ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อสงไขย​ | taeten

    ลำดับตอนที่ #4 : ฝันซ้อนฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 24 พ.ค. 63


     

    ฝันซ้อนฝัน

     

     

     

     

     

     

     

     

    ENJOY READING.

    ༼ つ ◕_◕ ༽つ

     

     

     

     

     

     

    *** ฟิคเรื่องนี้เป็นเพียงจิตนาการของผู้เเต่ง สถานที่ หรือเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้อ้างอิงมาจากสิ่งใด เเละไม่ได้เกิดขึ้นจริง หากใช้คำผิดพลาดตรงไหนก็ขอโทษจริงๆ ครับ

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ลมเย็นๆ พัดกลิ่นของบุปผาในยามเย็นทำให้รู้สึกไม่ได้ร้อนอบอ้าวเหมือนเช่นกลางวัน อาหารมากมายถูกยกมาวางบนโต๊ะที่ชานหน้าบ้าน ทั้งห้าคนนั่งลงประจำที่โดยมีทิวเขาเป็นคนตักข้าวส่งให้ทุกคน อาหารสามสี่อย่างส่งกลิ่นหอมกลิ่นเรียกน้ำย่อยทำให้รู้สึกหิวขึ้นมานิดๆ ทั้งห้าคนจึงเริ่มลงมือทานอาหารค่ำ

    "อร่อยไหมครับ" ทิวเขายิ้มกว้างเหมือนเห็นทั้งสามคนทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย คนทำเเบบเขาก็พลอยมีความสุขไปด้วย

    "อร่อยมากเลยครับ"

    "ดีใจจังครับ"

     

    หลังจากที่ทานอาหาร ล้างจานกันเสร็จเรียบร้อยเเล้ว ทุกคนจึงเเยกย้ายกันไปอาบน้ำเพราะห้องน้ำอยู่ด้านล่าง เเละมีหลอดไฟเพียงไม่กี่หลอดในบ้าน โชคดีที่ทั้งสามคนค่อนข้างชินกับการใช้ชีวิตเเบบนี้ เพราะพวกเขาเป็นนักโบราณคดีจึงไม่ได้รู้สึกเเย่อะไร พวกเราทำธุระอะไรเล็กๆ น้อยๆ ส่วนตัวเเล้วเดินกลับไปยังเรือนกลาง กลิ่นหอมของดอกปีบลอยตามสายลมทำให้รู้สึกสดชื่น ปลอดโปร่งอย่างบอกไม่ถูก

    "เเล้วพวกเรามาทำอะไรกันงั้นหรอ" โยธาถามพร้อมกับมองคนอายุน้อยกว่าอย่างสงสัย เพราะตั้งเเต่พวกเขามาอยู่ทีนี่ได้สามสี่ปียังไม่มีใครนึกถึง ยกเว้นไอ้เจ้าเอิงที่เเวะมาขลุกตัวเขียนหนังสืออยู่ครั้งล่ะสามสี่อาทิตย์

    "อ่อ พวกเราคือพวกเรากำลังตามหาประว้ติขุนเทพารักษ์ครับ พี่เอิงเลยเล่าว่าพี่ทิวก็กำลังศึกษาข้อมูลอยู่เหมือนกัน" ดินเเดนตอบเเล้วยิ้มให้คนอายุมากกว่า เอาจริงๆ คือเขารู้สึกเกร็งก็ไม่น้อยเพราะยังไม่รู้ว่าพวกพี่เขาเป็นคนยังไงกันเเน่

    "ขุนเทพารักษ์???" โยธาหรี่ตามองดินเเดนสลับกับทิวเขาที่ส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย เขารู้จักชื่อนี้ดี ขุนเทพารักษ์อดีตชาติของทิวเขา

    "ครับ"

    "เอ่อ จะรบกวนพี่ทิวรึเปล่าครับ" วริญถามด้วยความเกรงใจเพราะพี่เขาดูมีงานรัดตัวอยู่พอสมควร

    "ไม่หรอกครับ เเต่พวกเราเเน่ใจหรอว่าอยากรู้จริงๆ นะ" ทิวเขาถามเเล้วมองคนอายุน้อยกว่าด้วยรอยยิ้ม ขุนเทพารักษ์เป็นอดีตชาติของก็เขาจริง เเต่ก็เพราะมันเป็นอดีตของเขาอีกนั่นเเหละเขาถึงไม่อยากรับรู้อีก

    "ครับ"

    "อืม งั้นพี่จะช่วยเเล้วกัน"

    "ขอบคุณมากๆ ครับ"

    โยธามองทิวเขาอย่างไม่เข้าใจ มันเคยบอกกับเขาว่าไม่อยากเจออดีตชาติของตัวเองเเละไม่อยากค้นหา หรือยุ่งเกี่ยวมาโดยตลอด ทำไมครั้งนี้มันถึงได้ตกลงง่ายดายขนาดนี้ เเต่ในเมื่อมันตัดสินใจเเล้วเขาก็คงต้องช่วยมันให้เต็มที่ โยธาละสายตาจากเพื่อนสนิทเเล้วมองหนึ่งในสามคนนั้น เด็กคนนั้นดึงดูดสายตาเขาได้เป็นอย่างดี วริญ ชื่อที่เขาได้ยินจากวิญญาณเงาดำที่มักปรากฎอยู่ใกล้ๆ เด็กคนนั้นเสมอ

    'มันทำให้กูต้องตาย!!!' เสียงของวิญญาณดังก้องเขามาในโสตประสาทโยธาอีกครั้ง เสียงร้องตะโกนดังจนเขาไม่ได้ยินเสียงรอบข้าง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องดังลั่นจนหูอื้อไปหมด

    'ฮิๆๆๆ กูจะจ้องเวรมึงอยู่อย่างนี้ วริญ!!' เสียงหัวเราะอันน่าสยดสยองทำให้ความอดทนของโยธาใกล้ถึงขีดสุด เขาหลับตาลงช้าๆ เพื่อจะได้ไม่โมโหจนตะโกนออกไปให้ทุกคนตกใจ

    "กูไปนั่งที่ศาลากลางน้ำนะ" เขาไม่รอให้เพื่อนสนิทพูดอะไร ร่างสูงผุดลุก เดินไปท่ามกลางความงวยงงของทั้งสามคนที่เหลือที่กำลังจะตักขนมถ้วยเข้าปาก

    "พี่โยเป็นอะไรหรือเปล่าครับ" ตุลย์วางช้อนในมือเมื่อพี่โยธาเดินลงไปจากเรือนเเล้ว ดวงตากลมมองทิวเขายังไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น

    "ไม่เป็นไรหรอกครับ มันคงปวดหัว" ทิวเขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ เขาไม่รู้ว่าทั้งสามคนเชื่อเรื่องอะไรเเบบนี้หรือเปล่า หากบอกไปเเล้วกลัวทั้งสามคนกลัวจนนอนไม่หลับ "งั้นพรุ่งนี้ 6 โมงเช้ามากินข้าวเเล้วมาคุยเรื่องขุนเทพารักษ์กันนะ พวกเราก็กินเสร็จเเล้วก็ไปพักผ่อนนะ พี่มีงานที่ต้องทำนิดหน่อย"

    "โอเคครับ"

    ทิวเขายิ้มให้ทั้งสามคนเเล้วเดินกลับห้องตัวเองไปเงียบๆ หลังจากพี่ทิวเขาพ้นสายตาไปเเล้วทั้งสามคนที่ลงมือกินขนมที่อยู่ในจาน รวมถึงพูดคุยกันเล็กๆ น้อยๆ ก่อนจะเอาจานไปล้างเก็บให้พี่ทิวเขาเเล้วเดินเเยกย้ายกลับห้องของตัวเอง

     

    กลิ่นหอมของดอกปีบที่พัดมากับลมเย็นๆ ขับกล่อมให้นอนหลับง่ายกว่าห้องเเอร์เสียอีก ใช้เวลาเพียงไม่นานพวกเขาก็เข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็ว ยกเว้นวริญที่เอาเเต่พลิกตัวไปมา เขานอนไม่หลับ เพราะคำพูดเมื่อเย็นของพี่โยยังติดอยู่ในความคิด คำพูดที่ทำให้วริญรับรู้ได้อย่างดีว่ามันไม่ใช่คำพูดหยอกล้อ หรือขู่ให้กลัว มันคือประโยคที่เรียบราบที่เเฝงด้วยความเจ็บปวดดังเช่นที่เขาเคยเจอ

    วริญผุดลุกขึ้นนั่งบนเตียงก่อนหน้านี้เขาคิดว่าคงเเปลกที่เลยทำให้นอนไม่หลับเลยลองสวดมนตร์ก่อนนอนดูเเต่มันก็ไม่ได้ผล พอกลับมานึกดูเขากลับไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เขาเป็นคนค่อนข้างนอนหลับง่าย วันนี้มันกับต่างออกไป มันเป็นความรู้สึกบ้างอย่างที่ก่อกวนเขาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ดั่งเช่นน้ำที่มีตะกอนอยู่ด้านล่าง

    เขาลุกจากเตียงนอนเเล้วเดินไปเปิดหน้าต่างออกเผื่อกลิ่นหอมกับลมเย็นๆ จะช่วยให้รู้สึกง่วงนอนขึ้นมาได้บ้าง เเสงจากเทียนที่ถูกจุดไว้ตามทางเดินไม่ได้สว่างมากนักเเต่ก็พอมองเห็นได้ลางๆ วริญมองท้องฟ้าอย่างที่ชอบทำเวลากลางคืน มันทำให้เขาไม่ต้องเห็นอะไร เพราะความมืดมิดเหล่านั้นช่วยพรางการมองเห็นได้เป็นอย่างดี เขาหลับตาลงช้าๆ เเล้วสูดกลิ่นหอมของธรรมชาติผสมกับดอกไม้หอมหลายชนิด

    หลังจากที่ยืนเล่นอยู่นานวริญก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดๆ เขากำลังจะหันหลังเพื่อที่จะเดินกลับไปที่เตียงเเต่พลันหางตาก็มองเห็นใครบ้างคนอยู่ที่ศาลากลางน้ำ วริญจ้องมองอีกครั้ง จนเเน่ใจว่ามีคนนั่งอยู่ที่ศาลากลางสระบัวหรือว่าจะเป็นพี่โย วริญจ้องมองอยู่สักพักก่อนจะตัดสินใจเดินออกจากห้อง มือเรียวยกโทรศัพท์ที่เปิดไฟฉายเพื่อส่องทางเดินไปที่ศาลาอย่างไม่กลัวอะไร เพราะเขาต้องทำงานนอกสถานที่กลางคืนค่อนข้างบ่อยจึงชินกับความมืดมากพอสมควร อากาศเริ่มหนาวเย็นเเปลกๆ อาจเป็นเพราะน้ำค้างเริ่มลง เขาห่อไหล่ตัวเองพลางสาวเท้าไปที่ศาลากลางสระบัว

    "ออกมากทำอะไรดึกๆ" เสียงทุ้มดังขึ้นข้างหลังทำเอาวริญสะดุ้งสุดตัว เขาหันมองเจ้าของเสียงที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว พี่โยที่สวมเพียงเสื้อกล้ามสีขาว โสร่งสีเข้ม เเละผ้าขาวม้าที่คล้องอยู่ที่คอ ใบหน้าของพี่เขามีเเป้งปะอยู่บนใบหน้าที่กำลังมองผมด้วยเเววตาสงสัย

    "ทำไมพี่มายืนตรงนี้" วริญลักคิ้วอย่างงงๆ เเล้วมองคนตรงหน้าที่กอดอกมองเขาอยู่ เขาจึงหันหลังกลับไปมองที่ศาลาอีกครั้ง เเต่กลับพบว่ามันว่างเปล่าไปเสียเเล้ว เขานิ่งไปสักพักก่อนจะเริ่มเข้าใจบ้างอย่าง เขาเป็นคนมีเซ้นส์พิเศษ เรียกว่าซิกเซ้นส์ก็คงไม่ผิด แต่นับว่าโชคดีที่เขาเห็นเเค่เพียงบ้างเวลาจึงไม่ต้องเลี่ยงอะไรมากนัก เเต่ข้อเสียของมันคือเขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันจะเห็นเมื่อไหร่ หรือเห็นอะไร

    "ดึกๆ ดื่นๆ ออกมาทำไม"

    "ขอโทษด้วยครับ"

    ยธามองคนอายุน้อยกว่าตอบเสียงเบา เเล้วมองผ่านที่ยังที่ศาลา มันเป็นหน้าที่เขาที่ต้องเป็นคนตรวจดูรอบๆ บ้านก่อนนอน วันนี้ก็เช่นกันหลังจากที่อาบน้ำเเละงานที่ค้างไว้เสร็จ เขาจึงออกมาดูรอบๆ บ้านตามปกติว่าลืมปิดหน้าต่างหรือประตูบานไหนหรือเปล่า จนมาถึงหน้าบ้านที่ประตูถูเปิดไว้ เขาจึงเดินมาดูเเล้วเห็นน้องวริญกำลังเดินตรงไปที่ศาลา เพราะเขารู้ประวัติของสระนั้นดี โยธาจึงยืนมองอยู่นานจนใกล้จะถึงกลางศาลาเขาจึงต้องลงมาตาม

    "กลับไปนอนได้เเล้ว"

    "พี่โยคุยเป็นเพื่อนผมก่อนได้ไหมครับ" เสียงจากคนด้านหลังทำให้โยธาที่กำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดหยุดที่ขั้นเเรก เขาหันมองน้องวริญที่กำลังมองอยู่ด้วยสายตากล้าๆ กลัวๆ

    "อืม ไปสิ" โยธายิ้มเล็กน้อยเเล้วเดินไปนั่งลงที่ม้านั่งที่วางอยู่ไม่ไกล

    วริญที่เห็นดังนั้นจึงเดินไปนั่งลงข้างๆ มองใบหน้าของพี่โยอย่างเกร็งๆ เพราะไม่รู้ว่าพี่เขาจะสนิทมากพอที่จะคุยอะไรได้บ้าง เขาจึงต้องใช้เวลารวบรวมสติสักครู่หนึ่ง

    "ไม่ต้องเกร็งหรอก ถามได้ทุกเรื่อง"

    "ครับ คือ เมื่อกลางวันพี่บอกว่าเงาดำงั้นหรอครับ"

    "อ่อ พี่ก็เดานะ" คำตอบของอีกฝ่ายทำให้วริญมองพี่โยธาด้วยความสงสัย เขาลอบมองใบหน้าที่มีรอยยิ้มงดงามอยู่เสมอ เเต่ทำไมกันนะวริญกับรู็สึกว่าดวงตาคู่นั้นดูหม่นหมองเหลือเกิน "เเต่ที่พี่บอกว่ามันบอกว่าเราชื่อวริญพี่ได้ยินจริงๆ นะ"

    "พี่มีเซ้นส์หรอครับ"

    "ครับ" อีกฝ่ายพยักหน้าอย่างกับว่ามันเป็นเเค่เพียงคำถามธรรมดาทั่วไป "เเต่ได้ยินเเค่เสียงนะ แต่ถ้าเป็นพวกวิญญาณเเรงอาฆาตสูงมากก็เห็นได้พอลางๆ" เป็นอีกครั้งที่วริญนิ่งเงียบ นั่นหมายความว่าเขามีวิญญาณอาฆาตตามติดงั้นหรอ ไม่ใช่เขาไม่รู้สึก เเต่มันก็ไม่ได้ชัดเจนอะไรขนาดนั้น เขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากมาย จนอีกฝ่ายทักขึ้นมาในตอนเย็น เขาจึงพอจะมั่นใจว่าไม่ได้รู้สึกไปเอง "รู้เเล้วใช่ไหมว่าที่ศาลากลางน้ำคืออะไร"

    "ครับ เเต่ผมสงสัยว่าทำไมถึงได้มีผีพรายอยู่ที่นี่"

    "เพราะเขาเป็นเจ้าของที่นี่ เเละเขามีสถานะเป็นย่าของไอ้ทิว"

     

     

     

     

     

    เสียงร่ำไห้แทบขาดใจของใครหนอ

    ดังเคล้าคลอเสียงเพรียกเรียกจากฝัน

    พระพายพัดพลิ้วผ่านผิวพรรณ

    สะอื้นลั่นร่ำร้องหาน่าอาดูร

     

     

     

     

    ตุลย์:

    ผมนอนทิ้งตัวลงนอนหลังจากที่เข้ามาในห้องของตัวเองเเล้ว กลิ่นหอมของบุปผากับสายลมเย็นๆ ขับกล่อมทำให้ผมหลับได้อย่างง่ายดาย เเต่หลับตาลงได้ไม่นานฝันเดิมๆ ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้ง เสียงร้องไห้ของหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังกอดร่างเเน่นิ่งของชายร่างสูงที่ตุลย์รู้จักดี ขุนเทพารักษ์ เสียงสะอื้นดังไม่หยุด ภาพของชายสวมเพียงโจงกระเบนสีน้ำตาลไหม้ เเละหญิงที่สวมผ้าคาดอกเเละโจงกระเบนสีน้ำตาลที่ในสมัยนั้นคงเรียกว่าทาสกัน คนเหล่านั้นนั่งล้อมรอบทั้งคู่ไว้ ทุกคนต่างก้มหน้าร้องไห้เงียบๆ บรรยากาศรอบๆ ทำให้ตุลย์รับรู้ได้ว่าพวกเขากำลังเสียใจมากๆ

    แล้วภาพทุกอย่างก็แปรเปลี่ยนเป็นกลางวัน ลานดินกว้าง มีกองฟอนที่ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงกลาง รอบๆ มีผู้คนมากมายยืนอยู่ หลายคนทรุดลงไปนั่งร้องไห้กับพื้นดิน รวมถึงเธอคนนั้นเเม่เต หญิงสูงวัยสองคนกอดเธอไว้ ใบหน้างดงามของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเเละคราบน้ำตา ความเสียใจเเละเจ็บปวดของเธอถูกส่งมาให้ผม จนน้ำตาผมไหลออกมาตั้งเเต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความรู้สึกราวกับโดยฉกชิงพรากหัวใจออกไป

    "พี่เทพ!!" เสียงร้องเรียกดังขึ้นอยู่เป็นระยะ ดวงตางดงามที่เเดงก่ำเพราะร้องไห้อย่างนั้นมองร่างไร้วิญญาณของคนรักที่ถูกยกไปวางบนกองฟอน

    "ทำใจเสียเถอะเเม่เต ให้พี่เขาไปสบายเถอะนะ" เสียงของหญิงสูงวัยที่กอดร่างของเธอเเน่นบอกทั้งน้ำตา มือเหี่ยวย่นตามอายุลูบผมสีดำขลับของเธออย่างเบามือ

    "ฮึก ลูกทำไม่ได้หรอกเจ้าค่ะคุณเเม่ ฮึก ลูกรักพี่เทพมากเหลือเกิน" เสียงหวานดังก้องในหูผมพร้อมกับภาพของเธอที่ดับไปราวกับหน้าจอคอมที่ถูกถอดปลั๊กออก ความมืดเข้ามาเเทนที่ทำให้ผมรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก

    กรี๊ดดดดดดด เสียงกรีดร้องทำให้ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความตกใจ ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงพลางลูบใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อมองดูนาฬิกาที่อยู่ข้างๆ เตียงก็พบว่าผมนอนไปหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ

    "อย่าทำอะไรน้องเลยนะเจ้าค่ะ ท่านพ่อ" เสียงของหญิงสาวดังออกมาจากด้านนอกทำให้ผมนึกสงสัยเพราะเมื่อเช้าผมก็ยังไม่เห็นผู้หญิงในบ้านหลังนี้สักคน ผมจึงลุกจากเตียงไปดู

    "ลูกเช่นนี้นะหรือ รู้ถึงไหนอายไปถึงนั่น ขายขี้หน้าวงศ์ตระกูลนัก" เสียงดุ ด่าดังออกมาจากด้านนอก ผมจึงค่อยๆ เปิดประตูออกช้าๆ เเล้วลอบมองผ่านร่องประตูที่เปิดเเง้มไว้เพียงเล็กน้อย ภาพที่เห็นทำให้ผมตกใจมากๆ เพราะมันไม่ใช่ทางเดินบ้านของพี่ทิวเขา เเต่กลับเป็นเพียงห้องเก่าๆ โล่งๆ ที่มีร่างของใครบ้างคนถูกล่ามโซ่ไว้กับเสากลางบ้าน เเผ่นหลังของเขาเต็มไปด้วยเลือดสีเเดงเป็นรอยยาว เเละหญิงสาวที่กำลังกอดร่างนั้นไว้ ผมเปิดประตูกว้างขึ้นเล็กน้อยเพื่อดูเจ้าของเสียงเมื่อครู่ ร่างสูงกำยำในชุดสูทเเบบผู้ดีที่มักเห็นได้ในละครย้อนยุค ผมคาดการจากเรือนเเละการเเต่งตัวเเบบนี้คงเป็นสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น

    "เกียรติ ศักดิ์ศรี เเละชื่อเสียงที่บรรพบุรุษสร้างมาต้องมาถูกทำลาย จะชอบพอกับหญิงใดพ่อไม่ว่าเเต่นี้ ชอบบุรุษด้วยกัน จะให้พ่อเอาหน้าไปไว้ที่ไหน บอกมาสิหม่อมราชวงศ์ตริณ" ชายวัยกลางคนที่ผมคิดว่าคงเป็นท่านพ่อของหม่อมราชวงศ์​ตริณที่ถูกล่ามโซ่ไว้ ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยความโกรธ มือข้างหนึ่งถือหวายขนาดที่ว่าหากใครโดนโบยคงนอนจับไข้ได้ไม่ยาก

    "ฮึก ลูกรักเขา" น้ำเสียงหนักเเน่นพร้อมกับมือที่กำเเน่น ดวงตาคู่งามสบตาผู้เป็นบิดาอย่างไม่เกรงกลัว

    "ตริณ!! เเม่ดาหลากลับเรือนไปเสีย!!!" เสียงทุ้มเด็ดขาดจนผมสะดุ้งด้วยความตกใจ เเอบกลัวอยู่นิดๆ

    "เเต่ ท่านพ่อ"

    "หยุด!! ออกไป!!" คำสั่งเด็ดขาดทำให้หญิงสาวที่นั่งกอดหม่อมราชวงศ์ตริณลุกขึ้นอย่างจำยอม เเล้วเดินออกไปเงียบๆ เธอคอยหันกลับมามองน้องชายจนพ้นประตูไป "เลิกติดต่อมันซะ พ่อจะให้เจ้าตกเเต่งกับเเม่หนูพุดตานเเเล้วจะส่งลูกกับหนูพุดตานไปที่อังกฤษสักสี่ห้าปี ข่าวลือก็คงซาลง เเล้วค่อยกลับมา"

    "ไม่ขอรับท่านพ่อ ลูกคงไม่สามารถแต่งกับใครได้" น้ำเสียงนุ่มนวลตอบบิดากลับไป "หากท่านพ่อประสงค์จะให้ลูกเเต่งกับใคร ลูกขอยอมตายเสียยังง่ายกว่า" คำพูดที่เต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว ทำให้ผมทึ่งอยู่ไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าจะมีใครที่กล้าขัดคำพูดของพ่อตัวเองได้ขนาดนี้ ยิ่งเป็นยุคนั้นเเล้วคงยังไม่มีใครยอมรับได้ดั่งเช่นยุคปัจจุบันนี้ เเล้วยิ่งมีฐานะเป็นหม่อมราชวงศ์เเล้วยิ่งเป็นที่ยอมรับได้ยาก

    เ "ดี!! ในเมื่อเจ้าเลือกมันมากกว่าวงศ์ตระกูล เเล้วเจ้าจะได้เสียใจ ตริณ" ผู้เป็นบิดาทิ้งไม้หวายในมือลงด้วยความโมโห เดินออกจากห้องไป เสียงปิดประตูดังขึ้นทำให้คนที่ถูกล่ามโซ่ไว้ทิ้งตัวนอนลงบนพื้นไม้ ความเหนื่อยล้าจากเเผลทำให้บุคคลที่เคยเข้มเเข็งเมื่อครู่หายไป เหลือไว้เพียงคนที่เจ็บปวดจากบาดเเผล

    ผมมองภาพตรงหน้าเเล้วกำลังคิดว่านี้คือความจริงหรือความฝันกันเเน่ ผมตบหน้าตัวเองเบาๆ พยายามทดสอบดูว่าผมไม่ได้กำลังฝันอยู่ เเล้วจู่ๆ ทุกอย่างรอบๆ ตัวผมก็เบลอไปหมด สิ่งสุดท้ายที่ผมจำได้คือผมล้มลงบนพื้นก่อนที่ภาพทั้งหมดจะค่อยๆ ดับวูบไปราวกับดูหนังภาพยนตร์

     

     

     

    เจ้าดอกปีปกลีบหอมชวนใฝ่่หา

    เจ้ากานดาป่านนี้ไซร้อยู่ไหนหนอ

    ทิ้งให้พี่คะนึงนึกเฝ้าคอยรอ

    นวลออห่างหายไปไกลลับตา

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    *** เรายังไม่หายไปนะทุกคน ยังพยายามปั่นเรื่อยๆ เนื่องจากอากาศร้อนจนคิดอะไรไม่ออก ที่บ้านเราค่อนข้างร้อนมากถึงมากที่สุดเพราะมีเพียงพัดลมพัดความร้อน ตอนกลางวันเลยได้เเค่นั่งมองโน๊ตบุ๊คที่เปิดไว้ เเล้วเล่นโทรศัพท์ เเล้วนั่งมองโน๊ตบุ๊คอีกครั้ง สรุปได้ว่าทั้งวั้นได้เเค่บรรทัดเดียว กลางคืนก็เย็นลงบ้างเเต่นั้นเท่ากลับมามันจะกินเวลานอนเล็กนอนไปถึงมากๆ ฮ่าๆๆ อยากเเต่งให้จบครับ อยากเห็นตอนจบนิยายตัวเองเหมือนกัน คิดเนื้อเรื่องตอนจบไว้เเล้วทุกเรื่องครับ เเต่จะมีกี่ตอนก็ไม่ทราบได้ เเต่ก็จะไม่พยายามพาออกไปเที่ยวทะเลบ่อยนะครับ เพราะยังกลัวโควิดอยู่

    ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันเเละให้กำลังใจ กดคอมเมนต์ กดติดตามกันมาโดยตลอด อยู่กับเราไปนานๆ นะทุกคน

    ฝันดีครับ

    บะบายยยยยย

    ╰(*°▽°*)╯

    ヽ(✿゚▽゚)ノ

    o(* ̄▽ ̄*)ブ

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×