ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    1998

    ลำดับตอนที่ #3 : Metropolis is the most possible form of life.

    • อัปเดตล่าสุด 22 มิ.ย. 66



              เค้าค้นพบว่าตอนนี้ตัวเองกำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟเล็กๆบรรยากาศช่วงบ่ายแก่ๆ กับแก้วกาแฟรสชาติแย่แต่ก็ไม่ถึงแย่มาก เค้าคุ้นเคยสภาพบรรยากาศของร้านนี้เป็นอย่างดี ร้านนี้เป็นร้านกาแฟที่อยู่เกือบใจกลางตัวเมืองหลวงมีต้นไม้ถูกประดับประดาอยู่ภายใน  เขากับน้ำตาลเคยชอบไปที่นี่กันบ่อยๆ เสียงร้องระงมของผู้คนลอยมาตามอากาศเคล้าไปกับเสียงเมฆฝนที่ส่อเค้ามานานว่าจะตกลงมาชำระล้างคราบสกปรกในเมือง

    อาหงส์ยักคิ้วขึ้นเล็กน้อยพลางพูดจากระเซ้าเย้าแหย่ น้ำตาล ว่าการกินกาแฟช่วงเกือบห้าโมงเย็นไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรเกิดขึ้นบ่อยๆ เธอยิ้มให้เขาก่อนที่จะพูดถ้อยคำต่างๆ ที่ทำให้ดวงใจเขาทอประกายขึ้นมาเป็นประโยคแห่งความห่วงใยที่คอยเติมเต็มจิตวิญญาณบุรุษหนุ่มผู้หนึ่ง เขายังจำได้อีกว่าเค้าเห็นภาพอะไรหลายๆอย่างในอนาคตร่วมกับเธอ แต่น่าเศร้าอาหงส์นึกไม่ออกเสียทีว่าเธอพูดว่าอะไร เสียงจากอดีตช่างหอมหวานแต่ก็หลอกหลอน จังหวะเวลานั้น เขามีความสุขมากมายเสียเหลือเกินจนไม่ต้องการจะจดจำสิ่งใดเพิ่มเติมอีก ก่อนที่จะอึดใจต่อมา ภาพจำของการถูกทำให้เป็นที่น่าอับอายหลังจากการบังเอิญโคจรมาพบและมีปากเสียงกันระหว่างเขากับเธอจะกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ทันใดนั้นทุกอย่างก็ขาวโพลน เขาลืมตาตื่นขึ้นมาครั้งที่สองของวันก่อนจะพบว่าตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่าย

         การพบเจอแฟนเก่าตอนเช้ากินพลังงานชีวิตเกินไป ความรู้สึกของอาหงส์หลังจากโดนเหล้าราดใส่หัวในฝันโดยฝีมือคนรักเก่าอาจแตกต่างกันไปได้ตามบุคคลและสถานการณ์ที่เกิดขึ้น อาจมีคนรู้สึกสดชื่น มีคนรู้สึกเศร้าหรือแสบใจ อาจมีคนรู้สึกสับสนหรือหมกมุ่นในความคิดของตนเอง ในขณะที่บางคนอาจรู้สึกเศร้าหรือเจ็บปวด ความรู้สึกถูกหักหลังและความอัปยศอดสูก็เป็นไปได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการกระทำนั้นทำในที่สาธารณะหรือต่อหน้าผู้อื่นที่เขา….. เขาอยากออกจากห้องตัวเอง ห้องนี้ไม่ต่างอะไรกับห้องผีสิง ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงรังควานหลอกหลอน มุมเล็กๆที่ช่วยกันทำอาหาร หรือมุมประจำที่อาหงส์ต้องล้างจาน โซฟาขนาดกลางที่เคยนอนเล่นด้วยกันหน้าโทรทัศน์ ความฝัน ความรัก มันเคยอยู่ในห้องบุโรทั่งเก่าๆห้องนี้ อาหงส์จึงรีบไปอาบน้ำแต่งตัว หยิบเสื้อเชิ้ตคู่ใจสีเขียวเข้ม กางเกงขายาวสีเบจตัวเก่ง ก่อนที่จะรีบผลุนผลันออกจากห้องนอนไป ทิ้งไว้เพียงแต่รอยคราบน้ำตาแห้งกรังบนหมอนที่ทั้งคู่เคยหัวติดกันยิ่งกว่าปลากระป๋องยี่ห้อไหน


    ตึกที่เขาอาศัยอยู่ไม่มีลิฟต์ มีแต่บันไดเวียนเหมือนกับฉากจากหนังยุคภาพโทรทัศน์ขาว-ดำ เก่าๆ โชคยังดีเค้าอยู่ชั้นไม่ไกลจากพื้นดินมากเท่าไหร่นัก แถบย่านชานเมืองของกรุงเมพฯ ทางเดินเท้าเต็มไปด้วยหลุมบ่อ ที่ที่อาหงส์ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ชื่อว่าตึก “ร่มฟ้า” อาหงส์ไม่เข้าใจทำไมถึงชื่อนี้อาจเป็นเพราะหลังคาตัวตึกเคยเป็นสีน้ำเงินพอตากแดดตากกรำนานเข้าๆก็ค่อยๆกร่อนเป็นสีฟ้า ระบบเฟดสีตามธรรมชาติด้วยแสงแดด นั่นเป็นคำตอบที่เขาคิดขึ้นมาเอง ไม่ใช่เรื่องที่รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไรกับชีวิต  


        อาหงส์นัดกับเพื่อนร่วมงานของเขาคนหนึ่ง ถึงแม้ไม่ได้สนิทสนมกันมากแต่ก็พอมีประเด็นต่าง ๆให้พูดคุย เค้าแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะเล่าเรื่องเช้านี้ให้ "เช" เพื่อนที่ทำงานของเค้าฟัง เนื่องจากวันนี้วันหยุดเขาจึงไม่ต้องเผื่อเวลามาก ช่วงเวลาเช้า-เย็นในวันทำงาน ถือเป็นช่วงเวลาสุดเร่งรีบของคนชนชั้นกลางแบบเขา ทุกคนต้องแข่งขันกับการจราจรแสนติดขัด หรือต่อแถวขึ้นขนส่งสาธารณะสุดหนาแน่น เป็นช่วงเวลาแห่งความเท่าเทียมโดยจริงแท้ชายหญิงต่างวิ่งกันอลหม่านเพื่อให้ทันขึ้นรถรางสาธารณะก่อนที่หลายๆคนจะถูกแซงบ้าง หรือกระทั่งถูกเหยียบเท้าหน้าบูดบึ้งและคุณไม่มีทางจับมือใครดมหรือถ้าให้เหมาะกับบริบทคุณไม่สามารถจับเท้าพวกคนที่ต่างเร่งรีบไปทำธุระของตัวเองพวกนี้

    เขาเดินผ่านจัตุรัสที่มีรูปปั้นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่มีใบหน้าของพี่บิ๊กแทนส่วนหัว ดวงตาสีแดงก่ำจ้องทุกการเคลื่อนไหวในระยะสายตา มองดีๆดวงตาของรูปปั้นจะถูกเรียกว่า SCCTV หรือ Super closed-circuit television แต่อาหงส์คิดว่า Spy closed-circuit television น่าจะเหมาะกว่า เค้ารีบเดินตัดผ่านรูปปั้นนักมอง ก่อนที่จะเลี้ยวเข้าตรอกในซอยแคบๆหลังเดินมาระยะหนึ่ง ตอนนี้เค้าอยู่เกือบถึงย่านคนมีอันจะกินแถวๆนี้ถูกเรียกกันอย่างติดปากว่า "เช็คบุรี" เนื่องด้วยเงินสดและโมบาย-แบ้งค์กิ้งกลายเป็นเรื่องล้าสมัยสำหรับย่านๆนี้ ที่นี่ทุกคนจะมีชิพติดตัว ถูกตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่ประวัติและจะถูกประเมินทรัพย์สินผ่านระบบสมาร์ต-ดิจิทัล ข้อมูลทุกๆอย่างถูกคำนวณรวมไปจนถึงการทำธุรกรรมต่าง ๆให้อยู่ในชิพ ๆเดียว เป็นเหมือนเมืองจำลองของพี่บิ๊ก ตามที่กล่าวอ้างถึงการทดลองใหม่ ๆเพื่ออาจปรับใช้กับส่วนอื่น ๆในเมือง 

    หลังจากที่อาหงส์ผ่านย่าน เช็คบุรี เค้าต้องเลี้ยวขวาตรงสี่แยกติดทางเท้าข้างหน้า เค้าบรรจงหลบทางแยกที่มีหลุมด้วยความเคยชิน เสียงรถมอเตอร์ไซค์บีบแตรไล่หลังตรงทางเดิน เค้าจำใจหลบส่วนอีกใจหนึ่งเค้ากำหมัดชูนิ้วกลางให้คนขับ
    พอถึงทางแยก เค้าพบว่ามีผู้คนมากมายกำลังรอข้ามถนนจำนวนมาก 

    หลังจากการเบียดเสียดอยู่ชั่วอึดใจ เขาก็รู้ว่าทำไม อาจเป็นเพราะตระกูลดังซักตระกูลกำลังทยอยเคลื่อนตัวผ่านถนนเส้นหลักทำให้การจราจรติดขัดระงม มีรถตำรวจสี่ถึงห้าคันคอยปิดขบวน ทำให้การจราจรบนถนนติดขนัด แต่ไม่มีไทยมุงคนไหนบ่นอะไรนอกจากแค่เมื่อไหร่ท่านคนนั้นจะเสด็จเสียที หลังจากนั้นไม่เกินห้านาทีเสียงทำนองเพลงคุ้นหูค่อย ๆดังขึ้นมาเรื่อย ๆตามถนน เสียงนั้นเป็นเสียงเปิดตัวที่พี่บิ๊ก ชอบใช้เวลาปรากฎตัวตามงานต่างๆ เสียงแตรประจำตำแหน่ง เสียงนี้เป็นเอกลักษณ์คุ้นหูเป็นอย่างดี บทเพลงนี้ขึ้นต้นด้วยตัวโน้ตหลักเพียง 4 พยางค์  เนื่องจากโน้ตหลัก 4 ตัวของเพลงคล้ายกันคือ จุด จุด จุด ขีด ที่ตรงกับอักษรโรมัน V โน้ตหลักนี้จึงใช้เป็นเครื่องหมายของคำว่า "Victory" (ชัยชนะ) เค้าจำได้ว่าได้ยินครั้งแรกในพิธีสถาปนาพี่บิ๊ก ถื้ม ถื้ม ถื้ม ถื้ม ไม่สั้นมากและไม่ยาวเกินไปเขาเองยังอดชมชอบรสนิยมของพี่บิ๊กไม่ได้ Symphony No.5 เป็นเพลงเปิดตัวที่สมกับฐานะและตำแหน่ง ตอนนี้เขาเห็นขบวนรถยุโรปหลายคันที่ถูกล้อมรอบด้วยรถตำรวจ ภายนอกกำลังกระหน่ำเปิดเพลงของ ศิลปินหูหนวกชื่อดังผู้เป็นเจ้าของบทเพลงดังๆหลายเพลง 
    อาหงส์สงสัยว่าจุดประสงค์หลักของการเล่นเพลงนี้ที่เเท้จริงคืออะไรกันแน่ 
    จากนั้นรถสีดำสนิทคันหนึ่งที่ติดธงชาติและประดับประดาด้วยเครื่องราชต่างๆอย่างมีนัยยะ เค้าคิดว่าพี่บิ๊กอาจจะอยู่คันนั้นไม่สิต้องเป็นคันนั้นแน่ หลังจากนั้นรถหัวขบวนค่อยๆขับช้าลงเมื่อใกล้ถึงทางแยกที่ไทยมุงยืนอยู่ 
    รถสีดำคันนั้นที่มีธงเยอะที่สุดค่อยๆลดกระจกลง เขาเห็นมืออันอวบอิ่ม ข้อนิ้วประกอบไปด้วยแหวนทองและเครื่องเพชรอีกหลายกะรัตค่อยๆออกมาโบกไม้โบกมือให้กับคนรอบๆตัวจากทางเดินติดถนนฝั่งของอาหงส์ เสียงกรี๊ดด้วยความปีติยินดี ต่างกู่ร้องเป็นเสียงเดียว

    "ประชาธิปไตยจงพินาศ พี่บิ๊กและชาติจงเจริญ"  

    "ประชาธิปไตยจงพินาศ พี่บิ๊กและชาติจงเจริญ"  

              "ประชาธิปไตยจงพินาศ พี่บิ๊กและชาติจงเจริญ"  

            ก่อนที่ขบวนรถจะค่อยๆหายลับตาไปตรงมุมถนนเหลือทิ้งไว้เพียงเสียงเพลง Symphony No.5 ที่ค่อยๆไกลออกไปเรื่อย ๆ ผู้คนกลับมาเดินต่อตามทางอีกครั้งด้วยความสับสนและเสียงระงม อาหงส์ได้ยินเสียงคุยโทรศัพท์เล่าถึงเหตุการณ์เมื่อกี้ให้กับใครซักคนฟัง ฟังดูเหมือนจะเป็นแฟนคลับตัวยงของพี่บิ๊ก ก่อนที่เค้าจะเดินต่อไปตามทาง

    อันที่จริงประชากรส่วนใหญ่ในเมืองไม่ถูกอนุญาตให้มีรถยนต์ส่วนตัวเป็นของตัวเองหลังปีไหนซักปีหลังจากที่พี่บิ๊กขึ้นมานำประเทศ อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนตอนที่ยังเป็น กรุงเทพเมืองนี้มีรถวิ่งบนถนน 5.8 ล้านคัน ขณะที่มีสถิติรถยนต์จดทะเบียนสะสมกว่า 9.82 ล้านคัน เกินพื้นที่ถนนรองรับได้ 4.4 เท่า นั่นคงเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พี่บิ๊กได้กล่าวถึงผู้นำคนก่อนหน้า แต่เป็นเรื่องปกติของเกมการเมืองที่อาหงส์จับใจความได้ ผู้นำคนใหม่กล่าวโบ้ยความผิดจากการบริหารประเทศที่ย่ำแย่ให้กับผู้นำคนก่อน พอมีผู้นำคนใหม่ก็จะวนลูปนรกแตกนี้ไปเรื่อย ๆ


     "ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวถึงผู้นำคนก่อน ที่ได้ดำรงอำนาจเป็นเวลานาน แต่กลับไม่ได้ทำหน้าที่ให้ได้ตรงกับหน้าที่ของตำแหน่งนั้น ผู้นำคนนี้เป็นคนที่ไม่มีความสามารถในการดำเนินงาน และไม่สามารถจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมได้ตามที่ควรจะเป็น           
    ผู้นำคนนี้มีแต่แผนดำรงอำนาจของพรรคพวกตัวเอง พวกเขาเคยใช้อำนาจในการเข้าไปแทรกแซงเพื่อรักษาอำนาจและความมั่นคงของพวกตนเท่านั้น และนี่เป็นเหตุผลที่เราจำเป็นต้องเข้ามาเปลี่ยนแปลงและทำให้เกิดความแตกต่าง เราจะต้องใช้ความสามารถของเราให้เต็มที่เพื่อสร้างสังคมที่เป็นกำลังใหญ่ในที่สุด และเพื่อเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง   แต่พวกเขากลับไม่เคยมีแผนการเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน ข้าพเจ้าจึงเชื่อว่าหลังจากผู้นำคนนี้ได้ถูกเหลียวหลั่งออกจากตำแหน่ง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในการปกครองครั้งใหม่ ผู้ที่มีความสามารถและความรับผิดชอบที่จะนำประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าและประสบความสำเร็จขอให้อยู่กับพรรค 
    ส่วนไอพวกคิดที่จะคานอำนาจหรือสงสัยในตัวข้าพเจ้า 
    จะถือว่าเป็น กบฏ และทุกคนรู้ว่าจุบจบไอพวกนี้มันเป็นยังไง



              อนึ่งด้วยรายได้ที่มีอยู่จำกัดของประชากร พี่บิ๊กและพรรคออกนโยบายเพื่อการขนส่งมวลชนสาธารณะโดยการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความปลอดภัยในการจราจร สมาชิกของพรรคสามารถขึ้นรถขนส่งสาธารณะฟรี เพียงแค่สแกนใบหน้า และนอกจากนี้การจัดการเรื่องจราจรยังมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยการเพิ่มความปลอดภัยในการขับรถและการยับยั้งความเร็วของรถ การติดตั้งกล้องวงจรปิดและระบบควบคุมอัตโนมัติในรถ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ ทุกอย่างจะถูกสอดส่องจับตามองจากพรรคไม่เว้นแม้แต่คุณอยู่ตัวคนเดียวในห้องหรือบนรถส่วนตัวของคุณเองเพื่อให้ง่ายต่อการควบคุมตามที่พรรคอ้างมา หรือแม้แต่ในห้องนอนของคุณเอง ทุกฝีก้าว ทุกคำพูด เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้าระหว่างเค้ากับน้ำตาลก็อาจถูกจับตามองจากคนของพรรคไปเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่เค้ากำลังคร่ำหวอดร้องไห้เสียใจ นักสอดส่องพวกนั้นก็อาจหัวเราะเยาะชอบใจอยู่หลังจอมอนิเตอร์อยู่ก็เป็นได้ สิ่งที่น่ากลัวของการถูกแอบจับตามองคือการที่คุณไม่รู้ตัวว่าเมื่อไหร่คุณจะโดนแอบจับตามองอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผิดข้อบังคับที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาหรือ กฎระเบียบของพรรคสามารถทำคุณหายไปในโลกนี้ได้ง่ายๆ และอาหงส์ไม่ต้องการแบบนั้น

        เขาค่อยๆเดินผ่านตรอก สุดมุมถนนเป็นบันไดหินอ่อนเล็กๆไม่กี่ขั้น กับต้นไม้ปลอมประดับประดาบนราวจับ ทำเอาคิดถึงเพลงเก่าๆที่เค้าเคยฟังตอนเป็นเด็กของวง หัววิทยุ ตัวเค้ารู้ดีมาตลอดว่าการคิดการอ่านของเค้าไม่เหมือนบุคคลทั่วไปนักด้วยระบบการคิดที่มีเหตุและผลที่เค้ามั่นใจว่าตัวเองมีพอสมควร เนื่องจากทางบ้านเมื่อก่อนเป็นชนชั้นกลาง ไม่รวยมากไม่จนมากจนเกินไป เรียกว่าสมถะก็ยังพอฟังได้เนื่องจากเค้ามีเสี้ยวจีนอยู่นิดๆ ชื่อของเขาเลยถูกตั้งว่า อาหงส์ เป็นคำว่า มังกร ภาษาจีนรวมกับสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบกที่สง่างาม พ่อแม่เขาสอนให้คิดแบบมีแบบแผน ไม่พูดทุกอย่างตามที่คิด และไม่คิดทุกอย่างตามที่พูด พอตอนโตเค้าพัฒนาทักษะการฟังหูไว้หู และการปั้นสีหน้าให้เข้ากับสถานการณ์เป็นเลิศ เกิดหน้ากากที่จะเอาไว้ใช้ปรับตัวเข้ากับบริบทสังคมตามที่เค้าอยู่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆในแต่ละวันหรือตามสถานการณ์ สิ่งเดียวที่เค้ากลัวคือ อาจจะแย่อยู่บ้างถ้าพวกนั้นเข้ามาในความคิดเขาได้   
    คงยากที่จะปกปิดแต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีใครเคยทำได้เสียทีเดียว 
     

    เขาเคยได้ยินมาว่า เคยมีคนหลอกตำรวจความคิดได้สำเร็จโดยการทำให้พวกนั้นติดอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวเองเป็นฝันร้ายที่ไม่รู้จบ ฟังดูทรมานถ้าฟังจากภายนอก ฝันร้ายไม่รู้จบฟังดูเป็นโทษฐานที่เหมาะกับพวกคนที่ชอบรู้มากเกินไป  ต่างกับพวกชนชั้นแรงงานกรรมกรที่ต่างไม่รู้อะไรเลย พวกนั้นไม่ต่างอะไรจากสัตว์ที่อยู่ในป่าคอนกรีตตามที่อาหงส์พูดว่าสัตว์ หมายความว่าชนชั้นแรงงานกรรมกรถูกปฏิบัติให้เหมือนกับสัตว์(เดรัจฉาน) เค้าไม่เข้าใจความแตกต่างระหว่าง ตัวเขากับชนชั้นกรรมกรเท่าไหร่ แต่ถ้าเบื้องบนบอกว่าพวกนั้นเทียบเท่ากับสัตว์ ทุกอย่างก็ต้องดำเนินไปแบบนั้น

        หลังจากลงบันไดหินอ่อนอันงามเค้าเดินตรงไปเรื่อย ๆ มองวิสัยทัศน์ข้างทาง มองหาสถานที่นัดหมาย อีกอึดใจเดียวข้างหน้าก็จะถึงหมุดหมาย ภายหลังระยะทางการเดินทางแค่นี้แต่เค้ารู้สึกไกลโข รู้งี้น่าจะนั่งรถเมล์มาแต่เค้าไม่ต้องการให้ถูกจับตามองมากเกินไป อาหงส์มองเห็นป้ายสีเหลืองออกส้มพูดถึงการเสด็จมาเยือนขององศาสดาเพื่อเป็นการไถ่บาปอะไรซักอย่างของศาสนายุคเก่าหน้าตรอกเล็กๆแห่งนึง ก่อนที่จะเดินลึกเข้าไปในนั้น พลางคิดว่า เป็นเรื่องน่าขบขันเสียทีเดียวที่ว่าบาปที่เราก่อต้องให้ผู้อื่นเป็นคนรับผิดชอบให้ ก็ไม่ได้ต่างจากบรรดาเหล่าผู้นำทุกคนที่นั่งบนหอคอยงาช้างที่มีแต่คำพูดสวยหรูสักกะนิด เขาดินต่ออีกนิดก่อนที่เขาจะเห็นร้านกาแฟที่นัดหมายกัน เค้าเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นชายหนุ่มนั่งหน้าสลอนตั้งตารอการมาของเขาอยู่ข้างในร้าน

            สายัณสวัสดิ์ สหายเช เค้ากล่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังแฝงเเววเจ็บปวดระคนจากเหตุการณ์เมื่อเช้า เค้าต้องระบายให้ใครซักคนฟัง…


    19/2/66
    Y
    this part is about info in the city 
    i try to add more BG into main character
    bro , writing is fun for me 
    wish me luck and Fk P'BIG
     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×