นลม สงสัยต้องรีบไปตกลงกับแม่ของอีกคนแล้วละ
ตายๆๆๆ คิดออกมาด้วยความบันเทิงเริงใจที่สุด
ทางด้านคนที่ไทยก็พบปัญหาอีกชั้นเพราะเมื่อมาถึงแล้วอีกคนยังไม่ยอมตื่นจะลงไปเปิดประตูบ้านเข้าไปส่งก็คงไม่ได้
“คริสๆๆ” เจ้าของรถเรียกชื่อพร้อมกับสะกิดอีกคนเบาๆ
“งื้ออ”
เจ้าของชื่อครางออกมาอย่างรำคาญคนรบกวนเวลานอน
“ถึงบ้านเธอแล้ว ตื่นก่อน เร็ว”
น้ำทิพย์พูดแล้วเขย่าอีกคน
“อื้ออ ถึงแล้ว มึนหัวจัง”
ศิรินพึมพำขึ้นเบาๆ ก่อนจะค่อยเปิดเปลือกตาขึ้น
“ลงไปได้แล้ว ดึกแล้ว” น้ำทิพย์พูด
อีกคนจึงเปิดประตูลงไปก่อนจะโน้มตัวลงมาพาดผ้าขนหนูไว้ให้อีกคนในรถคืน
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
ศิรินพูดแล้วดึงตัวกลับไปไขประตูบ้านเข้าไป
ด้านคนตัวสูงรอจนไปในบ้านปิดสนิทจึงเคลื่อนรถกลับบ้านตนบ้าง เมื่อกลับไปถึงเพ้นท์เฮาส์
ก็เจอเพื่อนเพียงคนเดียวคือเฌอมาลย์นั่งดูหนังอยู่ที่ห้องรับแขก
“พี่แกนล่ะ”
“ไปส่งเด็ก” เฌอมาลย์ตอบอย่างเนือยๆ
“ดีเนอะ
แบบนั้นยังบอกไม่ชอบน้องเค้ากูละเชื่อเลย” น้ำทิพย์ว่าพลางเดินมาดูหนังที่อีกคนเปิดไว้
“เหมือนมึงแหละ” หมอคนสวยตอบ
“เกี่ยวอะไร”
“มึงก็เพิ่งไปส่งคริสมาไม่ใช่หรือไง”
“แม่กูสั่งโว้ย”
“อย่ามา”
“ไอ้หมอ”
“อะไร พวกมึงแม่งไม่เกรงใจคนโส้ดโสด
อย่างกูบ้าง” บ่นออกมาจนได้
“เอ้า พาลล่ะมึงอ่ะ”
“เอ้ออ
ไว้กูจีบเค้าติดเมื่อไรกูจะพามาทุกวันเลยคอยดู”
“จีบให้ติดก่อน
แล้วจากนั้นค่อยมาคุย นะคะหมอ”
น้ำทิพย์พูดแล้วเดินอ้อมหลังแต่ไหล่คนที่นั่งบนโซฟาเพราะตัวเขาเปียกไม่อยากนั่งโซฟา
“กูไปอาบน้ำนอนล่ะ มึงก็รีบนอน
ดูหนังคนเดียว เกิดเปลี่ยวมาไม่ใครช่วยนะมึง ยิ่งช่วงนี้มึงไม่ค่อยได้เที่ยวอยู่ ไปล่ะ” น้ำทิพย์แกล้งแซว
“อิบี! หนังผีโว้ยย”
หมอคนสวยพูดพร้อมกับปาหมอนอิงตามหลังอีกคนไป
To
be continued
-ZenonZane-
TALK : อัพเพิ่มแล้วน้า มาอ่านกัน ติชมกันเข้ามาได้ น้อมรับไปปรับปรุงนะคะ
รัก
ZenonZane
ความคิดเห็น