ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1998

    ลำดับตอนที่ #9 : “The first duty of a man is to think for himself”

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 66


         อาหงส์ตื่นขึ้นมาตอนเช้าพร้อมกับเสียงนกตัวนึงที่มาทำเสียงประหลาดนอกหน้าต่างห้องของเขา ก๊อกแก๊ก !
    ข้างหลังห้องของอาหงส์มีรังนกอยู่ครอบครัวๆหนึ่ง เสียงของมันรื่นหูเหมาะกับยามเช้าเป็นที่สุดยิ่งถ้ามีกาแฟดำกับบุหรี่คงจะเป็นเช้าที่สมบูรณ์แบบ นาฬิกาปลุกนกทำงานได้ดีมากในเช้าตรู่ของวันใหม่ 

    เขาอนุญาติให้ตัวเองสลืมสลืออยู่พักนึงบนเตียง เนื่องจากเป็นวันหยุดที่พึ่งเคลียร์โปรเจกต์ที่ทำงานลุล่วงไปในอาทิตย์ที่ผ่านมา สิบชั่วโมงเต็มของระยะเวลาทำงานเพิ่มเป็น สิบสอง สิบสี่ บางองค์กรอาจถึง สิบหก ชั่วโมงเต็ม 
    โดยภายในตึกกระทรวงที่อาหงส์ทำงานอยู่จะมีแผนกพักผ่อน ลักษณะเป็นห้องขนาดใหญ่จุคนได้หลายร้อยคนประจำในแต่ละชั้นของตึก บรรยากาศภายในห้องจะเป็นเตียงสองชั้นแบ่งฝั่งชายหญิงอีกประมาณฝั่งละหลายร้อยคน ซึ่งเค้ามักจะประหลาดใจกับขนาดความจุของตัวอาคารเอง ให้ความรู้สึกคล้ายๆกับห้องพยาบาลที่เค้าเคยหนีไปนอนเล่นสมัยเรียนหนังสือตอนเด็ก แต่ภายในบรรยากาศไม่เหมือนห้องพยาบาลเลยซักนิดเดียว ความเหนื่อยล้าสั่งสมแสดงออกทุกรูขุมขน
    ผู้คนเต็มไปด้วยสีหน้าบ้างเคร่งเครียด บ้างอยากให้มันจบลง เสียงคุยกันระงมทั่วทุกหัวมุมเตียง แล้วยิ่งเป็นคนหลับยากแบบอาหงส์แล้ว นรกบนดินดีๆก็มิปาน

         แต่มันจบแล้ว โปรเจกต์ดูดพลังชีวิตจบแล้ว เรื่องเครียดเรื่องใหม่พร้อมมาแทนที่ วันเวลาที่เขียนไว้บนเช็คค่อยๆลดน้อยลง เค้ารีบจัดแจงความพร้อมทางร่างกายและจิตใจจนพร้อมสรรพ ส่วน "หนังสือสีแดง" เค้าไม่ได้แตะมาหลายวันแล้ว เนื่องจาก ไม่มีเวลาผสมกับความเหนื่อยล้าจากภาระงานที่หนักมากขึ้น การเตรียมตัวของอาหงส์นั้นไม่ยากเย็นนัก
    เค้าไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษนอกจากเตรียมใจให้พร้อมรับมือกับเรื่องผิดปกติที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติในประเทศแห่งนี้เหมือนดังเช่นเคย

    จนกระทั่งวันที่ในเวลานัดค่อยๆใกล้เข้ามา คืนนั้นเค้าฝันถึงเช ในฝันเค้ากำลังมีบทสนทนากันอยู่ที่ออฟฟิศของเชเอง บทสนทนาดำเนินไปเรื่อยๆไม่มีอะไรผิดปกติ จนเค้าได้ยินเสียงตุ๊บเบาๆเหมือนมีอะไรหล่นในห้อง 
    ทันใดนั้นเเสงว่างจ้าก็สาดส่องทั่วมุมห้อง เสียงหวอดังไปทั่วทิศทาง ก่อนเค้าจะตระหนักว่ามีอะไรกลิ้งมากระทบเท้าลักษณะคล้ายๆทรงกระบอก ก่อนจะมั่นใจว่าเป็นระเบิดอะไรซักอย่าง ทันใดนั้นควันสีเทาพวยพุ่งออกมาจากสิ่งนั้น มันคือระเบิดควัน แน่ๆ เค้าจึงรีบพาตัวเองไปยังที่ที่ปลอดภัย รีบพาตัวเองเข้าไปในห้องนอน วินาทีแห่งความชุลมุนนั้นเองเค้าได้ยินเสียงประตูถูกเปิดออกตามด้วยเสียงตะโกนที่ไม่เป็นภาษา เค้าได้ยินเสียงเช กำลังตะโกนอะไรซักอย่างกับคนข้างนอกก่อนที่จะได้ยินเสียงปืนลั่นออกมาสองสามนัด สิ้นเสียงนั้นความเย็นเฉียบแผ่รังสีเย็นยะเยือกมาจากทางช่องประตูด้านนอก เค้าพยายามส่องผ่าน รูเล็กๆข้างประตูที่พอมองเห็นข้างนอกได้ ก่อนที่จะเห็น เจ้าหน้าที่ชุดดำมีเครื่องหมายของพรรคติดอยู่บนปกเสื้อ ถืออาวุธปืนกำลังเดินมาทางห้องเค้าช้าๆ เค้าเห็นร่างใหญ่ๆสองร่างกำลังเล็งปืนมาที่หน้าประตู
    .
    .
    ก่อนที่เค้าจะผงะลืมตาขึ้นมา เหงื่อแตกพลั่ก กลิ่นฝนตกใหม่ลอยมาเตะจมูก ยิ่งทำให้บรรยากาศน่ากลับไปนอนต่อเท่าตัว แต่เค้าเหงื่อแตกไปทั่ว เค้ารู้ตัวว่าฝันแต่มันเหมือนจริงจนน่าใจหายและความฝันในลักษณะนี้ก็ไม่ได้ทำให้เค้ามีสมาธิขึ้นเลย กิจกรรมช่วงเช้าดำเนินไปด้วยดี มีข่าวการสู้รบแย่งดินแดนกันจากชายแดนซักฝั่ง ,ทิศทางเศรษฐกิจที่พี่บิ๊กสัญญาว่าจะดีขึ้นๆในทุกไตรมาส ,การสดุดีรายชื่อของผู้ที่อุทิศตนเพื่อพรรค (ทหารที่เสียชีวิตจากการรบ) น่าตลกดีที่คนเพียงหยิบมือใช้อำนาจในมือสั่งทหารผู้น้อยไปสู้รบในสงครามที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รู้ถึงเหตุผลจริงๆด้วยซ้ำแต่ต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ไหนกันความยุติธรรม แต่อย่างว่าการเอาเปรียบมันมีทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้วอยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยแค่นั้นเอง

    หลังจากง่วนอยู่บนเตียงสักพักวันนี้่เค้าออกจากที่พักหลังสูบบุหรี่เก่าๆหนึ่งมวนหลังมื้อเช้าแบบเร่งรีบ ไม่ได้ทานกาแฟดำเหมือนปกติ เนื่องในวันนี้เค้ามีเรื่องสำคัญต้องไปทำให้สำเร็จลุล่วงตามที่ตั้งใจไว้ เค้าไม่อยากทำผิดพลาดตั้งแต่ภารกิจแรกที่ได้รับมอบหมายถ้าหากมันยังมีภารกิจต่อไปให้เค้าทำอยู่น่ะนะ


         วันนี้เค้าบรรจงเลือกเสื้อโค้ทสีน้ำตาลที่ได้มาจากร้านขายของเลหลัง เค้าชอบความรู้สึกที่เหมือนเป็นสายลับ เหมือน สายลับชื่อดังจากเกาะอังกฤษที่มีรหัสลับเป็นหมายเลข แต่ความรู้สึกมันช่างแตกต่างกันเสียนี่กระไร ความอันตรายของการโจรกรรมข้อมูลในภาพยนต์กับสิ่งที่จะต้องรับมือจริงๆมันช่างห่างกันราวยอดฟ้ากับก้นเหว
     ในภาพยนต์มันดูลุ้นระทึก ว่าตัวเอกที่เป็นคนที่ีมีความสามารถรวมไปถึงศักยภาพเต็มเปี่ยมต้องรับมือกับเหตุการณ์ถึงชีวิตหรือจากการกระทำของฝ่ายร้ายโดยไหวพริบความแข็งแกร่งของร่างกายไปจนถึงเครื่องมือไฮเทคที่ช่วยให้เค้าผ่านพ้นอันตรายต่างๆมาได้ เค้ามีองค์กรลับรัฐบาลหนุนหลัง แต่ดูตัวเค้าตอนนี้ซี ช่างถือว่าเป็นความกล้าอย่างนึงในการเอาตัวเองไปเทียบกับตัวละครในภาพยนต์ เค้ากับเจมส์ บอนด์คงเทียบกันไม่เห็นฝุ่น เค้าคิดเรื่อยเปื่อยในขณะที่ขายังก้าวไปข้างหน้าค่อยๆทอดน่องเดินพลางสังเกตุความผิดปกติบนท้องถนน เมฆบนท้องฟ้าเคลื่อนที่ลงมาต่ำเต็มชั้นบรรยากาศ แสงแดดเริ่มหายไปจากสัมผัสกับผืนดิน คั่นกลางด้วยลมหนาวที่พัดโชยมาเป็นหย่อมๆ ท้องฟ้ามืดครื้มแต่เช้ามีแววว่าในวันนี้ไม่เกินบ่ายฝนตกแน่  อาหงส์เดินผ่าน ผู้คนกลุ่มใหญ่ฝูงนึงมุงกันรอบๆแผงผักสดหน้าตลาด ประชาชนชั้นกลางรวมไปถึงคนชั้นกรรมกรชีพต่างลุกออกมาจับจ่ายใช้สอย ซื้อของอุปโภค บริโภคดังปกติสุข เป็นวันเสาร์ธรรมดาๆที่เค้าควรจะได้นอนตื่นสายแต่เค้ายอมจ่ายถ้าหากได้มาซึ่งอิสรภาพ คุ้มกว่าเป็นไหนๆ
    .

    .

    .

    .

    .

    ในไม่ช้า รอยเท้าของอาหงส์ก็มาหยุดที่ตึกสีขาวหม่นแห่งหนึ่ง  สภาพภายนอกคล้ายตึกราชการปนกับโมเดิร์นนิดๆ ป้ายด้านบนตึกบอกว่า นี่คือ ธนาคารสวิส สาขา ประเทศไทย ป้ายค่อนข้างเก่านิดหน่อย แต่ดูภาพรวมภายนอกเหมือนยังเปิดทำการอยู่ เค้าเอื้อมมือไปผลักประตูกระจก ก่อนที่จะก้าวเข้าไปข้างในตึกพลางกวาดสายตามองรอบๆ 
    ข้างในตึกดูใหญ่โตกว่าที่ดูภายนอก สถาปัตยกรรมแทบจะบอกได้ตั้งแต่เห็นครั้งแรกว่ามีความยุโรป สมชื่อ เค้าเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสถานที่นี้เมื่อครั้งที่มันเคยเปิดใช้งานใหม่ น่าจะมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเมื่อสมัยก่อน ข้างในเป็นทางเดินกว้างปูด้วยพรมสีเลือดหมูบนพื้น เหมือนธนาคารต่างประเทศ มีเคาเตอร์กระจกอยู่ สี่ถึงห้าบาน แต่มีคนประจำอยู่แค่บานเดียวเป็นผู้หญิงผมหยิกมีอายุหน้าไม่สนโลก แปลกที่เค้ายังไม่เห็นยามซักคนในตึกนี้
     
    อาหงส์คิดว่าเธอรู้แน่ๆว่าเค้าเดินเข้าประตูมา แต่ไม่มีเสียงอะไรเล็ดลอดออกมาจากปากเธอทั้งสิ้น ปกติถ้ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ ก็น่าจะมีการทักทายลูกค้าที่เข้ามา อาจจะเป็นระเบียบการทำงานของที่นี่ก็ได้มั้งเค้าคิด พอเขาเดินเข้าใกล้เคาเตอร์ไปเรื่อยๆ เค้าก็สังเกตุเห็นบนหน้าเคาเตอร์มีป้ายกับกระดิ่งเล็กๆ เขียนว่า "สั่นกระดิ่งถ้าต้องการใช้บริการ" แต่เค้าไม่ได้ทำตามที่ป้ายบอก อาหงส์รวบรัดขั้นตอนเป็นการกล่าวทักทาย พร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อพร้อมหยิบกระดาษเอกสารใบเล็ก วางโปะลงบนที่เคาเตอร์ เจ้าหน้าที่ผู้หญิงสูงอายุสวมแว่นสายตาหนาเตอะคนนึงมองตามทุกการกระทำของเค้า ความเงียบดำเนินไปชั่วครู่นึงก่อนที่เจ้าหน้าที่หญิงคนนั้นจะขยับมือช้าๆไปที่ป้าย อาหงส์เห็นก็ไม่รอช้า ใช่แบบที่เค้าคิดจริงๆด้วย เจ้าหน้าที่ราชการกับความเป๊ะระยำเป็นของที่เข้าคู่กันได้ดี 

    อาหงส์เอื้อมมือไปกดกระดิ่ง เสียงก้องกังวานไปทั่ว ตึกขนาดใหญ่ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สูงอายุคนนั้นก็เอ่ยออกมาว่า มีธุระอะไรคะ ! เสียงเหมือนผู้จัดการลืมจ่ายเงินเดือนให้ ผมมาแลกเช็คครับ อาหงส์ตอบเสียง หนักแน่น ก่อนที่มืออันห่อเหี่ยวจะคว้าเอกสารบนเคาร์เตอร์ หลังจากนั้นเวลาก็ผ่านไปสองถึงสามนาที อาหงส์มั่นใจว่าพนักงานสูงอายุคนนี้กำลังพิจารณาเช็คอย่างถี่ถ้วน สายตาจ้องไปที่อาหงส์กับกระดาษสลับกันไปมาเหมือนครุ่นคิดว่าจะกดปุ่มฉุกเฉินใต้เคาเตอร์จับไอ้นี่ส่งให้พรรคดีหรือเปล่า แต่นางก็หายไปซักพักพร้อมกับกระดาษในมือและกลับมาพร้อมกับกล่องอะไรบางอย่างเเละเอกสารให้เซ็นอีกนิดหน่อย ก่อนที่พนักงานจะพูดกับเค้าว่า 

       ชั้นรู้นะว่าคุณไม่ใช่เจ้าของเช็คตัวจริง อาหงส์ตกใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่อาวุโสดูไร้พิษภัยคนนี้เล็กน้อย ก่อนที่จะตาเบิกโพลงจ้องมองทะลุไปยังเบื้องหลังแว่นตาหนาเตอะ ไม่ต้องตกใจไปหรอก ไม่ใช่ธุรการอะไรของดิชั้นอยู่แล้ว ชั้นแค่สังเกตุนิดหน่อยก็รู้ว่าคุณไม่ใช่ เชื่อไหมคะว่าดิชั้นสามารถรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นยังไงจากการสังเกตุลายเซ็นของอีกฝ่าย แปลกแต่จริงนะคะ ดิชั้นแค่เห็นคุณดินเข้าธนาคารมาด้วยท่าทางทะมัดทะแมงก็รู้ได้ทันทีว่ามาครั้งแรก ลักษณะหางตาตกแสดงว่าครุ่นคิดเรื่องอะไรซักอย่างตลอดเวลา น่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย แล้วอีกอย่าง ที่นี่หยุดให้บริการเช็คตัวนี้หลายปีมาแล้วจนที่นี่จะปิดให้บริการอยู่แล้ว ชั้นเลยแอบตกใจเลยนะคะนี่ไม่คิดว่าจะได้เห็น เช็ค แบบนี้อีก 

    ทำไมถึงหยุดให้บริการไปล่ะครับ อาหงส์ถามด้วยความสงสัย

    ต้องอธิบายก่อนว่าทางเรามีชื่อเสียงจากบริการธนาคารเอกชน แน่นอนว่าขึ้นชื่อเรื่องการรักษาความลับของลูกค้า แม้จะเคยถูกแฉรับฝากเงินลูกค้าที่เป็นอาชกรโลกในอดีตหลายต่อหลายตนก็ตาม แต่เหตุผลจริงๆจากประสบการณ์ที่ทำมานานเกือบสิบสิบปี ดิชั้นคิดว่า ‘ความเชื่อมั่น’ (Trust) ที่เป็นดาบสองคมของธุรกิจธนาคาร เมื่อไหร่ที่คนเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น ธนาคาร ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ ก็ย่อมอยู่รอด แต่เมื่อไหร่ที่ความเชื่อมั่นถูกสั่นคลอน ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่อย่างไรในอดีต ก็จะไม่เหลืออะไรนอกจากความลำพองในอดีต และความจริง
     



    พออาหงส์ฟังจบก็พยักหน้า ก่อนจะรีบตกปากรับคำเดินออกมาจากธนาคารพร้อมกล่องใบหนึ่ง เค้ามองไปที่นาฬิกาใกล้จะ บ่ายสองแล้ว เมฆฝนถูกวางไว้เต็มหย่อมท้องฟ้า บรรยากาศของการเฝ้ารอทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้ลุล่วงของอาหงส์สำเร็จแล้ว ได้รางวัลเป็นฝนห่าใหญ่ พาความร้อนความชุ่มฉ่ำความกังวลใจหายไปปลิดทิ้ง แต่มันก็อยู่ได้ไม่นานจนกระทั่งเค้าคิดได้ว่าสิ่งไหนที่มันอยู่ในกล่องที่ต้องใช้เช็คไปแลกมาจากธนาคารที่ขึ้นชื่อว่ารักษาความลับของลูกค้าดีที่สุดมันต้องเป็นของสำคัญบางอย่างแน่ๆ 

    หลังจากที่เค้าคิดเล่นๆตอนเช้าว่าฝนจะตกช่วงบ่ายๆ ตกจริงๆก็เกือบบ่ายสามเค้าคิดไว้แล้วจึงตัดสินใจเดินไปร้านกาแฟที่เค้าเคยมานั่งกินกาแฟกับเช พลางสังเกตุความเปลี่ยนแปลงของร้านนิดหน่อย บรรยากาศและผู้คนดูเข้ากันได้อย่างประหลาด เค้าคิดว่ามันคงแปลกตาถ้าเดินกลับที่พักพร้อมถือกล่องแบบนี้ เค้าเลยไปขอถุงพลาสติกสีทึบจากบาร์ริสตาหนุุ่มก่อนที่จะจิบกาแฟ มองห่าฝนที่ตกนอกหน้าต่าง พลางคิดเล่นๆว่าอะไรที่มันอยู่ในกล่อง 
    .
    .
    .
    ให้ตายสิ ปกติเค้าชอบเวลาฝนตกเค้ามองเม็ดฝนไหลผ่านหน้าต่างหรือกระทบกับพื้นดิน ระเบียง ต้นไม้ ได้ทั้งวัน แต่วันนี้เค้าภาวนาขอให้มันรีบหยุดพลางจิบอเมริกาโนแก้วโปรดพลางเอื้อมมือเข้าไปในเสื้อโค้ทเพื่อหาไฟแช้ค…
     


    ช่วงคุยกันท้ายเล่ม
    ยอมรับว่าช่วงนี้คิดไม่ค่อยออกว่าจะเขียนอะไรลงไปดี แย่จังตัวผม ช่วงนี้มีอะไรเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ทางเดินชีวิตเอย การทำงาน ผมในวัย 25 ปีกำลังสับสนหลงทางแต่ก็พยายามแบ่งเวลาว่างจากงานมาเขียนนิยายด้วยความชอบล้วนๆ ผมทำเงินได้เกือบสองร้อยบาทจากการเขียนที่ใช้อารมณ์นำพาไปมันเติมไฟจินจนาหาร ความเป็นมุราคามิในตัวถูกกระตุ้น ความวอนระพีที่มีอยู่อันน้อยนิดเหมือนถูกอัญเชิญมาชั่วครู่เพียงเพื่อ ที่จะทำให้มันออกมาดี ผมมั่นใจว่าถ้าผมไม่ขี้เกียจมันต้องออกมาดีกว่านี้แน่ๆ น่าเสียดาย ผมอยากเลิกขี้เกียจจัง Midlife crisis สุดๆ
    แต่ถึงยังไงก็มาเอาชีวิตรอดในประเทศห่าเหวนี้ไปด้วยกันนะ 

    Best regard
    yewjersey
     

     





     









     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×