ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1998

    ลำดับตอนที่ #6 : A new word is a new God for old men

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 66


    อาหงส์ ไม่รู้ทำไมหลังจากที่กระดกแอลกอฮอลล์เมื่อไหร่อาหงส์จะต้องตื่นไวกว่าปกติเล็กน้อย   เช้านี้เค้าทำกิจวัตรประจำวันเดิมๆหลังจากงัวเงียกับความง่วงอยู่ซักพัก ก็ลุกขึ้นมาชงกาแฟให้ตัวเองก่อนไปร้องเพลงสรรเสริญ อย่างน้อยก็มีไออุ่นจากแก้วกาแฟให้มืออันหยาบกระด้างตอนเช้าไม่หนาวจนเกินไป เค้าเก็บขวดไวน์ที่วางระเกะระกะในห้องครัวเอาไปทำความสะอาดเพื่อเตรียมนำไปทำเป็นแจกันโฮมเมด… 

    ชั่วขณะนึงเค้านึกว่าวันนี้จะเป็นเช้าปกติธรรมดาทั่วไปกับกิจวัตรประจำวันเดิมๆตอนเช้าก่อนไปทำงาน ทันใดนั้นเค้าก็นึกขึ้นได้ถึงสาเหตุที่ว่า สสารในขวดเหล้าองุ่นหายลับไป เหมือนมีมือที่มองไม่เห็นฟาดลงไปที่กระหม่อมเข้าอย่างจัง อาหงส์จำได้ว่าเค้าได้นำสิ่งแปลกปลอมบางอย่างกลับมาที่บ้านด้วย "หนังสือปกสีแดง" เล่มนั้นเหมือนได้ยินว่ามีใครเรียก เพราะตอนนี้ลิ้นชักที่เก็บหนังสือเล่มนั้นเหมือนส่งเสียงร้องบางอย่างเหมือนต้องการให้เค้าเดินไปเปิดมัน ตอนแรกเค้ามีความคิดในใจว่าจะไม่ยุ่งกับเรื่องนี้ปล่อยให้ลืมไปตามกาลเวลาถ้าเป็นเค้าเมื่อก่อนคงต้องทำแบบนั้นเป็นแน่ ช่างแม่ง แล้วปล่อยให้เวลาจัดการของมันเอง 

          แต่อาหงส์ในตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วเค้าไม่ใช่เด็กคนเดิมที่จะไม่สนเรื่องใดเรื่องนึงที่เกิดขึ้นในชีวิตแล้วหนีหายไปจำศีลเหมือนหมีในฤดูหนาว เค้าโตขึ้นมากเมื่อเทียบกับคนรุ่นวัยเดียวกันรวมถึงทั้งในด้านสติปัญญาและร่างกาย ไม่ถูกหลอกง่ายๆจากนโยบายกลวงโบ๋ของพรรค หรือ หลงเชื่อคำพูดเกินจริงที่ประกาศออกมาไม่เว้นแต่ละวัน เค้าจึงทำใจซักพักก่อนที่จะไปเปิดลิ้นชักที่มีหนังสือเนื้อหากล่าวถึงเรื่องที่จะเปลี่ยนชีวิตเค้าไปตลอดกาล

        อาหงส์ตัดสินใจอยู่ซักพักแล้วจึงเปิดลิ้นชักควานหา "หนังสือปกสีแดง" ตอนนี้มันอยู่บนมือที่เย็นยะเยือกของเขา อาหงส์พึ่งตระหนักได้ถึงลวดลายบนปกที่เป็นรอยฉลุตัวอักษร W.S. บนปกลวดลายเจือจางไปด้วยคราบฝุ่นเล็กน้อยจากการที่อยู่ในรูปปั้นที่ตั้งอยู่ใจกลางจัตุรัส ใครมันจะไปคิดว่าจะมีหนังสือหล่นตุ้บลงมาจากส่วนหัวของรูปปั้น หน้าแรกของมันเขียนเป็นตัวอักษรภาษาอังกฤษฉวัดเฉวียนเหมือนในแบบเรียนภาษาต่างชาติสมัยเขาเป็นเด็กๆ อาจเป็นตัวย่อชื่อใครซักคนที่เป็นคนเขียนเนื้อหาข้างใน เค้าเคยได้ยินเรื่องกลุ่มประชาชนต่อต้านเผด็จการ (People Against Dictatorship) เมื่อครั้นยังไม่มีการจำกัดเสรีภาพสื่อเหมือนอย่างทุกวันนี้ สมัยก่อนช่องโทรทัศน์หรือสื่อต่างๆจะสามารถลงข่าวสารหรือข้อมูลได้โดยตรงไม่ต้องผ่านกระทรวงเซ็นเซอร์เพื่อความสามัคคี (Ministry Censored for Unity) ที่มีจุดประสงค์เหมือนเป็นจุดคัดกรองข้อมูลดิบที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อตัวผู้นำสูงสุดโดยกลุ่มปฎิวัติ P.A.D. นี้มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากจากการไปท้าทายอำนาจของพี่บิ๊กสมัยที่ยัง ไม่ได้มีมาตราการอะไรเข้มข้นเท่าทุกวันนี้
     
    ตอนนั้นอาหงส์จำได้ว่า มีงานสถาปนาอะไรซักอย่างที่จัตุรัสกลางเมืองคล้ายวันชาติธงแถบสีจากประเทศพันธมิตรอย่างโอเชียเนียและยูเรเซียสะบัดพลิ้วไปกับลมที่ค่อยๆพัดมาของช่วงฤดูร้อน พี่บิ๊กกำลังนำกล่าวปราศรัยบนเวทีผู้คนมากมายยืนฟังแทบไม่เหลือที่ว่างเบื้องล่าง มีการไลฟ์สดลงสื่อทุกช่องทาง ทหาร บอดี้การ์ดส่วนตัว ยืนล้อมรอบชายเคราดกที่มีแววตาเหี้ยมเกรียม ไม่มีใครรู้ ว่าพี่บิ๊กคิดอะไรอยู่ หรือมีความต้องการที่จะนำพาประเทศไปในทิศทางใด อาหงส์จับใจความได้แต่ สุนทรพจน์ที่โจมตีอีกฝั่งทางการเมืองและผู้ที่เห็นต่างไปจากพี่บิ๊ก เค้าจำเหตุการณ์นั้นได้แม่นมีนักข่าวของสถานีใดซักสถานีนึงอยู่ดีๆก็โพล่งถามคำถามออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย 

    “ไม่ทราบว่าท่านคิดยังไงกับข่าวลือเรื่องกลุ่มประชาชนต่อต้านเผด็จการคะ ท่านผู้นำ ?”

     สิ่งที่พี่บิ๊กทำผ่านสื่อคือสีหน้าบึ้งตึงก่อนที่จะหันไปซุบซิบกับบรรดาผู้ติดตามก่อนที่จะกล่าวต่อโดยไม่สนใจคำถามที่นักข่าวคนนั้นถาม ก่อนที่ไม่กี่นาทีถัดมา นักข่าวคนนั้นจะถูกหามออกนอกที่จัดงาน สีหน้าและแววตาซีดเซียว พล่ามตะโกนขอโทษขอโพยยกใหญ่ก่อนที่จะถูกหิ้วปีกขึ้นรถหายไปอาจจะตลอดกาล…ก่อนที่วันถัดมา เค้าเดินผ่านแผงหนังสือพิมพ์แต่ก็ไม่แม้แต่ส่วนเล็กๆกล่าวถึงเหตุการณ์นั้น

           "หนังสือปกสีแดง"  เล่มนี้ทำให้เค้าคิดถึงเหตุการณ์นั้น เค้าสงสัยว่าสมุดเล่มนี้อยู่ภายในรูปปั้นมาโดยตลอดหรือมีคนใช้วิธีการอะไรซักอย่างนำไปไว้ข้างใน ที่เค้ามั่นใจคือต้องเป็นฝีมือของมนุษย์ที่มีแนวคิดเดียวกับเค้าอยู่แน่ๆ
    เนื้อหาภายในจดบันทึกถึงเหตุการณ์สลักสำคัญต่างๆ ในรัฐบาลไทยหลังจากแปดปีหลังจากเหตุการณ์รัฐประหารชื่อดังที่ส่งผลให้ ประเทศไทยได้นายกที่เป็นทหารแก่ครั้งแรกโดยพยายามมุ่งเน้นเรื่องเศรษฐกิจแต่เนื่องจากเป็นทหารไม่ได้มีความรู้เฉพาะทางจึงใช้อำนาจเต็มที่ในด้านบริหารและนิติบัญญัติโดยไม่มีฝ่ายใดค้านในสภา และสามารถออกคำสั่งตามมาตรา 444 ได้ (ตามมาตรานี้ ผู้นำสูงสุด มีอำนาจในการออกคำสั่งระงับยับยั้ง หรือ กระทำการใดๆ คำว่า "ใดๆ" หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ก็แปลว่า อำนาจตามมาตรา 444 คือ อำนาจสั่งการได้ทุกอย่าง ยับยั้งได้ทุกอย่าง กระทำการได้ทุกอย่าง)

            ในบันทึกนี้ยังเขียนถึง ข้อดีข้อเสียของมาตราเจ้าปัญหา โดยกล่าวว่า 

    "ดาบมีสองคมขึ้นอยู่กับผู้ใช้ แต่มาตรานี้มันหนักยิ่งกว่าดาบสองคม เพราะเป็นอำนาจเต็ม 100% มันจึงอยู่ที่ผู้ใช้ 100% ว่าจะใช้เมื่อไหร่ และอย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับอำเภอใจของตัวผู้ใช้ ในแง่ประชาชนก็ต้องคาดหวังว่าผู้มีอำนาจตามมาตรานี้จะไม่ใช้อำนาจในทางที่กระทบกับสิทธิเสรีภาพของประชาชน หรือในทางที่ก่อความเดือดร้อนกับประชาชน ซึ่งเราทำได้แค่คาดหวัง เราห้ามไม่ได้ เพราะเขาทำอะไรก็ชอบด้วยกฎหมาย และรัฐธรรมนูญทั้งหมดไม่ต่างกับโจรในคราบทหารที่ใช้กฎหมายมาทำร้ายประชาชน จะไปร้องกับใครก็ไม่ได้ในเมื่อรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายต่างๆ ออกมาได้มาก ผ่านกฎหมายออกมากว่า 400 ฉบับ ปลดล็อกด้านกฎระเบียบต่างๆ และลงทุนในโครงการขนาดใหญ่จำนวนมากได้โดยไม่มีการตรวจสอบที่โปร่งใส กล่าวคือ การใช้อำนาจดังกล่าวของรัฐบาลก็มีผลในการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และก่อให้เกิดผลเสียในหลายครั้ง สิ่งที่เราทำได้คือการก้มหน้าก้มตา รอให้ไอ้พวกนั้นส่งคนมาจับเราไปประหัตประหารทีละคนสองคนอย่างนั้นหรือ จะไม่มีประชาชนคนไหนเห็นความหมายของชีวิตเพื่อนร่วมชาติเลยเหรอจนกว่าจะเกิดกับคนที่ตัวเองรู้จัก คนที่ตัวเองห่วงใย หรือคนที่ถูกรักเท่านั้นจึงจะได้รับการปกป้องจากเสียงหมู่มากอย่างนั้นหรือ แล้วถ้ามันเกิดกับคนรอบๆตัวเราล่ะ เราจะยังทนอยู่เฉยได้จริงๆอย่างนั้นรึ 

            ข้าพเจ้าขอประณามการกระทำอันป่าเถื่อนเหมือนมองคนไม่เท่ากันเช่นนี้ว่าเป็นการกระทำของไอ้พวก เผด็จการใจทราม สนแต่ประโยชน์ส่วนตน สิ่งที่ีจะเกิดขึ้นต่อไปหากไม่มีใครทำอะไรแล้วล่ะก็ การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบโดยที่ประชาชนไม่มีสิทธ์สู้กลับ รวมทั้งการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การข่มขืนเป็นระบบ แรงงานเด็ก ทาส การค้ามนุษย์ และการขาดเสรีภาพในการพูด หรือการแสดงออก สิทธิขั้นพื้นฐานของความเป็นมษุย์คนนึงไม่เหลือแม้แต่นิดเหมือนกับ สิงโตในสวนสัตว์ เจ้าแห่งป่าดงพงไพรที่ถูกกฎระเบียบในสวนสัตว์ทำให้เชื่อง ถูกถอดเขี้ยวเล็บอย่างช้าๆ และกลายเป็นวัตถุทำเงินให้ผู้ที่เห็นผลประโยชน์

            ด้วยเหตุทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นข้าพเจ้าขอรับอาสาในการเป็นผู้นำประชาชนที่ฝักใฝ่การปกครองที่เรียกว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยโดยมีประชาชนทุกคนเป็นประมุข เพื่อจุดมุ่งหมายด้วยโค่นล้มอำนาจเผด็จการอธิปไตย ทวงคืน ประเทศกลับมาจากน้ำมือของเผด็จการแห่งชาติ ล้มล้างระบบพี่เบิ้ม เพื่อพรุ่งนี้ที่สดใส แสงอาทิตย์แห่งประชาชนจะหวนกลับมาชำละล้างอำนาจภายใต้เงามืดแห่งราชอณาจักรไทย ขอให้ทุกคนเชื่อใน ภราดรภาพกลุ่มประชาชนต่อต้านเผด็จการ ซักวันเราจะทำให้ท้องฟ้ากลับมาสดใสอีกครั้ง เราจะนำรอยยิ้มก่อนที่พวกเผด็จการบ้าอำนาจจะเข้ามาคืนให้พี่น้องประชาชนทุกคนอีกครั้ง ผมสัญญา "

    Winston  Schmidt 
     

           ถึงตรงนี้อาหงส์หยุดคิดถึงความสมเหตุสมผลของเนื้อหาที่เค้าอ่านใน สมุดบันทึกประวัติศาสตร์ของชาติเล่มนี้ เค้าไม่รู้เลยว่าก่อนหน้าพี่เบิ้มหรือใครที่ปกครองประเทศ ประชากรส่วนใหญ่ในกรุงเมพฯเหมือนกับเขา หลายคนมีคำตอบที่พวกเค้าต่างจินตนาการขึ้นมาเองจากเรื่องสมคบคิดต่างๆที่เค้าเคยได้ยอนมา เนื่องจากวิชาประวัติศาสตร์ถูกถอดออกจากเนื้อหาการเรียนเบื้องต้นและมีการจัดตั้ง องค์กรประวัติศาสตร์ชาตินิยม  (Ministry History for Nations) เพื่อนำเสนอเรื่องราวและวีรกรรมของผู้นำสูงสุด ไม่ต่างอะไรจากการล้างสมองชัดๆ เค้าเคยได้ยินเด็กๆที่สวนสาธารณะแถวบ้านพูดถึงเหตุการณ์ที่พี่เบิ้มเป็นวีรบุรุษแห่งสงครามโลก ถึงเนื้อหาจะฟังดูเกินจริงถ้าให้คิดตามหลักความเป็นไปได้ต่างๆ ที่อาจจะมาจากคำบอกเล่าของเด็กๆวัยกำลังซน แต่กลายมาเป็นเด็กๆเหล่านี้กำลังถุูกปลูกฝังเรื่องที่ทางพรรคได้แต่งเติมเรื่องราวที่กุขึ้นเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญ และความยิ่งใหญ่ของท่านผู้นั้น เป็นกุศโลบายที่ฝังรากทางความคิดให้ผู้คนเชื่อตั้งแต่วัยเยาว์ ไม้อ่อนดัดง่าย ส่วนไม้แก่อย่างเค้าคงได้แต่เสแสร้งเหมือนเชื่อฟังไม่เช่นนั้นก็อาจจะอันตธานหายไปถูกหลงลืมไปกับกาลเวลา ให้ตายสิมันแย่พอๆกับการถูกทอดทิ้งให้ตายอย่างโดดเดี่ยวลำพัง

    เค้าตัดสินใจไม่นานหลังจากอ่าน บันทึกเล่มนี้จบ ถึงว่าทำไมคนจากพรรคถึงกลัวนักกลัวหนากับการมีอยู่ของกลุ่มภราดรภาพ หนังสือเป็นตัวเปิดวิสัยทัศน์ใหม่ๆให้กับผู้ที่กล้าที่จะอ่านและรู้สึกถูกริดรอนสิทธิมนุษย์ชนขั้นพื้นฐาน 
    เค้าไม่ใช่เหยื่อของการถูกอุ้มหายอีกต่อไปตั้งแต่วินาทีนี้ เค้าคือหนึ่งในผู้ที่นับถือหลักการและความคิดของกลุ่มภราดร เจ้าของ "หนังสือปกสีแดง" ที่เค้าอ่านจนจบ ในช่วงเช้า วันนั้นทั้งวันเค้าขลุกตัวอยู่กับการอ่าน ประวัติศาสตร์ชาติ การเมืองการปกครอง การประหัตประหารเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองยุคเก่าให้กลายเป็นการถือหางคนไม่กี่จำพวกจนกลายเป็นนับถือตัวบุคคลไปในที่สุด พอแล้วชีวิตที่ต้องทนทุกข์จากความอยุติธรรมและคำโกหกหลอกลวงของบรรดาผู้มีอำนาจ เค้าจะตามหากลุ่มภราดรภาพและปลดปล่อยระบอบเผด็จการเพื่อสิ่งที่ควรจะเป็น อาหงส์ไม่รู้ว่าแบบไหนคือสิ่งที่ควรจะเป็นแต่เค้าคิดว่าต้องดีกว่าชีวิตที่เป็นอยู่แบบนีี้แน่ 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×