ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1998

    ลำดับตอนที่ #4 : Partner in Comrades

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 66


     
    เสียงเปิดประตูเข้าไปในร้านบวกกับเสียงกล่าวทักทาย ทำให้เหล่าบรรดาลูกค้าบางคนต่างพากันจ้องมองที่อาหงส์เขม็งเป็นสายตาเดียว บุรุษหนุ่มวัยกลางคนผู้หนึ่งได้ลุกออกมาจากโต๊ะทางยาวด้านในร้านพร้อมผายมือไปที่เก้าอี้บนโต๊ะ อาหงส์ไม่รอช้ารีบเดินจ้ำอ้าวเข้าไปนั่งแทบจะทันที 
     

                บรรยากาศภายในร้านกาแฟแห่งนี้ มีการตกแต่งร้านให้มีความโมเดิร์นด้วยสีแดงโทนร้อนฉาบอย่างดีด้วยพื้นไม้ปาร์เก้ ข้าวของวางอย่างไร้การจัดสรรให้เป็นระเบียบบนเคาเตอร์ยาว เก้า คุณไม่สามารถหาร้านกาแฟดีๆแบบนี้ได้แถวๆที่ที่พวกชนชั้นแรงงานอาศัยอยู่แน่ เขามั่นใจ ภายในร้านมีการใช้เครื่องดนตรีเพื่อเพิ่มบรรยากาศ เพลงแนว บอสซี่โนว่า (ถูกพัฒนาต่อยอดจากเพลงแนว bossa nova โดยคนจากพรรคเอง เดิมทีเพลงแนวนี้เกิดจากมาจากการผสมผสานดนตรีแจ๊สของแอฟริกัน-อเมริกันกับดนตรีแซมบา ดนตรีพื้นบ้านของบราซิล แต่ถูกเพิ่มเครื่องเป่าทองเหลืองและเครื่องเป่าลมไม้เข้าไป เพื่อให้ได้บรรยากาศของวงโยธวาธิต ว่ากันว่าพี่บิ๊กชอบเพลงแนวนี้มากขนาดที่เปิดในห้องทำงานทั้งวัน) เพลงบอสซี่คือคำที่คนส่วนใหญ่นิยามเรียกแทน บอสซี่โนวา ตามนิสัยคนไทยที่ชอบตัดทุกอย่างให้มันสั้นเตียนลง เอาความง่ายเข้าว่า สำหรับอาหงส์ชอบที่จะเรียกชื่อเต็มมากกว่าเรียกชื่อสั้นๆเพราะมันฟังดูกระดากหูสำหรับเขา เพลงแนวนี้ส่วนใหญ่จะเป็นเพลงชิลๆ ฟังง่ายไม่มีเนื้อร้องมีแต่เมโลดีของดนตรีที่ช่วยให้เปิดแล้วสามารถทำอย่างอื่นไปด้วยได้ เสียงเพลงทำนองบอสซีโนวาในร้านคลอไปกับไอกรุ่นของเมล็ดกาแฟแต่ไม่ได้ทำให้บรรยากาศภายในร้านกาแฟหรูหราหรือเหงาเศร้า แทนที่นั้นบรรยากาศกำลังมาคุด้วยการมีอยู่ของโต้ะหนึ่งที่ทั้งโต้ะมีแค่ชายสองคนกำลังนั่งเสวนากันเงียบๆ 

     

    อนึ่งตั้งแต่พี่บิ๊กครองตำแหน่งก็มีนโยบายสำคัญให้เรียกคำนำหน้าผู้อื่นที่ไม่ใช่พวกชนชั้นแรงงานกรรมกร ว่า สหาย เพื่อให้ง่ายต่อการจำกัดความเท่าเทียมต่างๆ กว่าจะเริ่มชินปากก็กินเวลาเป็นอาทิตย์สำหรับเขา
     

    “สหายคงจะหมายถึง ทิวาสวัสดิ์ ที่หมายความว่าสวัสดีช่วงเวลากลางวันมากกว่า ผมไม่ได้ต้องการหักหน้าสหายหรือเจตนาทำให้อับอาย เพียงแค่ผมรักความถูกต้องหวังว่า สหายจะเข้าใจ” ชายกลางคน กล่าวกับอาหงส์สีหน้าเคร่งเครียด

    ก่อนที่อาหงส์จะยิ้มเผาะ ไม่ได้รู้สึกโดนดูถูกแต่อย่างใด “ขอบใจสหาย วันนี้มีเรื่องให้คิดมากนิดหน่อย คงเป็นการดีที่จะได้คำชี้แนะจากมุมมองของคุณ สหาย เขากล่าวน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ มีอะไรเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตหรือสภาพความเป็นอยู่ของนายงั้นรึสหาย ดวงตาดำสนิทสาดประกายจับจ้องไปที่ดวงตาอาหงส์ ก่อนที่ เรื่องเล่าต่าง ๆจะถูกบรรจงเล่าออกมาจากปากเขาอย่างช้าๆ เขาใช้เวลาเกือบทั้งบ่ายในการเล่าเรื่องรวมถึงบทสรุปเหตุการณืต่างๆทั้งหมด ลงลายละเอียดดีเทลเล็กๆที่เขาจำได้ให้กับเพื่อนร่วมงานที่เค้าเรียกว่า “สหายเช”

              ในมุมมองของอาหงส์ บุรุษวัยกลางคนผู้นี้ เป็นชายที่ใช้ได้ทีเดียวหากตัดนิสัยเคร่งเครียดรักความถูกต้องจนเกินไปบ้าง เค้าเป็นชายวัยกลางคนที่หน้าตาดูเหมือนอดหลับอดนอนตลอดเวลาอาจจะเป็นเพราะภายหลังดวงตาคู่นั้นเค้าพยายามจับจ้องทุกๆอย่างรอบๆตัวหาแต่เพียงบรรยากาศ นั่นคือสาเหตุที่ทำไมเค้ากับอาหงส์ถึงนัดกันที่ร้านกาแฟ
    บรรยากาศในร้านกาแฟนั้นเงียบสงบและเป็นกันเองอาจเป็นเพราะทั้งคู่เคยมาด้วยกันก่อนหน้านี้เเล้ว โดยทั้งสองบุรุษนั่งคุยกันอย่างสงบเรียบร้อย การพูดคุยดำเนินไปบนโต้ะด้วยความเงียบเชียบ ห้วงอารมณ์แห่งคำพูดปลิดปลิวซัดเข้าหูผู้ฟังหนึ่งเดียว เช แทบจะไม่มีความรู้สึกหรือแสดงอารมณ์อะไรออกมาเลย แต่อาหงส์สามารถรู้สึกได้ว่าเขากำลังตั้งใจฟังในแบบของเขาเอง ความเข้มแข็งบนสีหน้าของเขาทำให้อาหงส์เป็นกังวล เค้าแทบจะนับครั้งได้ว่า เช กระพริบตาไปกี่รอบหรือไม่บางทีอาจจะเป็นเพราะวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือสถานการณ์ทางการเมืองที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาที่ต้องคอยปั้นสีหน้าหลอกกล้องสอดแนมของพี่บิ๊กที่ติดอยู่กับโปสเตอร์รูปใบหน้าขนาดใหญ่ที่ต่างกำลังจ้องมองการกระทำของคุณทุกฝีก้าว 

    หลังจากที่อาหงส์เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างจบ เขาก็คาดหวังอากัปกิริยาอะไรจากผู้ฟังบ้าง แต่สิ่งที่ เช ทำก็คือการพยักหน้าเบาๆสองสามที ก่อนจะนิ่งงันหลับตาอยู่อึดใจ ก่อนจะเอ่ยประโยคเรียบๆน้ำเสียงเคร่งเครียดของเขาก่อนหน้านี้อ่อนลงนิดหน่อยทว่าแฝงความนัยลึกซึ้ง 

    “สหายเอ๋ย เวลาของคุณมีจำกัด พึงระลึกไว้ในอกข้างซ้ายเสมอจงอย่าเสียมันไปกับชีวิตของคนอื่น อย่าได้หลงติดกับดักกฎเกณฑ์ที่เป็นผลพวงมาจากความคิดแย่ๆของใครบางคนหรือถ้าจะให้เฉพาะเจาะจงหน่อยก็ภริยาเก่าของสหาย”
    อาหงส์กำลังจะเอ่ยปากขัดว่าไม่ใช่ภรรยาครับผมแต่ เช ก็พูดต่อโดยไม่สนใจท่าทีของเขาแม้แต่น้อย

    "ข้าพเจ้ามองว่าเค้ายังหนิไม่พ้นวังวนของการเป็นผู้ถูกกระทำโดยสหายยังไงล่ะ  อาหงส์เลิกคิ้วขึ้น แต่ผมเป็นฝ่ายถูกเค้ากระทำไม่ใช่เรอะ สหายเช เค้าถามด้วยความสงสัย  "ผมจะบอกอะไรให้นะสหาย เสียงของเชหนักแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย ไอ้การที่เค้าสักแต่อยากเอาชนะเหมือนไอ้พวกลิงอยากได้กล้วยแบบในประวัติศาสตร์ก่อนการปฎิวัติน่ะ เหมือนไอพวกกลุ่มขบฟ้าที่กระสันโหยหาแต่สันติภาพจอมปลอม คำพูดอีกอย่างการกระทำไปคนละทาง ไม่ต่างจากทรราชย์ซักนิดในมุมมองของผม สหายหงส์ ท่านกำลังติดอยู่ในวังวนของคำว่าเสียดาย เรื่องเลวร้ายของชีวิตคู่ที่ข้าพเจ้ารู้ซึ้งถึงมันเป็นอย่างดีคือ ข้าพเจ้าเคยคิดว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตคือการอยู่ตัวคนเดียว แต่ปล่าวเลยสิ่งที่เลวร้ายที่สุดคือการทนอยู่กับคนที่ทำให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวต่างหาก อย่าปล่อยให้เสียงของผู้อื่นกลบเสียงภายในของตัวเองและที่สำคัญที่สุด จงมีความกล้าหาญที่จะทำตามหัวใจและสัญชาตญาณของคุณ "

    ฮาหงส์หลับตาและพยักหน้าเบาๆ
    .
    .
    .

    หลังจากบรรยากาศเริ่มโพล้เพล้ ชายทั้งสองจับมือบอกลากัน “เจอกันใหม่เมื่อเราเจอกัน” มาแล้วประโยคบอกลาสุดคลิเช่ของ เช อาหงส์ส่งเสียงหึในลำคอ ก่อนที่จะบอกลาพันธมิตรทางความคิดก่อนที่จะมองเค้าเดินลับตาไปด้วยโค้ทสีน้ำตาลตัวหนากับรองเท้าบูตทหารตัวเก่ง เหมือนมีอะไรบางอย่างมาดลใจให้เค้าหันไปมองป้่ายหน้าร้านกาแฟ 
    อาหงส์ส่ายหัวเบาๆเเละเริ่มหัวเราะในลำคอก่อนที่จะ ค่อยๆเดินกลับที่พักไป
    .
    .
    ."The taste of Obey, in every sip."


     


    Y
    22/2/63
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×