ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Delicated Lines

    ลำดับตอนที่ #1 : The Beginning of Changes

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ย. 50


    Prologue
    Yesterday, Today and Tomorrow



    สายลมแผ่วๆที่พัดผ่านป่าทึบสร้างเสียงการขัดสีของกิ่งไม้และใบไม้ต่างๆดังกึกก้องไปทั่วบริเวณป่าที่มีเหล่าพลทหารยืนชะงักยันด้วยความหวาดกลัวและความตื่นเต้น

    เมื่อมองไปรอบๆ เราก็ได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย ใบหน้าที่ดูหวาดกลัวของพวกเขา สร้างความหวาดกลัวให้แก่เราเช่นกัน
    แต่เราก็ยังรู้สึกชื้นใจขึ้นมาบ้าง เมื่อพบว่า ยังมีทหารหญิงคู่หนึ่งที่บังเอิญมายืนขนาบข้างเราทั้ง 2 ข้างที่คอยพยายามส่งรอยยิ้มเป็นกำลังใจให้แก่เราเสมอ

    เสียงของลมนั้นยันคงสร้างความหวาดวิตกให้แก่เหล่าทหารที่มองไม่เห็นแม้แต่หนทางเบื้องหน้า

    เหตุการณ์รอบด้านที่กำลังเกิดขึ้นนั้นก็ไม่สามารถรับรู้ด้วยความที่ทั้งกองทัพยังคงติดอยู่ภายในป่าทึบ



    จะถามว่าเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรอ?
    กองทัพ? ป่าทึบ?

    คิดว่าคงจะพอเดาออกนะ
    พวกเรา กองทัพแห่งอซินจา ใต้บังคับบัญชาของขุนพลโฮมาเงะ
    โฮมาเงะ ชิทาดะ

    พวกเรา กองทัพใต้บัญชาของท่านขุนพลโฮมาเงะ ที่กำลังเดินทางไปยังอัลฟ์เฮม ตามคำสั่งของท่านเออร์ดิน โมเซสเชีย กษัตริย์แห่งอซินจา
    ส่วนคำสั่งนั้น จากที่ได้ยินมาจากเพื่อนร่วมกองคนอื่นๆมาว่า กองทัพจากโลเวอร์ได้บุกขึ้นโจมตีเมืองอัลฟ์เฮมในค่ำของวันที่ 7 จาเนอร์ ปี 125

    ในตอนนี้เป็นเช้าของวันที่ 8
    วันถัดมานั่นเอง

    กองทัพอซินจา? กองทัพโลเวอร์?
    ถ้าไม่รู้ว่าเราพูดถึงอะไรก็จะอธิบายให้ฟังคร่าวๆ

    บนพื้นดินแห่งนี้ที่เรายืนอยู่ ถูกเรียกว่า เออร์ธา ซึ่งเออร์ธานั้น ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน โดยช่องว่างของมิติโดยที่เรียกเออร์ธาทั้ง 2 ส่วนนั้นว่า อัปเปอร์เออร์ธา สำหรับมิติที่อยู่ด้านบน และ โลเวอร์เออร์ธา สำหรับมิติที่อยู่ด้านล่าง
    ทั้ง 2 ฝ่ายนั้นเป็นศัตรูกันมาแต่ช้านาน เราเองก็ไม่ทราบสาเหตุว่าเพราะเหตุใด เออร์ธาถึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วน และทำไมถึงได้ต้องมาสู้รบกัน
    แต่นั่นมันก็เป็นสถานการณ์ปัจจุบันที่ใครทุกคนก็เข้าใจกันดี และหวังว่าท่านก็จะเข้าใจเช่นกัน

    ส่วนอซินจานั่นก็คือ เมืองที่เป็นเหมือนดั่งเมืองหลวงของเออร์ธาเลยก็ว่าได้
    ซึ่งเมืองอซินจาได้รับการดูแลจากตระกูลโมเซสเชียเป็นอย่างดี จนมีความรุ่งเรือง ทั้งในด้านการเงิน การค้า และ การปกครอง หรือแม้กระทั่ง การรบ
    อซินจาก็ถูกเรียกได้ว่าเป็นเมืองหลวงแห่งอัปเปอร์เออร์ธาโดยไม่มีใครขัดแย้ง

    ความจริงแล้ว มิติมันไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
    ยังมีอีก 2 มิติที่ถูกเรียกว่า เอลิเซี่ยม และ เพนดาโมเนี่ยม ซึ่งดูเหมือนว่า ทั้ง 2 มิติจะไม่ค่อยถูกกันเช่นกัน
    และยังมีข่าวลืออีกว่า เพนดาโมเนี่ยมให้การสนับสนุนกองทัพของโลเวอร์ แต่นั่นก็ดูเหมือนจะเป็นเฉกเช่นเดียวกับเอลิเซี่ยมที่มีทีท่าว่าจะให้ความช่วยเหลือต่ออัปเปอร์เช่นกัน

    เรื่องของ 2 มิตินั้น ยังไม่ใช่เรื่องสำคัญในเวลานี้ เพราะทั้ง 2 ยังไม่เริ่มเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง ที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงบนเออร์ธา

    กลับมาที่เรื่องสงครามของเออร์ธา

    หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากท่านเออร์ดิน
    กองทัพก็ได้ถูกจัดขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเช้าวันนี้ ก่อนที่แสงแดดจากสาดส่องจากที่สุดขอบฟ้าเสียอีก
    ท่านแม่ทัพอิซาโดร่าเป็นคนที่คอยจัดเตรียมกองทัพให้เราทั้งหมด ซึ่งท่านก็คือ ผู้วางแผนการรบทั้งหมดให้แก่กองทัพของอซินจานั่นเอง
    ถึงแม้ว่ามันจะดูรวดเร็วเกินจนอาจจะดูเหมือนว่าเป็นการจัดกองทัพอย่างลวกๆด้วยซ้ำ

    แต่ดูเหมือนว่า เราจะคิดอย่างนั้นอยู่คนเดียว
    เพราะไม่ว่าจะดูยังไง ก็ไม่มีคิดใครจะเอะใจ หรือแย้งกับแผนการรบของท่านอิซาโดร่า
    มิหนำซ้ำ ท่านอิซาโดร่ายังคาดการไว้อีกด้วยว่า ในขณะที่เราเคลื่อนทัพผ่านเข้าไปในป่าที่ชายเมืองอัลฟ์เฮม มีความเป็นไปได้ว่ากองทัพโลเวอร์อาจจะเตรียมทำการโจมตีขัดกองทัพของอซินจาไม่ให้เข้าถึงตัวเมืองอัลฟ์เฮม ในบริเวณที่กำลังมีการสู้รบกันอยู่


    ท่านเดาถูกแล้วล่ะ
    เหตุการณ์ในตอนแรกที่เกิดขึ้นอยู่นั้น คือคำคาดการณ์ของท่านอิซาโดร่านั่นเอง

    กองทัพนักดาบจำนวนหลายพันนายที่กระจัดกระจายอยู่ในบริเวณป่าทึบของชายแดนอัลฟ์เฮม ใต้บัญชาของท่านโฮมาเงะ ในขณะนี้ที่ยังคงติดอยู่ในความหวาดกลัว เมื่อพวกเราไม่สามารถที่จะตรวจหาที่อยู่ของข้าศึกที่บุกเข้ามาโจมตีพวกเราได้ด้วยซ้ำ
    เสียงดังโหวกเหวกที่อยู่ไกลๆ อาจจะพอช่วยให้เราเดาได้ว่า การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นอยู่ที่ด้านนอกของป่า ห่างไปทางทิศเหนือจากตำแหน่งที่กองทัพของเราอยู่ในขณะนี้

    แผ่นหลังขนาดใหญ่ของท่านโฮมาเงะที่ตอนนี้ยืนนิ่งสนิทอยู่ตรงหน้าเหล่าพลทหารนักดาบนับพันที่อยู่เบื้องหลังเขา ใบหน้าของเขาหันไปทางทิศเหนือ ต่างจากผมสีม่วงของเขาที่ถูกสะบัดไปทางตรงกันข้าม
    ดวงตาสีฟ้าใสบริสุทธิ์ที่เรายังคงจำความงามราวแสงสะท้อนจากคลื่นทะเลในยามเช้าของมันได้ไม่มีวันลืมเลือน ซึ่งในขณะนี้กำลังจ้องเขม็งไปทางเดียวกันกับใบหน้าอันเคร่งขรึมของเขา

    ทั้งหมดนั่น เป็นเพียงแค่จินตนาการของเราเท่านั้น เพราะว่าท่านโฮมาเงะอยู่ไกลจากเรามากเกินกว่าที่เราจะสามารถมองเห็นรายละเอียดได้ถึงขนาดนั้น
    แต่เราก็เพียงแค่ต้องการจะจินตนาการการกระทำของท่านโฮมาเงะ ไม่ว่ามันจะเป็นเวลาที่คับขันสักเพียงไหน

    หากเราคิดว่า ใครสักคน มีความสำคัญต่อเราในทางใดนั้น เรามักจะคิดเขาในแง่นั้นเสมอ ใช่ไหม?



    นี่เราก็ได้พูดมาจนถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ
    เรามีชื่อว่า โนโซมิ อายุ 19 ปี เกิดวันที่ 2 ออคเตอร์ งานอดิเรก...คงไม่ต้องบอกแล้วล่ะมั้ง

    ในตอนนี้โนโซมิเป็นหนึ่งในกลุ่มนักดาบหญิง จากกองรบที่ 3 ใต้บังคับบัญชาของ ขุนพลโฮมาเงะ ชิทาดะ แห่งกองกำลังหลวง อซินจา

    ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงแค่ยศชั่วคราว แต่เราก็ดีใจที่ได้มารับใช้ท่านโฮมาเงะ

    หลังจากนี้เป็นต้นไป เราจะขอเรียกตัวเองว่า โนโซมิ อย่าสับสนล่ะ

    โนโซมิเองพึ่งได้เข้าร่วมกับกองทหารได้สักพักใหญ่ๆแล้ว ตั้งแต่ก่อนที่สงครามอซินจาเหนือ หรือ สงครามเออร์ธา ครั้งที่ 1 แล้ว
    เพียงแต่ว่าโนโซมิไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมรบในครั้งนั้นด้วย เนื่องจากที่ขุนพลและนายกองส่วนใหญ่ เรียกตัวนายทหารฝึกหัดไปร่วมรบด้วยเสียหมด เหล่าทหารประจำเมืองจึงไม่ได้เข้าร่วมรบด้วยเท่าไรนัก

    สงครามครั้งแรกเป็นยังไงอย่างนั้นหรอ?
    จากรายงานที่โนโซมิได้ฟังมา

    กองกำลังของโลเวอร์นั้น มีเพียงแค่หยิบมือเดียว รวมทั้งนายกองหรือขุนพลที่แทบจะไม่มีให้เห็นเลยด้วยซ้ำ
    สงครามครั้งนั้นจบลงภายในเวลาไม่นานนัก หลังจากที่เงาสีดำลอยผุดขึ้นปกคลุมไปทั่วท้องที่ แล้วนำกองทัพโลเวอร์หายตามไปพร้อมๆกับเงาดำนั่น
    จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครสามารถสรุปเหตุการณ์นั้นได้ แต่ถ้าหากเงานั่นเป็นผลงานของพวกโลเวอร์นั้นก็มีความเป็นไปได้สูง

    แต่เรื่องนั้นดูจะไม่มีความสำคัญเท่าไรนัก สิ่งเดียวที่พอจะเดาออกจากการรบครั้งนั้น คือ การลองเชิงของฝ่ายโลเวอร์ เพื่อตรวจดูความพร้อมของกองทัพอัปเปอร์ของเรา


    ย้อนกลับมาที่สงครามในเวลาปัจจุบัน
    เหล่ากองทัพของโลเวอร์ลอบโจมตีกองทัพของอซินจาที่กำลังเดินทางไปช่วยเหลือการรบที่อัลฟ์เฮมจากทางเหนือ

    หอกสั้นในมือขวาของท่านโฮมาเงะถูกชี้ไปในทิศทางเดียวกัน เป็นสัญญาณให้พลทหารนับพันของเขาเตรียมพร้อมรับการโจมตีจากทางตอนเหนือ ซึ่งในตอนนี้ มีเพียงแค่กองทัพของขุนพลบัลเรเก้น มอนเซ และ กองทัพนักดาบของเขาที่กำลังปะทะกับกองทัพของโลเวอร์ที่มีออคเป็นส่วนใหญ่ ก่อนที่มันจะบุกเข้ามาถึงกองทัพของเรา
    ซึ่งก็ใช้เวลาไม่มากนัก ก่อนที่กองทัพกอบลินอีกกองหนึ่งจะบุกเข้ามา โดยผ่านทางตะวันตกของกองทัพของขุนพลบัลเรเก้นอย่างไม่สนใจใยดี และตรงเข้าใส่กองทัพฝั่งเหนือสุดของกองทัพของท่านโฮมาเงะ ซึ่ง...โชคร้ายนั้นก็ได้ตกอยู่กับโนโซมิเสียแล้ว...เพราะกองทัพนั้นก็คือ กองรบที่ 3 ใต้บังคับบัญชาของ ขุนพลโฮมาเงะ ชิทาดะ แห่งกองกำลังหลวง อซินจา...ซึ่งก็คือ กองทัพที่โนโซมิประจำการอยู่นั่นเอง

    ฝูงกอบลินวิ่งฝ่าเข้ามาในป่าทึบราวกับกลุ่มกอบลินที่กำลังออกล่าสัตว์ป่าเพื่อนำกลับไปทำเป็นอาหารยังที่อยู่อาศัยของมัน
    อาวุธที่มีรูปร่างคล้ายกับขวานถูกเหวี่ยงไปมา ระหว่างที่มันสับขาวิ่งตรงเข้าใส่กองทัพของโนโซมิอย่างบ้าคลั่ง
    ความสนใจของกองกำลังที่ 3 ใต้บัญชาของขุนพลโฮมาเงะในขณะนี้ถูกดึงไปทางฝูงกอบลินที่กำลังใกล้เข้ามาทุกขณะ

    "โจมตีสวนกลับไป!!!" เสียงทุ้มต่ำที่ดังกึกก้องของท่านโฮมาเงะดังลั่นอยู่ในหูของโนโซมิ ทำให้ร่างกายของโนโซมิหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนที่จะดึงสติกลับคืนมา และ ดึงดาบ 2 คมทั้ง 2 เล่มมากำไว้ในมือทั้ง 2 ข้างอย่างเหนียวแน่นราวกลับเด็กน้อยที่พึ่งได้ของเล่นใหม่ และหวังจะไม่ให้มีใครมาแย่งมันไปจากเธอ
    ทุกครั้งที่โนโซมินึกถึงการดึงอาวุธออกมาเตรียมพร้อมท่ามกลางกลุ่มนักดาบจำนวนมากมายก็ยังคงรู้สึกแปลกๆกับความแตกต่าง คล้ายแกะดำในกลุ่มแกะขาว และยิ่งเป็นในเวลาในการรบจริงเช่นนี้ ความรู้สึกนั้นยิ่งออกอาการให้เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อสายตาของโนโซมิเริ่มกวาดมองไปรอบๆ เพื่อตรวจดูความเรียบร้อย ก็พบกับสิ่งที่คาดเอาไว้
    ซึ่งมันก็คือ กลุ่มนักดาบคนอื่นๆพร้อมกับดาบขนาดใหญ่ หรือบ้างก็ดาบคมเดียวที่มีขนาดยาวกว่าปรกติ ต่างจากโนโซมิที่กำดาบ 2 คมคู่หนึ่งไว้ในมือของเธอ และตั้งท่าเตรียมพร้อมการต่อสู้ที่มีเพียงแค่ความแตกต่างจากกลุ่มนักดาบคนอื่นๆ ที่ดูจะไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อย

    เสียงโห่ร้องดังขึ้นเมื่อกลุ่มนักดาบในกองกำลังที่ 3 ใต้บัญชาของขุนพลโฮมาเงะของโนโซมินั้นเริ่มก้าวขาไปทางทิศเหนือ แล้วพุ่งตรงเข้าไปยังกองทัพกอบลินที่วิ่งเข้ามาเป็นแถวหน้ากระดานห่างๆ หลายแถว
    กองกำลังของโนโซมิ ที่ในขณะนี้ก้าวขึ้นเหนือไปอย่างพร้อมเพรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน โดยทั้งกลุ่มกองยังคงเกาะตัวกันแน่นเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่

    อีกไม่นานเหล่ากอบลินก็จะวิ่งเข้ามาปะทะกับกองทัพของโนโซมิแล้ว เสียงกลืนน้ำลายดังอึกอยู่ในลำคอก่อนที่โนโซมิจะพบว่าเสียงนั้นเกิดขึ้นจากตัวของโนโซมิเอง
    ไม่ว่าจะมีความมั่นใจแค่ไหน ไม่ว่าจะเตรียมตัวมาพร้อมแค่ไหน หรือไม่ว่าจะมีเพื่อนคอยให้กำลังใจมากเพียงแค่ไหน
    สงครามก็คือสงคราม ในสงครามก็จะต้องมีโอกาสที่ทหารทุกคนจะต้องพบกับความตาย
    และไม่ว่าโนโซมิจะเตรียมตัวเตรียมใจมามากน้อยแค่ไหน ร่างกายของโนโซมิก็ยังคงสั่นเทาในทุกก้าวที่เดินตามนายทหารคนอื่นๆขึ้นเหนือเพื่อเตรียมรับการโจมตีจากเหล่ากอบลินอันหิวโหยเหล่านั้น

    รายละเอียดบนร่างกายของกอบลินเหล่านั้นเริ่มเห็นได้ชัดเจนขึ้นอย่างช้าๆ หรือแม้กระทั่งรายละเอียดบนใบหน้าสีเขียวเข้มของมันก็เริ่มชัดขึ้นทีละตัว ทีละตัว เมื่อระยะห่างระหว่างกองทัพของโนโซมิ และกองทัพกอบลินนั่นค่อยๆประชิดกันขึ้นเรื่อยๆ

    3...โนโซมินึกกับตัวเองว่าขอให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยจากสนามรบครั้งนี้ ซึ่งฟังดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
    2...โนโซมิขอเพิ่มว่าให้กองทัพของอซินจาทั้งหมด ทำลายกองกำลังของโลเวอร์ให้หมดไปอย่างสิ้นซาก ซึ่งดูเหมือนว่าคงจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน
    1...และสุดท้าย โนโซมิขอให้ทุกอย่างที่โนโซมิให้ความสำคัญจะคงอยู่กับโนโซมิต่อไป ตราบใดที่โนโซมิยังมีชีวิตอยู่ และขอให้มันเป็นอย่างนั้นจริง เพราะมันเป็นพรข้อที่โนโซมิต้องการมากที่สุด


    ซึ่งดูเหมือนว่า โนโซมิในตอนนั้น ไม่ได้เอะใจเลยด้วยซ้ำว่า คำขอข้อสุดท้ายที่โนโซมิให้ความสำคัญมากที่สุด จะถูกทำลายลงก่อนที่สงครามครั้งนี้จะจบลงด้วยซ้ำ
    เสียงครืนดังขึ้นเมื่อกองทัพนักดาบและกอบลินปะทะกันเข้าอย่างจัง ราวกลับคลื่นยักษ์ที่โหมกระหน่ำเข้าใส่หน้าผาสูงที่ตั้งยืนหยัดอยู่ริมทะเลในวันมรสุมที่ไร้ความปราณี
    เสียงอาวุธกระทบกันที่ดังมั่วไม่เป็นจังหวะจากรอบด้านของโนโซมิ ก่อนที่โนโซมิจะพบกับกอบลินตัวหนึ่งที่แทรกตัวผ่านช่องว่างระหว่างนายทหารของกองทัพของโนโซมิที่ตอนนี้ได้แยกตัวออก ทำลายกองทัพรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอันหนาแน่นลงเป็นสี่เหลื่ยมผืนผ้าที่กระจัดกระจายกันออกไปสู้รบกับกอบลินฝ่ายตรงข้าม

    สัญชาตญาณในการป้องกันตัวบอกให้โนโซมิตวัดดาบในมือเข้าใส่กอบลินตัวนั้นที่วิ่งเข้ามาตรงๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ก่อนที่อาวุธของมันจะถูกเหวี่ยงใส่ร่างอันเพรียวบางของโนโซมิ
    เลือดสีน้ำเงินที่กระเด็นออกจากบริเวณแผลลึกที่หน้าอกของมันที่เกิดจากคมดาบของโนโซมิสาดลงบนพื้นดินในบริเวณรอบๆนั่นก่อนที่ร่างของมันจะล้มพับลงไปกองอยู่บนพื้น ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า และร่างอันไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวของมันไว้ตรงหน้าโนโซมิที่ยืนสั่นเทาราวเด็กน้อยที่ป่วยเป็นไข้ป่าในฤดูหนาว ก่อนที่โนโซมิจะเรียกสติของตัวเองกลับคืนมา แล้วก้าวขาไปข้างหน้าเพื่อบุกโจมตีกอบลินตัวอื่นๆต่อไปอย่างไร้จุดหมาย





    "พี่โฮมาเงะ! พี่โฮมาเงะ!"

    "มีอะไรหรือ โนโซมิ?" ชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งอยู่ที่โต๊ะม้าหินในสวนแห่งหนึ่ง ในขณะที่หันหลังให้โนโซมิที่กำลังพยายามกระตุกชายเสื้อของเขาเพื่อเรียกร้องความสนใจ ซึ่งชายคนนั้นก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
    ในตอนนั้น ตามที่โนโซมิจำความได้ เขาคนนั้นที่ถูกโนโซมิเรียกว่า 'พี่โฮมาเงะ' น่าจะมีอายุราวๆ 15 ปี ซึ่งโนโซมิในตอนนั้นก็มีอายุได้ราวๆ 7 ปีได้

    โนโซมิเดินอ้อมไปด้านข้างม้าหินตัวที่พี่โฮมาเงะนั่งอยู่ ก่อนจะนั่งลงข้างๆเขา แล้วเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
    "พี่โฮมาเงะ ทำอะไรอยู่หรอ?"

    "ตุ๊กตาฟาง"

    พี่โฮมาเงะตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายไม่ต่างจากตอนที่ขานรับโนโซมิ เนื่องจากความสนใจของเขาทั้งหมดยังอยู่ที่ตุ๊กตาฟางตัวน้อยในมือของเขาที่มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าผ่ามือขนาดใหญ่ของเขาแต่อย่างใด

    "พี่โฮมาเงะทำตุ๊กตาฟางไปทำไมหรอ?"

    ด้วยความไร้เดียงสาของเด็กน้อย โนโซมิจึงได้ถามต่อไปตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็นทั่วไป
    แต่คำตอบที่โนโซมิได้กลับมา กลับเป็นเพียงแค่เสียงของฟางขัดสีกันเมื่อนิ้วมือทั้ง 10 ของพี่โฮมาเงะกำลังทำหน้าที่ของมันอย่างแข็งขันในการประติดประต่อหุ่นฟางตัวน้อยนั้น ซึ่งเริ่มมีรูปร่างเหมือนเด็กผู้หญิงขึ้นมาทุกที เมื่อเวลาผ่านไป

    "พี่โฮมาเงะ~!"

    โนโซมิลากเสียงยาว และพยายามกระตุกแขนเสื้อของพี่โฮมาเงะอยู่ตลอดเวลาเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ดูเหมือนว่า มันจะได้ผลในทิศทางตรงกันข้าม ไม่ว่าโนโซมิจะร้องเรียกพี่โฮมาเงะแค่ไหน เขาก็ไม่มีทีท่าว่าจะหันมาตอบโนโซมิ หรือแม้แต่จะหันมายิ้มให้แก่โนโซมิแม้แต่น้อย
    ความรู้สึกไม่พอใจ และความคิดตื้นๆที่เด็กน้อยคนหนึ่งจะคิดได้ก็ผุดขึ้นในเวลาอันน้อยนิดก่อนที่มันจะเปลี่ยนจากความคิดไปเป็นการกระทำ

    มือน้อยๆของโนโซมิเอื้อมไปที่มือของพี่โฮมาเงะ แล้วกระชากร่างตุ๊กตาฟางตัวน้อยมาจากมือของเขาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะกระโดดลงจากม้าหิน แล้วโยนมันไปย่างสุดแรงทางพงหญ้าที่อยู่รอบๆริมสวน
    สายตาของโนโซมิย้อมกลับไปยังม้าหินตัวนั้นก็พบกับใบหน้าของพี่โฮมาเงะที่ดูแปลกประหลาดอย่างที่สุด หากไม่เป็นเพราะว่าอารมณ์โมโหที่บดบังความคิดของโนโซมิไปจนหมด และ ใบหน้านั้นไม่ได้เกิดจากการกระทำที่หมายร้ายของโนโซมิแล้ว โนโซมิก็คงจะหัวเราะเสียงดังออกมาเสียแล้ว

    "โนโซมิ!!"

    พี่โฮมาเงะตะคอกใส่โนโซมิเสียงดังจนโนโซมิสะดุ้งถอยหลังออกไปเล็กน้อย

    "โนโซมิ เธอทำอะไรของเธอน่ะ!! เธอรู้ไหม ว่าตุ๊กตาฟางนั่นมันมีค่ามากแค่ไหน"

    "ใช่ซิ มันคงสำคัญมาก สำคัญมากกว่าโนโซมิมากเลยล่ะสิ"

    โนโซมิตะคอกสู้กลับไปโดยไม่ต้องใช้ความคิดมากนัก ก่อนที่จะหันหลังกลับ แล้วออกวิ่งออกจากสวนแห่งนั้น ซึ่งมันก็เป็นสวนที่อยู่หลังบ้านของพี่โฮมาเงะนั่นเอง
    ในตอนนั้น โนโซมิจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า โนโซมิได้ยินเสียงของพี่โฮมาเงะร้องเรียกอยู่ไกลๆ หรือว่าแค่หูฟาดไป
    แต่ในตอนนั้น สิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของโนโซมิก็คือการวิ่ง วิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด ไกลจนไม่ต้องเห็นหน้าพี่โฮมาเงะ ไกลจนไม่ต้องนึกถึงใบหน้าของพี่โฮมาเงะ ไกลจน...

    ทุกอย่างหยุดลงในทันทีเมื่อโนโซมิเหลือบไปเห็นขอบฟ้าสีทองเมื่อดวงไฟขนาดใหญ่ค่อยๆลอยต่ำลงไปยังขอบฟ้าที่มีภูเขาลูกใหญ่หลายลูกบดบังเอาไว้
    โนโซมิพบกับตัวเองที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูงที่โนโซมิและพี่โฮมาเงะมานั่งเล่นด้วยกันบ่อยๆ

    ในขณะที่โนโซมิกำลังโกรธพี่โฮมาเงะ ทำไมโนโซมิถึงได้วิ่งมาในทางนี้เสียล่ะ ในตอนนั้น โนโซมิเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม
    ทำไมโนโซมิจะต้องโกรธพี่โฮมาเงะ ทำไมจะต้องไม่พอใจเมื่อถูกพี่โฮมาเงะเมินเพื่อแค่ครู่เดียว ทำไมจะต้องแย่งตุ๊กตาฟางตัวนั้นแล้วโยนมันทิ้งไป

    "ทำไมโนโซมิถึงได้พูดอย่างนั้นกับพี่โฮมาเงะนะ"

    โนโซมิพบว่าตัวเองกำลังถามคำถามตัวเองอยู่ท่ามกลางหน้าผาอันว่างเปล่าที่ถูกล้อมรอบด้วยป่าทึบไปทั่วบริเวณ

    เสียงกิ่งไม้หักดังมาจากด้านหลังของโนโซมิที่ดึงความสนใจของโนโซมิกลับไปยังต้นเสียงนั่น
    สัตว์เลื้อยคลานสีขาที่มีผิวหนังที่เป็นลายเกล็ดสีเทาดำบนตัว ดวงตาสีเหลืองบนส่วนที่เป็นหัวจับจ้องมาที่โนโซมิอย่างแน่วแน่ ปากที่ยื่นยาวมาด้านหน้า มีลิ้นสีแดงที่แยกออกเป็น 3 แฉกแล่บออกมาด้านนอก
    ขา 4 ขาที่ยึดแน่นอยู่บนพื้นดินปนทราย หางอวบใหญ่ที่มีเกล็ดตรงกลางของมันรูปร่างคล้ายใบไม้แทงสูงขึ้นมายื่นยาวออกไปจากบริเวณส่วนหลังของมัน
    ร่างกายโดยรวมของมันใหญ่พอๆกับขนาดตัวของโนโซมิในตอนนั้นเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่โนโซมิไม่เคยพบเห็นมาก่อน แต่จากสภาพของมันเมื่อเปรียบเทียบกับตัวของโนโซมิแล้ว โนโซมิไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหวาดกลัวต่อขนาดตัว และ ความน่าขยะแขยงของมัน

    ทั้งโนโซมิ และ สัตว์ร้ายตัวนั้นยืนจ้องกันอยู่สักพัก โดยมีความเงียบสงบล้อมรอบพื้นที่อันว่างเปล่าเอาไว้
    ที่ 2 ข้างทางนั้นก็มีเพียงแค่ป่าทึบให้เห็นเท่านั้น
    แต่ก่อนที่โนโซมิจะมีโอกาสได้คิดถึงวิธีการหนีเอาตัวรอด ขาทั้ง 4 ของมันก็สับวิ่งเข้าใส่โนโซมิอย่างรวดเร็ว

    จากขนาดตัวของมัน ความขยะแขยงในหน้าตาและรูปร่างของมัน รวมไปทั้งความเร็วอันน่าหวาดกลัวของมัน ทำให้ขาทั้ง 2 ของโนโซมิถีบตัวออก และวิ่งหนีไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว

    ภายในป่าทึบ กิ่งไม้ต่างๆนาๆที่ตกหล่นอยู่บนพื้นสร้างเสียงเป๊าะแป๊ะอยู่ตลอดเวลาที่โนโซมิวิ่งไปเหยียบมันเข้า เช่นเดียวกันสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งที่สร้างเสียงอย่างเดียวกันจากด้านหลัง ทำให้โนโซมิไม่มีความจำเป็นจะต้องหันหลังกลับไปดูมันแม้แต่น้อย
    การไล่ล่าดำเนินอยู่ได้สักพัก โนโซมิก็ต้องหยุดวิ่งเมื่อพบว่า ป่าทึบตรงหน้าได้หมดไป กลายเป็นหน้าผาที่มีลักษณะเดียวกันกับหน้าผาเมื่อครู่ ต่างกันเพียงแค่ท้องฟ้าที่ในขณะนี้เริ่มกลายเป็นสีเทาไป ซึ่งดวงไฟขนาดใหญ่นั่น ในขณะนี้ก็ได้ไปอยู่ทางขวามือของโนโซมิเสียแล้ว

    เสียงของสัตว์ร้ายที่วิ่งตามมาก็ได้หยุดลง เมื่อมันพบว่าโนโซมิได้หยุดวิ่งที่ตรงหน้าของมัน ก่อนที่มันจะค่อยๆเดินเข้ามาหาโนโซมิพร้อมกับลิ้นสีแดงที่กวัดแกว่งไปมา เพื่อเตรียมลิ้มรสเหยื่อของมัน

    เสียงตะโกนดังมาจากด้านหน้าของโนโซมิ หรือ ด้านหลังของสัตว์ร้ายนั่น ทำให้ทั้ง 2 หันไปให้ความสนใจที่ต้นเหตุของเสียงนั่นในทันที ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะปรากฎขึ้น พร้อมกับวิ่งใส่สัตว์ร้ายนั่นในเวลาเดียวกับที่ขาข้างขวาของเขาจะตวัดเข้าใส่ที่ข้างลำตัวของสัตว์ร้ายตัวนั้นที่ไม่ทันตั้งตัวเข้าอย่างจังจนมันลอยไปกระแทกเข้าไปโคนต้นไม้ในบริเวณใกล้ๆ

    "โนโซมิ เป็นอะไรรึเปล่า?"

    ในตอนนั้น ทั้งความรู้สึกหวาดกลัว เหน็ดเหนื่อย ตกใจ และ ดีใจ ได้มาปนรวมกันกลายเป็นความรู้สึกที่โนโซมิจะไม่หวังว่าจะได้พบมันอีก และในตอนนั้น ความคิดแปลกๆก็เกิดขึ้น เมื่อนึกขึ้นได้ว่า หน้าตาของโนโซมิในตอนนั้นจะเป็นอย่างไรเมื่อมีหลายอารมณ์มารวมกัน
    แต่ดูเหมือนว่าพี่โฮมาเงะจะไม่ให้ความสนใจต่อใบหน้าของโนโซมิแม้แต่น้อย ในขณะที่เขาเดินเข้ามาใกล้โนโซมิ แล้วมายืนคั่นระหว่างโนโซมิและสัตว์ร้ายตัวนั้นที่เริ่มตั้งตัวกลับขึ้นมายืนได้แล้ว

    ทั้งโนโซมิและพี่โฮมาเงะจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกัน และไปยังสิ่งเดียวกัน สัตว์ร้ายตัวนั้นแล่บลิ้นของมันออกมาอีกครั้ง ก่อนที่มันจะตั้งท่าเตรียมจะวิ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง ก่อนที่เขาจะดันโนโซมิให้ถอยไปด้านหลังเล็กน้อย

    สัตว์ร้ายตัวนั้นวิ่งพุ่งตรงกลับเข้ามายังโนโซมิและพี่โฮมาเงะ ในเวลาเดียวกับที่พี่โฮมาเงะวิ่งพุ่งเข้าใส่มันเช่นกัน
    ร่างขนาดใหญ่ของมันกระโจนใส่พี่โฮมาเงะเมื่อระยะห่างของเขาและมันเหลือไม่มาก
    พี่โฮมาเงะก้มลงเล็กน้อย แต่ก็ไม่พ้นกงเล็บของมันที่เกาะเข้าที่บ่าของพี่โฮมาเงะ

    ร่างของมันในตอนนี้ได้เกาะอยู่บนบ่าข้างหนึ่งของพี่โฮมาเงะ ก่อนที่ปากขนาดใหญ่ของมันขยายออก เพื่อจะบดคอของเหยื่อของมันที่อยู่ตรงหน้า แต่ก่อนที่มันจะได้หุบปากขนาดใหญ่ของมันลง ร่างขนาดใหญ่ของมันก็ถูกโยนสูงขึ้นโดยพี่โฮมาเงะ มือทั้ง 2 ข้างของเขาจับไปที่หางขนาดใหญ่ของมัน แล้วเหวี่ยงร่างของมันไปทางด้านข้าง
    เสียงของแข็งหล่นกระทบพื้นดินปนทรายดังขึ้นพร้อมๆกับฝุ่นที่ลอยฝุ้งขึ้นเล็กน้อย เมื่อร่างขนาดใหญ่ของสัตว์ร้ายนั่นอัดกระแทกลงกับพื้นตรงหน้านั่น ซึ่งร่างของมันก็เกลือกกลิ้งไปบนพื้นทราย แต่ดูเหมือนว่าแรงเหวี่ยงของพี่โฮมาเงะจะได้ผลเกินความคาดหมาย เมื่อร่างของสัตว์เลื้อยคลานนั่นไถลไปจนถึงขอบหน้าผา ก่อนที่ร่างของมันจะลื่นตกลงไป โดยที่ยังมีขาหน้าของมันที่แทงเล็บขนาดใหญ่ของมันที่ใช้เกาะบ่าของพี่โฮมาเงะเมื่อครู่ มาเกาะพื้นดินเอาไว้ไม่ให้ร่างของมันร่วงลงไปยังทะเลเบื้องล่าง

    ระหว่างที่โนโซมิกำลังมองสัตว์ร้ายตัวนั้นด้วยอารมณ์ที่ไม่สามารถอธิบายออกมาได้ ร่างของโนโซมิก็ถูกกระชากจากที่ข้อมือโดยพี่โฮมาเงะที่ขณะนี้กำข้อมือของโนโซมิไว้แน่น ขณะที่เขานำทางโนโซมิกลับไปที่หมู่บ้านอย่างรวดเร็ว

    "พี่โฮมาเงะ!"

    โนโซมิร้องออกมา เมื่อเลื่อนสายตาไปที่บริเวณบ่าของพี่โฮมาเงะ

    "เลือด!"

    มืออีกข้างหนึ่งที่ยังว่างอยู่ของพี่โฮมาเงะเอื้อมไปที่บ่าบริเวณที่ถูกสัตว์เลื้อยคลานตัวเมื่อครู่เกาะเอาไว้ ซึ่งในขณะนี้ ได้เป็นแผลยาวลึกพร้อมกับเลือดสีแดงที่ไหลทะลักออกมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
    พี่โฮมาเงะสำรวจมือที่เปื้อนเลือดของเขาสักพัก ก่อนจะละความสนใจจากมัน และเดินตรงไปด้านหน้าต่อไป

    เสียงก้าวเดินที่ดังมาอยู่ตลอดเวลาที่โนโซมิถูกจูงมาโดยพี่โฮมาเงะก็ได้หยุดลง
    ระดับสายตาของโนโซมิค่อยๆเลื่อนขึ้นด้านบนอย่างช้าๆขณะที่โนโซมิเงยหน้าขึ้นหลังจากที่ก้มมองดูพื้นดินมาเป็นเวลานาน ประตูบ้านของโนโซมิก็มาปรากฎอยู่ตรงหน้าเสียแล้ว

    "พี่โฮมาเงะ"

    "โนโซมิขอโทษที่ตะโกนใส่พี่"

    พื้นดินก็ได้กลายเป็นเป้าหมายในการมองของโนโซมิอีกครั้งหลังจากคำขอโทษนั่น
    แต่แล้ว คางของโนโซมิก็ถูกเชิดสูงขึ้นโดยมือขนาดใหญ่ของพี่โฮมาเงะ ก่อนที่สายตาของโนโซมิจะจับจ้องไปยังใบหน้าที่มีความว่าเป็นห่วงสลักอยู่ของพี่โฮมาเงะ

    "เจ้าทำหน้าอย่างนั้น แล้วพี่จะโกรธเจ้าลงได้ยังไงกัน"

    มือขนาดใหญ่ของเขาเอื้อมมาขยี้หัวของโนโซมิเบาๆ

    "พี่โฮมาเงะ เข้ามาทำแผลข้างในก่อนดีกว่านะคะ"

    "ก็ดีเหมือนกัน"

    พี่โฮมาเงะตอบกลับมาขณะที่เขาเงยหน้ามองขึ้นท้องฟ้าที่ขณะนี้ได้มืดไปหมดเสียแล้ว
    หมู่บ้านริมป่าขนาดเล็กอย่างหมู่บ้านของเรานั้น ไม่มีสิ่งใดให้ความสว่างในยามค่ำคืนนอกจากโคมไฟที่จะต้องถูกจุดโดยผู้ดูแลเมืองที่ขณะนี้คงยังมาไม่ถึงบริเวณบ้านของโนโซมิ รวมทั้ง บ้านของพี่โฮมาเงะที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

    ภายในบ้านของโนโซมินั้น ห้องแรกก็จะเป็นห้องทานอาหาร ซึ่งจะถูกใช้เป็นห้องนั่งเล่นอยู่บ่อยครั้ง

    "ไปเล่นอะไรกันมาล่ะเนี่ย เนื้อตัวมอมแมมหมดแล้ว"

    นั่นคือคุณแม่ของโนโซมิเอง รอยยิ้มของเธอใช้แทนคำต้อนรับกลับบ้านได้เป็นอย่างดี ในตอนนั้น คนเดียวที่โนโซมิอยากจะอยู่ด้วยมากกว่าพี่โฮมาเงะก็คือ คุณแม่สุดที่รักคนนี้ล่ะ

    "คุณแม่คะ พี่โฮมาเงะไปช่วยโนโซมิจากตัวประหลาดในป่า พี่เขาเลือดออกด้วย แม่ช่วยทำแผลให้พี่เขาหน่อยสิ"

    โนโซมิเองก็จำไม่ได้ว่าโนโซมิทำหน้ายังไงเพื่อขอร้องให้คุณแม่ทำแผลให้พี่โฮมาเงะ แต่ก็ดูเหมือนว่าคุณแม่จะเข้าใจในทันที และดึงแขนของพี่โฮมาเงะไปทางห้องน้ำ

    "...................."

    หลังจากช่วงหนึ่งของความเงียบสงบ คุณแม่ก็เดินกลับมาพร้อมกับพี่โฮมาเงะในเสื้อผ้าเก่าๆของคุณพ่อของโนโซมิที่ดูจะใหญ่กว่าตัวของพี่โฮมาเงะในตอนนั้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

    "ขอโทษด้วยนะ โฮมาเงะ ป้าเองก็ไม่มีเสื้อผ้าจะให้ยืมใส่ จะให้ใส่ตัวที่ใส่มาก็กระไรอยู่"

    คุณแม่ยิ้มให้แก่พี่โฮมาเงะทำก้มหน้าขอบคุณคุณแม่ของโนโซมิอยู่

    "โฮมาเงะก็อยู่ทานข้าวเย็นที่นี่ก่อนก็แล้วกันนะ ก่อนที่โคมไฟข้างนอกจะสว่างขึ้น"

    "ครับ"

    พี่โฮมาเงะตอบรับคำเชิญของคุณแม่ด้วยความเต็มใจ แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆโนโซมิ ขณะที่ยังให้ความสนใจกับชุดที่ดูใหญ่เกินตัวของเขาที่เป็นของคุณพ่อของโนโซมิเอง


    สาเหตุที่ชุดของคุณพ่อที่พี่โฮมาเงะสวมอยู่นั้นถูกเรียกว่าเป็นเสื้อผ้าเก่าก็เพราะว่า มันเป็นเสื้อผ้าของคุณพ่อสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
    ใช่แล้วล่ะ
    ท่านได้เสียไปเมื่อราวๆ 3 ปีก่อน ตอนนั้นโนโซมิก็ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่โนโซมิก็รักคุณพ่อมาก เมื่อได้ข่าวว่าคุณพ่อจะไม่กลับมาที่บ้านอีกแล้ว โนโซมิถึงกับไม่ยอมทานอาหาร และขังตัวเองอยู่ในห้องของคุณพ่อและคุณแม่อยู่หลายวัน ไม่ยอมให้คุณแม่เข้ามาข้างในด้วยซ้ำ ถึงแม้ว่า คุณแม่ก็ยังอุส่าห์หาทางเข้ามาภายในเพื่อจะมาปลอบโนโซมิจนได้นั่นแหล่ะ
    โนโซมิในตอนนั้น เป็นแค่เด็กผู้หญิง อายุ 4 ปี ไม่รู้ประสีประสา พอเสียอะไรที่สำคัญไปก็เอาแต่ร้องไห้ แล้วก็เก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่สนใจว่าคุณแม่เองก็เสียใครบางคนที่สำคัญต่อท่านเช่นกัน

    ช่างเป็นเด็กที่เห็นแก่ตัวจริงๆ

    คุณพ่อของโนโซมิเป็นชาวประมง
    ในเวลาเย็นคุณพ่อจะออกไปที่ท่าเรือของเมืองเดนแพค และจะกลับมาในตอนเที่ยงๆใน 3 วันถัดมา

    หากคุณพ่อยังอยู่ วันนี้จะต้องเป็นวันที่คุณพ่อจะกลับมาที่บ้าน แต่มันก็คงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เมื่อชีวิตของท่าน ร่างของท่าน หรือแม้กระทั่งเรือของท่านได้หายไปกับทะเลอันกว้างใหญ่นั่นไปเสียแล้ว


    และสาเหตุที่แม่ยังเก็บเสื้อผ้าของคุณพ่อไว้บ้างไม่ใช่เพราะว่าท่านลืมคุณพ่อไม่ลง แต่เพราะเหตุฉุกเฉินเช่นนี้ที่เกิดกับพี่โฮมาเงะซึ่งพี่โฮมาเงะจะมาขอยืมเสื้อของคุณพ่อไปใส่เป็นครั้งเป็นคราว เพราะว่าพี่โฮมาเงะเองไม่มีทั้งคุณพ่อและคุณแม่
    พี่โฮมาเงะมีแค่โนโซมิ และก็คุณแม่ของโนโซมิที่จะคอยดูแล ดังนั้น โนโซมิจะทำหน้าที่ดูแลพี่โฮมาเงะให้ดีที่สุด

    มันก็เป็นความคิด และความรู้สึกดีๆในวัยเด็กของโนโซมินั่นล่ะ


    "โนโซมิ"

    เสียงของพี่โฮมาเงะได้ดึงความสนใจของโนโซมิกลับมายังเวลาปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งพี่โฮมาเงะก็พูดต่อไปราวกลับว่าพี่โฮมาเงะได้อ่านใบหน้าของโนโซมิที่ขานรับเป็นการเรียบร้อยแล้ว
    ตุ๊กตาฟางตัวน้อย พร้อมกับสร้อยเงินเส้นหนึ่งที่ร้อยเอาไว้เป็นพวง ถูกยื่นมาตรงหน้าของโนโซมิโดยนิ้วมือของพี่โฮมาเงะที่เกี่ยวสร้อยเงินเส้นนั้นเอาไว้

    "ตุ๊กตาฟางตัวนี้ พี่ตั้งใจจะทำให้เจ้าแหน่ะ สุขสันต์วันเกิดนะ"

    เมื่อจบประโยค ไม่ว่าใบหน้าของโนโซมิในตอนนั้นจะเป็นยังไง ดวงตาสีเขียวมรกตที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำในบานกระจก รอยยิ้มที่ฉีกออกด้านข้าง ขณะอ้าปากด้วยความดีใจ จะมีลักษณะเป็นอย่างไร โนโซมิก็ไม่ได้ให้ความสนใจแก่มันอีกแล้ว
    โนโซมิในตอนนั้นไม่นึกถึงอะไรอีกนอกจากจะโน้มตัวเข้าโอบกอดเอวของพี่โฮมาเงะที่นั่งอยู่ตรงหน้าด้วยความดีใจ และร้องไห้ออกมาอย่างช่วยไม่ได้

    ใช่แล้วล่ะ วันนี้เป็นวันเกิดของโนโซมิเอง วันที่ 2 ออคเตอร์
    วันนี้ โนโซมิ ได้กลายเป็นเด็กหญิงอายุ 7 ปี เต็มตัวแล้ว

    พี่โฮมาเงะไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมจากนั้น เขาเพียงแค่ลูบหัวของโนโซมิเบาๆ และ ยื่นตุ๊กตาฟางมาตรงหน้าของโนโซมิ ทำให้โนโซมิต้องถอยออกมาเล็กน้อย แล้วรับตุ๊กตาฟางตัวนั้นมานั่งดู

    "ขอบคุณนะ โฮมาเงะ ที่อุส่าห์ทำของขวัญให้โนโซมิ"

    "ขอบคุณค่ะ พี่โฮมาเงะ"




    กอบลินอีกจำนวนหนึ่งได้วิ่งพุ่งเข้ามาใส่โนโซมิที่ขณะนี้ เริ่มปรับตัวให้เข้ากับสนามรบได้ดีขึ้นมาบ้างแล้ว
    ใบมีดที่กวัดแกว่งไปมาตามจังหวะในการโจมตีของโนโซมิเฉือนผ่านเนื้อสดๆของพวกมันจนเลือดสีแดงของมันไหลนองอยู่บนพื้นดินซึ่งก็คือสนามรบทางตะวันออกในบริเวณชายแดนอัลฟ์เฮม

    รอยแผลที่เกิดขึ้นมาต้นไม้ในบริเวณนั้นสามารถใช้เป็นหลักฐานที่ดีว่าในบริเวณป่าทึบที่ควรจะเป็นที่ที่เงียบสงบแห่งนี้ เคยมีการสู้รบกันที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นมาก่อน

    ขุนพลโฮมาเงะ หรือ พี่โฮมาเงะ ก็กำลังสู้รบอยู่กับกลุ่มกอบลินพวกนี้ที่ในที่ใดสักแห่งบนสนามรบเดียวกันนี้

    ดาบทั้ง 2 เล่มถูกตวัดไปด้านข้างเพื่อสลัดคราบเลือดที่เกาะอยู่บนคมดาบให้หมดไป ก่อนที่มันจะเกาะแข็งเลอะเทอะและทำความสะอาดได้ยากไปกว่าที่ควรจะเป็น

    โนโซมิสำรวจสนามรบรอบๆตัวก็ไม่พบอะไรนอกจากเหล่าพลทหารทั้งชายและหญิงที่ต่างสู้รบกับคู่ต่อสู้ที่มาประจัญหน้ากันอย่างเอาเป็นเอาตาย
    โนโซมิจึงตัดสินใจวิ่งออกนอกเขตป่าทึบ เพื่อจะหาสนามรบที่โล่งโปร่งกว่านี้




    "ลาก่อนนะ โนโซมิ"

    คำพูดคำนั้น ไม่ว่าจะได้ยินในโอกาสไหน ที่แห่งใด เวลาตอนไหน มันก็ยังให้ความรู้สึกของความสูญเสีย การพลัดพราก การจากลา
    ทำไมจะต้องใช้คำนี้ด้วย

    มันเป็นคำสุดท้ายที่โนโซมิอยากจะได้ยินออกมาจากปากของพี่ชายคนนั้น พี่ชายคนที่เป็นห่วงโนโซมิอยู่ตลอดเวลา คอยปกป้องโนโซมิตลอดเวลา คอยเป็นเพื่อนโนโซมิตลอดเวลา และ โนโซมิก็หวังว่า...พี่ชายคนนั้นจะอยู่กับโนโซมิตลอดเวลา...และตลอดไป

    แต่นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้หลังจากได้ยินคำนั้นจากปากของพี่ชายสุดที่รักของโนโซมิ

    "พี่โฮมาเงะ"

    โนโซมิกระซิบเบาๆ พร้อมกับพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อจะแสดงใบหน้าที่จะรั้งพี่ชายคนนี้เอาไว้ไม่ให้ไปไหน
    แต่ไม่ว่าใครจะคิดยังไงจากสภาพที่เห็นอยู่นี้
    โนโซมิคงจะไม่สามารถส่งข้อความนี้ไปยังพี่โฮมาเงะได้

    "ขอโทษนะ โนโซมิ"

    "พี่อยากจะไปร่วมกับกองทัพหลวงมานานแล้ว เพราะว่าพี่อยากจะล้างแค้นให้พ่อและแม่ของพี่"

    "พี่หวังว่า โนโซมิจะเข้าใจพี่นะ"

    ถึงแม้ว่าพี่โฮมาเงะจะขอโนโซมิอย่างนั้น แต่ไม่ว่ายังไง โนโซมิก็ไม่อยากจะเข้าใจ ไม่อยากแม้แต่จะฟัง ไม่แม้แต่คำแก้ตัวที่ฟังดูงี่เง่าของพี่

    แต่พี่โฮมาเงะก็เพียงแค่ยืนอยู่นิ่งๆ พร้อมกับใบหน้าที่ดูเศร้าสร้อย บนหลังของเขาก็มีกระเป๋าเป้ที่คงจะมีข้าวของที่จำเป็นต่อการเดินทางอยู่ในนั้น

    ทำไมพวกเขาจะต้องมาเอาตัวพี่โฮมาเงะไปจากโนโซมิด้วย
    พวกนายทหารเหล่านั้น ทำไมจะต้องมาคัดผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกับกองทัพหลวงในตอนนี้ด้วย

    ทั้งๆที่วันนี้มันคือ...

    วันที่ 2 ออคเตอร์

    ใช่

    วันที่ 2 ออคเตอร์

    วันเกิดของโนโซมินั่นเอง
    ในวันนี้ โนโซมิได้โตขึ้นอีกแล้ว แต่ไม่ได้โตขึ้นเป็นเด็กหญิงอีกต่อไป

    ตอนนี้โนโซมิ จะเรียกตัวเองว่าเป็นหญิงสาวแล้ว
    วันนี้มันเป็นวันเกิดครบรอบอายุ 15 ปีของโนโซมิแล้ว

    แต่ทำไมของขวัญที่โนโซมิได้รับจะต้องกลายเป็นคำว่า 'ลาก่อน' ด้วย
    โนโซมิไม่เข้าใจ
    โนโซมิไม่อยากจะเข้าใจอะไรทั้งนั้น

    ถึงแม้ว่าโนโซมิจะเรียกตัวเองว่าหญิงสาว
    แต่ว่า
    น้ำตามันก็ยังไหลออกมา
    เสียงร้องไห้
    เสียงสะอึกสะอื้น

    เสียงทั้งหมด ที่โนโซมิเป็นคนสร้าง
    ทำไมมันถึงได้เป็นเช่นนี้
    วันเกิดมันเป็นวันที่เราจะต้องมีความสุขไม่ใช่หรอ มันเป็นสิ่งที่โนโซมิรอคอยมาตลอด รอคอยมันทุกปีในตลอดเวลา 15 ปีที่ผ่านมา



    เมื่อไม่นานมานี้ ราวๆ 2 ปี ก่อนที่โนโซมิจะได้ยินคำว่า 'ลาก่อน'

    คุณแม่เอ่ยถามพี่โฮมาเงะด้วยความเป็นห่วงหลังจากที่พี่โฮมาเงะได้ช่วยเหลือโนโซมิจากอันตรายอีกครั้ง

    "ทำไมโฮมาเงะถึงได้ทำตัวแบบนี้ล่ะ ป้าเข้าใจว่าโฮมาเงะต้องการจะปกป้องโนโซมิ แต่โฮมาเงะก็ควรจะระวังตัวเสียบ้าง ไม่ใช่ว่าจะต่อสู้กับมัน และบาดเจ็บกลับมาทุกครั้ง"

    "เป็นเพราะว่า ผมสูญเสียพ่อและแม่ของผมไป ทั้งๆที่ผมไม่ได้ทำอะไรเลย พวกท่านบอกผมให้หนี ซึ่งผมก็ทำตาม ในตอนนั้นผมก็ยังไม่เข้าใจว่าจะต้องหนีอะไร"

    โนโซมิสังเกตุเห็นใบหน้าของคุณแม่ที่ดูขาวไปในทันทีที่พี่โฮมาเงะเริ่มประโยค ราวกลับว่าคุณแม่ได้ทำผงแป้งในห้องครัวตกใส่ใบหน้าของเธอ
    แต่นั่นคงจะไม่ใช่สาเหตุ

    "ถ้าโฮมาเงะไม่อยากจะพูดถึงมัน ป้าก็ไม่ว่านะ แต่ถ้าคิดว่าพูดออกมาแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น ป้าก็ยินดีรับฟัง"

    "ขอบคุณครับ"

    พี่โฮมาเงะกล่าวขอบคุณ แล้วเริ่มเล่าต่อ

    "หลังจากที่ผมวิ่งหนีออกมา ผมก็พบกับกลุ่มคนกลุ่มอื่นภายในหมู่บ้านที่กำลังอพยพเช่นกัน"

    "พ่อแม่ของผมเป็นทหารทั้งคู่ นั่นคงจะเป็นสาเหตุที่พวกท่านไล่ให้ผมหนี ส่วนพวกนั้นคอยอยู่ในหมู่บ้าน"

    "หลังจากที่ผมหนีออกมาที่ชายป่า ที่เป็นเนินขึ้นไปบนภูเขา ผมก็พบกับหมู่บ้านของผมที่ได้ลุกเป็นไฟ ที่เกิดจากธนูไฟจำนวนหนึ่งที่ถูกยิงมาจากฝั่งตรงข้ามจากเนินเขาที่ผมยืนอยู่"

    "ในตอนนั้น ผมทำได้เพียงแค่ยืนมองหมู่บ้านของผมถูกเผาจนเป็นเถ้าไปต่อหน้าต่อตาของผม"

    "เมื่อทุกอย่างสงบลง ชาวเมืองบางส่วนก็เริ่มเดินทาง แยกย้ายไปคนละทิศคนละทาง บางส่วนก็เดินทางกลับเข้าไปยังซากหมู่บ้านที่หลงเหลืออยู่"

    "ไม่ว่าผมจะหายังไง ก็ไม่พบวี่แววของพวกท่านแต่อย่างใด"

    ใบหน้าของคุณแม่ในขณะนี้มีทั้งความตื่นกลัว และ ความเศร้าสร้อยปะปนอยู่ โดยมีมือของหนึ่งของเธอที่ถูกยกขึ้นปิดปากของเธอเอาไว้

    "สิ่งเดียวที่ผมเหลืออยู่ก็คงจะเป็น..."

    พี่โฮมาเงะไม่พูดให้จบประโยคนั้น แต่กลับหันมามองทางโนโซมิที่นั่งฟังอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

    สร้อยเงิน?

    พี่โฮมาเงะพยักหน้าเบาๆ เมื่อเขาทราบว่าโนโซมิเข้าใจแล้วว่า สิ่งที่เดียวเขานำติดตัวมาจากบ้านเกิดของเขาคือสร้อยเงินที่ตอนนี้กลายเป็นสร้อยให้แก่ตุ๊กตาฟางของโนโซมิไปเสียแล้ว

    "ถ้าอย่างนั้น"

    คุณแม่พูดขัดขึ้น แต่พี่โฮมาเงะก็ส่ายหน้าไปมาช้าๆ

    "ไม่เป็นไรครับ ผมยินดียกมันให้โนโซมิ"

    จากคำตอบของพี่โฮมาเงะดูเหมือนจะทำให้คุณแม่เริ่มยิ้มออกมาได้บ้าง ก่อนที่เธอจะเอื้อมมือไปลูบหัวของพี่โฮมาเงะเบาๆ ซึ่งโนโซมิก็พอจะเข้าใจเหตุผลว่าทำไม มันก็คงจะเป็นเหมือนตอนที่โนโซมิเสียคุณพ่อไปนั่นแหล่ะ...ถ้ามันเป็นอย่างนั้นตามที่โนโซมิคิดจริงๆ

    โนโซมิได้รู้จักกับพี่โฮมาเงะในตอนที่พี่เขาเดินทางมาจนถึงหมู่บ้านของโนโซมิ แต่พี่เขาก็ไม่ได้มีอะไรติดตัวมาเลย
    ในตอนนั้น คุณแม่และโนโซมิกำลังออกไปเก็บของป่าเพื่อจะนำกลับบ้านมาทำอาหาร และได้เจอกับพี่โฮมาเงะตอนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน

    ในตอนนั้น โนโซมิ ก็ยังเป็นเด็กหญิง อายุ 5 ปี และพี่โฮมาเงะก็เป็นเด็กหนุ่ม อายุ 13 ปี

    คุณแม่ได้พาพี่โฮมาเงะไปส่งยังสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า หรือที่โนโซมิเรียกว่า บ้านของพี่โฮมาเงะนั่นเอง
    ที่นั่นมีแค่พี่โฮมาเงะ และเด็กชายหญิงอีกคู่หนึ่งเท่านั้น เป็นบ้านหลังใหญ่ที่ไม่ค่อยมีใครอยู่ ซึ่งทั้ง 3 จะมีหนึ่งในผู้ดูแลหมู่บ้านคอยเลี้ยงดู

    หลังจากนั้นไม่นาน โนโซมิกับพี่โฮมาเงะก็เริ่มคุยกัน ไปเที่ยวเล่นด้วยกัน และโนโซมิก็รักพี่โฮมาเงะมากที่สุดในหมู่บ้าน


    แม้กระทั่งตอนนี้ โนโซมิก็ไม่ต้องการที่จะจากจากพี่โฮมาเงะไป

    "ขอโทษนะ โนโซมิ"

    แต่โนโซมิไม่ยกโทษให้
    ทำไมพี่โฮมาเงะถึงจะต้องมาจากโนโซมิไป
    ทำไมจะต้องไปสมัครเป็นทหารให้แก่กองกำลังหลวงด้วย
    ทำไมพี่โฮมาเงะไม่อยู่ที่หมู่บ้านไปตลอด อยู่ที่นี่อย่างสงบสุข อยู่ที่นี่...กับโนโซมิ...อย่างมีความสุข

    ทำไม

    "...................."

    พี่โฮมาเงะไม่พูดอะไรหลังจากนั้น ใบหน้าอันเศร้าสร้อยของพี่โฮมาเงะค่อยๆเลือนหายไป เมื่อเขาได้หันหลังให้โนโซมิ และเริ่มออกเดินไปยังค่ายทหารที่ตอนนี้กำลังเตรียมตัวเดินทางขึ้นเหนือสู่เมืองหลวงแห่งอัปเปอร์เออร์ธา ที่ถูกเรียกว่า อซินจา




    ในตอนนี้ โนโซมิก็กำลังวุ่นอยู่กับการจัดการเหล่ากอบลินที่ยังคงบุกเข้ามาโจมตีอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
    ทั่วทั้งสนามรบมีซากศพของทั้ง 2 ฝ่ายนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมด

    ช่างเป็นภาพที่ไม่น่าดูเอาเสียเลย

    แต่เราคงจะหวังอะไรมากจากสนามรบไม่ได้
    ในสนามรบมันก็คงมีแค่ การต่อสู้ ความรุนแรง เลือดเนื้อ ซากศพ และ กลิ่นเหม็นเน่าก็เท่านั้น

    ทำไมโนโซมิถึงได้มาอยู่ที่นี่นะ
    เหตุผลก็ยืนอยู่ไม่ไกลจากบริเวณที่โนโซมิต่อสู้อยู่เท่าไรนัก

    ชายร่างใหญ่ในชุดเกราะเรเดี้ยนสีเทา หอกสั้นในมือข้างหนึ่งที่คอยแทงทะลวงข้าศึกที่กล้าจะวิ่งเข้าไปในระยะโจมตีของเขา และโล่ห์ในมืออีกข้างที่คอยปัดป้องคมอาวุธจากศัตรูได้อย่างคล่องแคล่ว
    ขุนพลโฮมาเงะ ชิทาดะ แห่งกองกำลังหลวงนั่นเอง

    หนึ่งเดียวที่เป็นกำลังใจให้แก่โนโซมิเพื่อจะต่อสู้ต่อไป

    ในสนามรบที่มีแต่ความรุนแรงและความสูญเสีย
    เขาคือสิ่งเดียวที่ยังคงเป็นแสงสว่างในสนามรบแห่งนี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางวันแล้วก็ตาม แสงสว่างจากเขาก็ยังคงส่องสว่างไม่แพ้แสงใดๆในบริเวณนั้น

    แต่นั่นก็ไม่ใช่อะไรที่จะอยู่กับเราไปตลอดเวลา


    เหตุการณ์บางอย่างที่โนโซมิได้หวังว่าจะไม่ให้เกิดขึ้น ขอพรไม่ให้มันเกิดขึ้น ขอร้องจากทุกสิ่งทุกอย่างด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีว่าอย่าให้มันได้เกิดขึ้น

    "...................."

    แต่มันก็เกิดขึ้น

    คมดาบจากออคร่างใหญ่ตัวหนึ่งที่เข้ามาประชิดโนโซมิจากด้านข้าง ในขณะที่โนโซมิกำลังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาของโนโซมิ

    โนโซมิตั้งสติกลับมาอีกครั้ง และหลบคมดาบของมันอย่างหวุดหวิด ก่อนจะตวัดดาบไปที่หัวเข่าของมัน ทำให้มันย่อตัวลงมา พร้อมกับร้องคำรามออกมาด้วยความเจ็บปวด ก่อนที่เสียงนั้นจะเงียบไปเมื่อดาบอีกเล่มในมือของโนโซมิแทงเข้าไปภายในปากขนาดใหญ่ของมัน เลือดสีแดงไหลทะลักออกมาจากมุมปากของมัน และหลังจากที่ดาบของโนโซมิถูกกระชากออก ร่างขนาดใหญ่ของมันก็ล้มลงกระแทกพื้นจนโนโซมิรู้สึกแรงสั่นสะเทือนได้เลยทีเดียว

    เมื่อจัดการกับออคตัวนั้นจนสำเร็จ โนโซมิก็หันกลับไปยังทิศทางเดิมเพื่อมองตามเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ว่าได้ดำเนินต่อไปจนถึงขั้นไหน ในระหว่างที่โนโซมิหันไปสนใจออคตัวนั้น


    ทำไมถึงได้มีความรู้สึกว่า โนโซมิกำลังจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญบางสิ่งบางอย่างไป




    "สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าพลทหารใหม่จะต้องไปรวมตัวที่ไหนคะ?"

    "เข้าไปทางทางเดินทางขวามือของท่าน เดินตรงเข้าไป แล้วเลี้ยวซ้ายตรงทางเดินที่นำไปทางลานกว้างด้านหลังอาคารค่ะ"

    คำตอบที่โนโซมิได้รับกลับมาหลังจากถามจากพนักงานหญิงคนหนึ่งในชุดเครื่องแบบทหารในยามสงบ ชุดสีเขียวของเธอที่มีป้ายชื่อติดอยู่ ซึ่งโนโซมิไม่สามารถอ่านได้ เพราะตัวเล็กเกินกว่าจะมองเห็น

    ตามคำแนะนำจากพนักงานนั่น โนโซมิตัดสินใจเดินไปตามทางเดินที่เธอบอก ก่อนจะพบว่าโนโซมิได้เดินมายังลานกว้างขนาดใหญ่ที่หลังอาคารนั่นที่มีเต้นท์เต็มไปหมด

    "เธอเป็นทหารที่พึ่งมาสมัครใหม่รึเปล่า"

    ทหารหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถาม หน้าตาของเขาดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีอายุมากไปกว่าโนโซมิเสียเท่าไหร่เลย

    "เข้าไปลงชื่อกับขุนพลหรือแม่ทัพตามเต็นท์ได้เลย เต็นท์ไหนก็ได้"

    โนโซมิพยักหน้ารับ และเลือกเข้าไปในเต็นท์ที่ใกล้ที่สุด

    "ขออภัยค่ะ"

    "เข้ามา"

    เสียงทุ้มต่ำตอบกลับมาจากภายใน ทำให้ขาทั้ง 2 ของโนโซมิก้าวเข้าไปภายในเต้นท์ด้วยตัวของมันเอง
    ภายในนั้นก็มีเพียงแค่โต๊ะตัวเล็กๆตัวหนึ่ง และเก้าอี้ตัวหนึ่งที่ว่างอยู่ ตรงข้ามจากโต๊ะตัวนั้นก็เป็นชายร่างใหญ่ในชุดเครื่องแบบสีเขียวดูคล้ายคลึงกับชุดของพนักงานหญิงที่ด้านหน้าอาคาร แต่มีเหรียญตราต่างๆมากมาย และป้ายชื่อที่ไม่ว่าโนโซมิจะพยายามเพ่งมองแค่ไหน ก็ไม่สามารถอ่านมันได้ออก

    "นั่งสิ"

    โนโซมิพยักหน้า และทำตามที่นายทหารหนุ่มผู้นั้นบอก

    ใบหน้าของเขามีรูปร่างคล้ายสี่เหลี่ยมเพราะคางของเขาที่ค่อนข้างจะสั้น ผมสั้นสีม่วง และดวงตาสีฟ้าใส เคราสีม่วงเข้มที่ดูเกือบจะเป็นสีดำ มีให้เห็นอยู่ประปรายที่ใต้คางทรงเหลี่ยมของเขา
    ทำไมเวลามองไปที่หน้าของชายคนนี้แล้วรู้สึกคุ้นเคยยังไงไม่รู้

    "เธอมาสมัครเป็นพลทหารใหม่สินะ ชื่ออะไรล่ะ"

    "โนโซมิ"

    โนโซมิตอบกลับไป แต่ทำไมชายคนนั้นถึงได้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าโนโซมิด้วยสีหน้าแปลกๆแบบนั้นล่ะ โนโซมิพูดอะไรผิดรึเปล่า
    ชายคนนั้นส่ายหน้าไปมาช้าๆ แล้วก้มลงมองไปบนกระดาษตรงหน้าของเขา

    "มาจากที่ไหนล่ะ"

    "เดนแพค"

    เอาอีกแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นมามองหน้าโนโซมิแปลกๆอีกแล้ว

    "อย่าบอกนะว่า เธอคือ โนโซมิ"

    ก็ใช่น่ะสิ เรานี่ล่ะ โนโซมิ ก็พึ่งบอกไปเมื่อกี้ไง
    เดี๋ยวก่อน

    ทำไม
    ไม่น่า
    ไม่น่าใช่
    ถึงแม้ว่าใจจริงมันก็กำลังพยายามตะโกนบอกออกมาว่าขอให้มันใช่คนคนนั้น

    "พี่โฮมาเงะ?"

    โนโซมิหลุดปากเอ่ยถามออกไปโดยไม่ได้สนใจเรื่องสัมมาคารวะอะไรแต่อย่างใดระหว่างนายทหารธรรมดาและขุนพล
    แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อย

    "เจ้าก็ โนโซมิซินะ เจ้ามาที่นี่จนได้ซินะ"

    ใช่แล้ว เขานั่นเอง พี่โฮมาเงะ ในที่สุด โนโซมิก็ได้เจอพี่แล้ว

    เอ๊ะ!?
    ทำไมน้ำตาถึงได้ไหลออกมาล่ะ

    เสียงหัวเราะดังมาจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะตัวน้อยๆตัวนั้น และผ้าเช็ดหน้าสีฟ้าที่ถูกยื่นมาตรงหน้าของโนโซมิโดยพี่ชายสุดที่รักของโนโซมิ พี่โฮมาเงะ โนโซมิมาหาพี่แล้ว


    ชีวิตพลทหารก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรนัก เพียงแค่มีการฝึกซ้อมที่ค่อนข้างจะเหนื่อยเอาการ สำหรับผู้หญิงร่างเล็กๆอย่างโนโซมิ
    แต่ไม่ว่ามันจะเหน็ดเหนื่อยเพียงไหน หากมีพี่โฮมาเงะเป็นผู้คุมฝึกซ้อมล่ะ โนโซมิขอสู้ตาย!

    วันแต่ละวันก็ค่อนข้างจะซ้ำๆซากๆ ระหว่างการนอน ทานอาหาร ฝึกซ้อม แต่ก็จะมีบ้างที่โนโซมิมีโอกาสได้ออกไปเที่ยวเล่นในเมืองกับพี่โฮมาเงะ ซึ่งวันนั้นทั้งวันจะเป็นเหมือนสวรรค์ไปเลยทีเดียว

    ตอนนี้โนโซมิก็อายุจะ 18 แล้ว อีกไม่กี่เดือน ส่วนพี่โฮมาเงะ ในตอนนี้ก็จะต้อง 26 แล้วซินะ เพราะว่าพี่เขาเกิดวันที่ 10 เมอร์

    หลังจากที่ผ่านวันเกิดของโนโซมิไปไม่นาน สงครามสั้นๆที่อซินจาเหนือก็ได้เกิดขึ้น

    ซึ่งหลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน อัลฟ์เฮมก็ถูกโจมตี และ กองทัพหลวงแห่งอซินจาก็ได้เคลื่อนทัพลงไปช่วยเหลือ โดยมีโนโซมิ เป็นหนึ่งในกองกำลังที่ 3 ใต้บังคับบัญชาของ ขุนพลโฮมาเงะ ชิทาดะ แห่งกองกำลังหลวงนั่นเอง




    แต่ว่า ในสงครามครั้งแรกของโนโซมิ สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น

    "พี่โฮมาเงะ!!!!!!!"

    เสียงกรีดร้องของโนโซมิคงจะร้องเรียกความสนใจของทุกๆคนในบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ถึงแม้ว่าโนโซมิจะไม่ได้หันไปสนใจพวกเขาแต่อย่างใด แต่โนโซมิก็รู้สึกได้ว่ากำลังถูกมองจากผู้คนรอบๆตัวของโนโซมิ

    แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่โนโซมิจะต้องให้ความสนใจ
    ร่างในชุดเกราะของขุนพลโฮมาเงะ หรือ พี่โฮมาเงะได้ถูกอัดกระแทกจากกระบองขนาดใหญ่ของออคตัวหนึ่งที่มีผิวหนังสีขาว และร่างกายขนาดใหญ่ ผิดต่างไปจากออคตัวที่โนโซมิพึ่งจัดการไปเมื่อครู่
    ดูเหมือนว่า เจ้านั่นจะเป็นผู้คุมกองทัพออค จะเป็นนายกอง ขุนพล หรือแม่ทัพ โนโซมิก็ไม่สนอะไรทั้งนั้น 2 ขาก้าวไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าจะมีใครบุกเข้าโจมตีจากด้านข้าง

    น้ำตาใสๆได้ไหลออกมาจากดวงตาสีเขียวมรกตของโนโซมิอีกครั้ง
    ทำไมโนโซมิถึงได้เป็นเด็กขี้แยอย่างนี้

    พี่โฮมาเงะที่ในขณะนี้นอนจุกอยู่บนพื้น โดยที่เงยหน้ามองออคยักษ์นั่นง้างกระบองขนาดใหญ่ในมือของมันทั้ง 2 ข้าง แล้วฟาดลงมา
    โล่ห์สีเงินที่ถูกยกขึ้นมาบังเอาไว้ถูกทุบจนบุบลงไปในครั้งเดียว
    เสียงโล่ห์ถูกทุกจนบุบดังก่อนที่เสียงร้องโอดโอยของพี่โฮมาเงะจะร้องตามมาในไม่ช้า

    ออคยักษ์ง้างกระบองของมันขึ้นอีกครั้ง แต่พี่โฮมาเงะก็พุ่งหอกในมือของเขาแทงเข้าใส่หน้าอกของมัน ก่อนที่มันจะปล่อยเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

    โนโซมิวิ่งเข้าไปถึงตัวมัน และง้างดาบเตรียมจะฟันไปที่ขาของมันในทันที
    แต่ดูเหมือนว่า โนโซมิจะช้าไป

    กระบองของมันถูกเหวี่ยงมาจากด้านหน้าของโนโซมิ ทำให้โนโซมิต้องลดดาบลงป้องกันด้านหน้าของโนโซมิเอาไว้ ซึ่งมันก็เหวี่ยงร่างของโนโซมิลอยคว้างไปบนอากาศราวกลับลูกบอลที่ถูกตีด้วยไม้ที่ใช้สำหรับการตีคล้ายกีฬาชนิดหนึ่ง

    โนโซมิทำอะไรไม่ได้นอกจากสำลักอาหารที่กินไปเมื่อเช้าออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพยายามลุกขึ้น แต่ก็พบว่าขาของโนโซมิได้ยอมแพ้ต่อมันเสียแล้ว ร่างของโนโซมิทรุดลงไปนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นหญ้าอันอ่อนนุ่ม
    ในเวลานั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นเสียงตะโกนของเหล่านักรบ ทั้งมิตรและศัตรู เสียงลม เสียงไม้ เสียงสัตว์ป่าต่างๆก็ได้หายไป เสียงต่างๆได้หายไปชั่วขณะ เมื่อโนโซมิเงยหน้ากลับขึ้นมาพบกับกระบองขนาดใหญ่ที่ฟาดลงบนอกของพี่โฮมาเงะที่นอนอยู่บนพื้นอย่างไร้ทางต่อสู้

    โนโซมินั่งจ้องร่างของพี่โฮมาเงะที่ถูกทุบทรุดลงไปบนพื้นหญ้าที่ทรุกตามแรงกระแทกจากเบื้องบน

    "พ...พ...พี่..........พี่โฮมาเงะ!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!"

    เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกับเสียงรอบๆตัวของโนโซมิที่กลับมาอีกครั้ง น้ำตาใสๆที่ไหลออกมาจากเบ้าตาของโนโซมิที่ทำให้โนโซมิแทบจะมองอะไรเบื้องหน้าไม่เห็นอีกแล้ว
    ขาของโนโซมิที่ไม่ยอมแม้แต่จะยันร่างของโนโซมิให้ลุกขึ้นเมื่อครู่ก็ได้กลับมาทำหน้าที่ของมันอีกครั้ง มือข้างหนึ่งที่เหวี่ยงไปตวัดเข้าที่คอของออคตัวหนึ่งที่พุ่งเข้ามาจากด้านข้าง ทำให้เลือดของมันกระเด็นมาเปรอะบนแก้มของโนโซมิ

    ขาทั้ง 2 ค่อยๆก้าวไปยังออคยักษ์ตรงหน้านั่นที่ยืนมองดูร่างของพี่โฮมาเงะที่ยังนอนแน่นิ่งอยู่ตรงหน้าของมัน

    ทหารหนุ่ม 2 คนพุ่งมาจากด้านหลังของโนโซมิและวิ่งแซงขึ้นไปบุกโจมตีออคยักษ์นั่นพร้อมๆกัน เมื่อคนหนึ่งถูกอัดกระแทกด้วยกระบองของมันจนกระเด็นไปด้านข้าง ส่วนอีกคนที่แทงดาบของเขาไปที่หัวเข่าของมัน ทำให้มันคุกเข่าลงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด
    กระบองยักษ์ถูกง้างขึ้นอีกครั้ง แต่ทหารหนุ่มก็รีบวิ่งอ้อมไปด้านหลังของมันก่อนที่มันจะได้ฟาดร่างของเขาให้พังยับ

    ทหารหนุ่มแทงดาบของเขาไปที่ข้อพับขาอีกข้างหนึ่งของออคยักษ์นั่น ซึ่งมันก็ร้องออกมา พร้อมกับเหวี่ยงกระบองของมันไปมา ก่อนที่จะเอนตัวลงนอน หวังจะทับทหารหนุ่มที่อยู่ด้านหลังของมัน แต่ก็พลาดท่าให้แก่ความเร็วของทหารหนุ่มคนนั้นไป

    ทหารหนุ่มที่ถอยออกมาเล็กน้อยเมื่อครู่ ก็วิ่งกลับเข้าไป หมายจะแทงดาบของเขาไปบนหน้าผากของมัน แต่ว่ากำปั้นของมันก็พุ่งเข้าใส่ทหารหนุ่มคนนั้นจนลอยหายไปในทุ่งหญ้าที่อยู่ห่างออกไปไม่น้อยเลยทีเดียว
    แต่เสียงร้องของมันก็ดังขึ้นมาอีกครั้งเมื่อทหารหนุ่มคนแรกที่ถูกฟาดกระเด็นไป กลับมาใช้ดาบของเขาแทงเข้าไปที่บริเวณใต้อกของมัน แต่มันก็ยังสามารถจะเหวี่ยงอาวุธของมันไปมาหมายจะทุบร่างของชายผู้นั้นให้แหลกละเอียด



    ซึ่งนั่นก็เป็นเวลาเดียวกับที่คมดาบทั้ง 2 เล่มในมือของโนโซมิแทงทะลุหน้าผากของมันเข้าไปในหัวขนาดใหญ่ที่ไร้ซึ่งเส้นผมของมัน
    โนโซมิยังจำได้เสมอว่าตอนนั้น ความรู้สึกเมื่อแทงเข้าไปภายในกระโหลกแข็งๆของมัน แล้วเริ่มบิดดาบไปมา ขณะที่จ้องมองดวงตาคู่ใหญ่ของมันเกลือกกลิ้งไปมาอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ
    เสียงร้องของมันในขณะที่ถูกแทงเข้าไปบนหน้าผาก ไม่มีเสียงให้ได้ยินแม้แต่น้อย

    หลังจากนั้น โนโซมิถึงได้รู้ตัวว่า โนโซมิได้ทำตุ๊กตาฟางตัวที่โนโซมิผูกไว้กับด้ามดาบในมือขวาของโนโซมิตลอดหายไป

    โนโซมิเดินกลับไปยังบริเวณออคตัวแรกที่โนโซมิฆ่า ก็พบกับตุ๊กตาฟางตัวน้อยที่นอนหลบอยู่ในพงหญ้าเตี้ยๆที่เปื้อนเลือดเต็มไปหมด
    ดาบคู่ถูกเก็บใส่ฝักของมันอย่างระมัดระวัง ก่อนที่โนโซมิจะทิ้งตัวคุกเข่าลง
    โนโซมิหยิบตุ๊กตาฟางขึ้นมาปัดฝุ่น และพยายามเช็ดคลาบเลือดอย่างรวดเร็ว แล้วผูกมันกลับไปยังที่ที่มันควรจะอยู่...ซึ่งก็คือด้ามดาบของโนโซมินั่นเอง

    โนโซมิลุกขึ้นอีกครั้ง แล้วเดินแบกร่างที่รู้สึกหนักอึ้งของตัวเองตรงไปยังร่างของพี่โฮมาเงะที่ยังคงนอนแน่นิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด

    ใบหน้าที่หลับสนิทดูสงบเป็นอย่างมาก
    เป็นใบหน้าที่ ไม่ว่าใครในวาระสุดท้ายในชีวิตของเขาก็ต้องการ
    ใบหน้าที่แสดงถึงความสงบ และ ไร้กังวลต่อชีวิตที่ต้องเสียไป

    ก่อนที่โนโซมิจะรู้ตัว มือของโนโซมิก็เอื้อมไปที่เปลือกตาทั้ง 2 ของพี่โฮมาเงะ

    ทำไมถึงได้ปิดล่ะ
    พี่ไม่มีกังวลหลงเหลืออยู่จริงหรอ

    การแก้แค้นให้พ่อแม่ของพี่ล่ะ
    แล้ว
    โนโซมิล่ะ พี่ไม่คิดว่าพี่ทิ้งใครไว้ในที่เน่าๆแห่งนี้อย่างนั้นหรอ

    "ข....ขอโทษ..."

    โนโซมิพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงแค่นั่งฟังอยู่เงียบๆ

    "แต่...พี่เชื่อ..ว่า...เจ้าจะต้อง...ดูแลตัวเองได้...พี่ถึงได้...ไม่กัง..วล"

    ไม่ว่าใครจะคิดยังไง โนโซมิก็คิดว่าตัวเองนั้นเสียสติไปเสียแล้วแน่ๆ ที่ได้ยินคนตายพูดสั่งเสียกับตนได้
    ใบหน้าที่พยายามฝืนยิ้มของเขาดูช่างน่าเจ็บปวดเหลือเกิน
    ริมฝีปากที่เริ่มซีดลงอย่างช้าๆ ดวงตาที่ดูพร่ามัว จากสีฟ้าอันสดใสกลายเป็นสีฟ้าเทาขุ่นๆ

    "และการ...ล้างแค้น.....พี่คิด..ว่า..มันไม่...จำเป็นแล้ว...พ่อแม่..ข..ของพี่...เขาคง..ม..ม...ไม่...ต...ต้องการหรอก"

    พี่โฮมาเงะ

    ดาบในฝักของโนโซมิถูกดึงออกโดยมือที่ดูเหมือนจะไร้เรี่ยวแรงของพี่โฮมาเงะ ก่อนที่มันจะแทงเฉี่ยวแก้มของโนโซมิไปเล็กน้อย หยดเลือดสีแดงหยุดลงบนใบหน้าที่มีเพียงรอยยิ้มหลงเหลืออยู่กับดวงตาที่ดูเลื่อนลอย
    กอบลินที่บุกเข้ามาโจมตีโนโซมิในตอนนั้นถูกฆ่าโดยพี่โฮมาเงะที่ไม่มีแรงแม้แต่จะยกดาบเอาไว้ในอากาศ จึงต้องพาดมันไว้บนบ่าของโนโซมิหลังจากการโจมตี

    "ขอให้...โนโซมิ..มีความสุข..นะ...รักษา..ตัวด้วย"

    "พี่...ร...ร..."

    เสียงดาบที่พาดอยู่บนบ่าของโนโซมิถูกลากไปด้านข้างตามชุดเกราะส่วนบ่าของโนโซมิสร้างเป็นเสียงโลหะเสียดสีกัน ก่อนที่แขนของพี่โฮมาเงะที่ยังคงกำดาบของโนโซมิเอาไว้แน่นก็ค่อยๆร่วงตกลงไปบนพื้นดินข้างๆตัวของโนโซมิ
    ดวงตาสีฟ้าขุ่นค่อยๆหายไปเมื่อเปลือกตาของเขาค่อยๆเลื่อนลงมาปิดมัน เป็นใบหน้าที่ดูสงบเสียจริงๆ ถึงแม้ว่าตรงหน้าของพี่โฮมาเงะจะมีหญิงสาวคนหนึ่งที่ไม่สามารถจะสงบสติอารมณ์ของเธอได้

    เสียงของพี่โฮมาเงะจบเพียงแค่นั้น
    ประโยคสุดท้ายนั่นล่ะ มันจะจบด้วยอะไรกัน

    พี่โฮมาเงะ?

    ร...?..ระ..?

    ระอะไรหรอพี่โฮมาเงะ!
    พี่อย่าพึ่งไปซิ!
    กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องก่อน

    พี่โฮมาเงะ!

    ระหว่างนั้นโนโซมิอย่างเดียวที่โนโซมิคิดออกก็คือการเขย่าร่างของพี่โฮมาเงะด้วยแรงทั้งหมดที่ยังหลงเหลืออยู่ พร้อมกับนั่งร้องไห้ออกมาเสียดังอย่างบ้าคลั่ง

    ทำไมพี่โฮมาเงะถึงได้หนีโนโซมิไปอีกแล้ว
    ไม่ว่าจะยังไง โนโซมิก็จะตามพี่ไปไม่ทันใช่ไหม?

    ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของโนโซมิที่จ้องมองใบหน้าของดูสงบร่มเย็นของพี่โฮมาเงะที่ได้ละทิ้งชีวิตของเขาไปเสียแล้ว น้ำใสๆเหล่านั้นก็ได้หยดลงไปบนใบหน้าของพี่โฮมาเงะ ก่อนที่ใบหน้าของโนโซมิจะค่อยๆเลื่อนลงไปใกล้กับใบหน้าของพี่โฮมาเงะให้มากที่สุด
    ในตอนนี้ โนโซมิก็พอจะนึกออกแล้ว ประโยคสุดท้ายที่พี่ชายสุดที่รักของโนโซมิจะพูดนั้น คืออะไร

    "โนโซมิก็รักพี่นะ พี่โฮมาเงะ"

    ริมฝีปากของโนโซมิประคบไปบนริมฝีปากอันซีดเซียวของพี่โฮมาเงะที่นอนนิ่งสนิทอยู่ตรงหน้า ไม่มีการโต้ตอบ หรือการเคลื่อนไหวแต่อย่างใดเมื่อริมฝีปากของเราสัมผัสกัน ความอุ่นในร่างกายของเขา และริมฝีปากที่ยังคงความอ่อนนุ่มและอบอุ่นอยู่ โนโซมิจะขอจำความรู้สึกดีๆที่พี่โฮมาเงะได้ให้ไว้กับโนโซมิแม้กระทั่งวาระสุดท้ายของพี่โฮมาเงะไว้จนกว่ามันจะถึงเวลาที่เป็นวาระสุดท้ายของโนโซมิเอง

    "หลับฝันดีค่ะ"




    หลังจากนั้น โนโซมิก็จำอะไรไม่ได้มาก
    จำอะไรไม่ได้เลยก็ว่าได้
    ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าศัตรู หรือการบุกโจมตี สนามรบ หรือการฆ่าฟัน โนโซมิจำอะไรหลังจากริมฝีปากอุ่นๆของพี่โฮมาเงะไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

    แต่ในวันถัดมาหลังจากที่การรบครั้งนั้นจบลง โนโซมิก็พบว่าตัวเองได้มานอนอยู่ในห้องที่มีเพดานสีขาว ผ้าม่านสีขาวที่ปลิวไสวตามแรงลมจากนอกหน้าต่างที่ถูกเปิดอ้าเอาไว้

    เท่ากับว่า โนโซมิไม่ได้ไปร่วมรบที่อัลฟ์เฮมด้วยซินะ เพราะไม่ว่าจะดูยังไง ที่นี่ก็ไม่ได้อยู่บนสนามรบแน่นอน

    ที่นี่ที่ไหนกัน?

    "โรงพยายามหลวงแห่งอซินจา โนโซมิ เธอรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง"

    เสียงของหญิงผู้หนึ่งมาจากที่อีกข้างหนึ่งของเตียงที่โนโซมินอนอยู่

    "ทำไม"

    "เธอจำอะไรไม่ได้เลยซินะ"

    โนโซมิไม่รู้จะตอบว่าอะไร แต่คิดว่า ใช่คงจะเป็นคำตอบที่ถูก โนโซมิจึงพยักหน้าตอบกลับไป

    "เธอไม่รู้จะดีเสียกว่า ทำใจให้สบายซะ แล้วพักผ่อนให้มากๆ"

    แต่โนโซมิคิดว่า โนโซมิคงจะได้พักมากพอแล้วล่ะ

    "ถ้าคิดว่าอย่างนั้น หมอก็คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกัน"

    เสื้อผ้าชุดหนึ่งถูกวางไว้ที่ปลายเตียง ก่อนที่หญิงในชุดกาวน์สีขาวจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างเตียง แล้วเดินหายไปด้านนอกห้อง

    คงไม่มีทางเลือกนอกจากใส่ชุดนี้ล่ะมั้ง

    โนโซมิหยิบชุดที่ถูกเตรียมเอาไว้ให้มาสวม ซึ่งมันก็เป็นชุดสีชมพูอ่อนชิ้นเดียว โดยที่บริเวณรอบคอเสื้อนั้นเป็นผ้าชิ้นหนึ่งที่มีสีขาว แขนเสื้อที่ยาวแค่คลุมหัวไหล่เท่านั้น รองเท้าแตะคู่หนึ่งก็ได้ถูกวางเอาไว้ที่ข้างเตียง

    แล้วชุดเก่าของโนโซมิล่ะ

    สงสัยคงจะไม่อยู่แล้ว

    โนโซมิเดินออกจากห้องนั้น แล้วถามหญิงในชุดขาวคนอื่นๆที่น่าจะเป็นพยาบาล ถึงทางออกจากโรงพยาบาลแห่งนี้
    ซึ่งหลังจากที่ถามคนแถวนั้นมาเรื่อยๆ โนโซมิก็พบกับตัวเองที่ได้ออกมายืนอยู่หน้าโรงพยาบาลหลวงเสียแล้ว ห่างออกไปเล็กน้อย ก็คือสถานที่ที่คุ้นเคย กรมทหารหลวงนั่นเอง

    แต่เวลานี้ โนโซมิคงจะยังไม่กลับไปที่นั่นสักพัก เพราะไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลับไป
    เมื่อคิดได้อย่างนั้น โนโซมิก็ตัดสินใจเดินตามถนนหลักเพื่อตรงไปยังบริเวณปราสาทแห่งอซินจาที่ไม่ว่าจะดูยังไง ก็สูงใหญ่โอ่อ่า ดูน่าเกรงขามไม่มีเปลี่ยนแปลง

    เสียงเห่าของสุนัขที่ฟังดูน่ารักดังขึ้นที่เท้าของโนโซมิ ทำให้โนโซมิต้องก้มหน้าลงไปดู
    หมาป่าสีเงินตัวหนึ่งที่มีขนาดเท่าลูกสุนัขตัวเล็กๆตัวหนึ่ง เมื่อมันยืน 4 ขา มันก็ไม่ได้สูงไปกว่าหัวเข่าของโนโซมิเสียเท่าไหร่

    โนโซมินั่งยองๆลง แล้วลูบหัวมันด้วยความเอ็นดู ขณะที่มันแล่บลิ้นออกมา แล้วทำเสียงแหลมและแสดงสีหน้าเหมือนกับว่า มันกำลังเป็นห่วงใครบางคนอยู่ ซึ่งใครคนนั้นดูเหมือนจะเป็นโนโซมิเอง

    "รัซเซล อยู่ไหนน่ะ?"

    เสียงชายคนหนึ่งดังขึ้นจากตรงหน้าของโนโซมิ ซึ่งเจ้าหมาป่าตัวน้อยนั่นก็หันกลับไปมองทางต้นเสียงนั่นเหมือนกัน

    เจ้าชื่อรัซเซลซินะ

    "อยู่นี่นี่เอง"

    ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ๆบริเวณที่โนโซมิกำลังนั่งลูบหัวเจ้าหมาน้อยรัซเซลอยู่ ทำให้โนโซมิต้องเงยหน้าขึ้นมองไปด้านบน ก็พบกับใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสของชายผมสีน้ำตาลเข้มคนหนึ่ง ปอยผมของเขายาวขึ้นด้านบนที่บริเวณรากผมของมัน ก่อนที่จะหักตกลงมาตามแรงดึงดูด โดยที่มีปอยผม 2 ปอยที่อยู่ข้างใบหูของเขา ผมด้านหลังที่ดูเหมือนจะเป็นผมสั้น ดวงตาสีฟ้าเข้มราวน้ำทะเลจ้องมองมาที่โนโซมิ พร้อมกับการยิ้มที่ดูน่ารำคาญ

    นายนี่ทำเป็นแค่ยิ้มอย่างเดียวรึยังไง

    "อ่า...สวัสดีครับคุณผู้หญิง"

    คุณผู้หญิง?
    ถึงจะรู้สึกแปลกๆที่ถูกเรียกแบบนั้น แต่โนโซมิก็คิดว่ามันฟังดูสูงศักดิ์ดีนะ

    "รัซเซลก่อปัญหาอะไรให้คุณผู้หญิงรึเปล่าครับ"

    ชายหนุ่มเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโนโซมิ แล้วพยายามกวักมือเรียกหมาป่าตัวน้อยที่ถูกเรียกว่ารัซเซลนั่นโดยที่จะไม่ให้โนโซมิได้เห็น แต่ก็ไม่สำเร็จ

    นายนี่ท่าทางจะเรียบร้อยดีนะ พูดจาอะไรน่าฟังดี เสียแค่เรื่องยิ้ม ทำไมนายไม่หุบยิ้มบ้างนะ ไม่เมื่อยรึยังไง

    "ไม่หรอกครับ ชินแล้ว"

    เขาก็ยังไม่หุบยิ้ม
    โนโซมิไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ก็ได้แค่ถอนหายใจออกมาเบาๆ

    "มีเรื่องอะไรไม่สบายใจรึเปล่าครับ เพราะรัซเซลเห็นจะบอกว่าเป็นอย่างนั้น"

    หมาป่าตัวนี้อ่านใจคนออกรึยังไง?

    เป็นไม่ไม่ได้น่า

    "ตกลงว่าไม่ได้เป็นอะไรใช่ไหมครับ? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ ขอให้คุณผู้หญิงโชคดี หากมีเรื่องทุกข์ร้อนอะไร ต้องการคำปรึกษาก็สามารถมาพูดคุย หรือแม้แต่สารภาพบาปได้ที่โบสถ์นะครับ ตั้งอยู่ข้างปราสาทอซินจานี่เอง"

    ชายหนุ่มคนนั้นยิ้มให้โนโซมิอีกครั้ง และหันหลังเดินกลับไปที่โบสถ์ที่ตั้งอยู่ในระยะสายตาของโนโซมิมาตั้งแต่แรกแล้ว รวมทั้งเจ้าหมาป่าตัวน้อยรัซเซลที่วิ่งกระดิกหางสีเทาตามเจ้าของของมันไปอย่างกระตือรือร้น

    ถึงว่าทำไมเครื่องแบบของชายคนนั้นดูคุ้นๆ ชุดเสื้อคลุมขนาดใหญ่สีดำ และผ้าพันคอสีขาวที่พันคาดที่ด้านหน้าอกของเขา และอ้อมไปด้านหลังพาดบ่ามาด้านหน้ายาวลงไปจนถึงหัวเข่า ซึ่งมันก็เป็นชุดบาทหลวงที่มีให้เห็นได้ทั่วไปบนอัปเปอร์เออร์ธาแห่งนี้นั่นเอง

    ถึงแม้ว่าโนโซมิจะไม่อยากยอมรับมันซักแค่นั้น แต่โนโซมิก็ได้แต่คิดว่าวันนี้จะเป็นวันที่ทุกสิ่งในชีวิตของโนโซมิจะเปลี่ยนไป
    รวมทั้ง บาทหลวงหนุ่มคนนั้น อีกครั้งที่โนโซมิไม่อยากจะยอมรับมัน แต่ เขาคนนั้นก็จะเป็นคนที่เปลี่ยนชีวิตของโนโซมิไปในทิศทางที่โนโซมิไม่อยากจะนึกจะฝันมาก่อน
    เมื่อหลังจากการพูดคุยกันเล็กน้อยครั้งนั้น โนโซมิก็พบว่าตัวเองได้มายืนอยู่ในโบสถ์แห่งอซินจา ตามคำชวนของบาทหลวงหนุ่มคนนั้นเสียแล้ว

    ทำไมโนโซมิถึงได้เชื่อคนง่ายนักนะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×