ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อสงไขย​ | taeten

    ลำดับตอนที่ #2 : เขาคนนั้น

    • อัปเดตล่าสุด 29 มิ.ย. 64


     

    เขาคนนั้น

     

     

     

     

     

     

    ***เนื้อเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เเต่ง ไม่ได้อ้างอิงบุคคลใด ชื่อเเละสถานที่ต่างๆ ไม่มีอยู่จริง

     

     

    ในเวลากลางคืนหลังจากที่ได้รับชัยชนะกลับมา ได้มีการจัดเฉลิมฉลองเพราะตรงกับวันสำคัญของที่นี่ ชาวบ้านต่างออกมาเที่ยวเล่นหาความสำราญหลังจากที่รบเสร็จ จนกระทั่งมีธนูไฟปริศนายิงมาอย่างไร้ทิศทางหลายดอก ปลิวไฟลุกติดหลังคาที่ทำจากหญ้าเเละไม้กลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี

    "น้องวิ่งไหวหรือไม่" เสียงทุ้มพร้อมกับกุมมือนางอันเป็นที่รักไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งกำดาบในมือไว้เเน่ ทั้งคู่กำลังวิ่งหนีข้าศึกที่บุกล้อมรอบราชวัง

    "ไหวเจ้าค่ะ"

    "ขุนเทพารักษ์ ข้าศึกบุกเข้ามาเเล้วขอรับ" ชายร่างสูงกำยำวิ่งเข้ามาขวางทางทั้งคู่ไว้

    "เดี๋ยวกูจะไปต้านพวกมันทางประตูหน้า มึงไปดูประตูหลังต้านอย่าให้พวกมันเข้ามา กูจะรีบตามไป"

    "ขอรับ" ชายคนเดิมบอกพร้อมกับวิ่งไปอีกทาง

    "น้องไปร่วมกับคนอื่นๆ แล้วออกไปทางลับเสีย"

    "รักษาเนื้อรักษาตัวดีๆ นะเจ้าค่ะ" เสียงร่ำไห้พร้อมกับมือเล็กๆ ที่กุมมือของชายอันเป็นที่รักไว้

    "ปล่อยลูกฉัน!! ช่วยด้วย!!!" เสียงของหญิงที่ตะโกนขอความช่วยเหลือพร้อมกับร่างที่ของหญิงที่กำลังยื้อเด็กตัวน้อยกับคนในผ้าคลุมหน้า

    "ไปเถิดเเม่เต"

     

     

     

    "พี่เทพ!!"

    "แม่เต"

    "เหตุใดท่านหมอไม่รักษาพี่เทพ!!"

    "ท่านหมอช่วยพี่ไม่ได้หรอกแม่เต พี่คงไม่รอดถึงวันพรุ่ง"

    "เหตุใดพี่เทพเอ่ยเช่นนั้น"

    "พี่รู้ตัวเองดี อย่าเสียใจไปเลย หลังจากพี่สิ้นจงลืมพี่เสีย เเล้วไปเริ่มต้นใหม่"

     

     

    ตุลย์:

    เฮือก!!!

    ผมสะดุ้งตื่นจากความฝันหลังจากที่ชายในฝันของผมเอ่ยจบ ภาพหมัวของชายร่างสูงที่ดูเหมือนจะชื่อเทพอะไรสักอย่างโดนเเทงด้วยดาบจนทะลุลำตัว เลือดสีเเดงไหลท่วมตัวดูน่ากลัว ผมฝันเรื่องเเบบนี้มาตั้งเเต่จำความได้ เเต่หลังจากผมตื่นผมก็มักจะจำเรื่องในฝันไม่ค่อยจะได้ เเต่เมื่อคืนเป็นครั้งเเรกที่ผมฝันเเล้วจำได้โดยไม่ลืมสักคำพูด มันดูเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่ได้เเละฝันครั้งนี้มันเเปลกกว่าทุกที

    ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาตั้งเเต่ตอนไหนก็ไม่รู้แล้วลูบหน้าตัวเองเบาๆ น้ำเสียงร้องไห้เเทบจะขาดใจของผู้หญิงคนนั้นทำให้ผมรู้สึกเสียใจไปด้วย ผมนั่งมองเพดานเเล้วทบทวนเรื่องในฝันอยู่นาน

    "โอเคไหมตุลย์" วริญรูมเมทผมเดินเข้ามาในห้อง ผมกับวริญสนิทกันมาตั้งเเต่มอต้น พอรู้ว่าจะเรียนคณะเดียวกันก็ทำให้เราตัดสินใจเเชร์ห้องกันจนมาถึงตอนนี้ 6 ปีหลังจากเรียนจบเราก็ยังอยู่ด้วยกัน

    "โอเคดิ เเล้วดินมันพร้อมรึยัง"

    "มันพร้อมตั้งเเต่ตี 5 เเล้วเหอะ เเล้วเมื่อไหร่คุณตุลย์จะลุกครับ"

    "เออๆ เจอกันข้างนอก" ผมบอกวริญเเล้วลุกจากเตียง เดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวเเล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

    "กูขอเลย อย่าหลับในห้องน้ำ" วริญตะโกนตามหลังผม ผมส่ายหน้าเล็กน้อยเเค่เผลอหลับในห้องน้ำไม่กี่ครั้งเอง

     

     

     

    "มึงกูฝันอีกเเล้วว่ะ" ผมบอกกลางวงหลังจากที่ผมเเละเพื่อนนัดกันมาที่ห้องสมุด ผมหันมองเพื่อนสามคนที่ประกอบด้วยวริญ ดินเเดน เเละลิซที่ทำหน้าหน่ายกับสิ่งที่ผมพูดเพราะว่า

    "ต้องให้บอกอีกกี่ครั้งว่ามันก็แค่ฝัน" วริญเงยหน้าบอกเเทนดินเเดนที่กำลังจะอ้าปากตอบผม พวกมันก็บอกผมอย่างนี้ทุกวันจนนับครั้งไม่ได้

    "แต่ครั้งนี้กูเห็นเขาโดนเเทงเลยนะ" ผมบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังเเละหนักเเน่นเพราะฝันมันเหมือนจริงเกินไป

    "ฝันก็คือฝันตุลย์ มันไม่ใช่เรื่องจริง หรือต่อให้มันเป็นเรื่องจริงมันก็เกิดขึ้นมาเเล้ว" ลิซบอกผมเเล้วเล่นโทรศัพท์ไปพลางๆ

    "กูก็อยากให้มันเป็นเเค่ฝันเหมือนกัน" ผมบ่นเบาๆ เเล้วก้มหน้าสนใจหนังสือในมือที่พลิกไปมาอยู่นาน

    "อุตส่าห์ได้พักร้อนก็ยังต้องมาหาความรู้อีกเนอะ" วริญบอกด้วยน้ำเสียงเบื่อๆ เเล้วค่อยๆ ฟุบลงไปกับโต๊ะหลังจากที่หลายปีตั้งเเต่เรียนจบมาเนี่ยพวกเราก็เอาเเต่ทำงาน

    "บ่นจังริญ" ลิซเงยหน้าจากโทรศัพท์พร้อมกับมองริญ

    "ดูนี้" เสียงของดินเเดนทำให้พวกเราทั้งสามคนหยุดชะงัก ดินเเดนมองหน้าเราทุกคนเเเล้ววางหนังสือเล่มเก่าในมือลงบนโต๊ะเงียบๆ นิ้วเรียวของดินเเดนค่อยๆ เลื่อนไปตามตัวหนังสือที่เขียนไว้ดด้วยลายมือเก่าๆ

    "ขุนเทพารักษ์เเม่ทัพรูปงามเมื่อสองร้อยปีก่อน" ดินเเดนอ่านตามตัวหนังสือลายมือที่ดูเก่าอย่างชำนาญ พวกเราทุกคนมองหน้ากันอย่างรวดเร็ว งั้นก็เเสดงว่าผู้ชายที่ชื่อเทพมีจริงๆ ตั้งเเต่สองร้อยปีนะเหรอ

    "เเสดงว่าเรื่องที่ไอ้ตุลย์ฝันเป็นเรื่องจริงหรอว่ะ" วริญพูดพร้อมกับไล่อ่านตัวหนังสือนั่นอีกครั้ง

    "ไม่รู้ เพราะข้อมูลมีเเค่นี้ เเละยังไม่รู้ด้วยว่าใครที่เขียนขึ้นมา เเล้วมันเชื่อได้มากเเค่ไหน" ดินเเดนบอกเเล้วหยิบปากกาเเละสมุดโน๊ตขึ้นมาจด

    "พวกมึง ไหนๆ ก็พักร้อนเเล้วกูอยากรู้เรื่องขุนเทพารักษ์ว่ะ" ผมบอกพร้อมกับมองหน้าเพื่อนด้วยเเววตามุ่งมั่น ถ้าหากว่าหาขุนเทพารักษ์เจอก็อาจจะทำให้ผมไม่ต้องฝันเห็นเขาอีกเเล้วก็ได้

    "เอาดิ กูก็อยากรู้เหมือนกัน" ดินเเดนว่าเเล้วว่างปากกาในมือลงบนโต๊ะ

    "เเล้วมันมีข้อมูลอีกป่ะว่ะ" วริญถามพร้อมกับมองดินเเดนที่ส่ายหน้าเป็นเชิงว่าไม่มี

    "เเล้วเราควรจะเริ่มจากตรงไหนว่ะ"

    "จริงๆ กูก็พอได้ยินชื่อนี้มาบ้าง" ลิซที่นั่งเงียบอยู่นานพูดเเรกขึ้นมา

    "วันๆ เอาเเต่ถ่ายเเบบมึงไปรู้มาจากไหน" วริญถาม ซึ่งผมก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะลิซมีงานรัดตัวจะตายเวลาจะพักผ่อนยังไม่มี โชคดีที่วันนี้ไม่มีงานมันจึงได้มานั่งคุยด้วยได้

    "พี่เอิงเเฟนกูมาบ่นให้ฟังบ่อยๆ พี่เอิงบอกว่าเพื่อนของพี่เอิงกำลังศึกษาเรื่องของขุนเทพารักษ์อยู่"

    "เเล้วเพื่อนของพี่เอิงเป็นใครว่ะ"

    "กูไม่รู้ เเค่เห็นพี่เอิงชอบมาบ่นให้ฟัง"

    "มึงลองโทรถามพี่เอิงดูดิ" ลิซมองพวกเราทุกคนเเล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ไม่นานนักปลายสายก็รับพร้อมกับเสียงนุ่มนวลของพี่เอิง

    (ฮัลโหล ว่าไงลิซ) พี่เอิงทักทายมาตามสาย เพื่อนที่เหลือมองหน้ากันก่อนจะพยักเพยิดหน้าให้ผมเป็นคนพูด

    "สวัสดีพี่เอิงครับ ผมตุลย์นะครับ" ผมทักทายปลายสายไป

    (อ่าน้องตุลย์ ว่าไงครับ)

    "รบกวนพี่เอิงรึเปล่าครับ ถ้าพี่เอิงทำงานอยู่"

    (ไม่ครับ พี่กำลังพักพอดี) ปลายหัวเราะด้วยความเอ็นดู

    "ผมอยากรู้เรื่องขุนเทพารักษ์อ่ะครับ พี่เอิงพอจะมีข้อมูลไหมครับ"

    (อ่อ ขุนเทพารักษ์หรอ อืมพี่เองก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้เท่าไหร่นะ เเต่ถ้าอยากรู้จริงๆ คงต้องถามเพื่อนพี่เพราะมันเองก็ทักมาคุยกับพี่บ่อยๆ)

    "อ่อ เเล้วพี่พอจะมีเบอร์ของเพื่อนพี่ไหมครับ" ผมเสี่ยงถามไปด้วยความเกรงใจเพราะเเค่นี้ก็รบกวนเวลาของพี่เอิงมากพอสมควรเเล้ว

    (ไม่มีหรอกครับ ครั้งล่าสุดที่มันเขียนจดหมายมาก็เมื่อเดือนที่เเล้ว)

    "เขียนจดหมายเหรอครับ" ผมพูดซ้ำพร้อมกับมองหน้าเพื่อนทุกคนที่เเสดงอาการทางใบหน้าที่เหมือนจะคิดสิ่งเดียวกับผม ยังมีคนเขียนจดหมายถึงกันอีกหรอเนี่ย

    (ถ้าน้องตุลย์อยากรู้ น้องตุลย์คงต้องไปถามกับมันเอาเองเเล้วล่ะครับ)

    "ครับเเล้วเพื่อนพี่เอิงอยู่ที่ไหนหรอครับ"

    (มันอยู่ต่างจังหวัดนะ เดี๋ยวพี่จะส่งโลเคชั่นให้ทางเเชทลิซเเล้วกันนะครับ)

    "อ่าขอบคุณครับพี่เอิง"

    (ไม่เป็นไหร่ครับ พี่มีงานต่อเเล้ว งั้นไว้คุยกันใหม่นะครับ)

    "ครับ ขอบคุณครับ"

    พี่เอิงกดวางไปแแล้ว ผมจึงยื่นโทรศัพท์คืนลิซไป พร้อมกับมองหน้าเพื่อนๆ

    "อยากรู้อ่ะ ลองไปกันไหม" ผมถามความคิดเห็นเพื่อนๆ ความอยากรู้ของผมมันมีมากจนต่อให้เพื่อนๆ ไม่ไปด้วยผมก็คงต้องไปคนเดียว

    "เอาดิ" ดินเเดนตอบรับ

    "งั้นก็ได้" วริญที่ดูเหมือนจะอิดออดพยักหน้า

    "เดี๋ยวกูตามไปพร้อมพี่เอิงเเล้วกัน"

    "โอเค งั้นมึงเเชร์โลเคชั่นมาให้กู เดินทางพรุ่งนี้นะ"

    "เร็วจังว่ะ กูยังไม่ได้เก็บกระเป๋าเลยเหอะ"

    "กระเป๋าที่กลับมาจากทำงานยังไม่ได้เอาเสื้อผ้าออกสักตัวเลยคุณวริญ" ผมตอบคำถามพร้อมกับหันไปมองวริญที่กำลังส่งยิ้มให้เพราะผมรู้ทันอีกฝ่าย

    "พรุ่งนี้นะ" ผมพูดย้ำพร้อมกับมองดินเเดนที่พยักหน้าเข้าใจเเล้วลุกเอาหนังสือไปเก็บ ผมจึงก้มหน้าพิมพ์เเชทจองรถสำหรับเดินทางไปพรุ่งนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

    เช้าวันต่อมาผมตื่นเร็วกว่าปกติเพราะต้องออกเดินทางเเต่เช้า เพราะบ้านของเพื่อนพี่เอยนั่นอยู่ห่างออกไปจากเมืองมาก ผมเลยต้องเผื่อเวลา รถตู้มารับผมในเวลาตี 5 เเละวนรถไปรับดินเเดนที่อยู่ไม่ไกลจาก พวกเราใช้เวลาเดินทางกันราว 9-10 ชั่วโมงกว่าจะเดินทางมาถึงที่อยู่ของเพื่อนพี่เอิงก็ประมาณบ่ายสมกว่าๆ ถนนทางเข้าเป็นถนนปูนคอนกรีตเเต่รอบๆ ข้างกับดูไม่ค่อยมีบ้านเรือนเเต่กลับเป็นไร่ผลไม้มากมายรอบข้าง เเต่พอรถเเล่นผ่านประตูรั้วไม้ทางเข้าบ้านของ คุณทิวเขา เพื่อนพี่เอิง พื้นที่เป็นคอนกรีตกลายเป็นอิฐสีเเดงที่เรียงกันเต็มพื้นอย่างเป็นระเบียบ รถจอดใต้ต้นไม้ใหญ่พวกเราจึงขนสัมภาระลงมาจากรถ ผมจ้องมองบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ที่อายุน่าจะราว 20-30 ปี ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า ใกล้ๆ เรือนไทยเป็นสระบัวขนาดใหญ่ที่มีศาลาเล็กยื่นออกไปกลางสระ พอมองดอกบัวสีขาวเเล้วความรู้สึกคิดถึงอะไรบ้างอย่างที่ผมก็ไม่อาจจะเข้าใจได้เเต่ก็ทำไดเพียงปัดมันออกไป

    "มากันนานหรือยังครับ" เสียงทุ้มของใครบ้างคนดังขึ้นทำให้ผมที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับกลิ่นหอมของดอกไม้รอบๆ ตัว ผมหันมองเจ้าของเสียง เเต่ใบหน้าที่ขาวสะอาด เเละเครื่องหน้าที่ดูหล่อเหลาทำให้ร่างสูงในชุดชาวบ้านธรรมดาดูเหมือนดาราที่มาถ่ายรายการยังไงยังงั้นล่พ

    "สวัสดีครับ" พวกเรายกมือไหว้เพราะชายตรงหน้าคงจะอายุมากกว่าพวกเรา "คุณคงเป็นคุณทิวเขาสินะครับ" ผมพูดพร้อมกับยิ้มให้กับคนตัวสูงตามนิสัยคนยิ้มง่าย

    "ครับ" เขาพยักหน้าเเล้วยิ้มกลับมา

    "ผมตุลย์ครับ"

    "ผมวริญ ส่วนนี้ดินเเดนครับ" วริญทักทายพร้อมกับส่งยิ้มให้กับชายตัวสูง

    "เอิงบอกเเล้วล่ะครับ เชิญบนบ้านก่อนเถอะครับ" คุณทิวเขาบอกเเล้วเดินนำพวกเราขึ้นไปบนบ้านเรือนไทยหลังใหญ่ เเต่เมื่อกี้คุณทิวเขาบอกว่าพี่เอิงบอกงั้นหรอ??

     

    พวกเราขนสัมภาระส่วนตัวขึ้นมาบนบ้าน ชานด้านหน้ากว้างขวางมากกว่าบ้านเรือนไทยที่ผมเคยเห็น ฝั่งซ้ายเเละขวาดูเหมือนจะเป็นเรือนเเยกออกไปต่างหาก ส่วนเรือนที่พวกผมยืนอยู่ก็เป็นห้องเหมือนเรือนไทยทั่วๆไป

    "พวกคุณไปพักก่อนเถอะครับ คงจะเดินทางกันเหนื่อย" คุณทิวเขาหันมาบอกเเล้วเดินนำไปยังเรือนฝั่งซ้าย

    "บ้านของคุณทิวเขาสวยดีนะครับ" วริญเอ่ยชมพร้อมกับมองไปด้านนอกทางเดินที่มีช่องหน้าต่างที่ทำให้มองเห็นต้นไม้ ดอกไม้ด้านอก

    "ขอบคุณครับ เเต่เรียกผมว่าพี่ทิวเหมือนเรียกไอ้เอิงก็ได้ครับ"

    "ได้ยินมาว่าพี่ทิวเคยเป็นอาจารย์ที่มหาลัยฯ หรอครับ" ดินเเดนที่เงียบมานานถามหลังจากที่คุณทิวเขาหยุดที่หน้าห้องๆ หนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นห้องพักของพวกเรา คุณทิวเขายิ้มออกมาเล็กน้อย

    "ครับ เเต่มันนานเเล้วครับ"

    "เเล้วทำไมพี่ทิวถึงลาออกล่ะครับ ผมได้ยินมาว่าเงินเดือนของคุณก็เยอะพอสมควร" วริญถามเพิ่มเติม

    "ฮ่าๆๆ ก็เเค่กระดาษใบหนึ่งนะครับ" คุณทิวเขาหัวเราะ "ห้องของพวกคุณพักคนล่ะห้องเลยนะครับ เรียงจากห้องนี้ไป ผมทำความสะอาดให้เเล้ว"

    "ขอบคุณครับ รบกวนพี่ทิวเเย่เลย" ผมเอ่ยด้วยน้ำเสียงเกรงใจ วริญกับดินเเดนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับผม

    "ไม่เป็นไรครับ ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมาพักอยู่เเล้ว"

    "พี่ทิวพักที่นี่คนเดียวหรอครับ"

    "ไม่ครับ เพื่อนพี่อีกคนยังไม่กลับจากสวนนะ เดี๋ยวค่ำๆ พี่จะเเนะนำ เดี๋ยวพี่ต้องไปทำงานต่อเเล้ว ถ้าค้องการอะไรก็ไปเรียกพี่ที่ศาลากลางสระบัวเลยนะ"

    "ครับ ขอบคุณอีกครั้งนะครับ"

    คุณทิวเขาพยักหน้ารับคำขอบคุณเเล้วเดินกลับเรือนหลักไป พวกเรามองหน้ากันเล็กน้อยเเล้วเเยกกันไปยังห้องพัก ผมเปิดประตูไม้ที่สักลายลายดอกไม้เข้าไป ภายในห้องมีเฟอร์นิเจอร์สี่ห้าอย่าง เตียงสีขาวสำหรับนอนสองคนเตียงไม้สักลวดลายอย่างสวยงามเเละดูเก่าเเก่ ตู้เสื้อฝ้า โต๊ะเครื่องเเป้งโบราณที่มีเทียนหอมว่างไว้ เเละโต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ ที่ตั้งอยู่มุมห้อง ผมวางกระเป๋าไว้บนพื้นเเละเดินไปเปิดหน้าต่างออก

    กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิที่ปลูไว้ด้านล่าง เเละกลิ่นหอมของดอกปีปที่ปลูกไว้ใกล้ๆ หน้าต่าง ผมมองออกไปด้านนอกที่มองเห็นสระบัวพอดี มองมองไปที่ศาลาที่คุณทิวเขาบอกว่าทำงานอยู่ที่นั่น เเละเขากำลังอยู่ที่นั่นจริงๆ ผมจึงเดินออกจากห้อง เเล้วเเวะไปดูวริญที่หลับไปเเล้ว ส่วนดินเเดนก็กำลังอ่านหนังสืออยู่ ผมจึงไม่อยากรบกวนทั้งคู่

    "นั่งก่อนสิครับ" คุณทิวเขาเงยหน้าจากโน๊ตบุ๊คที่กำลังทำอะไรบ้างอย่าง ทั้งที่ผมอุตส่าห์เดินมาเงียบๆ เเล้วเเท้ๆ

    "รบกวนพี่ทิวรึเปล่า" ผมทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้

    "ไม่ครับ พี่เเค่พิมพ์อะไรไว้นิดหน่อย กำลังจะพักพอดี" พี่ทิวยิ้มพร้อมกับถอดเเว่นออก เเล้ววางมันลงบนโต๊ะ

    "พี่ทิวเป็นนักเขียนหรอครับ"

    "ไม่หรอกครับ อ่า ตุลย์ชอบทานของหวานรึเปล่าครับ"

    "ขนมไทยหรือครับ" ผมถามพ้อมกับมองพี่ทิวที่ยิ้มเเล้วพยักหน้า "ไม่ค่อยได้ทานนะครับ ผมเคยซื้อขนมไทยในตลาดเเล้วมันไม่ค่อยถูกปาก ผมเลยชอบกินขนมฝรั่งมากกว่า" ผมตอบไปตามความเป็นจริงหลังจากที่นึกถึงขนมไทยที่เคยซื้อมาจากตลาดเมื่อตอนปีหนึ่ง รสชาตของมันทำให้ผมไม่อยากกินขนมไทยอีกเลย

    "ไม่อร่อยขนาดนั้นเลยหรือครับ" พี่ทิวมองมาที่ผม เเล้วควงดินสอในมือเล่น "งั้นน้องตุลย์คงไม่ชอบขนมที่พี่ทำแน่ๆ เลย" พี่ทิวบอกด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย

    "อ่า งั้นผมลองชิมก็ได้ครับ" ผมบอกเพราะกลัวพี่ทิวเสียใจ เเม้จะเเอบกลัวรสชาติของมันก็เถอะ "เเต่ว่าขนมพี่ทิวไม่ได้มีผลไม้ใช่ไหมครับ" ผมถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ เพราะผมไม่ค่อยถูกกับผลไม้เท่าไหร่

    "ตุลย์ไม่ชอบผลไม้หรอครับ" พี่ทิวถามเเล้วหยิบกล่องเเก้วที่อยู่ข้างๆ ขึ้นมาวางบนโต๊ะ

    "ครับ"

    "ไม่มีหรอกครับ ลองชิมดูครับ" พี่ทิวเปิดฝากล่องขนมส่งมาให้ผม ผมมองขนมกลมๆ สีน้ำเงินเเละสีเหลืองที่ราดด้วยน้ำกระทิดูน่าอร่อย ผมรับส้อมจากมือพี่ทิวเเล้วลองชิมดู

    "อร่อยจังครับ หวานกำลังดี ว่าเเต่ชื่อขนมอะไรหรอครับผมไม่เคยเห็นเลย"

    "ขนมพระพายครับ" พี่ทิวยิ้ม "ด้านนอกขนมทำมาจากเเป้งข้าวเหนียว ส่วนที่ตุลย์บอกว่าหวานๆ นั้นเป็นถั่วเหลืองกวนน้ำตาลครับ"

    "อ่อ"

    "ดื่มน้ำลอยดอกมะลิครับ" พี่ทิวส่งเเก้วน้ำที่มีดอกมะลิลอยอยู่สามสี่ดอกให้ผม ผมยิ้มเเล้วรับเเก้วมาลองยกดื่ม น้ำเปล่าเย็นชื่นใจกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกมะลิ

    "พี่ทิวอยู่ที่นี่นานหรือยังครับ" ผมวางเเก้วน้ำลงบนโต๊ะเเล้วมองพี่ทิวที่มองผม

    "อยู่มาสามสี่ปีเเล้วครับ"

    "ผมถามได้ไหมครับว่าทำไมพี่ถึงลาออกจากการเป็นอาจารย์" ผมถามเบาๆ เพราะกลัวว่าเหตุผลที่พี่ทิวลาออกนั่นเป็นเรื่องที่สะเทือนใจอีกฝ่าย

    "ได้ครับ พี่เเค่เบื่อเรื่องบางเรื่องนะครับ" พี่ทิวยิ้มอย่างอ่อนโยนเเล้วหันไปมองไปอีกฝั่ง "บ้างเรื่องที่ทรมานจนไม่อาจมองมันได้อีก"

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ***ฮัลโหลลล ลืมเรากันรึยังงงง 55555 ลืมวันลืมคืนครับ อาจจะเเต่งได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ภาษาก็เลยดูแข็งๆ หน่อย ขอโทษด้วยนะครับ เมื่อคืนฝนตกหนักฟ้าเเลบด้วยครับ เลยไม่กล้าเปิดเน็ตเล่นๆ ดูแลรักษาสุขภาพดีๆ นะครับ กินให้อิ่มๆ นะครับ

    ขอบคุณทุกกำลังใจ คอมเมนต์เเละขอบคุณทุกคนที่เเวะเข้ามาอ่านนะครับ

    เจอกันตอนหน้าครับ

    เจอกันได้ในสักเรื่องของเราครับ

    บายๆๆๆๆๆ

    ...

    ..

    .

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×