คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ✿ × AuFic | KNB × -- Tale --- [ 孟姜女 ]
Application
"หากสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายของท่านคือการที่มิมีข้าอยู่ในอ้อมกอด สิ่งที่เลวร้ายยิ่งก็ความตายของข้าก็คือการที่บุรุษที่โอบกอดข้านั้น มิใช่ท่านเช่นกัน.."
"หลับตาเสีย..แล้วโอบกอดข้าเอาไว้นานเท่าที่ท่านต้องการ ที่รักเอ๋ย.."
"วางใจเสียเถิด.. อ้อมกอดของท่านยังมีข้าอยู่ที่นั่นเสมอ"
"หากสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายของท่านคือการที่มิมีข้าอยู่ในอ้อมกอด สิ่งที่เลวร้ายยิ่งก็ความตายของข้าก็คือการที่บุรุษที่โอบกอดข้านั้น มิใช่ท่านเช่นกัน.."
"ดวงใจของข้านั้นก็คือท่าน หากมิมีท่านแล้วข้าจะอยู่ได้อย่างไรเล่า.."
[หยกแห่งโชคชะตา]
ชื่อ - สกุล :: ลู่จิว (璐阄 / Lù jiū)
ชื่อเล่น :: ลู่จิว (璐阄 / Lù jiū)
บทบาท :: เมิ่งเจียงหนี่ว์
อายุ :: 23
ลักษณะ รูปร่าง หน้าตา :: *กลอนคือส่วนที่เราเวิ่นๆไว้เฉยๆนะคะ ไม่ได้อิงตามหลักไวยากรณ์หรือหลักภาษาไทย---
[รูปร่าง]
รูปร่าง ทรวดทรง งดงาม
สตรีผู้นี้ หาได้ ไร้นามไม่
ลู่จิว นั้นคือชื่อ ของนางใน
สวยสดใส ดั่งเฉกเช่น หยกขาวเอย
ลูกจิวนั้นเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างทรงระหงอรชรสมกับเป็นสตรี เอวเล็กคอดและมีสัดส่วนที่โค้งมนตามฉบับหญิงงามที่ไม่มากและไม่น้อยเกินไป ใบหน้าเรียวมนเป็นรูปไข่ไร้ตำหนิจนหญิงสาวด้วยกันเองยังต้องอิจฉา มือเรียวสวยหยาบเล็กน้อยจากการทำงานบ้านงานเรือนและงานฝึมือต่างๆในยามว่าง ผิวพรรณขาวผ่อนดุจดั่งแสงจันทร์ในวันเพ็ญเปล่งประกายยามต้องแสงแดด
[เรือนผม]
เรือนผม ดุจขนกา ยาวสยาย
ปอยผมประปราย ปกใบหน้างามไว้
โอ้แม่หญิง ยอดดวงใจ
เรือนผมนั้นไซร้ อบกวลซึ่ง กลิ่นชวนดม
เส้นผมสีขนอีกายาวระกลางหลังรับกับกรอบหน้าได้รูปของหญิงสาว เรือนผมกลุ่มหนึ่งถูกนำมาถักเป็นเปียเพื่อความสวยงามตามฉบับสตรี สัมผัสนุ่มมือทุกครั้งยามที่แตะต้องหรือสัมผัส กลิ่นหอมอ่อนๆที่ลอยฟุ้งออกมาจากเรือนผมนั้นบ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่ของเจ้าของมันได้เป็นอย่างดี หากปล่อยสยาย กลุ่มผมของนางก็มักจะปลิวสไวไปตามแรงลมและแรงเคลื่อนไหวทุกครั้ง ราวกับเทพธิดาจากเบื้องบนลงมาสถิตในภาพวาด ลู่จิวจึงเป็นหญิงสาวที่ได้รับขนานนามว่าเป็นสตรีที่มีเรือนผมที่สวยและสมบูรณ์แบบที่สุด
[ผิวพรรณ]
อันว่าด้วย ผิวพรรณนี้ ช่างผ่องใส
เปล่งประกาย ใต้ร่มเงา ของแสงแดด
ดุจแสงจันทร์ ในค่ำคืน ที่เต็มดวง
โอ้พี่เอ๋ย กายข้านั้น พึงมอบให้ท่านเพียงผู้เดียว
สตรีผู้มีผิวพรรณขาวนวลละเอียดดุจดั่งแสงจันทร์ในยามค่ำคืนเพราะหมั่นดูแลรักษาสุขภาพกายตนเป็นอย่างดี เรือนกายและใบหน้านั้นไร้ซึ่งตำหนิมักจะถูกซ่อนไว้ภายใต้เนื้อผ้าหนาของกิโมโนสีสวย ใบหน้าที่ขาวผุดผ่องนั้นมักจะประดับไปด้วยดวงตาคู่กลมที่ฉายแววอ่อนโยนเอาไว้เสมอ ลำคอเพรียวระหงโผล่พ้นออกมาจากร่มผ้าเล็กน้อยชวนมอง
[น้ำเสียง]
คิดจะรัก โปรดจงใคร่ ในน้ำเสียง
หากสำเนียง ของสตรี นั้นลื่นหู
เป็นเช่นนั้น ท่านอย่างนิ่ง อย่านอนดู
ผู้นั้นคือ คู่แท้ คู่หัวใจ
ลู่จิ้วนั้นเป็นสตรีที่มีน้ำเสียงที่ไพเราะดุจดั่งเทพธิดาบนสวรรค์โลกลงมาจุติ หากผู้ใดได้ฟังนั้น น้ำเสียงของสตรีนางนี้จะตราตรึงอยู่ในหัวไปครู่ใหญ่ ครั้นที่ริมฝีปากสีชาดนั้นเปล่งเสียงที่แสนไพเราะออกมา ราวกับว่าน้ำเสียงเหล่านั้นมีมนต์สะกด มิมีผู้ใดสามารถละสายตานางไปแม้แต่เพียงชั่วครู่เดียวเลย..
[ใบหน้า..และดวงตา]
อัญมณี สีนดำ ช่างลำค่า
คือดวงตา อันเป็นหน้าต่าง ของดวงใจ
ริมฝีปาก เคลือบสีชาด คลี่ยิ้มไว้
ยอดดวงใจ ช่างงดงาม หาใครเปรียบ
ใบหน้าเรียวมนได้รูปรับดวงตาคู่สวยที่ได้มาจากมารดาโดยกำเนิด อัญมณีสีริตติกาลคู่สวยทอประกายอ่อนโยนไว้ตลอดเวลา ทำให้บรรยากาศรอบตัวลู่จิวนั้นน่าเข้าใกล้และดูอบอุ่น หากจะพูดให้เจ้าง่ายที่สุดคือ ลู่จิวก็เหมือนกับมารดาคนหนึ่งนั่นเอง
ริมฝีปากบางราวกับกลีบบุปผาฉาบไว้ซึ่งสีชาดของเหล่ามวลผกาพอสมวัย ในยามที่เอือนเอ่ยนั้นมักจะมีน้ำเสียงที่ไพเราะดุจดั่งเสียงของเทพธิดา นุ่มนวล อ่อนหวาน และอ่อนโยนยิ่งกว่าสิ่งใด พวงแก้มใสแดงเปล่งปลั่งดั่งคนสุขภาพดี
จมูกนิดปากหน่อยพอหอมคอ คิ้วเรียวสวยเสริมให้ใบหน้านั้นดูมีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ลำคอเพรียวระหงที่โผล่พ้นชายกิโมโนออกมาบางคราก็ถูกบดบังด้วยเส้นไหมสีรัตติกาล ทั้งหมดนี้ทำให้ลู่จิวเป็นหญิงสาวที่งดงามตามฉบับสตรีในแผ่นดินใหญ่ ซึ่งความงามก็นางทำให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของชายหนุ่มหลายๆคน แต่หานางก็ได้สนใจไม่ เพราะนางมีคนที่นางต้องการที่จะ'รัก'และ'ใช้ชีวิตร่วมกัน'ไปตลอดชีวิต และร่วมทุกข์ ร่วมสุข ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่
และนางจะรักเขาผู้นั้นตลอดไป เพียงผู้เดียว..
สูง : 163 เซนติเมตร
น้ำหนัก : 45 กิโลกรัม
ลักษณะคำพูดคำจา :: หากเป็นคำพูดคำจาในยามที่อารมณ์ปกติ ลู่จิวมักจะสำรวมกิริยามารยาทไว้ในน้ำเสียงเสมอ ถ้าพูดกับบุคคลปกติหรือเด็กๆ น้ำเสียงใสหวานนั้นจะทอดความอ่อนโยนออกมาจนผู้ฟังสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่นางต้องการจะส่งผ่านมาได้ โดยปกติแล้วเวลาที่คุณยกับบุคคลที่มิใช่ครอบครัวหรือคนรักลู่จิวมักจะใช้สรรพนามแทนตนเองว่า"เรา"และใช้แทนบุคคลตรงหน้าว่า "ท่าน" แต่หากเป็นชายคนรักก็จะแทนตนเองว่า"ข้า" และแทนอีกฝ่ายว่า "ยอดรัก" หรือ "ที่รักเอ๋ย"
"ท่านผู้ใหญ่..จะเป็นการเสียมารยาทหรือไม่.. หากตัวเรานั้นมีเรื่องอยากจะเอ่ยถาม"
"หากร่มไม้ให้ร่มเงาเช่นไร เราก็ยังคงเชื่อว่าชีวิตของผู้คนจะยังคงสงบสุขเช่นนั้นเจ้าค่ะ"
"ยอดรักเอ๋ย.. อาหารเตรียมพร้อมแล้ว วางมือจากหนังสือแล้วออกมาทานข้าวให้อิ่มเสียก่อน.."
หากในยามนางโกรธ นางก็จะยังคงความสุภาพไว้เช่นดังเดิม แต่หากประโยคเหล่านั้นจะเป็นการเน้นจิกกัดทางอ้อมแทนด้วยนิสัยที่มิค่อยแสดงในสิ่งที่ตนคิดออกไปจึงทำให้ลู่จิวเอือนเอ่ยออกมาเช่นนั้นเวลาที่นางมิพอใจหรือแค้นเคืองอะไรบางอย่าง
"หากตัวเรานั้นเปรียบเสมอดอกบัวที่มิโผล่พ้นน้ำ อันตัวท่านเองก็น่าจะเป็นบัวบานแต่หากจมลงไปในโคลนตมอีกครั้งเสียกระมัง"
"ถึงแม้นว่าตัวท่านนั้นเป็นชายในใต้หล้า.. แต่หากท่านมิใช่คนที่ข้าฝากฝังหัวใจไว้.. ได้โปรดเอาความรักของท่านกลับไป.. ช่างกล้าเสียนี่กระไรมาให้ท่าสตรีผู้มีสามีแล้ว!"
ในยามที่คนรักของตนนั้นเจ็บไข้ได้ป่วย หรือพูดกับเหล่าเด็กๆและคนชรา ถ้อยคำเหล่านั้นจะอ่อนลงเป็นอย่างมากจนน่าตกใจ แถมด้วยความที่เป็นเจ้าบทเจ้ากวี(เป็นได้อย่างไรจะอธิบายในส่วนนิสัยเจ้าค่ะ) ทำให้ประโยคที่นางใคร่เอ่ยออกมานั้นคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นกลอนเสียมากกว่าคำพูดตามปกติ
[ขออนุญาตจำลองสถานการณ์ค่ะ I]
เย็นเสียแล้ว..
ท้องฟ้าในยามนี้เป็นเวลาที่แสงของวันนั้นได้เคลื่อนลับหายไปท่ามกลางภูผาหลายลูก แต่หากชุมชนเล็กๆชุมชนหนึ่งก็ยังคงครึกครื้นไปด้วยผู้คนที่ต่างยังคงทำมาค้าขายกันอยู่ เสียงจอกแจกจอแจของเหล่าชาวบ้านกลับมิเล้กลอดเข้ามาในโสตประสาทของสตรีนางหนึ่งเลยแม่แต่น้อย ใบหน้างามและดวงตาหวานหยดย้อยราวกับเทพธิดานั้นกลับดูหมองหม่นและมีแววตาที่อ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อทอดมองไปที่ร่างที่นอนอยู่บนฟูกที่นางเตรียมให้
มือเรียวบางที่หยาบเล็กน้อยจากการทำงานบ้านนั้นเอื้อมไปแตะแก้มของยอดรักตนอย่างแผ่วเบาราวกับว่ากลัวชายผู้นี้จะตื่นขึ้นมา พิษไข้นั้นลดลงไปมากแล้วแต่หากบุรุษผู้นี้ยังคงเพ้อออกมาด้วยพิษไข้อยู่เป็นระยะๆ นั่นทำให้นางกังวลมิใช่น้อย
พลันมือหยาบของผู้นี้นอนอยู่นั้นยกขึ้นมาวางทาบซ้อนกับมือเรียวเล็กนั้นก่อนจะกุมไว้อย่างทะนุถนอม เรียกรอยยิ้มอ่อนโยนปนเอ็นดูขึ้นมาประดับไว้บนใบหน้างามนั้นได้อย่างน่าแปลกใจ
"ตื่นแล้วหรือ?.." มือขาวอีกข้างที่ว่างก็มิได้นิ่งเฉย เอื้อมไปหยิบพัดสานที่ตนเป็นคนประดิษฐ์ขึ้นมาพัดวีให้กับชายคนรักที่ยังคงนอนกุมมือนางอยู่ เขาผู้นั้นเพียงแค่พยักหน้าช้าๆก่อนที่ดวงตาสีนิลคู่นั้นจะเปิดขึ้นราวกับว่ารรับรู้ว่าอีกฝ่ายจะเอือนเอ่ยอะไรออกมา
"ใยท่านปล่อยปะละเลยสุขภาพตนเองเช่นนี้.. ถึงแม้นว่าท่านพี่จะต้องทำงาน แต่หากการละเลยสุขภาพก็มิสมควรเท่าใดนัก ผีดำซ้ำพลอย..เจ้าพึ่งมาบอกข้าในยามที่ทรุดหนักเช่นนี้อีก.."
"ที่รักเอ๋ย..เจ้าจะรู้รึไม่ว่าข้าเป็นห่วงเจ้าเพียงใด.. ท่านอยากให้ข้าออกไปทำงานแทนท่านหรือ?"
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ศีรษะของบุรุษอกสามศอกที่นอนซมด้วยพิษไข้อยู่ก็ส่ายไปมาทันทีพร้อมกับกระชับมือนิ่มที่ตนกุมเอาไว้ให้แน่นขึ้นราวกับว่ามิอยากให้นางผู้นี้จากไปไหน ซึ่งดูเหมือนว่าหญิงสาวจะรู้ความหมายนั้นดีจึงวางพัดไว้ข้างกายก่อนจะใช้มือข้างนั้นยื่นไปกุมมือหยาบของบุรุษทับอีกทีแทนถ้อยคำที่อยากจะเอือนเอ่ยว่าตนมิอาจไม่ไปไหน..เพราะดวงใจสตรีผู้นี้นั้น อยู่กับบุรุษเช่นท่านแล้ว..
พลันนัยเนตรสีนิลค่อยๆปิดลงและถูกซ่อนไว้ใต้เปลือกตาบางอีกคราพร้อมกับเสียงใสหวานราวกับเทพธิดาลงมาจุตินั้นได้ดังขึ้นมาเป็นท่วงทำนองที่ไพเราะเสนาะหูไปทั่วบริเวณเรือน
"นอนนิ่งๆ..รักษากายเสียเถิด..เจ้าพี่เอ๋ย.."
มือเรียวข้างหนึ่งละจากการกอบกุมเลื่อนไปลูบเรือนผมผู้เป็นยอดรักเบาๆโดยที่ดวงตาคู่นั้นยังคงฉายประกายความรักใคร่เหมือนเดิม..ตั้งแต่คราแรกที่พบกัน
"ข้าผู้นี้..จะคอย พัดวีให้"
พลันหญิงสาวก็ละมืออีกข้างจากเรือนผมนั้นก่อนที่จะประคองศีรษะคนรักให้นอนหนุนตักตนดีๆพร้อมกับหยิบพัดวีขึ้นมาพัดคลายความร้อนให้
"เจ้าจงหลับ..เข้านิทรา..จงฝันไป"
"อาการป่วย.. อาการไข้.. นั้นมิมี"
ถ้อยคำเหล่านั้นราวกับจะบรรเทาและทำให้พิษไข้มลายหายไป ริมฝีปากอวบอิ่มประทับลงบนเรือนผมสีรัตติกาลแผ่วเบาทว่าแฝงไปด้วยความรักใคร่และความอ่อนโยนก่อนที่จะละออกมา..
[ขออนุญาตจำลองสถานการณ์ค่ะ II]
ในยามที่ข้าเอือนเอ่ยกับเหล่าเด็กๆและคนชรา
ใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ปรากฏร่างของหญิงสาวผู้ที่มีความงามและความมีน้ำใจเลื่องลือไปทั่วแผ่นดินนั่งอยู่ รอบกายนางนั้นมีแต่เหล่าลูกเด็กเล็กแดงที่เข้ามารุมล้อมราวกับว่านางเป็นเหมือนมารดาอีกคนหนึ่ง
"เอ้าๆ..อย่าแย่งกันซิ..เดี๋ยวขนมของข้าก็ตกลงสู่พื้นโดยที่พวกเจ้ายังมิทันได้รับประทานเสียหรอก"
มิทันขาดคำ เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยผู้หนึ่งก็ทำให้นางละจากการแจกขนมที่นางทำมาฝากเหล่าเด็กๆก่อนจะเดินไปหาเด็กชายผู้ที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ข้างกายเด็กน้อยนั้นคือก้อนแป้งที่คาดว่าน่าจะเคยเป็นขนมของนางมาก่อน พลันเรียวแขนผอมบางก็ตวัดร่างของเด็กน้อยขึ้นมาอุ้มพร้อมกับเดินกลับมายังเก้าอี้ไม้ของนางที่มีขนมที่ถูกแบ่งเป็นชิ้นๆวางอยู่ ก่อนที่มือเรียวจะหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาให้เด็กน้อยและลูบหัวเป็นการปลอบโยน
"หยุดร้องไห้เสียเถิด..เจ้าเกิดเป็นชายชาตรี จงเข้มเเข็ง..เราเชื่อว่าหากเจ้าหยุดร่ำไห้เสียตั้งแต่ตอนนี้..เจ้าต้องเติบใหญ่ไปเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้อย่างแน่นอน..เด็กน้อยเอ๋ย" ถ้อยคำที่แสนจะอ่อนโยนนั้นทำให้เด็กชายผู้ถูกปลอบหยุดร่ำไห้ ดวงตาคู่กลมน่ารักสมวัยของเหล่าเด็กน้อยต่างจ้องมาที่ลู่จิวเป็นตาเดียว หญิงสาวคลี่ยิ้มเล้กน้อยก่อนที่จะวางร่างเด็กชายผู้นั้นลงพร้อมกับแจกจ่ายขนมให้กับเหล่าลุกเด็กเล็กแดงต่อ
ดวงตาคู่สวยกลับสบกับร่างๆหนึ่งที่เดินเยื้องย่างผ่านมา ใบหน้าที่ประดับไปด้วยริ้วรอยแห่งการเวลาของหญิงชรานั้นช่างคุ้นเคย นางจึงคว้ากล่องขนมที่ยังไม่ถูกนำออกมาซักชิ้นพลางสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มจะเปล่งเสียงหวานใสออกมา
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?..ท่านราชครู.."
ลักษณะนิสัย ::
[เรียบร้อย อ่อนหวาน]
ลู่จิวนั้นเป็นหญิงสาวที่ถูกเก็บมาเลี้ยงโดยตระกูลพ่อค้าอัญมณีตระกูลหนึ่ง นางจึงได้ชื่อว่าเป็นบุตรบุญธรรมของ'เสี่ยวเฟ่ย'ผู้นี้
ตั้งแต่จำความได้ เด็กน้อยผู้นี้ก็ได้ชื่อมาว่า'ลู่จิวเสียแล้ว'เพราะเสี่ยวเฟ่ยบอกว่าในตอนที่นางยังเล็ก นางดูเหมือนจะสนใจหยกขาวเป็นพิเศษ เลยตั้งชื่อให้เช่นนั้น
ลูจิวถูถสั่งสอนเล่าเรียนโดยราชครูท่านหนึ่งที่ทำงานอยู่ในวังแล้วบังเอิญเป็นเพื่อนซี้กับพ่อค้าอัญมณีนามเสี่ยวเฟ่ย ผู้เป็นบิดาต่างสายเลือดเห็นโอกาสที่ดีงามจึงฝากฝังลู่จิวให้ราชครูท่านนั้นอบรมณ์สั่งสอน ซึ่งเด็กน้อยก็ได้แต่จำคำพูดของผู้ใหญ่เหล่านั้นเอาไว้เพื่อมาปฏิบัติตามจนเติบใหญ่
เด็กน้อยน่ารักในครานั้นเติบโตชึ้นมาเป็นเด็กสาวผู้สวยสมวัย เรือนผมสีอีกาถูกรูปขึ้นเป็นมวยไว้กลางหัว ดวงตาสีนิลดูเหมือนจะพร่ามัว แต่หากเจ้าตัวนั้นกลับมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างชัดเจน
หลังจากที่อายุครบสิบห้าปีได้ไม่นาน เสี่ยงเฟ่ยก็ขอตัวลู่จิวคืนมาจากในวังเพื่อที่จะอบรมณ์สั่งสอนในเรื่องอื่นๆต่อ เด็กน้อยที่แสนซนและร่าเริงในครานั้นบัดนี้เหลือเพียงเด็กสาวผู้มีกิริยาที่เรียบร้อยและการพูดจาที่อ่อนหวานจนใครๆต่างก็เอ่ยปากชม เด็กสาวถูกฝึกให้หัดสังเกตและเเยกแยะอัญมณีมาตั้งแต่อายุได้สิบสามปีบริบูรณ์ ดังนั้นมีหลายครั้งหลายคราที่นางถูกเสี่ยวเฟ่ยส่งออกไปเจรจาการค้าขายกับพ่อค้าเมืองอื่นบ้างล่ะ หรือเจรจาเรื่องการติดต่อค้าขายกับเมืองๆนั้นบ้างล่ะ ซึงลู่จิวก็มิได้โต้แย้งอันใด เพียงแค่ก้มหัวเเละรอคำสั่งต่อไปที่จะมาถึงนางเท่านั้น
ในยามดึก ลู่จิวมักจะชอบออกมานั่งบรรเลงกู่เจิงหรือไม่ก็ซออู้อยู่ท้ายบ้าน ดังนั้นในยามค่ำคืนมิจำเป็นต้องแปลกใจว่าเสียงดนตรีลอยมาจากบ้านของพ่อค้าอัญมณีได้อย่างไร ในขระที่พระจันทร์กำลังสาดส่องเต็มดวงนั้น ปลายเล็บก็เกี่ยวระหวัดไปตามเส้นทองเหลืองของสายดนตรีจนเป็นจังหวะที่ไพเราะมากขึ้นเช่นกัน
นอกจากนางจะเป็นสาวงามที่ความงามนั้นเลื่องลือไปทั่วแผ่นดินแล้ว แต่หากข้อดีของนางมิได้มีเพียงเท่านี้ นางยังเป็นสตรีที่ใจดี อ่อนโยนและเมตตาต่อเพื่อนร่วมโลก ด้วยเหตุนี้ ทำให้ลู่จิวมิคิดจะออกไปไหนมาไหนในยามดึกบ่อยมานัก เพราะตนนั้นรู้ดีอยู่แก่ว่ารูปร่างและความงามตนนั้นเป็นที่หมายปองของผู้ใดบ้าง..
แต่พอมีผู้ใหญ่ถามว่าทำไมนางจึงมิตอบรักพวกเขาเสียเล่า บางคนเงินทองก็มี ทรัพย์สินก็มี เสื้อผ้าสวยๆกับบ้านหลังใหญ่ๆก็มีให้นางครบครั้น แต่นางเพียงแค่ยิ้มแย้มกลับเพียงก่อนจะยกถ้วยชาขึ้นจิบครู่หนึ่งพร้อมๆกับริมฝีปากอวบอิ่มที่เปล่งเสียงอันไพเราะน่าฟังออกมา
"ท่านพี่เฉิน..อันตัวข้านั้นเป็นสตรี..สตรีที่มีปัญญาพอที่จะทราบว่าผู้ใดนั้นคู่ควรและมิคู่ควร บุรุษเหล่านั้นต่างหมายปอเพียงแค่ร่างกายของข้า หาได้หมายปองจะครอบครองดวงใจข้าไม่.."
ถึงแม้ว่าลู่จิวจะเป็นน้องหญิงต่างสายเลือด แต่นางก็เคารพพี่ชายต่างสายเลือดอย่าง'เฉินลู่เสียน'เยี่ยงพี่ชายแท้ๆ ด้วยความที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายกันอย่างมิน่าเชื่อ แล้วไหนจะความฉลอดและความรอบรู้ของทั้งสองคนที่อยู่ในระดับเดียวกันนี่อีก เป็นสาเหตุทำให้ตระกูลค้าอัญมณีตระกูลเฉินนี้ยังคงสืบอยู่มาช้านาน
ทั้งสองคนต่างเข้ากันได้เป็นปี่เป็นขลุ่ยเพราะมีอะไรที่คล้ายๆกัน แต่หากความสัมพันธ์ของทั้งสองทั้งก็ยังเน้นที่คำว่า'พี่น้อง'มิมีอะไรเกินไปกว่านั้นเลย อีกประการหนึ่งก็คือ ลู่เสียนนั้นมีสาวงามที่หมายปองไว้แล้วนั่นเอง
[คิดก่อนพูด ไตร่ตรองก่อนกระทำ]
นางรู้เสมอว่าอะไรควรหรืออะไรมิสมควร เพราะถูกสั่งสอนและขัดเกลามาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้นางมักจะ'คิด'ทุกครั้งว่าสิ่งที่พูดหรือกระทำออกไปนั้นสมควรหรือไม่ หากกระทำแล้วผลจะออกมาเป็นเช่นไร และเพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดจะมิเป็นดังใจ ลูจิวจึงใช้สมองกลั่นกรองคำพูดและความคิดก่อนเสมอเวลาจะเอือนเอ่ยอะไร และใช้ความคิดที่ได้รับการกลั่นกรองมาแล้วนั้นมากำหนดการกระทำต่อ กิริยาเช่นนี้ทำให้ลู่จิวดูเหมือนผู้ใหญ่ที่เคยอาบน้ำร้อนก่อน สง่างาม จริงใจ และเชื่อถือได้
[อ่อนโยน]
การกระทำของหญิงสาวที่ปฏิบัติต่อทุกคนนั้นอ่อนโยนยิ่งกว่าสิ่งใด ในยามว่าง ลู่จิวมักจะชอบเข้าครัวอบขนมไปฝากเป็นๆในหมู่บ้านเสมอ เพราะอย่างน้อยการที่จะได้พบเจอและพูดคุยกับเด็กๆและคนเฒ่าในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นวิธีการคลายเครียดอย่างหนึ่งของนาง ทุกๆครั้งที่มือเรียวนั้นลูบหัวเด็กน้อย ดวงตาสีนิลจะฉายประกายแววอบอุ่นออกมาเสมอเพราะมันช่างทำให้นางนึกถึงตัวนางในตอนเด็กเสียที่กระไร
ลู่จิวนั้นเป็นที่รักของเด็กๆและคนเฒ่าคนชราในหมู่บ้าน เพราะในทุกๆวัน นางจะแวะเข้ามาเยี่ยมเยียนและถามไถ่สารทุกข์สุขดิบเป็นกิจวัตรจนมีน้ำชาของโปรดนางเตรียมไว้ให้เสมอ และถึงแม้ว่านางจะเอ่ยปฏิเสธ แต่ทุกคนในละเเวกนั้นก็พร้อมใจกันนำมาให้นางอีกตามเคย
นอกจากจะอ่อนโยนต่อเด็กและคนชราแล้ว บุคคลที่อยู่ในชนชั้นทำกว่าอย่างทาสหรือเหล่าคนใช้ นางก็มิเคยเลือกจะปฏิบัติ หลายครั้งหลายคราที่นางอาสาเข้าครัวเองเพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระพี่เลี้ยงทั้งหลายโดยที่นางเองต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ที่สตรีพึ่งจะกระทำให้เอาไว้เพื่อจะได้นำไปใช้ในยามที่ต้องเดินในเส้นทางของชีวิตคู่..
[จริงใจ]
ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นนางทำออกมาด้วยความเกรงใจ มิว่าจะเป็นการต้มน้ำร้อนให้เหล่าเด็กๆในบ้านอาบ หรือการทำขนมไปแจกจ่ายแด่คนในหมู่บ้าน การออกไปอาสารักษาแผลและโรคร้ายต่างๆในหมู่บ้าน ทั้งหมดที่นางทำไปก็เพียงเพราะว่าต้องการที่จะเห็นผู้อื่นมีความสุขและอยากทำตัวเป็นประโยชน์แด่สังคมบ้างเท่านั้น
หลายครั้งหลายคราเวลาที่นางออกปเจรจราการค้าทั้งหลายทั้งแหล่แล้วถูกตีตรากลับมาว่าเป็นคนโกง ซึ่งนางก็เกลียดคำๆนั้นมากที่สุด ทั้งๆที่นางเตือนด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ถูกหาว่ามีพิรุท ทั้งๆที่นางการค้าขายอย่างถูกจริตอาชีพก้ยังถูกหาว่าเป็นคนโกงอีก
เส้นทางของนักค้าอัญมณีนั้นเหมือนจะเต็มไปด้วยกวากหนามเยอะขึ้นเรื่อยๆ ในครั้นที่จะต้องค้าขายกับเมืองหรือตระกูลใหญ่ๆ ราวกับว่าชีวิตของผู้เจรจาอย่างนางนั้นถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย นางจะต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนเสี่ยวเฟ่ยที่เลี้ยงตนมา
[ฉลาดและไหวพริบดี]
ลู่จิวนั้นถูกอบรมมาจากราชครูในวัง ดังนั้นวิชาการและการศึกษาเล่าเรียนต่างๆจึงหนักหนาและเกินระดับของวัย แต่เพราะว่านางรู้จักอดทนและตั้งใจทำให้นางและลู่เสียนสำเร็จวิชาเหล่านั้นได้ไม่นาน
ด้วยความที่ถูกฝึกให้สังเกตและจำแนกแยกแยะอัญมณีมาตั้งแต่ยังเล้ก ทำให้การสังเกตเหล่านี้ติดตัวนางมาด้วยและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ในยามเติบใหญ่ นางจะสามารถรับรู้ได้เสมอว่าผู้ใดมาแบบประสงค์ดี หรือผู้ใดมาเพียงแค่ต้องการจะช่วงชิงผลประโยชน์ นึกขอบคุณเสี่ยวเฟ่ยที่ฝึกให้นางสังเกตเพชรนิลจินดาเหล่านั้นตั้งแต่ยังเล็ก ทำให้ชีวิตของนางอยู่รอดจากเล่ห์และอุบายต่างๆของเหล่าผู้คนาจนถึงวันนี้
นอกจากนั้น ลู่จิวยังมีความรู้ที่ติดตัวมาจากในวังอีกด้วยโดยเฉพาะเรื่องสมุนไพร นับตั้งแต่ตอนนั้นนางก็ตั้งใจศึกษาพืชพรรณและการปรุงยาอย่างละเอียดจนสามารถนำมารักษาโรคและบาดเเผลของคนในหมู่บ้านได้ นางมิกลัวเลยแม้แต่น้อยว่ามือเรียวสวยที่สัมผัสแต่เครื่องประดับและเพชรนิลจินดานั้นจะหยาบหรือกร้านสักเพียงใด ขอเพียงแค่ได้เห็นเพื่อนบ้านคนอื่นๆยิ้มได้ นางก็หายเหนื่อยและไม่ต้องอะไรแล้ว..
[เก่งงานบ้านงานเรือน]
ในยามที่ต้องจับด้ามไม้กวาดหรือผ้าขี้ริ้วนั้น นางก็มิเคยนึกรังเกียจ หนำซ้ำยังเต็มใจทำในสิ่งที่ได้รับมอบหมาย การทำความสะอาดก็เป็นบทเรียนอย่างหนึ่งที่สตรีพึ่งกระทำให้มี นางจึงฝึกและเรียนรู้ไว้จนเชี่ยวชาญมาจนถึงตอนนี้ และในยามที่ละมือจากการค้าอัญมณีหรือการทำขนมไปแจกจ่าย ลู่จิวก็มักจะทำความสะอาดบ้านของเสี่ยวเฟ่ยที่มีบิดาบุญธรรมดาเพื่อฆ่าเวลา เพระาถึงจะมิใช่สายเลือดเดียวกันแท้ๆ แต่หากเสี่ยวเฟ่ยและลู่เสี่ยนนั้นเป็นผู้มีพระคุณต่อนางมาก อย่างน้อยขอให้นางทำอะไรที่เป็นประโยชน์ให้กับตระกูลเฉินได้ก็เพียงพอแล้วสำหรับค่าตอบแทนที่เป็นการให้ที่พังพิงนี้
หากจะเก็บ หากจะกวาด หากจะเช็ด หากจะถู หากเป็นสตรีนางอื่นคงจะบ่นออกมาด้วยความเมื่อยตัวรึเหน็ดเหนื่อยไปเสียแล้ว แต่หากว่าแม่นางลู่จิวนั้นกลับก้มหน้าก้มตาทำไปพร้อมทั้งรอยยิ้มบนใบหน้า เพราะการที่ได้เห็นบ้านเรือนของตนนั้นสะอาด จตใจของนางก็เหมือนกับได้ถูกชำระล้างแล้วเช่นกัน
[เก่งเรื่องการอาหารและงานครัว]
หากจะพูดถึงเรื่องเสน่ห์ปลายจวัก โปรดไว้ใจสตรีนางนี้ได้ เพราะในยามที่เล่าเรียนอยู่ในวังนั้น นางได้รับการฝึกสอนอาหารชาววังมามากมายจากเหล่าสาวใช้และนางสนม แต่ถึงกระนั้นพอกลับมาอยู่ที่บ้าน ลู่จิวก็ยังคงขอให้ภรรยาของเสี่ยวเฟ่ยนั้นสอนตนทำอาหารบ้านๆบ้าง เมื่อเห็นดังนั้นผู้เป็นมารดานอกสายเลือดจึงสอนเด็กสาวแทบจะทุกเมนูเลยทีเดียว และลู่จิวยังคิดว่าการทำอาหารนั้นเป็นเรื่องที่น่าสนใจนอกจากการแยกแยะอัญมณีอีกด้วย
[ใส่ใจคนรอบข้าง]
นางนั้นเป็นพวกอารมณ์อ่อนไหวกับเรื่องรอบตัวง่ายมาก โดยที่หากคนรอบข้างหรือคนรอบตัวเป็นอะไรไป นางจะไม่ยอมอยู่เฉยให้ผู้นั้นได้ทนทุกข์ทรมาณ งัดวิชาความรู้ทั้งหมดที่มีออกมาใช้รักษาผู้นั้นจนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือวิชาเหล่านั้นได้หมดสิ้นไป หากถึงขั้นกรณีที่นางมาช้าเกินไปหรือผู้นั้นเสียชีวิตก่อน ลู่จิวจะพยายามข่มความรู้สึกผิดและความรู้สึกเสียใจเอาไว้ภายในอกให้ได้นานที่สุดก่อนที่จะเดินเข้าไปทำความเคาระร่างที่ไร้วิญญาณของผู้นั้นและเดินออกมาเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่า ถึงนางจะ'อ่อนโยน'แต่นางก็มิได้'อ่อนแอ'
จิตใจของสตรีผู้นี้นั้นเข้มเเข็งเสียยิ่งกว่าหินผา ถึงแม้นว่าการเห็นคนตายนั้นจะเริ่มชินชา แต่หากการที่คิดว่าผู้นั้นได้จากไปก่อนเวลาอันสมควรแล้ว..ความรู้สึกต่างๆมันก็ประดังขึ้นมาจนหลายครั้งหลายคราที่นางควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ลำบาก
โดยเฉพาะหากเป็นเรื่องของชายคนรัก.. นางจะคอยดูแลอยู่มิห่าง.. คอยปรนนิบัติรับใช้ คอยทำอาหารให้ คอยพัดวียามนอน คอยปลอบโยนยามฝันร้าย เพราะนอกจากตระกูลเฉินแล้วนั้น นางก็มิเหลือใครให้เป้นที่พักพิงอีกเลย ดังนั้นมิแปลกที่นางจะรักบุรุษผู้เป็นสามีมาก
...เพราะผู้นั้นคือคนสำคัญ
เพราะผู้นั้นคือความฝัน...
...เพราะผู้นั้นคือความทรงจำ
เพราะผู้นั้นคือยอดดวงใจ...
หากจะมองกลับไป นางก็จะได้รู้ว่านางก็เป็นยอดดวงใจของบุรุษผู้นั้นเช่นกัน..
[จู้จี้จุกจิก]
เรื่องฝีปากในการเทศนาหรือการบ่นนั้น ลู่จิวเองก็มิเคยเป็นรองใคร แถมสามีของนางก็ยังเป็นคนประเภทที่ชอบทำอะไรฝืนตนเองด้วยแล้ว นั่นทำให้นางต้องเข้มง้วดเข้าไปใหญ่ ดังนั้นในทุกๆเช้ารึไม่ก็ทุกๆเย็น เหล่าเพื่อนบ้านในละแวกใกล้เคียงจะได้ยินเสียงของหญิงสาวผู้เป็นที่รักของหมู่บ้านบ่นเรื่องเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ อย่างเช่น
''เจ้าพี่เอ๋ย ..ใครสั่งใครสอนให้ท่านปฏิเช่นนี้ หากเกิดเหตุที่มิคาดคิดขึ้นและข้ามิได้อยู่ที่นี่ ท่านจะเป็นอย่างไร..เพียงเท่านี้ท่านก็คิดจะทิ้งข้าไปก่อนวัยอันควรแล้วงั้นหรือ!''
"เข้ามานั่งพักเสียก่อน ..ผู้ใดใช้ให้ท่านออกไปข้างนอกเรือนในยามที่แสงแดดจ้าเช่นวันนี้เล่า มิไข้จับมาก็ดีเช่นไรแล้ว ดื่มน้ำดับกระหายเสียเถอะ แล้วค่อยเข้ามานอนพักนะพี่เอ๋ย..ข้าปูฟูกเตรียมไว้ให้แล้ว.."
หากเป็นบุรุษท่านอื่นคงจะเอ่ยกล่าวว่ารำคาญและโต้ตอบไปเสียเเล้ว แต่หากเป็นเพราะบุรุษผู้นี้คือสามีของนาง ดังนั้นเขาผู้นั้นจึงทำเพียงแค่ยิ้มอ่อนโยนให้อย่างดีใจเพราะรู้ว่าการที่หญิงสาวบ่นและจ้ำจี้จ้ำไชตนอยู่ทุกวันนั้นเพราะนางอยากให้เขามีสุขภาพจิตและชีวิตที่ดี โดยที่ทั้งสองฝ่ายนั้นใช้ชีวิตร่วมกันมาตั้งแต่หญิงสาวเอ่ยปากรับรักจากบุรุษผู้นี้แล้ว การบ่นและเสียใสหวานของนางนั้นจึงเป็นสิ่งที่ขาดมิได้เลยแม้แต่ราตรีเดียวในเรือนนี้
[เจ้าบทเจ้ากวี]
หากจะพูดถึงเรื่องกิจกรรมในยามว่างของหยิงสาวหลังจากที่ได้เข้ามาร่วมชายคาเดียวกับชายคนรักแล้ว สิ่งที่ลู่จิวพอจะทำได้ก็มีเพียงแค่เข้าไปเยี่ยมเยียนผุ้คนในหมู่บ้าน หรือไม่ก็หากระดาษและภู่กันจุ่มหมึกมาเขียนกลอนเล่นที่ส่วนใหญ่จะเป็นกลอนกล่อมกลับกล่อมนอนหรือกลอนสำหรับเด็กมากกว่า
[รักมากกว่าสิ่งใด]
ลู่จิวนั้นเป็นหญิงสาวที่มีคำสัตย์ต่อตนเอง คือนางจะมิเป็นฝ่ายเดินออกไปหาชายอื่นก่อนเว้นเสียแต่ว่าสามีนางนั้นเอ่ยปากไล่หรือไปมีสตรีผู้อื่น ยิ่งเป็นบุรุษผู้นี้ที่ทำให้นางสามารถมอบหัวใจให้ทั้งดวงด้วยแล้ว..นางจึงสาบานกับตนเองว่าจะปรนนิบัติรับใช้และทำหน้าที่ของภรรยาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้และควรจะทำ
และรักของนางนั้น..ก็เปรียบเสมือนหัวใจของนาง หญิงสาวผู้มีดวงใจดวงเดียวซึ่งถูกมอบให้กับบุรุษผู้เป็นที่รักไปทั้งหมดเสียแล้ว นั่นก็เท่ากับว่านางจะรักบุรุษผู้นี้ไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่ หากจะกิน ก็กินด้วยกัน หากจะนอน ก็นอนด้วยกัน ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปทั้งชีวิตด้วยกัน แก่เฒ่าและตายไปพร้อมๆกัน นั่นคือสิ่งเดียวที่นางปรารถนาในการใช้ชีวิตอาศัยอยู่ร่วมกับชายผู้นี้
หญิงสาวจะคอยดูแลชายหนุ่มเรื่องอาหารการกินต่างๆ เรื่องเสื้อผ้าอาภรณ์ ไปจนถึงเรื่องการกล่อมหลับกล่อมนอนในยามป่วยไข้ แต่หากชีวิตคู่ที่แสนสุขเหล่านี้ก็ต้องหายไปเมื่อฮ่องเต้ได้มีรับสั่งให้เกณฑ์แรงงานไปสร้างกำแพง
ลู่จิวร่ำราชายคนรักด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนแต่หากดวงตาคู่นั้นกลับเศร้าหมอง จุมพิตที่ริมฝีปากเป็นสัญญาณครั้งสุดท้ายก่อนที่ฝีเท้าและร่างนั้นจะหายลับไปกลับสายตา
ชอบ ::
-เครื่องประดับที่ทำจากหยกขาวและหยกดำทั้งหลายทั้งแหล่ ไม่ว่าจะเป็นเพียงแค่ชิ้นเล็กๆจนไปถึงเครื่องประดับผมของนางสนมของฮ่องเต้ เพราะนางคิดว่ามันสวยและเป็นเครื่องประดับที่เข้ากับนางมากที่สุด
-รอยยิ้ม การเห็นผู้คนรอบข้างมีความสุข เพราะเวลามีความสุขนางมักจะยิ้มเสมอ ลู่จิวจึงนับว่าคนที่ยิ้มก็มีความสุขเช่นกัน
-ชาร้อนๆ เพราะมันช่วยผ่อนคลายในยามที่กำลังเครียดจากการทำงานหรือเรื่องราวปัญหาต่างๆในชีวิตประจำวัน
-การเข้าครัวทำอาหาร เพราะอย่างน้อย การกระทำเหล่านี้ก็มิได้น่าเบื่อซักเท่าไรนัก
ไม่ชอบ ::
-เสื้อผ้าที่เปื้อนดินโคลนหรือสกปรกๆ เพราะมันทำให้เสื้อผ้าเหล่านั้นหม่นประกายลง แถมยังซักออกยากด้วยนะ!?
-เสียงอึกทึกของฟ้าร้อง เพราะตอนเด็กๆเธอมักจะชอบฝันร้ายในวันที่ฝนตกฟ้าร้องอย่างหนัก
แพ้ / กลัว ::
-เลือดและกลิ่นคาวทั้งหลาย แต่ก็พอทนได้ เพราะตอนเด็กๆเธอเคยเห็นผู้คนมากมายถูกประหารต่อหน้าต่อตา ทำให้เธอไม่กล้าที่จะจ้องมันตรงๆอีกเลยถ้าไม่จำเป็น
เพิ่มเติม ::
-ลู่จิวมีพี่น้องทั้งหมด 3 คน (หญิง 2 ชาย 1 ถ้ารวมนางด้วย) แต่เพราะโรคร้ายที่ระบาดอยู่ช่วงหนึ่งทำให้พี่หญิงคนโตก่อนลู่เสียนจำต้องลาจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันควร
-ขอแยกตัวจากทางบ้านมาอาศัยกับชายคนรัก เพราะยังไงการสืบทอดงานของตระกูลก็เป็นหน้าที่ของผู้ชายอยู่แล้ว ทำให้หญิงสาวอย่างเธอไม่ลำบากมากนักในการที่จะเลือกเส้นทางชีวิต
Talk MILAN
( 1 ) สวัสดีค่ะ ทางนี้มิลานค่ะ คุณผปค. ชื่ออะไรเอ่ย ?
- ชื่อปรางหมีค่ะ!? เรียกปรางเจ๋ยๆก็ล่าย--
( 2 ) ใบสมัครเรื่องมากไปไหมคะ ?
-ไม่ค่ะ ถ้าเทียบกับคอมมูที่ซีเรียสที่เราเคยเล่น แค่นี้ถือว่าง่ายมากค่ะTwTb
( 3 ) คำถามยอดฮิตติดชาร์จท็อป---- อะแหม่ ทำไมถึงมาสมัครเหรอคะ ?
-อยากอ่านฟิคแนวนิทานของออริเรากับหนุ่มๆบาสในธีมนิยายพอดีน่ะค่ะ แฮะๆ ที่สำคัญคือชื่อเมนกระแทกตาอย่างแรงกล้า วี๊ดดด////-////
( 4 ) ถ้าไม่ติด อ่า ทางนี้ต้องขอโทษนะคะ //แง้
- ไม่เป็นไรค่า เราบ่เครียดน้อ แต่ดูท่าโอกาสที่จะไม่ติดก็สูงอยู่ เพราะหลายๆคนเขียนดีมากกก ยิ่งไดอาด้วยยิ่งเตรียมตับ บวกกับเราเป็นพวกที่ชอบเขียนรวบรัดและพรรณนาซะส่วนใหญ่ ถ้าบ่ติดก็อย่าแปลกใจค่ะ5555;w;//กุมอกแล้วนอนลง
( 5 ) ทางนี้หมดคำถามแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณที่ให้ความสนใจนะคะ !
-เจอกันค่าาXD
ความคิดเห็น