คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ทิวเขา
ทิวเขา
"คุณทิวครับ ที่สวนมีปัญหาครับ" ชายวัยกลางคนในชุดทำงานสวนตะโกนบอกอยู่หน้าบ้านเรือนไทย ทิวเขาละสายตาจากเด็กตรงหน้าที่กำลังลิ้มรสขนมหวานอย่างมีความสุข มองไปมองมาก็เพลินตาดีอยู่เหมือนกัน
พี่ใคร่ลองจ้องมองเจ้าของตา
เสียงวาจาเจ้าไพเราะเสนาะหู
ใบหน้านวลรอยยิ้มหวานชวนให้ดู
อัปสรใดคงไม่สู้เยาวมาลย์
"เดี๋ยวผมตามไปครับ" ทิวเขาตะโกนให้ลุงกรที่ดูเเลสวนรู้ หยิบเเว่นสายตาที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะมาสวม ก่อนจะหันไปยิ้มให้ตุลย์ที่เงยหน้ามองเขาพอดี "เจอกันตอนเย็นนะครับ" ทิวเขาลุกขึ้นเเล้วหยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมาถือ
"ครับ ขอบคุณสำหรับขนมนะครับ" ตุลย์ยิ้มให้คนตัวสูงจนตาปิด
ทิวเขายิ้มรับเล็กน้อยเเล้วเดินออกไปจากศาลา ร่างสูงเดินตรงไปที่รถกระบะที่มีลุงกรยืนรออยู่ มือเเกร่งเปิดประตูฝั่งผู้โดยสารเเล้ววางโน๊ตบุ๊คไว้ด้านหลังเบาะนั่ง
"ตาเเดงนะครับ" ลุงกรที่กำลังทำหน้าที่เป็นคนขับรถบอกทิวเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ หลังจากที่สังเกตดวงตาคมผ่านเจ้าเเว่นสายตา ดวงตาของทิวเขานั้นเริ่มเเดงก่ำ
"เพิ่งเริ่มใส่นะครับ ผมยังไม่ชินเท่าไหร่"
ทิวเขาถอดเเว่นสายตาออกเเล้ววางไว้ช่องข้างๆ ประตูรถ เขาพยายามที่จะไม่ขยี้มัน อาการระคายเคืองเนื่องจากคอนแทคเลนส์ที่สวมเป็นครั้งเเรก เพราะเขาไม่อยากเห็นในสิ่งที่ไม่ควรเหตุ 'อดีต' เขาเริ่มมองเห็นอดีตได้ในตอนอายุ 15 ปี สบตาครั้งเเรกกับเพื่อนผู้หญิงในห้อง หลังจากนั้นเขาก็เห็นอดีตของคนที่สบตาเขามาเรื่อยๆ
จนกระทั่งเมื่อ 4 ปีก่อน นักศึกษาหญิงคนหนึ่งที่เรียนกับเขาเผลอสบตาเขาโดยบังเอิญ ภาพนักศึกษาคนนั้นในอดีตเธอโดนคำสาปเเช่งจากพี่น้องว่าต้องไม่สมหวังเเละต้องฆ่าตัวตายในทุกภพชาติ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อช่วยเธอเเล้ว เเต่ไม่ทัน ทำให้เขาต้องหันหลังจากการเป็นอาจารย์มาทำไร่ทำสวนเเทน อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องเจอคนอื่นมากนัก
มันอาจจะดูไม่หนักเท่าไหร่ เเต่การมองเห็นอดีตของเเทบทุกคนมันไม่ใช่เรื่องสนุกหรอก จริงๆ เเล้วไม่ใช่ว่าไม่พยายามฝืนหลีกเลี่ยงสายตาของทุกคน เเต่มันทำไม่ได้ ความรู้สึกเจ็บเเล่นมาจุกอกยามมองเห็นสิ่งนั้น สิ่งที่เขาไม่ปรารถนาจะเห็น 'การตายของคนอื่นนะมันไม่น่าพิศสมัยเท่าไหร่หรอก'
"ที่สวนมีอะไรหรอครับ" ทิวเขาถามพร้อมกับหันมองลุงกรที่นั่งอยู่ข้างๆ
"คุณโยเเกมีเรื่องกับลูกค้านะสิครับ"
"ทางนั้นว่ายังไงบ้างครับ" ทิวเขาไม่ต้องถามต้องว่าทำไมโยธาถึงมีเรื่อง คงจะเพราะมันไปได้ยินเสียงอดีตหรือไม่ก็เสียงดวงวิญญาณที่ตามติดลูกค้ามา เดือนนี้ก็คงเป็นครั้งที่ห้าเเล้วที่มันได้ยินเสียง จนเผลอโวยวายเสียงดังเเล้วเผลอด่าลูกค้าออกไป
"ทางนั้นไม่ยอมครับ เขาต้องการให้รับผิดชอบ เพราะคุณโยเเกไปต่อยแฟนเขา"
ทิวเขาเพียงพยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ เเล้วหลับตาลงช้าๆ เขามักจะทำเช่นนี้เวลาว่างๆ เพราะหลวงพ่อบอกให้เขาทำสมาธิเพื่อเเผ่บุญให้เจ้ากรรมนายเวรเสมอ เผื่อผลบุญที่สร้างจะลดเเรงสาปแช่งของเขาลงได้บ้าง
'บอกพี่มาก่อนว่ารักหรือไม่รัก' ร่างสูงโอบกอดเอวคนรักจากด้านหลังเเล้วซบหน้าลงกับลาดไหล่ขาว
'คิก ไม่รักครับ ยังไงก็ไม่รัก' เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นจากคนที่ยืนกอดอยู่
'ถึงจะไม่รัก เเต่พี่รักคุณนะครับ'
'เชื่อได้หรือครับ คนเจ้าชู้'
'ทำไมคุณไม่เชื่อพี่ล่ะครับ อย่างนี้ต้องโดนลงโทษเเล้วรู้ไหม หม่อมราชวงศ์ตริณ'
"ไอ้ทิว" เสียงเรียกจากเพื่อนสนิทอย่างโยธาดังอยู่ข้างๆ ทำให้ทิวเขาค่อยๆ ลืมตามองใบหน้าของเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างๆ รถ "นึกถึงเขาอีกเเล้ว??" โยธาถามพร้อมกับเท้าเเขนกับหลังคารถ
"อืม ขาดๆ หายๆ เหมือนเดิม" ทิวเขาพยักหน้า หลายเดือนมานี้เขาเริ่มระลึกได้ถึงเขากับผู้ชายอีกคนหนึ่ง หากฟังจากคำพูดเเละกิริยาของทั้งคู่เเล้ว คงไม่เเคล้วความรักอีกเเน่ๆ
ทิวเขาหยิบเเว่นตาที่วางไว้มาสวมเเล้วเปิดประตูรถ โยธาเดินนำเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาทั้งชีวิตเขาไปในสำนักงานเล็กๆ ที่สร้างไว้สำหรับลูกค้าที่มาติดต่อซื้อผลผลิตในสวน
"เเล้วเคลียร์กับเขาเเล้วหรือไง" ทิวเขาเงยหน้ามองเพื่อนที่ยืนยักไหล่เป็นเชิงว่าไม่
"ทำไมกูต้องขอโทษ"
"โยธา" ทิวเขาเตือนเพื่อนสนิท เเม้ว่าจะอายุปาเข้าเล็กสามไปเเล้ว เเต่โยธาก็ยังใจร้อนเหมือนกับสมัยวัยรุ่น ดีหน่อยที่มันรู้จักจัดการอารมณ์ตัวเองได้ดีขึ้นเเล้ว เเต่ก็นั้นล่ะทำให้เขาต้องเตือนมันอยู่บ่อยๆ
"กูไม่ผิดเปล่าว่ะ มึงก็รู้ว่ากูห้ามตัวเองไม่ได้" โยธาบอกเสียงเบา เขาไม่ชอบที่ต้องเป็นเเบบนี้ มันควบคุมไม่ได้ เสียงตะโกน เสียงกรีดร้องของความช่วย เสียงร้องไห้ เสียงอะไรต่อมิอะไรดังก้องไปหมด จนเขาต้องตะโกนด้วยความเหลืออดเพราะมันดังมากเกินไป
"มึงขึ้นไปนั่งทำงานข้างบนเถอะ" ทิวเขาบอกเพื่อนสนิทพร้อมกับตบไหล่เบาๆ
"เออ เเต่ถ้าเปลี่ยนใจอยากต่อยปากลูกค้าก็ตะโกนบอกกูได้" โยธาหัวเราะเบาๆ เเล้วตบไหล่เพื่อนสนิท เเล้วเดินขึ้นบันไดไป
ทิวเขามองตามหลังโยธาเเล้วถอนหายใจเล็กน้อย เเต่เดิมเเล้วโยธาไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนขนาดนี้ มันถือเป็นคนใจเย็นเเล้วก็สุภาพมากคนหนึ่งในตอนที่เขาเจอมันตอนมอต้น พอมันเริ่มได้ยินเสียงอดีต มันก็เรื่องเผลอเอาพูดคำพวกนั้นมาใช้ บวกกับมันเริ่มทนรำคาญเสียงไม่ไหวผลก็เลยเป็นอย่างที่เห็น
ร่างสูงเดินตรงเข้าไปที่ห้องรับเเขกที่เเบ่งออกจากห้องทำงานของเขา ห้องสี่เหลี่ยมสีเทาอ่อนมีโซฟาจัดวางอย่างเป็นระเบียบ ภายในห้องมีผู้หญิงเเละผู้ชายในชุดทำงานนั่งรออยู่
"สวัสดีครับ" ทิวเขาทักทายลูกค้าที่นั่งอยู่ในห้องต้อนรับ เเล้วเดินไปนั่งฝั่งตรงข้ามของทั้งคู่
"ครับ" ฝ่ายชายพยักหน้าขอไปทีเเล้วหันมองไปทางอื่น ทิวเขาสังเกตใบหน้าของชายคนนั้นดูเหมือนจะบวมเพราะโยธาคงต่อยไม่ยั้งเเรง
"สวัสดีค่ะ คุณทิวเขา ฉันมีนนะคะ ส่วนนี้เเฟนฉัน นนท์" หญิงสาวเเนะนำตัวเองเเละเเฟนหนุ่มด้วยรอยยิ้ม
"ครับ ลุงก่อนบอกว่าคุณมาติดต่อจะซื้อส้มจากสวนเรา"
"เหอะ ทำกับเราขนาดนี้ เเล้วยังคิดว่าเราจะซื้อของจากสวนคุณอีกหรอ"
"อ่า ถ้าไม่ซื้อผมก็คงต้องขอไปทำธุระอย่างอื่นนะครับ"
"นนท์!!" เธอหันไปเอ็ดเเฟนหนุ่มเล็กน้อย "ขอโทษด้วยนะคะ คือทางโรงเเรมของเราต้องการน้ำส้มจากสวนโดยตรงเลย ได้ยินคนเเถวนี้เเนะนำสวนของคุณ"
"งั้นผมคงต้องตามโยธามาคุยด้วยนะครับ เพราะโยธาดูเเลสวนส้ม" ทิวเขายิ้มให้ทั้งคู่เเม้จะรู้ว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะมีปัญหากัน เเต่เพราะเขาไม่ได้ดูแลส่วนนี้เลยไม่ค่อยรู้ว่าส้มที่อีกฝ่ายต้องการมีหรือไม่
"คุณจะบ้าหรอ ถ้าเกิดมันบ้ามาชกผมอีกทำไง" ชายที่นั่งตรงข้ามโวยวายเสียงดังด้วยความไม่พอใจ
"นนท์ใจเย็นๆ รบกวนด้วยนะคะ" หญิงสาวทำหน้าลำบากใจพร้อมกับลูบหลังให้เเฟนของเธอใจเย็นลงบ้าง
"ไม่ขายครับ!!" โยธาพูดเสียงดังเเล้วเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าเเสดงอารมณ์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก
"ถึงขายผมก็ไม่ซื้อ พวกชอบใช้กำลัง มิน่าล่ะได้อยู่ในที่กันดานๆ เเบบนี้"
"ใช่ครับ ผมชอบใช้กำลัง ถ้าคุณไม่ออกไปจากสวนผมตอนนี้ผมคงได้ใช้กำลังอีกรอบเเน่" โยธาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ดวงตาเเละใบหน้าที่เคยดูขี้เล่นกลายเป็นจริงจัง จนทิวเขาทำได้เพียงหันไปยิ้มให้ลูกค้า
"พวกป่าเถื่อน ไปเถอะมีน เเถวนี้มีสวนอีกเยอะ" ฝ่ายชายลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงข้อมือเเฟนสาวให้ลุกขึ้นจากโซฟา เธอยิ้มเห่ยๆ ให้ทิวเขาอย่างไม่รู้จะปั้นหน้าอย่างไร
"ขอโทษด้วยนะครับ" ทิวเขาเอ่ยขอโทษเเล้วมองตามหลังทั้งครู่ที่เดินออกไปจากห้อง ไม่นานนักเสียงรถก็เเล่นออกไปไกลจากสวน ทิวเขาจึงได้หันมามองโยธาที่มีท่าทีอ่อนลง ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงโซฟา "รอบที่สี่ของเดือนเเล้วนะครับคุณโยธา" ทิวเขาเอ่ยเเซวพร้อมกับยิ้มให้เพื่อนสนิท เขาไม่ได้โกรธที่เพื่อนไล่ลูกค้าไปอย่างนั้นเพราะหากโยธาออกปากไล่เองขนาดนี้ มันคงไปได้ยินเสียงอดีตของลูกค้าเข้า
"ช่างมันดิ ไม่อดตายหรอกน่า"
"ลืมบอกไป เพื่อนของเเฟนเองมาเเล้วนะ"
"เออๆ"
"อย่าวิ่งไปชกน้องๆ เเล้วกัน" ทิวเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงติดตลก เเล้วลุกออกจากห้องเพื่อไปทำงานที่ค้างคาไว้ต่อ
ทิวเขาเเละโยธากลับมาถึงบ้านในเวลาห้าโมงเย็น ซึ่งช้ากว่าปกติหน่อยเพราะต้องเเวะไปซื้อพวกเนื้อจากตลาดเเละเเวะเก็บผัก ผลไม้ในสวนมาเยอะกว่าปกติ ทิวเขาขับรถมาจอดที่หลังบ้านเพราะเป็นห้องครัว ร่างสูงก้าวลงจากรถกระบะเเล้วเดินไปยกข้าวของลงจากรถ เพื่อจะเอาไปเก็บในครัว ส่วนโยธาเสนอว่าจะไปเก็บผักบุ้งที่ปลูกไว้หลังที่สวนหลังบ้านมาผัด
"ให้ช่วยไหมครับ" ตุลย์วิ่งมาหยุดตรงหน้าพร้อมกับส่งยิ้มให้ ทิวเขาละสายตาจากตะกร้าหลังรถเเล้วหันไปมองเจ้าของเสียง
"ครับ"
ภาพใบหน้าของตุลย์หายไปราวกับทีวีที่ถูกปิด ก่อนที่ภาพนั้นจะกลายเป็นภาพที่เขาคุ้นตาเป็นอย่างดี ชายหนุ่มร่างสูงซึ่งคือเขาในอดีตชายกับใครบ้างคนที่ไม่เห็นหน้าเหมือนกับภาพที่เบลอไว้ดั่งเช่นทุกครั้ง ชายร่างสูงนอนอยู่บนเตียงไม้ไผ่ด้วยอาการร่อเเร่ ดูแล้วคงไม่รอด ข้างๆ มีหญิงสาวตัวเล็กนั่งร้องไห้เหมือนจะขาดใจ เธอโอบกอดเขาพร้อมกับพร่ำบ่นเสียงเบา
'อย่าร่ำไห้เสียใจไปเลยน้อง
เงยหน้าน้องให้พี่มองดวงตาเจ้า
อย่าอาวรณ์จงลืมเลือนเรื่องของเรา
ให้เลือกเขาเเล้วเริ่มใหม่ใช้ชีวี'
"พี่ทิว!!" เสียงเรียกจากตุลย์พร้อมกับเเรงเขย่าทำให้ทิวเขาตื่นจากพะวง เขากระพริบตาเล็กน้อยเเล้วมองตุลย์ที่มีสีหน้าไม่ค่อยดีเม่าไหร่ มือเล็กจับเเขนเขาไว้เเน่น
"คะ ครับ"
"เป็นอะไรหรือเปล่าครับ หรือไม่สบาย ตัวพี่เย็นเฉียบเลย" ตุลย์บอกด้วยความเป็นห่วงเพราะจู่ๆ พี่ทิวเขาก็นิ่งไป เขาเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบ เเถมตัวยังเย็นราวกับจับน้ำเย็น
"เปล่าครับ พี่สบายดี" ทิวเขายิ้มเเล้วกระพริบตาอีกครั้งเพื่อเช็คดูว่าเขาถอดคอนเเทคเลนส์ออกหรือยัง เเปลก ทำไมครั้งนี้ภาพอดีตถึงโผล่ขึ้นมาล่ะ ทิวเขานึกอย่างไม่เข้าใจนัก เเต่ก็ต้องเก็บเอาไว้ก่อนเพราะเขาต้องไปทำกับข้าวเย็นเเล้ว
"เดี๋ยวพวกผมช่วยยกครับ" วริญกับดินเเดนเดินเข้ามาช่วยยกของต่างๆ เพราะมาอาศัยบ้านเขาอยู่ถ้าไม่ช่วยอะไรก็คงรู้สึกไม่ดีเท่าไร
"ขอบคุณครับ"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ทิวอุตส่าห์ให้พวกเรามาอยู่ฟรีๆ เเค่นี้สบายมาก" วริญบอกเเล้วเดินไปรับตะกร้าใส่ผลไม้จากเจ้าของบ้าน ทั้งสี่คนช่วยกันขนของสำหรับมื้อเย็นเเละอีกหลายมื้อขึ้นไปวางไว้ในห้องครัว
"งั้นพี่ฝากพวกเราล้างผักที่ตระกร้าของดินเเดนด้วยนะ เดี๋ยวพี่ไปทำธุระก่อน"
ทิวเขาหันไปบอกคนอายุน้อยกว่าทั้งสามคนเเล้วเดินเข้าไปในตัวเรือนที่เชื่อมต่อจากครัวไปยังเรือนหลัก ร่างสูงเดินตรงไปยังห้องนอนของตัวเอง ห้องสี่เหลี่ยมที่มีเพียงเฟอร์นิเจอร์ไม่กี่ชิ้น เตียงนอนไม้ที่มีม่านระบายสีขาวตั้งอยู่กลางห้อง ชั้นวางหนังสือที่เต็มไปด้วยหนังสือมากมาย โต๊ะทำงาน เเละตู้เสื้อผ้า เขาเดินตรงไปยังห้องน้ำล้างมือ เเล้วถอดคอนเเทคเลนส์ออกมา ก่อนจะเก็บมันไว้ในกล่องเล็กๆ
เมื่อหลายปีก่อนทิวเขาค้นคว้า ทดลองเกี่ยวกับการทำคอนเเทคเลนส์เเละเเว่นตาเพื่อใช้สำหรับเวลาที่เขาต้องสบตากับคนอื่นตรงๆ โชคดีที่การทดลองของเขาสำเร็จทั้งสองอย่างจึงกลายเป็นสิ่งของที่เขาต้องใช้อยู่เกือบทุกวัน ทำให้ช่วงนี้เขาไม่ค่อยได้มองเห็นอดีตของคนอื่นลงได้บ้าง
"พี่ชื่อโยธา เรียกพี่โยเฉยๆ ก็ได้" ทิวเขาที่กำลังหั่นมะเขืออยู่เงยหน้ามองเพื่อนสนิทที่กำลังเเนะนำตัวอยู่กับเด็กๆ ทิวเขามีพรสวรรค์อย่างหนึ่งคือการทำอาหาร เพราะเเม่มักจะทำอาหารให้ทานอยู่บ่อยๆ เขาจึงซึมซับการทำอาหารมาด้วย
"สวัสดีครับพี่โย ผมตุลย์" คนตัวเล็กที่กำลังเด็ดใบโหระพาอยู่ข้างๆ ทิวเขาหันไปยิ้มให้โยธา
"ผมดินเเดนครับ เรียกดินเฉยก็ได้"
"ผม"
"วริญสินะ" โยธายิ้มเเล้ววางผักบุ้งในมือลงในอ่างเล็กๆ เปิดน้ำล้างผักบุ้ง คนอายุน้อยกว่าทั้งสามคนต่างมองโยธาด้วยความตกใจ "ไม่ต้องตกใจ คนข้างๆ นายบอก เสียงหัวเราะมันน่ารำคาญชิบหาย ช่วยบอกมันไปที" คำพูดของโยธาทำให้ทั้งสามผู้มาใหม่ยิ่งทำให้ตกใจมากกว่าเดิม
โยธาเป็นคนที่คิดอะไรก็พูดเเบบนั้น ไม่ใช่คนที่ชอบเก็บความรู้สึกหรือสิ่งที่อยากพูดเท่าไหร่ เขาก็เเค่พูดไปตามที่ได้ยิน ไม่รู้หรอกน้องที่ชื่อวริญจะกลัวไหม เเต่เขารำคาญเสียงหัวเราะปนร้องไห้ของไอ้ตัวสีดำที่อยู่ข้างหลังเด็กคนนั้นไม่ไหว เเละไม่อยากตะโกนด่ามันให้เด็กสามคนนั้นได้ยินหรอกนะ เพราะมันหยาบจนกลัวว่าจะรับไม่ได้
"โย" ทิวเขาเรียกชื่อเพื่อนเป็นเชิงดุเล็กน้อยเพราะไม่อยากให้ทั้งสามคนกลัวในสิ่งที่โยธาพูด "ไม่ต้องใส่ใจมันหรอก" ทิวเขาหันไปยิ้มให้วริญที่หน้าซีดลงเล็กน้อย
"พี่ทิวเขาทำอาหารเป็นด้วยหรอครับ" ดินเเดนถามเเล้วหั่นเนื้อหมูออกเป็นชิ้นเล็กๆ ถามคนตัวสูงที่กำลังหั่นมะเขือ เพราะดูจากภายนอกเเล้วพี่เขาไม่น่าจะทำอาหารได้คล่องขนาดนี้ นี้สินะตัวอย่างของการอย่าตัดสินคนจากภายนอก
"มันทำเป็นทุกอย่างนั่นล่ะ น้องวริญช่วยยื่นมีดให้พี่หน่อยครับ" โยธาพูดด้วยน้ำเสียงติดตลกเเล้วยื่นมือไปรับมีดมาหั่นผักบุ้ง
"ครับ ถ้าพวกเราอยากกินอะไรเป็นพิเศษก็บอกพี่หรือไม่ก็โยเเล้วกัน"
"ครับ"
"เห้ยๆๆๆๆ น้องน้ำมันเยอะไป พอๆๆ พอเเล้วโว้ย จะผัดผักบุ้งโวยไม่ได้ต้มผักบุ้ง" ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในครัวอดขำไม่ได้เมื่อโยธาที่กำลังหัวเสียเพราะกำลังสอนวริญที่เทน้ำมันลงไปเกือบครั้งขวด สาเหตุของการวุ่นวายครั้งนี้คือวริญเสนอว่าอยากลองทำกับข้าวครั้งเเรกในชีวิต โดยที่โยธาเป็นคนเลือกเมนูง่ายๆ ให้ ก็คือผัดผักบุ้งที่ดูเเค่เริ่มก็ผิดเเล้ว
"ริญสู้ๆ" ตุลย์ส่งเสียงเชียร์เพื่อนสนิทที่กำลังดูวุ่นวายกับเเขนที่ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหน
"ใส่พริกกับกระเทียมลงไปก่อนๆ" โยธว่าหลังจากที่เทน้ำมันออกจากกระทะจนเหลือน้ำมันน้อยลงเเล้วถอยมายืนมองวริญที่กำลังตักพริกเเละกระเทียมที่โขลกไว้ลงใส่กระทะ "ถอยออกมาระวังน้ำมันกระเด็น" โยธาบอกเเล้วดึงคนตัวขาวออกห่างจากเตา
"ครับ??" วริญหันไปมองโยธาที่ยื่นผักบุ้งที่หั่นมาให้ด้วยใบหน้างงๆ อีกฝ่ายพยักหน้าไปที่เตาเป็นเชิงว่าให้ใส่ลงไปเลย
ฉ่า!!!
"อ้ากกก"
"ตะโกนทำไม!! ผัดเลย" เสียงโยธาดังขึ้นพร้อมกับส่งตะหลิวในมือให้คนตัวขาว หลังจากที่เจ้าตัวเททั้งผักบุ้งลงไปในกระทะ
"จะรอดไหมว่ะนั่น" ดินเเดนว่าพร้อมกับส่ายหน้าอย่างนึกขำในการเข้าครัวครั้งเเรกของเพื่อน กลัวเหลือเกินว่าครัวจะไหม้ หรือไม่ก็พี่โยโมโหจนผัดเพื่อนตัวเองเเทน
'สู้ๆ นะวริญ'
ครัวก็ประมาณนี้นะครับ
****สวัสดีตอนค่ำ (หรือไม่ค่ำเเล้ว??) ครับ เปิดเรื่องเยอะจนจำชื่อพี่ทิวเขาผิดๆ ถูกๆ ฮ่าๆๆ กลายเป็นว่าพี่ทิวเขาเป็นพี่พาทิศซะงั้น เบลอมากๆ ลองเเต่งกลอนดูครับไม่รู้ว่าจะเพราะไหม เพราะเราก็ไม่ได้ใช่คนที่เเต่งกลอนเก่งเท่าไหร่ คำอาจจะไม่สละสลวยหรือเข้าใจเหมือนเราได้เท่าไหร่ เเต่พยายามมากๆ ที่จะเเต่งให้ทุกคนเข้าใจเนื้อเรื่อง ทุกคนสบายดีกันใช่ไหมครับ ดูแลตัวเองดีๆ น้าาา
สุดท้ายนี้ก็ขอบคุณทุกคนมากๆ มีความสุขมากๆ เลยที่ทุกคนอ่านนิยายเรา
ขอบคุณที่ติดตาม คอมเมนต์เเละกำลังใจนะครับ รักทุกคนเลย
เเวะไปหาเราที่ทวิตเตอร์ได้นะครับ
คืนนี้ก็ฝันดีนะครับ
บะบายๆๆๆ
.
.
.
.
.
ความคิดเห็น