ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dooseob's House!!!

    ลำดับตอนที่ #29 : [OS] ห่าง...

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 359
      1
      22 ม.ค. 56

                  -BGM-











                   “ที่ฉันเรียกเธอสองคนมาในวันนี้...คงรู้สินะว่าฉันจะพูดเรื่องอะไร”

                    “ครับ / ครับ” ชายหนุ่มร่างสูงในเรือนผมสีเข้มดึงเก้าอี้ของตัวเองให้นั่งลงก่อนจะหันไปยิ้มให้คนตัวเล็กที่เดินตามเข้ามานั่งลงข้างๆ ชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ก่อนที่อีกฝั่งของโต๊ะดันแว่นบนใบหน้าขึ้นก่อนจะทำสีหน้าจริงจังจนน่าหวั่นใจ

                    “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าพวกเธอกำลังเล่นอะไรกัน แต่ขอให้เลิกเถอะ”

                    “...?”

                    “ฉันก็รู้หรอกนะว่าแฟนเซอร์วิสมันเรียกแฟนคลับได้ดี และแฟนคาเฟ่ของบีสท์ก็มีแฟนคลับมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องขอบคุณเธอทั้งคู่”

                    “ครับ / ครับ”

                    “แต่นับวัน แฟนคลับจะยิ่งคิดเรื่องของพวกเธอสองคนมากเกินไปแล้ว ฉันแนะนำให้เธอสองคนห่างกันกว่านี้จะดีที่สุด...ไม่สิ ฉันสั่งให้พวกเธอระงับแฟนเซอร์วิสที่ชอบทำลงแค่นี้เถอะ”

                    “ต...แต่ ประธานฮง...” เสียงของคนตัวเล็กที่นั่งเกานิ้วตัวเองไปมาได้ซักพักดังขัดขึ้น พร้อมกับสายตาอีกสองคู่ที่หันมองตามไปยังใบหน้าหวานแทบจะทันที

                    “พวกเธอคงไม่อยากให้อนาคตของวงจบลงเพราะเรื่องแบบนี้หรอกนะ”

                    “...”

                    “ประเทศของเราไม่ได้ยอมรับเรื่องพวกนี้ได้กันหมดหรอกนะ พวกเธออาจจะทำมันจนชิน แต่เชื่อเถอะ แป๊บเดียวก็เลิกได้ เอาล่ะ...ฉันจะพูดแค่นี้แหละ” ประธานฮงกล่าวตัดจบก่อนจะหันไปจัดการเอกสารบนโต๊ะของตัวเองต่อ

                    บุคคลต้นเรื่องทั้งสองคนหันมองหน้ากันด้วยความรู้สึกเดียวกัน

     

                    ใบหน้าอึกอัก...ที่แววตาทั้งสองคู่ต่างก็ว่างเปล่า

     

                    แต่ภายใต้ความว่างเปล่า...กลับมีความรักมากมายส่งผ่านให้กันและกัน

     

     

                   

     

                    เพียงชั่ววูบเดียวเท่านั้น ก่อนแววตาขี้เล่นของยุนดูจุนจะเข้ามาแทนที่และหันหนีเขาไปอีกทาง

     

     

     

                    “พวกเราจะพยายามทำตามที่ประธานแนะนำครับ จริงมั้ยโยซอบ?”

                    “อ...อือ” เงยหน้าสบตาอีกคนอย่างไม่เข้าใจ แต่เมื่อประธานค่ายยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าเขาจึงต้องยกยิ้มและพยักหน้าตอบ

     

     

     

     

     

                    ใครจะไปรู้...ว่านั่นจะเป็นรอยยิ้มจริงใจครั้งสุดท้าย...ที่ยังโยซอบมีให้ยุนดูจุน...

     

     

                   






     

     

     

     

                    “ดูจุนกับโยซอบช่วยยืนชิดๆกันหน่อยครับ” เสียงช่างภาพชายคนหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางแสงแฟลชลายตาและเสียงรัวชัตเตอร์ดังกระหึ่ม เจ้าของชื่อทั้งสองเงยหน้าขึ้นตามเสียงก่อนจะหันมองฝ่ายตรงข้ามและก้มลงมองที่พื้น

     

     

     

                    ทั้งๆที่ทุกคนยืนชิดจนเบียดกัน...แต่ตรงนี้กลับมีช่องว่าง

     

     

     

                    ว่างจนดู...ห่างเหิน...

     

     

     

                    “ขอโทษนะครับดูจุน คือวงต่อไปจะขึ้นมาถ่ายรูปต่อแล้ว...” สต๊าฟในเสื้อยืดสีเทาฟังคำสั่งจากเฮดโฟนก่อนจะพยักหน้ารับและวิ่งมากระซิบหัวหน้าวงเบาๆ ดูจุนหันไปยิ้มตอบเจื่อนๆก่อนจะเป็นคนเขยิบตัวไปทางซ้ายก้าวหนึ่ง

                    โยซอบเหลือบตามองปลายรองเท้าหนังของอีกคนที่เลื่อนมาอยู่ใกล้กับตัวเองขึ้นกว่าตอนแรกก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกล้องนับร้อยเบื้องหน้าอีกครั้ง

     

     

     

                    “อ๊ะ” ข้อมือด้านขวาถูกร่างสูงด้านข้างดึงเข้าไปกุมไว้แน่น รอยบีบที่ไม่มากไม่น้อยทำให้ร่างบางต้องหันไปมองคนที่จับมือของเขาไว้ แต่ก็เห็นเพียงใบหน้าคมที่มองตรงไปข้างหน้าและส่งยิ้มให้เลนส์กล้องทั้งหลาย มือข้างที่ว่างอยู่ก็โบกมือไปมาตามปกติ

                    ร่างบางก้มลงมองแขนของตัวเองอีกครั้งก่อนจะมองไปทางแสงแฟลชสีขาวจ้าเบื้องหน้าบ้าง

     

     

     

                    รอยยิ้มค่อยๆปรากฏขึ้นที่มุมปากสีชมพู ก่อนจะยกขึ้นสุดความสามารถจนเห็นลักยิ้มที่เป็นจุดเด่นของเจ้าตัว

     

     

     

                    ฉันคงต้องยิ้ม...ใช่มั้ย?

     

     

     

                    “เมื่อกี๊...อย่าคิดมากเลยนะ” เสียงพูดดังขึ้นด้านข้างพร้อมๆกับแสงไฟด้านข้างที่มืดไปเมื่อมีคนอีกคนมาบังมันไว้ ร่างบางพยักหน้ารับเงียบๆโดยที่ไม่เงยหน้าไปมองแต่ก็ไม่ได้เร่งฝีเท้าหนีแต่อย่างใด

     

     

                    ที่ไม่หันไปมอง...ก็เพราะน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยแบบนี้ก็คงมีอยู่คนเดียว

     

     

     

                    และที่ไม่หนีไปไหน...ก็เพราะไม่อยากให้ความเป็นห่วงที่ได้รับมันมากไปกว่านี้

     

     

     

                    “โยซอบ...” เสียงเรียกชื่อที่แผ่วลงมากจากคำถามประโยคก่อนดังขึ้นอีกครั้งหลังเดินพ้นพรมแดงเข้ามายังใต้ตึกเรียบร้อยพร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ยกขึ้นแตะกลางแผ่นหลังบางผ่านเสื้อสูทสีขาว เจ้าของชื่อหยุดยืนและหันไปเงยหน้าสยตาคนตัวสูงกว่าโดยไม่ได้ตอบอะไร

                    “นายไม่เป็นไร...ใช่มั้ย?” อีกแล้ว...คำถามแบบนี้...

                    “ไม่...ไม่เป็นไร”

                    “แน่ใจนะ? นายดูไม่ค่อยดี...”

                    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” ตอบออกไปส่งๆก่อนขาเล็กทั้งสองข้างจะพาตัวเองก้าวฉับๆเข้าห้องแต่งตัวที่ทางคอนเสิร์ตเตรียมไว้ให้อย่างไม่คิดชีวิต

     

     

     

                    เขารู้ว่าถ้าตั้งใจจะตามมา คนที่ขายาวกว่าเขาเยอะขนาดนั้นก็คงเดินตามมาได้ง่ายๆ

                   

     

     

                    ถ้าตั้งใจจะมาดูอาการจริงๆ ดูจุนก็คงได้เห็นใบหน้าเรียบเฉยของยังโยซอบคนนี้เช่นเคย

     

     

     

     

     

                    แต่เพราะรู้ว่าเรื่องแบบนั้นคงไม่เกิดขึ้น...น้ำตามากมายถึงถูกปล่อยให้ไหลออกมาอย่างตอนนี้

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    “กลับมาแล้วครับ” เสียงพูดที่ดังพอจะได้ยินไปทั่วทั้งหอพักดังพร้อมกับเสียงเปิดล็อคประตู เสียงพูดคุยของผู้มาใหม่ที่คงจะเพิ่งถ่ายละครเสร็จอย่างทุกวันกับผู้จัดการประจำวงดังลอยมาจากหน้าประตูแต่จากในห้องเองก็ฟังไม่ค่อยได้ศัพท์นัก ก่อนประตูจะถูกปิดลงอีกซักพัก

     

                    2:45 AM

     

                    ใบหน้าหวานเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนังก่อนจะก้มลงคนน้ำขิงในแก้วที่เย็นลงไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ดื่มซักจิบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้จนเกิดเสียงดังแก๊งๆเบาๆ ผมที่ไม่ได้จัดเป็นทรงถูกมือเล็กยกขึ้นเสยหน้าม้าขึ้นจนยุ่งเหยิงอย่างที่เจ้าตัวของทำจนติดเป็นนิสัย ก่อนโยซอบจะเดินถือแก้วกระเบื้องตรงเข้าไปยังห้องนอนของตนกับน้องเล็กของวง

     

     

     

                    จะถือว่าโชคร้ายก็ได้...ที่ห้องของเขาอยู่ห้องแรกหน้าประตูทางเข้า

     

     

     

                    “ยังไม่นอนอีกหรอ?” เสียงทักทายดังขึ้นพร้อมกับไฟสีเหลืองส้มที่ถูกเปิดขึ้นเพราะอีกคนไม่ได้รับรู้ว่ามีคนอื่นยังตื่นอยู่ในหอนี้ตั้งแต่แรก ดวงตาหวานทั้งสองข้างถูกหลับลงพร้อมกับมือข้างที่ว่างจากหูแก้วน้ำที่ยกขึ้นบังแสงในระดับเดียวกับสายตา

                    “มาดื่มน้ำน่ะ” ตอบไปสั้นๆอย่างทุกครั้งโดยที่มือก็ยังไม่ลดระดับลง ดูจุนก้มลงมองตามที่มืออีกข้างของโยซอบก็พยักหน้าเมื่อเห็นน้ำขิงที่เจ้าตัวพูดถึงอยู่ในแก้ว

                    “ฉันไปนอนล่ะ”

     

     

     

                    “เดี๋ยวสิโยซอบ” ร่างสูงขัดขึ้นพร้อมกับมือที่ยกขึ้นบังแสงไฟไว้เมื่อซักครู่ที่ถูกมือของอีกฝ่ายกุมไว้และประสานนิ้วจับมือของเขาไว้จนหนีไปไหนไม่ได้

                    “มีอะไรก็ไปพูดตอนเช้าเถอะ ดึกแล้ว พรุ่งนี้มีถ่ายหนังอีกไม่ใช่หรือไง?” สะบัดมือทิ้งเบาๆพร้อมกับเบนหน้าหนีไปทางหน้าต่าง ปากก็เอาเรื่องงานยุ่งๆของร่างสูงมาเป็นข้ออ้างอย่างทุกครั้งไป

     

     

     

                    เพราะงานเป็นเรื่องที่ยุนดูจุนไม่เคยปฏิเสธ...ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด

     

     

     

                    “นายเป็นอะไรไปโยซอบ?” เสียงที่เริ่มดังขึ้นจากอารมณ์ที่เริ่มหงุดหงิดขึ้นจากความเก็บกดตั้งแต่เมื่อวานที่คอนเสิร์ตทำให้โยซอบต้องยอมหันไปสบตากับดูจุนแต่โดยดี มือหนาดึงไหล่เปลือยเปล่าที่โผล่ออกมาจากปลายเสื้อกล้ามของโยซอบเข้าหาตัวจนน้ำขิงในแก้วกระเด็นโดนเสื้อยืดสีขาวของตัวเองเล็กน้อย แต่เวลานี้คงไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องอะไรแบบนี้หรอก

                    “ยังจะถาม...อีกเหรอ?” เสียงเล็กที่เริ่มอู้อี้ดังขึ้นพร้อมกับดวงตาหวานที่ยอมสบตาดูจุนตอบตรงๆเป็นครั้งแรกในรอบหลายวัน แสงไฟสีส้มจางๆกับภาพใบหน้าของร่างสูงสะท้อนอยู่บนแววตาสีน้ำตาลเข็มเบื้องหน้าอย่างชัดเจน ก่อนจะเริ่มพร่ามัวและสั่นไหวขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายร่างบางก็ยกมือขึ้นปิดหน้าและหันหน้าไปทางอื่นแทน

                    “อ...เอ่อ...ฉันขอโทษนะโยซอบ...ฉัน”

                    “ไม่ต้องขอโทษหรอก...ดูสิ ฉันไม่ได้เป็นอะไรซักหน่อย” โยซอบหันกลับมามองหน้าดูจุนอีกครั้งพร้อมรอยยิ้มกว้างที่ยังมีเสียงสะอื้นเบาๆเล็ดลอดออกมาจากร่องฟันให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆท่ามกลางเสียงเครื่องแอร์

                    “ฝันดีนะ” มือเล็กยกขึ้นจับมือของอีกคนที่ไหล่ของตัวเองและวางลงที่ข้างตัวเจ้าของที่ละข้าง ก่อนจะวางมือลงบนบ่าดูจุนเบาๆสองสามครั้ง ส่งยิ้มให้ตามปกติก่อนจะหมุนตัวเปิดประตูเข้าห้องนอนของตัวเองไป

     

     

     

                    “...” ร่างสูงยังคงยืนอยู่ที่เดิมหน้าประตู มือข้างหนึ่งยกขึ้นแตะที่หน้าประตูสีขาวที่เพิ่งถูกปิดลงต่อหน้าเมื่อซักครู่และพิงหัวลงไปเบาๆ

                    ดวงตาคมหลับลงพร้อมปรากฏรอยย่นเล็กน้อยที่หว่างคิ้ว มือข้างที่ว่างก็กำกันแน่นจนรู้สึกถึงแรงสั่นทั่วท่อนแขน

                    “ทำไมโยซอบ...ทำไมนายต้องผลักไสกันขนาดนี้...” กระซิบเสียงเบาจนคงไม่มีใครได้ยินและยืนอยู่อย่างนั้นอีกซักพัก ก่อนดูจุนจะเดินไปเปลี่ยนเสื้อเข้านอนบ้างเมื่อรู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่มากให้พักผ่อนสำหรับตารางงานในวันต่อไป

     

     

     

                    แก้วน้ำขิงที่ยังไม่พร่องลงไปแม้แต่นิดถูกตั้งไว้ที่โต๊ะหัวเตียง เช่นเดียวกับคนตัวเล็กในเสื้อกล้ามสีขาวตัวโปรดที่นั่งพิงพนักพิงของเตียงมองไปยังรอยห่างระหว่างประตูกับพื้นที่แสงสีเหลืองถูกปิดลงหลังจากเงาใครอีกคนที่หน้าประตูหายไปไม่นานอยู่เงียบๆ แขนเล็กดึงหมอนข้างมากอดไว้พลางยกขาขึ้นกอดเข่าหลวมๆ เหลือบมองน้องชายตัวสูงที่นอนหลับสนิทอยู่ข้างๆก่อนจะเอนหัวลงกับผนังห้องและถอนหายใจยาวๆแต่แผ่วเบา

     

                    “ไม่หรอกดูจุน...ฉันไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น...”

     

     

     

                    และถ้านายใส่ใจกันมากกว่านี้ซักนิด...ก็คงทันเห็นน้ำตาเบื้องหลังรอยยิ้มของฉันบ้าง...

     

     

     

     

     

                    “พี่คะ ดูรึยัง? คู่ดูซอบติดอันดับแปดด้วยแหละ” แฟนคลับในชุดนักเรียนมัธยมต้นคนหนึ่งวิ่งตามวงที่เธอชื่นชอบข้ามทางม้าลายมาพลางหอบแฮ่กๆ ในมือก็โชว์ไอแพดที่มีรูปของโยซอบกับคนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างๆอยู่เด่นหรา

                    ขาเรียวทั้งสองหยุดก้าวเดินลงซะเฉยๆ ดวงตาก็จ้องลงไปในรูปบนจอสี่เหลี่ยม

     

     

                    รูปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน...

     

     

     

                    รูปที่ดูใกล้ชิดและเปิดเผย...จนน่าอิจฉา

     

     

     

                    เขาอิจฉาตัวเองในตอนนั้น...ที่ไม่ได้รู้ความจริงเอาซะเลย

     

     

     

                    เขาคือศิลปินที่ต้องขายชื่อเสียง...เช่นเดียวกับหัวใจ

     

     

     

                    และความรักที่คิดว่าใช่...มันก็คงไม่ใช่อย่างที่เคยเข้าใจผิดเลยซักนิด

     

     

     

                    “พี่ก็เพิ่งรู้นะเนี่ย ฮะๆ ไม่น่าเชื่อจริงๆ...”

                    “ก็พวกพี่สองคนเรียลมากเลยนี่คะ จะได้ก็คงไม่แปลก”

                    “งั้นเหรอ? อ่า...จะให้ขอบคุณมันก็แปลกๆอยู่นะ” เสียงใสที่ติดแหบเล็กน้อยจากการซ้อมร้องเพลงข้ามคืนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อน แต่ก่อนจะได้บอกลาแฟนคลับและเดินเข้าสตูดิโอไปอย่างที่ตั้งใจ เสียงของอีกคนที่หยุดยืนมองรูปๆนั้นอยู่ข้างๆไม่ต่างไปจากเขาก็ดังขึ้นมาบ้าง

                    “ซัพพอร์ทพวกเราไปเรื่อยๆก็แล้วกันเด็กน้อย ทั้งพวกเรา...ทั้งบีสท์”

                    “ค่ะ! คิกๆๆ“ เด็กสาวพยักหน้ารับด้วยแก้มที่ขึ้นสีชมพูจางๆก่อนจะหอบไอแพดวิ่งหายไปเมื่อข้ามมาถึงอีกฝั่งถนน โยซอบหยุดยืนหน้าประตูทางเข้าและเหลือบมองใบหน้าของร่างสูงที่เดินตามมาด้านหลังอย่างไม่รีบร้อนนัก

                    “อย่าลืมที่ประธานฮงบอกสิ...เลิกแฟนเซอร์วิส...เลิกทำแบบนี้” เอ่ยด้วยเสียงกระซิบให้ได้ยินเพียงสองคน ทางด้านดูจุนที่เพิ่งเดินตามอีกคนมาหวังจะบอกไม่ให้คิดมากและทุกอย่างเป็นแค่แฟนเซอร์วิสอย่างเคยก็ได้แต่อึ้งไป

                    “เราไม่ใช่อะไรอย่างที่คนอื่นเค้าคิดกันไม่ใช่รึไง? เลิกซักทีเถอะเราเองก็โตๆกันแล้ว...นายเองก็รับปากแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะหยุด”

                    “...”

                    “คำว่าดูซอบ...ลบมันไปจากโลกนี้เถอะ” ก่อนที่น้ำที่ดวงตาจะไหลลงมาให้คนรอบตัวเห็น โยซอบก็หันหน้าหนีร่างสูงไปทางอื่นและขอตัวไปห้องน้ำไม่ได้สนใจผู้คนรอบข้าง

     

     

                   

                    ไม่ได้สนใจ...เจ้าของหัวใจอีกดวงที่ก็เจ็บไม่น้อยไปกว่าเขาเลยซักนิด

     

     

     

     

     

     

     

     

                    “พอดีผมหนาวน่ะครับ ดูจุนเลยซื้อหมวกใบนี้ให้”

     

                    แม็คบุ๊คสีขาวถูกพับหน้าจอลงพร้อมกับเสียงถอนหายใจของร่างเล็กที่นั่งอยู่ในห้องโถงของหอเพียงคนเดียว ดวงตาหวานกวาดมองไปรอบห้องก่อนจะสะดุดเข้ากับหมวกไหมพรมสีน้ำตาลที่แขวนไว้บนที่แขวนหน้าประตูทางเข้า

                   

                    รู้ตัวอีกที...เท้าทั้งสองข้างก็มาหยุดยืนหน้าราวแขวนหมวกกับเสื้อแจ๊คเก็ตทั้งๆที่ยังไม่ได้สวมสลิปเปอร์คู่โปรด ร่างบางเงยหน้ามองหมวกใบโปรดที่หิมะตกกี่ครั้งก็ต้องหยิบมันมาใส่ทุกครั้งไปก่อนจะเอื้อมมือคว้ามันลงมา

     

     

     

                    และถ้าหมวกใบนี้มีปากมีตามีชีวิต...มันก็คงถามว่าเขาโกรธอะไรมันรึเปล่า

     

     

     

                    ทำไม...ถึงได้มองมาทั้งน้ำตาแบบนั้น?

     

     

     

                    แล้วทำไมต้องกำมันแน่น...จนแม้แต่ไหมพรมเองยังรู้สึกเจ็บได้ง่ายๆขนาดนี้?

     

     

     

                   

     

     

                    “จบกันซักทีนะ...” ร่างบางพูดลอยๆหลังจากพาตัวเองมายืนที่หน้าถังขยะริมทีวี มือเล็กกำผืนผ้านิ่มที่ยังมีกลิ่นหอมๆของน้ำยาปรับผ้านุ่มลอยคลุ้ง บ่งบอกว่าเจ้าตัวก็เพิ่งหยิบมันมาใส่เมื่อไม่นานมานี้ในมือแน่นอย่างลังเล แต่ก็ตัดสินใจเด็ดขาดอีกครั้งว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด

                    ‘แกร่กขาซ้ายค่อยๆยกขึ้นเพื่อถอดสลิปเปอร์สีน้ำเงินรูปการ์ตูนออก ก่อนจะเหยียบลงบนที่เหยียบให้ฝาด้านบนของถังพลาสติกอ้าขึ้น

     

                    มือเรียวยกขึ้นจากข้างลำตัวก่อนจะค่อยๆยืดออกไปยังด้านหน้าของตน ใบหน้าหวานหลับตาลงก่อนจะเบนหน้ามองไปทางอื่น

     

     

                    หมวกใบนี้...มันสะอาดเกินกว่าที่จะไปอยู่ในที่แบบนั้นรึเปล่า?

     

     

                   

                    มันมีค่าเกินไป...รึเปล่า?

     

     

     

                    “กลับมาแล้วครับ~” เสียงของน้องเล็กของวงดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของใครอีกคน ดงอุนยังส่งเสียงร้องเพลงจากเดโมอัลบั้มเดี่ยวของโยซอบไปมาอย่างติดปากจนทำนองเศร้าๆของมันกลายเป็นเพลงเร็ว มือสองข้างก็ง่วนอยู่กับการถอดรองเท้าอย่างไม่รีบร้อนนัก

     

     

     

                    เสียงนั้นทำให้ยังโยซอบต้องตัดสินใจปล่อยมือ

     

     

     

                    ปล่อยให้ความหลังเหล่านั้นหายไปพร้อมกับของดูต่างหน้า

     

     

     

                   

     

     

     

     

     

     

                    หรือเวลานั้นจะยังมาไม่ถึงก็ไม่รู้...

     

     

     

     

     

     

     

     

                    “ทำอะไรน่ะ?!?” เสียงทุ้มของใครอีกคนที่ไม่น่าจะกลับมาถึงหอตอนนี้ดังขึ้นจากด้านหลังเรียกให้โยซอบต้องหันไปมองอย่างทำอะไรไม่ถูก

     

                    ยุนดูจุนตัวจริงเสียงจริงกำลังยืนมองมือของเขาไม่พูดอะไรออกมา ริมฝีปากล่างถูกกัดเม้มลงเมื่อเห็นสิ่งของในกำมือที่ถึงเห็นไม่ชัดนักเขาก็พอจะรู้ว่าคืออะไร

     

     

     

                    “มีอะไรเหรอฮยอง...อ่าว” ดงอุนเดินตามมาทีหลังพร้อมเอ่ยถามอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่เมื่อความเงียบที่ถูกทำลายลงได้ทำลายความคิดต่างๆนาๆของดูจุนลงไปพร้อมๆกัน ดูจุนก็ทำเพียงเดินตรงเข้าห้องนอนของตัวเองไป ตามด้วยปิดประตูเสียงดังจนดงอุนต้องยกมือปิดหู

     

                    “โยซอบฮยอง...” น้องเล็กเอ่ยถามพี่ชายตัวเล็กอย่างเป็นห่วงเมื่อพอจะรู้สาเหตุ ไหนจะเห็นใบหน้าหวานก้มลงกับเสื้อยืดสีเข้มที่ใส่จนแทบชิดลงไปกับผืนผ้า ปรากฏให้เห็นรอยเปียกเป็นดวงๆ

                    “พี่ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไรจริงๆ...” ร่างบางยังคงเอ่ยย้ำประโยคเดิมๆเหมือนทุกครั้งที่ดงอุนตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเสียงร้องไห้หรือเสียงถอนหายใจและเข้ามากอดปลอบพี่ชายตัวน้อย แขนแกร่งยกโอบไหล่โยซอบไว้หลวมๆก่อนจะลูบแผ่นหลังเล็กไปมาเบาๆ ทางด้านโยซอบก็ได้แต่ทิ้งแขนลงข้างตัวและปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเปื้อนเสื้อสเวตเตอร์ราคาแพงของดงอุนอยู่อย่างนั้น

     

     

     

                    เขาตั้งใจที่จะจบเรื่องทั้งหมดอย่างที่พูด ตั้งใจจะกลับมาโฟกัสเรื่องงานให้ได้อย่างที่อีกคนทำได้

     

     

     

                    แต่เขากลับไม่กล้ายกมือขึ้นกอดใครตอบเวลาร้องไห้...ยกเว้นกับดูจุน

     

     

     

                    ไม่กล้า...แม้แต่จะโยนหมวกเก่าๆใบนี้ทิ้งไปด้วยซ้ำ...

     

     

     

     

     

     

                    “ดงอุนนา...”

                    “ครับฮยอง?”

                    “บางที...ถ้าการเข้าใจความจริงมันจะทำให้เจ็บปวด...การโง่ต่อไปมันก็คงจะดีกว่าใช่มั้ย”

                    “ฮยอง...”

                    “การรู้ว่าความรักมันไม่ใช่ความรัก...มันทรมานจังนะดงอุน”

                   

     

     

     

                    “การที่รู้ว่ารักไม่ได้ มันก็ยิ่งเจ็บยิ่งกว่า”

     

     

     

                   

     

                    “แต่พี่โยนมันทิ้งไม่ได้ไงดงอุน...พี่ทำไม่ได้...”

     

     

     

                   

                    “ถึงทำได้...เค้าก็จะวนเวียนกลับมาให้พี่คิดถึงมันอยู่เสมอ”

                    “ฮยอง...”

                    “พี่ไปดีกว่า นัดจุนฮยองไว้”

                    “อัดเพลงอีกเหรอฮยอง...ไหวเหรอ?”

                    “อื้ม...ไปนะ ขอบใจนะดงอุน ขอบใจจริงๆ” ว่าแล้วก็ผละออกมาส่งยิ้มหวานให้ร่างสูงและคว้ากระเป๋าเดินออกไปจากห้อง ทิ้งน้องชายให้ยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศกระอักกระอ่วน

     

     

                    ดูซอบ...มันไม่ควรมีขึ้นตั้งแต่แรกแล้ว...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    ประตูที่ไม่ได้ถูกปิดให้สนิทตั้งแต่แรกถูกดึงให้ลงล็อคจนมีเสียงดังแกร๊กเบาๆ ร่างสูงทิ้งตัวนั่งลงกับฟูกเตียงก่อนจะทอดสายตามองไปยังบานประตูตรงหน้า

     

     

     

                    เมื่อกี๊ยังโยซอบยิ้ม...ยิ้มแบบที่ไม่ได้เห็นมานาน

     

     

     

                    ยิ้มทั้งน้ำตา...ที่ไม่ได้ฝืนให้ดูสบายดี

     

     

     

                    ยิ้มจากความโล่งใจที่ได้ระบายความในใจ ต่างกับยิ้มด้วยการโกหกเขาว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป

     

     

                                   

                    อยากจะอิจฉาดงอุนที่ได้รับมันแทนที่จะเป็นเขา...แต่ถ้าจะถามว่าใครผิด ก็คงไม่พ้นกลับมาลงที่ตัวเองอยู่ดี

     

     

                    บางทีถ้าวันนั้นเขาบอกเรื่องความจริงทั้งหมดไป

     

     

                    เรื่องที่เขากับโยซอบคบกัน และทุกอย่างก็ไม่ใช่แฟนเซอร์วิส

     

     

                    ถ้าวันนั้นเขาไม่ตัดสินใจที่จะรับปากสัญญากับประธานฮงไป เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น

     

     

                    ดูจุนกับโยซอบของทุกๆคน คงไม่ห่างเหินกันแบบนี้

     

     

                   

     

     

     

                    “ฮยองมันโง่...”

                    “หือ?” เสียงของใครอีกคนที่ไม่ใช่แม้แต่เจ้าของห้องนอนดังขึ้นจากด้านหน้า ก่อนดูจุนจะยันหลังขึ้นนั่งและมองหน้าดงอุนที่เปิดประตูมายืนกอดอกพิงขอบประตูมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจนัก

     

     

                    ถ้าเป็นปกติเขาคงด่าไปแล้ว

     

     

                    ถ้าเป็นปกติ...โยซอบคงเข้ามายืนข้างๆดงอุนและช่วยกันรุมเขา...

     

     

                    และทุกคน...จะมีแต่รอยยิ้ม

     

     

                    “อย่าคิดว่าผมไม่รู้นะฮยอง...ผมรู้เรื่องโยซอบฮยองมากกว่าที่ฮยองรู้เยอะ”

                    “...?”

                    “ผมรู้ว่าโยซอบฮยองรู้สึกยังไงตลอดหลายๆเดือนที่ผ่านมา รู้เรื่องทุกอย่างจากปากโยซอบฮยอง รู้เหตุผลที่เค้าตีตัวออกห่างจากฮยอง...”

                    “หมายความว่ายังไง...?”

                    “ผมรู้ฮยอง...รู้ดีซะยิ่งกว่าที่คนรักอย่างฮยองจะเข้าใจ”

                    “ดงอุน...”

                    “โยซอบฮยอง...รักฮยองมากนะครับ”

                    “...”

                    “รักมากกว่าที่ฮยองรู้ รักมาก แม้ภายนอกเขาจะสร้างกำแพงกั้นฮยองไว้จนมองผ่านไปไม่ได้...แต่ถ้าความรักของฮยองไม่ได้เป็นเรื่องเฟคอย่างที่คนอื่นๆหรือแม้แต่โยซอบฮยองเข้าใจ...บอกเค้าไปเถอะครับ”

                    “คือ...”

                    “ผมไม่อยากเห็นพี่ชายที่ผมรักทั้งสองคนมาสร้างบรรยากาศซึมๆใส่กันตลอดไปหรอกนะฮยอง”

     

     

     

     

     

     

     

     

                    ตึก ตึก ตึก ตึก

     

     

                    ยุนดูจุนกำลังวิ่งสุดชีวิต...

     

     

                    ท่ามกลางฝูงชนริมถนนยามบ่าย...ใช่...ยุนดูจุนกำลังวิ่งโดยไม่ได้สนใจผู้คนที่จำเขาได้เลยซักนิด

     

     

     

                    ไม่รู้หรอกว่าวิ่งมาไกลแค่ไหน ห้องอัดที่อีกคนไปเขาเองก็เคยไปมาไม่กี่ครั้ง สุดท้ายเลยต้องโทรไปถามทางจากจุนฮยองและวิ่งหาเอาเอง

     

     

     

     

                    ยังดีที่เขาไม่ใช่คนไม่เก่งเรื่องเส้นทาง และเลือดนักกีฬาก็ยังไม่จางไปไหน เขาจึงมาหยุดยืนหอบแฮ่กๆอยู่หน้าบันไดทางลงชั้นใต้ดินของสตูดิโอภายในไม่ถึงสิบห้านาที

                    ไม่รอให้หายเหนื่อยก่อน ร่างสูงเดินตรงรี่เข้าไปยังห้องอัดห้องในสุดก่อนจะเปิดประตูเข้าไปโดยไม่เอ่ยขออนุญาตอะไร รู้ตัวอีกทีแขนทั้งสองข้างก็ดึงคนตัวเล็กที่ยืนดื่มน้ำและหัวเราะคิกคักอยู่กับโปรดิวเซอร์และผู้ช่วยหน้าหล่ออีกคนเข้ามากอดแน่นจนหายใจไม่ออกซะแล้ว

     

     

                    “ด...ดูจุน...” ทางด้านคนที่โดนจู่โจมด้วยอ้อมกอดอุ่นโดยไม่รู้ตัวก็ทำได้เพียงเอ่ยชื่อของอีกคนออกมาเบาๆ เสียงหอบเป็นจังหวะพอจะบ่งบอกได้บ้างว่าร่างสูงคงไม่ได้แค่เรียกแท็กซี่ตามมาที่นี่แน่ๆ

                    “นายวิ่งมา...”

                    “อืม” บทสนทนาเงียบไปเพียงเท่านั้น จุนฮยองที่เห็นสถานการณ์แล้วพอจะร็หน้าที่ก็ดึงแขนคนข้างๆให้ออกไปข้างนอกทันที

     

     

                    “ฉันจะรีบมา...บอกว่าฉันไม่ได้โกหก”

                    “ฮ...ฮะ?”

                    “นาย...ไม่ใช่คนโง่ยังโยซอบ นายไม่เคยโง่ เพราะนายไม่เคยมองความรู้สึกของฉันผิด”

                    “ล...แล้ว” ริมฝีปากอิ่มถูกปิดลงด้วยสัมผัสนุ่มนวล ก่อนอ้อมกอดจะถูกคลายออกช้าๆเพื่อตอบคำถามคาใจของคนข้างหน้าให้ชัดเจน

     

     

                    จูบแรกของยังโยซอบ...กับยุนดูจุน...

     

     

     

                    “ความรักมันโกหกกันไม่ได้หรอกนะ...ไม่เหมือนจริงขนาดนี้หรอก”

     

     

     

     

     

     

                   

     

     

                    เดือนต่อมา อัลบั้มเดี่ยวของโยซอบถูกปล่อยออกสู่ตลาด พร้อมๆกับข่าวดูซอบที่เริ่มมามีชีวิตชีวา แฟนเพลงส่วนมากต่างชื่นชมเพลงงแทร็คที่สี่เป็นพิเศษ เพราะอารมณ์ของเพลงถูกถ่ายทอดออกมาได้เป็นอย่างดีโดยเมนโวคอลของวง

     

                   

     

     

     

                    มันอาจเป็นโชคร้าย...หรือพระเจ้าตั้งใจกลั่นแกล้งเขาทั้งสอง ให้มาพบกับเรื่องทั้งหมด

     

     

     

                    แต่ความโชคร้าย...ก็ทำให้ยังโยซอบเข้าถึงอารมณ์ของเพลงที่หลายๆคนใช้เวลามากมายที่จะเข้าใจได้อย่างง่ายดาย

     

     

     

                    และหลังจากความโชคร้ายเพียงเสี้ยววินาที...ความโชคดีที่สุดในชีวิตก็ตามมาอย่างไม่คาดฝัน

     

     

     

     

                    ความโชคดี...ที่ไม่ใช่แค่ความฝัน

     

     

     

     

                    ...หรือคำโกหก

     

     

     

     

     

     

     

    THE END

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×