คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #27 : [SF] 100-year-later Wonder Land
‘ครืนนนน ครืนนนนน’ เสียงคลื่นปนกับลมแรง
พอประมาณพัดสาดปะทะเข้ามาที่ข้างใบหน้า ปลุกร่างเล็กให้ตื่นขึ้น
ร่างบางค่อยๆยันตัวขึ้นนั่งช้าๆก่อนจะหรี่ตามองไปรอบๆตัวเพื่อปรับ
สายตาให้เข้ากับแสงแดดจ้าเบื้องหน้า
จะเรียกว่าเสียงแดดก็คงไม่ได้ เพราะสีของมันขาวอย่างกับสปอทไลต์
ขาวจนมองไม่เห็นอะไรรอบตัว สรุปแล้วก็ขาวเกินกว่าจะเป็นแสงของพระอาทิตย์...
อย่างน้อยก็ไม่ใช่ในโลกของเขาก็แล้วกัน
“เฮ้ย!!” ทันทีที่ลุกขึ้นนั่งได้ถูกท่าถูกทาง คลื่นลูกใหญ่พอควรก็พัดมา
กระทบเข้าด้านข้างจนเรือที่ร่างเล็กนอนอยู่เซเอียงไปอีกข้างนึง ส่งผลให้ตัวเล็กๆ
ของเขากลิ้งขลุกๆไปกองอยู่ที่ด้านหนึ่งของเรือ มือเล็กยกขึ้นจับขอบเรือทั้งสองข้างไว้
ก่อนจะกระเถิบก้นกลับมานั่งกึ่งกลางเรือได้ทันเวลาพอดี ใบหน้าหวานเบิ่งตาอย่าง
ช็อคสุดขีด จริงๆก็เป็นคนกลัวเรืออยู่แล้วนะ แล้วนี่มันอะไร?
นึกได้ดังนั้นความคิดอีกอย่างก็แล่นขึ้นมาในหัว... จำได้ว่าก่อนจะหลับไป
เขานอนอยู่บนเตียงของน้องสาวที่บ้าน แล้วสิ่งสุดท้ายที่น่าจะกำลังทำอยู่ก็น่าจะอ่าน
นิทานเล่มโปรดของน้องสาวเล่นอยู่นี่แหละ...
‘Alice's Adventures in Wonderland’
นึกถึงนิทานเรื่องนั้นก็เกิดรู้สึกตะหงิดๆขึ้นมาไม่ได้... ใช่ นิทานเรื่องนี้
มันทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กหลายๆคนเอาไปเพ้อฝันตอนกลางคืนว่าตัวเองได้
เข้าไปในแดนลึกลับพิศวงที่มีแต่สัตว์รูปร่างประหลาดๆกับดอกไม้พูดได้มานัดต่อนัด
‘ยังเยซุน’ น้องสาวอายุแปดขวบของเขาเองก็คงไม่ต่างกัน
จำได้ว่าเยซุนเริ่มพูดเรื่องเมืองๆนึงที่ตัวเองไปเที่ยวมาทุกคืนตั้งแต่เขา
ซื้อหนังสือเล่มนี้มาให้น้องอ่านตอนน้องห้าขวบ จนเป็นปีเข้าไปแล้วก็ยังไม่เลิกเพ้อซักที
จะห้ามก็กลัวจะไปปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์ของเด็กอีก สุดท้ายเลยต้องยอมๆ
นั่งฟังเรื่องยาวๆจากปากน้องสาวสุดที่รักไปทุกวัน
“นี่ฟังเค้ามากจนเก็บมาฝันเองเลยรึไงวะ= =” บ่นขึ้นเบาๆกับตัวเอง
ก่อนจะทิ้งตัวนอนลงบนพื้นเรือและยกมือก่ายหน้าผาก ไม่ไหวๆ แสงรอบตัว
มันส่องจนแสบตาไปหมด ขอมุดกลับมาตั้งหลักก่อนดูจะดีกว่า
ดวงตากลมมองไปรอบๆตัวเรือลำเล็กพอดีตัวที่ทำจากไม้ทั้งลำ
มีลายดินสอสีวาดรูปตกแต่งไว้ประปราย ซึ่งดูก็รู้ง่ายๆว่าเป็นฝีมือน้องสาวตัวเอง
ไหนจะมีหมอนกับผ้าห่มผืนเล็กลายคุ้นตาอยู่ที่หัวเรือ ทำให้เขายิ่งงงไปกว่าเดิม
นี่ต้องเป็นสาเหตุที่แม่เจอทรายกับกลิ่นเค็มๆในหมอนน้องบ่อยๆแน่ๆ...
งั้น...อย่าบอกนะว่าเมืองในฝันที่น้องสาวตัวน้อยนั่งกรอกหูเขามาทุกวันมันมีอยู่จริง?
“ไม่จริงน่าๆ” ร่างเล็กส่ายหัวแล้วยกมือตบแก้มเตือนสติตัวเอง
สองสามครั้ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ามันมีเรื่องที่สำคัญกว่าในตอนนี้
เขาจะออกไปเรือบ้าๆนี่ได้ยังไง?
ไวเท่าหัวจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เขารู้สึกเหมือนลมอ่อนๆ
พัดผ่านมาอีกระลอก แต่คราวนี้ในสายลมเย็นๆกลับมีกลิ่นของดอกไม้อ่อนๆ
ลอยติดมาตกอยู่ที่ปลายจมูก กลิ่นหอมๆนั่นทำให้เขาอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ก่อนจะรู้ตัว คลื่นลูกใหญ่อย่างกับจะสร้างสึนามิได้ลูกใหญ่เบ้อเริ่มก็ก่อตัวขึ้น
ที่ด้านหนึ่งของลำเรือ และกระเถิบแทรกตัวดันใต้ท้องเรือลำเล็กไปสู่ทิศทางเบื้องหน้าเต็มแรง
“อ๊ากกกกกกกกก แม่จ๋า TT[]TT”
“อ้าว เยซุน มาอีกแล้วเหรอ?” เสียงทุ้มแหบ
แต่กลับติดผสมความหวานอย่างบอกไม่ถูกดังขึ้นไม่ห่างไปจากใบหูนัก
ก่อนเสียงฝีเท้าจะดังใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และมาหยุดลงที่ข้างเรือ
ผู้มาใหม่ส่งเสียงหือขึ้นมาด้วยความแปลกใจเมื่อคนบนเรือไม่ใช่เด็กหญิง
ตัวเล็กๆอย่างที่เขาเคยมารับทุกๆวัน
“นายเป็นใครเนี่ย?” เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดเบาๆที่ไหล่เรียกเสียง
ครางตอบรับงึมงำจากคนตัวเล็กที่นอนคว่ำหน้าลงกับหมอนสีชมพูหวานของ
คนเป็นน้องได้เล็กน้อย ร่างบางหมุนหัวไปมองคนข้างๆเรือก่อนจะขมวดคิ้วลง
“ฉันต่างหากที่ต้องถามว่านายเป็นใคร= =” เอ่ยเสียงเรียบและจ้องหน้า
ร่างสูงตรงหน้าอยู่อย่างนั้น อีกฝ่ายก็ดูจะเอาแต่เงียบอย่างเดียวเลยเนี่ยสิ
“เอ๊ะ สรุปที่นี่มันบ้าอะไรกันเนี่ย?!? อ...อุ๊บ” คนตัวเล็กดึงผ้าห่มผืนสั้น
มาทึ้งกับหัวตัวเองพลางเบะหน้าอยากร้องไห้เต็มทน แต่การแหกปากนี่แหละ
ดูจะเป็นการกระตุ้นอาการเมาคลื่นนเมื่อกี๊ดีเสียจริงๆ
“เฮ้ยคุณ ค่อยๆ ค่อยๆ” เมื่อเห็นอาการของอีกคนไม่ดีนัก ถึงจะเป็น
คนแปลกหน้าแถมยังมาบนเรือที่เด็กที่ตัวเองเรียกได้ว่าสนิทชิดเชื้ออย่างไร้ที่มา
แต่ร่างสูงก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเข้าไปช่วยพยุงไว้
ดีดนิ้วสองสามครั้งก็มีถังขยะพลาสติกถังหนึ่งหล่นลงมาบนพื้นทรายใกล้ๆ
แขนแกร่งเอื้อมไปคว้ามันมารองไว้ข้างเรือตรงหน้าคนตัวเล็กกว่า
อีกมือก็ลูบหลังอีกคนเบาๆให้ปล่อยมันออกมาให้หมดไส้หมดพุง
“ขอบ...ใจ...อุแหวะ!!”
“สรุป...นายเป็นพี่ชายเยซุน?” หลังจากพาผู้มาเยือนคนใหม่เดินเลียบไปตาม
ชายหาดและฟังอีกคนเล่าเรื่องทั้งหมดมาได้ซักพัก ร่างสูงก็เปิดประเด็นถามขึ้นมาบ้าง
“ถูก อ้อใช่! ฉันยังโยซอบ” ร่างเล็กระบายยิ้มหวาน
ก่อนจะยื่นมือข้างหนึ่งไปข้างหน่า ร่างสูงยิ้มรับและยกมือจับมันไว้พลาง
เขย่าขึ้นลงสองสามครั้ง
“ฉันยุนดูจุน”
“แล้วนี่ นายพอจะบอกฉันได้รึเปล่าว่าที่นี่มันที่ไหนกันแน่?”
“ฮะๆ นายถามเหมือนครั้งแรกที่เยซุนมาไม่มีผิด”
“...?”
“คืออย่างนี้ ที่นี่น่ะ ก็เหมือนกับโลกคู่ขนานของโลกนายล่ะมั้ง
นายก็คงเข้ามาผ่านทางหนังสือนิทานเรื่องนั้นสินะ...อลิซในดินแดนมหัศจรรย์?”
“ใช่ นายรู้จักด้วยหรอ?”
“อืม ในโลกของฉันก็มีหนังสือแบบนี้เหมือนกัน แต่นิทานเรื่องนั้นของเรา
อลิซฝันเห็นเครื่องจักรสีเหลี่ยมที่เรียกว่ารถยนตร์ เครื่องเล็กๆที่เรียกว่าโทรศัพท์มือถือ
ไหนจะบ้านสูงระฟ้าที่ส่องแสงสีสันแสบตายามค่ำคืน ฉันเดาว่านั่นก็คงเป็นโลกของนายสินะ”
“ถูกต้องเลย! แล้วอย่าบอกนะว่าเด็กๆที่นี่อ่านแล้วก็เก็บไปฝันเหมือนกัน?”
“อืม แต่ไม่รู้ทำไม เด็กๆหลายคนกลับกลัวฝันพวกนั้นจับใจ จะว่าเป็นฝันร้ายก็ว่าได้”
“เห โลกของฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ไม่หรอก มันก็แค่เป็นสังคมที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย แต่ถึงอย่างงั้นทุกคนก็ยัง
เห็นด้วยว่ามันเป็นฝันร้ายที่สวยงามจนคุ้มที่จะเสี่ยงฝันถึงอยู่ดีน่ะนะ
จริงๆฉันก็เคยฝันถึงที่นี่นะ แต่ก็ตอนเด็กๆเท่านั้นแหละ...เอาล่ะ ถึงตัวเมืองแล้ว”
ดูจุนเดินเล่าเรื่องโลกของตัวเองไปเรื่อยๆ จนหยุดลงที่หน้าประตูไม้เก่าๆบานหนึ่ง
บนกำแพงปูนสูงสีขาว ร่างสูงยื่นมือไปจับที่เคาะประตูและเคาะมันลงกับ
บานประตูสองสามครั้ง ช่องเล็กๆบนระดับสายตาถูกเลื่อนเปิดออกพร้อมกับดวงตา
คู่หนึ่งที่จ้องผ่านมา แต่แค่เพียงเห็นหน้าของดูจุนชายร่างใหญ่อีกฝั่งของประตูก็
ยอมเปิดให้อย่างง่ายดาย
“แล้วโลกของเรามันเชื่อมกันอย่างนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่หรอ?” โยซอบ
ถามขึ้นบ้างระหว่างที่ทั้งสองเดินผ่านขอบประตูจากพื้นทรายไปยังพื้นอิฐที่
ทอดเป็นทางยาว
“ก็...ตั้งแต่ปีที่นิทานเรื่องอลิซถูกแต่งขึ้น โอย ร้อยปีได้แล้วล่ะมั้ง”
“อ่อ...” โยซอบพยักหน้างึกงักก่อนจะเงียบไปอีกรอบ ราวกับทั้งสอง
จะหยุดฟังเสียงคลื่นจากข้างนอกกำแพงเบื้องหลังและเสียงนกร้องประสานกันเป็นเพลง
คลอเบาๆที่ลอยมาในสายลม ร่างบางยกยิ้มเมื่อเพลงที่ได้ยินมันทำให้เขานึกถึงเพลงๆนึง
ที่เคยได้ยิน
“เยซุนคงเอาเพลงนี้มาจากที่นี่สินะ” ว่าแล้วก็ฮัมตามเสียงเพลง
ที่ได้ยินราวกับคุ้นเคย ร่างสูงก้มมองคนข้างๆอย่างแปลกใจ ก่อนจะอมยิ้มออกมา
“เพลงนี้ชื่อ The Humming Bird ไวท์ควีนเป็นคนแต่งน่ะ
เยซุนเองก็ดูจะชอบมากด้วย”
“ไม่ใช่แค่ชอบนะ บ้าเลยล่ะ เอามาร้องให้ฉันฟังแล้วบอกให้ฉันจำไว้
ร้องกล่อมนอน จำได้จนจบแล้วเนี่ย ฮะๆๆ” ร่างบางเริ่มพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อย
อย่างมีอารมณ์ร่วมกว่าตอนแรกๆ
ใบหน้าหวานระบายยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงวันที่น้องวิ่งมาปลุกเขา
ตอนหกโมงเช้าวันที่เพิ่งจะได้นอนไปตอนตีสามหลังปั่นรายงานเคมีเสร็จ
แล้วบอกให้เขาจดทำนอง มีขู่อีกต่างหากว่าถ้าไม่ทำจะเอาหนูมาปล่อย
บนเตียงพี่ชายสุดหล่อ... แถมเขาก็กลัวหนูยิ่งกว่าอะไร
เอ่อ...ไม่นับเรือนะ
“เอ้อนี่ ดูจุน”
“หืม? นายนี่ขี้สงสัยน่าดูนะ ไม่แปลกเลยว่าเยซุนไปเอานิสัยมาจากใคร”
“ก็ที่นี่มันที่ไหนบนโลกก็ไม่รู้ เห็นก็ไม่เคยเห็น จะสงสัยหน่อย
ก็คงไม่แปลกหรอกนะ-3-” โยซอบยกมือกอดอกแล้วเบะปากออกเล็กน้อย
ร่างสูงยกยิ้มก่อนจะคว้าข้อมือเล็กของอีกคนให้เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปทางทางเดิน
ที่มีพุ่มดอกกุหลาบสีขาวอยู่ด้านหน้า
“ฉันไม่ได้ว่าอะไรน่า แล้วที่ว่าอยากรู้น่ะเรื่องอะไรล่ะ?”
“ก็ที่นีดูไม่เหมือนที่ฉันคิดเลยน่ะสิ”
“ยังไงหรอ?”
“ก็ในนิทานที่อ่านมา... มันต้องมีกระต่ายถือนาฬิกาเรือนใหญ่ๆ ทหารไพ่
ดอกไม้พูดได้ ปาร์ตี้น้ำชาของแม๊ดแฮทเทอร์ กระต่ายบ้าพลัง ไวท์ควีน เรดควีนอะไรด้วย
ไม่ใช่เหรอ?”
“อ้อ... นี่คนที่โลกนายเค้าไม่ได้เอาเรื่องใหม่ๆไปอัพเดทกันเลยรึไงนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เรื่องที่เล่าๆกันน่ะ มันก็ตั้งแต่ร้อยปีแล้วใช่มั้ยล่ะ? อลิซตัวจริงน่ะ
ตอนนี้ก็ตายไปนานแล้ว สิ่งมีชีวิตในโลกของฉันก็ใช่ว่าจะมีชีวิตอมตะซะที่ไหน”
“แล้วตอนนี้เค้าไปไหนกันหมดแล้วล่ะ? ตายหมดเลยเหรอ?”
“อืม ก็ตายไปหมดแล้วล่ะ แต่ก็ไม่ได้หายไปโดยสมบูรณ์หรอกนะ
ดูอย่างนั่นสิ” ร่างสูงดึงมือเล็กให้หยุดเดินและชี้ออกไปยังชายหนุ่มสองคน
ที่น่าจะเป็นแฝดกันที่วิ่งไล่จับกันอยู่กลางสนามหญ้าไม่ไกลนัก
“สองคนนั้นเป็นหลานของกระต่ายถือนาฬิกาที่นายว่านั่นแหละ
ถึงจะไม่ได้ดูไฮเปอร์เหมือนรุ่นปู่แต่ก็ขี้โวยวายพอควรนั่นแหละ”
“อ้าว ทำไมไม่ใช่กระต่ายล่ะ?” โยซอบถามเอนหัวมองอย่างสงสัย
“มองดีๆสิ บนหัวน่ะ” ร่างเล็กเลิกคิ้วสงสัย แต่ก็มองเพ่งตาม
ไปที่กลุ่มผมสีสว่างของเด็กหนุ่มวัยเดียวกันทั้งสองคน ก่อนจะร้องอ๋อขึ้นมา
เมื่อเห็นใบหูยาวๆสีขาวสองคู่อยู่บนหัวของทั้งสองอย่างที่ร่างสูงบอก
“แล้วนั่นก็แมวเชสเตอร์รุ่นเหลน” ดูจุนชี้ต่อไปด้านหน้าอีกหน่อยที่มี
หญิงสาวในเสื้อเดรสสั้นสุดเปรี้ยวสีชมพูอมม่วงกับรองเท้าส้นสูงห้านิ้วเศษๆ
ไม่เหมาะกับพื้นหญ้าซักเท่าไหร่ที่ยืนกอดอกเกาคางตัวเองจ้องไปที่พุ่มดอกไม้ตรงหน้า
มาได้ซักพัก
“คนนี้เนี่ยนะ?”
“อืม”
“แล้วทำไมเค้าไม่ไปอยู่บนต้นไม้ แล้วก็แบบ หายตัว แสยะยิ้มอะไรอย่างนั้นล่ะ
นี่มันนางแบบชัดๆ จะบอกว่าหเลนไวท์ควีนฉันยังจะเชื่อซะกว่า”ร่างสูงแค่นหัวเราะก่อนจะส่ายหัว
“นายไม่ได้เข้าใจผิดหรอก จริงๆเธอก็ยังไปนั่งเล่นบนต้นไม้
อยู่บ่อยๆนั่นแหละ แต่ก็นะ ส้นสูงอย่างนั้นจะปีนต้นไม้ก็ลำบาก ส่วนที่
ไม่ค่อยล่องหนกับแสยะยิ้มน่ากลัวๆใส่ชาวบ้าน เจ้าตัวบอกว่า...”
“เกิดมาสวยฉันก็ต้องอยากโชว์สิจ๊ะ จะให้มามัวแต่หายตัวฉันจะลงทุนแต่งตัวสวยๆ
อย่างนี้มาทำไม อีกอย่าง ถ้าให้ฉันไปยิ้มน่ากลัวๆใส่ชาวบ้านชาวช่องไปทั่ว
ผู้ชายที่ไหนจะกล้ามาเป็นแฟนฉันล่ะ? อย่างนี้ใช่มะ?” เสียงเจื้อยแจ้วดังขึ้นจากด้านหลัง
ทำให้โยซอบสะดุ้งไป ร่างบางหันมองด้านหลังขวับก่อนจะช็อคกว่าเดิมเมื่อสาวสวย
ที่ยังยืนอยู่ตรงหน้าเมื่อกี๊ได้แว๊บมายืนยิ้มหวานอยู่ด้านหลังเขาเรียบร้อยแล้ว
“นินทากันอีกแล้วนะเจ้าช...ดูจุน” หญิงสาวชะงักไปเมื่อเงยขึ้นสบกับ
ดวงตาคมทั้งสองของร่างสูง ก่อนจะระบายยิ้มเจ้าเล่ห์
นี่ล่ะลูกหลานแมวเชสเตอร์ไม่ผิดแน่ๆ
“อย่าบอกนะว่านายคือพี่ชายของเยซุน” นิ้วเรียวยกขึ้นจรดที่แก้มนิ่ม
ของชายหนุ่มที่สูงอยู่แค่ระดับหางตาของตน ก่อนหญิงสาวจะถามด้วยสีหน้า
ตื่นเต้น
“อ...อือ”
“ว้าวววว โยซอบสินะ เยซุนเล่าเรื่องนายให้ฉันฟังบ่อยมากเลยล่ะ
น่ารักอย่างที่ว่าจริงๆด้วยน้า เนอะดูจุนเนอะ” หันไปขอความเห็นจากคนตัวสูง
ก่อนคนที่โดนพาดพิงจะยิ้มตอบบางๆและพยักหน้า
“เยซุนก็เล่าเรื่องเธอให้ฉันฟังเหมือนกันนะ”
“จริงหรอ? ยังไงๆ”
“เยซุนบอกว่า...”
คุณแมวเชสเตอร์ตัวจริงสวยมากเลยล่ะโอปป้า
เอ่ยคำพูดของน้องสาวด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับใบหน้าเล็ก
ที่เปลี่ยนเป็นสีชมพูจางๆ
ก็คนมันไม่เคยชมผู้หญิงนี่นา
“จริงอ่ะ? ดีใจจัง” แมวเชสเตอร์ระบายยิ้มกว้าง
พลางกระโดดไปมาอยู่ซักพัก จนหันมาเจอสีหน้าหน่ายเต็มทน
ของดูจุนนั่นแหละถึงกลับมายืนปกติ
“อ่า...ฉันว่าฉันไม่อยู่ขัดบรรยากาศของเธอสองคนแล้วดีกว่า”
รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยเฉี่ยวอีกครั้ง โยซอบเลิกคิ้วขึ้น
เพราะเริ่มตามอารมณ์ของอีกคนไม่ทัน
“ไม่นี่นา หลายๆคนก็สนุกดี” ชายหนุ่มร่างเล็กออกอาการชัดเจน
พลางโบกมือเป็นพัลวัน ดูจุนเหลือบมองด้วยรอยยิ้มเอ็นดู แต่ในขณะเดียวกันก็
แอบส่งสายตาดุใส่แมวสาวสวยตรงหน้าที่ยืนยิ้มแฉ่งอย่างผู้ชนะ
“เอาเป็นว่า ไว้เจอกันคราวหน้าที่นายมาที่นี่แล้วกัน บาย~”
แมวสาวยกยิ้มหวานก่อนจะก้มลงทิ้งรอยลิปสติกสีบานเย็นจางๆลงกลาง
แก้มใสของโยซอบ คนที่โดนสาวสวยจุ๊บเข้าให้ก็ยืนอึ้งอยู่อย่างนั้น
“โยซอบ...ยังโยซอบ เฮ้!” เสียงทุ้มดังขึ้นตรงหน้า รู้ตัวอีกทีใบหน้าคม
ของดูจุนก็อยู่ห่างจากตนไปไม่กี่นิ้ว มือหนาที่ด้านสากแต่กลับให้ความอบอุ่นอย่างประหลาด
ยกประคองใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือไว้เบาๆและจ้องลึกลงไปในแววตาหวานสีช็อคโกแลต
ก็ว่าจะแค่มองตาให้รู้สึกตัวอยู่หรอก...
แต่ทำไม่ได้แฮะ=////=
“ดูจุนนนนน เฮ่ย นี่เรียกฉันแล้วเหม่อซะเองอย่างงี้ได้ไงเนี่ย?”
โยซอบถามอย่างติดตลกพลางดึงแขนเสื้อสีขาวของแขนสองข้างที่อยู่ห่างจาก
ต้นคอเขาไปไม่เท่าไหร่เบาๆ ร่างสูงได้สติกลับมาก่อนจะถอนตัวออกไปยืน
เว้นระยะห่างเหมือนเดิม
“อ...เอ่อ โทษที” โยซอบไม่ได้ทำอะไร เพียงแต่ยกยิ้มตอบและ
ส่ายหน้าเหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร คราวนี้ร่างบางเป็นคนออกตัวเดินนำไปข้างหน้าก่อน
แต่เดินไปเพียงสามก้าวก็หันกลับมาระบายยิ้มพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใส
“ไม่มาด้วยกันหรอ?” ดูจุนพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะเดินตามไปขนาบข้าง
คนตัวเล็กกว่าอีกครั้ง
เพียงแต่ครั้งนี้...ไม่มีใครเดินนำหน้าใคร
หลังจากเดินผ่านสวนดอกไม้และการฝึกขบวนทหาร
ยามบ่ายมาอีกซักระยะ ทั้งสองก็มาถึงประตูบานใหญ่อีกบานหนึ่ง
เพียงแต่บานนี้ดูหรูหรากว่าบานก่อนมาก ไหนจะเรือนไม้ที่ทาสีขาวจนทั่ว
ทั้งๆที่ดูเก่าแก่ไม่น้อยกว่าร้อยปี แต่ยังคงความสะอาดไว้อย่างดีจนไม่น่าเชื่อ
“โห~” ร่างเล็กเงยหน้าสำรวจบานไม้ติดสลักสีทองขัดจนวาววับ
ที่ดูแล้วน่าจะสูงเท่ากับเขาสองคนยืนต่อกันก็อดจะอุทานเสียงดังไม่ได้
“คิดว่าจะมีแต่ในนิทานซะอีกแฮะ” พึมพำกับตัวเองด้วยความอึ้ง
ที่ดูจะไม่ลดลงง่ายๆ ดูจุนมองการกระทำนั้นด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะดีดนิ้วครั้งหนึ่ง
ประตูทั้งสองบานค่อยๆส่งเสียงดังแกร๊ก ก่อนจะค่อยเลื่อนเปิดออก
ราวกับมีใครดึงจากด้านใน ร่างสูงยืนรอจนประตูหยุดขยับ จึงเดินตรงเข้าไปข้างใน
ด้วยท่าทางสบายๆ ตรงกันข้ามกับคนที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรกที่ยังยืนรับประทานอึ้งอยู่ที่เดิม
“เข้ามาสิ” ร่างสูงหยุดเดินลงกลางโถงทางเข้าก่อนจะหันมายิ้มให้บางๆ
โยซอบพยักหน้ารัวสองสามครั้ง ก่อนจะสาวเท้าเดินเร็วตามเข้าไปบ้าง
“นายทำได้ไงอ่ะ?”
“ฮะ? ทำอะไร?” เสียงใสจากด้านหลังเรียกขายาวให้หยุดการก้าวเดินลงอีกครั้ง
ดูจุนหันไปเลิกคิ้วถามอีกคน ก่อนโยซอบจะถือโอกาสวิ่งดุ๊กๆมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ
“ก็ที่ดีดนิ้วอย่างงี้แล้วประตูเปิดอ่ะ ตอนที่ชายหาดนั่นก็เหมือนกัน
ที่นายดีดนิ้วเป๊าะๆแล้วถังอ้วกมันก็โผล่มา” โยซอบเล่าพลางดีดนิ้วทำท่าประกอบ
อย่างตื่นเต้น ต่างกับดูจุนที่ยืนมองมันด้วยความรู้สึกเดียว
นี่อายุสิบแปดแล้วแน่เหรอ?
“ย่าห์ อย่ามัวแต่ยิ้มสิ ตอบมาๆๆ” เมื่อเห็นอีกคนไม่ตอบโยซอบก้เริ่มคาดคั้น
มือเล็กยกขึ้นจับเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่งของคนตรงหน้าและกำไว้
หลวมๆ พลางส่งสายตาปริบๆไปให้
“โอเคๆ ตามมานี่ก่อนสิ” ร่างสูงพยักหน้ายอมแพ้เนือยๆ
ก่อนจะจับมือนิ่มให้เดินตามตัวเองมาที่ระเบียงที่ยื่นออกไปนอกตัวตึก
“ว้าว~” อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาอีกครั้งด้วยรอยยิ้มกว้างกว่าที่เคย
เมื่อจากที่ๆอีกคนพามา เขาสามารถมองเห็นไปได้เกือบทั่วทั้งเมือง
ไหนจะสายลมเย็นที่พัดพาเสียงนกร้องเพลงมาเข้าหูเบาๆ ทำให้โยซอบ
ลืมเรื่องที่จะถามไปชั่วขณะ จนเสียงปิดประตูทางออกระเบียงถูกปิดลงด้านหลัง
ลอยมาเข้าหูนั่นแหละ วิญญาณถึงกลับเข้าตัว
“ชอบมั้ย?”
“อื้ม สวยมาก” พยักหน้าตอบก่อนจะหมุนตัวกลับมาเท้าแขนลง
กับขอบระเบียงและทอดสายตามองออกไปสุดขอบเมืองเท่าที่ตัวเองจะมองเห็น
อีกครั้ง ร่างสูงเดินตามมายืนกอดอกหลวมๆอยู่ข้างๆ
“ยังอยากฟังคำตอบของฉันอยู่มั้ย?”
“แน่นอน ฉันไม่ได้ความจำไม่ดีจนจะลืมเรื่องที่ถามไป
เมื่อไม่ถึงนาทีที่แล้วหรอกนะ” โยซอบตอบอย่างไม่พอใจนักพลาง
หันไปพองแก้มใส่คนข้างๆ
“คืออย่างงี้...ก็อย่างที่บอกว่าร้อยปีผ่านไป ตัวละครที่นายรู้จัก
ก็ต้องมีตายกันไปบ้าง ทั้งหนอนผีเสื้อผู้รอบรู้ แม๊ดแฮทเทอร์”
“อ่าฮะ”
“และทุกคนก็มีลูกหลานสืบทอดตระกูลใช่มั้ยล่ะ? อย่างตึกส้มๆตรงนั้น
เป็นห้องสมุดประจำเมือง เหลนของคุณหนอนผีเสื้อเป็นเจ้าของอยู่” ดูจุนว่า
พลางชี้นิ้วไปที่ตึกหลังหนึ่งห่างจากน้ำพุกลางเมืองไปนิดหน่อย
“นั่นก็ร้านขายเสื้อผ้าของหลานแม๊ดแฮทเทอร์ ตอนหลังๆมา
ลูกสาวคนเล็กเกิดชอบออกแบบเสื้อผ้า ก็เลยขยายธุรกิจมาขายอย่างอื่น
นอกจากหมวกแล้วล่ะ” โยซอบมองตามปลายนิ้วเรียวไปทางด้านตะวันตก
ก่อนจะพยักหน้าตาม
“ทุกคนมีคนสืบทอดตระกูลกันทั้งนั้นเห็นมั้ย?”
“อ่าฮะ...แล้ว?”
“ไวท์ควีนก็เหมือนกัน ท่านจากเราไปหลังจากขับไล่เรดควีนออก
จากเมืองได้ไม่นานเพราะตรอมใจ ก็นะ...พี่น้องกันแท้ๆ”
“แล้ว?”
“ถึงจะไม่มีใครเคยรู้ แต่ไวท์ควีนน่ะ มีลูกสาวคนนึงกับชาวบ้านในเมือง
ที่เอาขนมปังมาขายในวัง”
“เฮ้ยจริง?”
“แล้วโตมา ลูกสาวคนนั้นก็ครองเมืองนี้แทน ต่อมาก็มีลูกกับทหารเอกในวัง
และลูกสาวของทั้งสองก็ได้สมรสกับแบล็คคิง และย้ายออกไปครองเมืองอื่นแทน”
“งั้นนายจะบอกว่าเมืองนี้ไม่มีควีน?”
“เดี๋ยว มันยังไม่จบแค่นั้น”
“...?”
“ก่อนจะย้ายตามพระสวามีไป นางได้คลอดบุตรชายคนนึง
และได้อยู่เลี้ยงจนโตพอที่จะดูแลเมืองนี้ได้”
“อ่อ...”
“และถ้านายไม่รู้...ไวท์ควีนน่ะ จริงๆมีความสามารถที่
จะเรียกอะไรก็ได้ที่ต้องการออกมาเพียงแค่ปรบมือเรียก” ร่างสูงเล่าเรื่องต่อไป
โดยที่ดวงตาก็ยังมองทอดไปรอบๆเมืองที่บรรยากาศเริ่มมืดลงเพราะย่างเข้า
ตอนเย็น โยซอบทำท่าเหมือนคิดอะไรออก ก่อนจะหันมายกนิ้วชี้หน้าร่างสูง
“ย...อย่าบอกนะว่า?”
“อืม”
“...?”
“ทายาทของไวท์ควีน...คือฉันเอง”
“อ...เอ่อ แล้วกระผม เอ่อ ข้าพเจ้า เอ่อ จะกลับบ้านได้
ยังไงหรือ..พะย่ะค่ะ?” คนตัวเล็กที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะเอ่ยถามขึ้นอย่างตะกุกตะกัก
ดูจุนตักอาหารเข้าปากสบายๆก่อนจะหลุดหัวเราะกับท่าทางเก้ๆกังๆของอีกคน
หลังจากรู้ว่าตนมีศักดิ์เป็นถึงเจ้าชายของเมือง
ก็แต่งตัวชิลล์ขนาดนี้ แถมยังมีไปเดินเล่นริมชายหาดตัวเปล่า
ถึงจะตะหงิดๆที่แต่งตัวสีขาวล้วนก็เถอะ แต่ใครมันจะไปเดาถูกล่ะจริงมั้ย?
“ไม่ต้องพูดแบบนั้นหรอกน่า พูดแบบปกติก็ไม่มีใครฆ่านายหรอก”
ยักไหล่พูดยิ้มๆก่อนจะเอื้อมหยิบแก้วไวน์ตรงหน้ามาจิบ
“อ...อืม โอเค”
“...”
“เอ้อ แล้วเรดควีนล่ะ?”
“หา?” ดูจุนส่งเสียงถามพลางเลิกคิ้วถามคนตัวเล็กที่ต่อมอยากรู้
เริ่มจะทำงานขึ้นมาอีกรอบ
“ก็นายเล่าให้ฉันฟังเรื่องทุกคนแล้ว มีแต่เรดควีนที่นายยังไม่พูดถึงเลย”
“อ่อ เรื่องนั้นหรอ” ดูจุนพยักหน้าก่อนจะหันไปหยิบแก้วน้ำเปล่าขึ้นดื่มบ้าง
“ถ้าจำไม่ผิด ตอนที่ทไวท์ไล่เรดควีนออกไปน่ะ จริงๆท่านไม่ได้ส่งเธอไปที่
นรกมืดอะไรนั่นจริงๆอย่างที่ในตำนานเค้าเล่ากันนะ”
“เห?”
“รู้มั้ยว่าจริงๆที่ๆเรดควีนถูกส่งไปคือที่ไหน?”
“ที่...?”
“โลกมนุษย์”
“อ่อ...ฮะ???” ข้าวในปากของร่างบางแทบพุ่งออกมาเป็นน้ำพุเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกคนพูด
ตากลมเบิ่งโตขึ้นจากที่ปกติก็โตอยู่แล้วอย่างไม่เชื่อหู
“นี่พูดจริง?”
“ไม่มีเหตุผลต้องโกหก“ ดูจุนยักไหล่พลางสบตาอีกคน
ให้มั่นใจว่าตัวเองพูดความจริง
“เห้ย แล้วป่านนี้ไปอยู่ไหนแล้วล่ะ?”
“ฉันก็ไม่รู้นะ แต่เรดควีนเองก็เคยส่งจดหมายกลับมาผ่านลูกสาวตัวเอง
ที่เข้ามาที่นี่ทางฝันครั้งนึงเหมือนกันว่าไม่เป็นไร”
“อ่อ สรุปคือเรื่องแฮปปี้เอนดิ้งล่ะสิ”
“ก็ไม่เชิงหรอก”
“เอ่ ยังไง?”
“ร้อยปีผ่านไปลูกสาวของเรดควีนแต่งงานมีลูกมีหลาน”
“...”
“คนล่าสุดที่โผล่มาน่ะเมื่อหกสิบปีก่อน ชื่อยังอึนมี แล้วรุ่นลูกของเธอ
ก็ไม่ได้โผล่มาอีกเลย”
“เดี๋ยวนะ! เมื่อกี๊นายบอกว่าชื่ออะไรนะ”
“ยังอึนมี...ทำไมหรอ?”
“นั่น...ชื่อยายฉันนะ” โยซอบพูดขึ้นก่อนทั้งห้องจะถูกความเงียบดูดกลืน
“แล้วแม่ของฉัน...ก็ไม่ชอบอ่านนิทานผู้หญิง...” กลืนน้ำลายลงอย่างไม่เชื่อ
ความคิดของตน...
เขาจำได้ แม่เขาเคยเล่าให้ฟังว่ายายเคยพยายามให้แม่อ่านนิทานเรื่องอลิซนี่มาก
แต่ทำยังไงแม่ก็เลยไม่ยอม แล้วต้องมาขอให้เขาซื้อเรื่องนี้ให้น้องอ่านทีหลังนี่ล่ะ
“กว่าจะเข้าใจนะ...นายเข้าใจไม่ผิดหรอก นายเป็นเหลนของเรดควีนเต็มตัว
ร้อยเปอร์เซ็นต์”รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของร่างสูง ก่อนเจ้าตัวจะค่อยๆยันตัวขึ้นยืน
และเดินอ้อมโต๊ะอาหารมาหยุดยืนข้างๆเก้าอี้ตัวที่โยซอบนั่งอยู่
“แล้วนายมั่นใจได้ไง? มันอาจจะบังเอิ๊ญ ชื่อตรงกันไรงี้ไง เหอๆๆ”
โยซอบยกยิ้มเจื่อนแล้วถามคำถามที่ดูจะโง่เหลือเกินที่เอ่ยออกไป ดูได้จากรอยยิ้ม
กับอาการหลุดหัวเราะของอีกคน
“ตอนแรกฉันก็ไม่รู้ จำได้ว่าสามปีที่แล้วที่เยซุนมาที่นี่ครั้งแรก
ฉันก็ต้อนรับเหมือนเด็กคนอื่นๆนะ แต่พอครั้งที่สอง เด็กคนนั้นก็มีกระดาษแผ่นนึง
มายื่นให้ฉันด้วย มันเขียนว่าอะไรรู้มั้ย?”
“ว่าอะไรอ่ะ?”
“ก็...”
ขอโทษนะคะคุณใครก็ตามที่ครองเมืองวันเดอร์แลนด์อยู่ตอนนี้
ฉันเป็นหลานของเรดควีนเองค่ะ แต่ที่ฉันไม่เคยโผล่ไปเพราะฉันไม่เคยอ่านนิทาน
แถมยังไม่ค่อยฝันด้วย แต่ตอนนี้ฉันมีครอบครัวแล้วค่ะ ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่ต้องห่วง
เยซุนนี่ก็เป็นลูกสาวของฉันเอง แม่ฉันเล่าให้ฟังแล้วล่ะค่ะเรื่องสัญญาที่ไวท์ควีนกับเรดควีน
ทำไว้ด้วยกัน แต่พอดีว่า...ลูกคนโตของฉันเป็นผู้ชาย...แถมที่เยซุนก็เล่าให้ฟังว่าผู้สืบทอดของ
ฝั่งโน้นก็เป็นผู้ชาย ดังนั้น ฉันเลยคิดว่าสัญญาของตระกูลเราคงเป็นไม่ได้แล้วล่ะค่ะ
อีกอย่างเยซุนเองแกก็ยังเด็กมาก ฉันจึงเขียนจดหมายนี้มาแสดงความขอโทษอย่างจริงใจ
แต่ถ้าคุณผู้สืบทอดฝั่งโน้นไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องนี้ ฉันก็ยินดีเปิดรับเสมอนะคะ
ด้วยความเคารพ
ยังอารึม
“จดหมายก็ประมาณนี้ล่ะ”
“...” โยซอบที่ตอนนี้สติหลุดไปดาวอังคารเรียบร้อยได้แต่นั่งจ้องหน้าอีกคน
ปากหวออย่างไม่เชื่อหู ยิ่งรู้ว่าแม่กับน้องสาวสุดประเสริฐของตัวเองรู้เรื่องแต่แรก
แต่ไม่มีใครยักกะมีน้ำใจบอกเขาซักคำก็น้อยใจขึ้นมาตะหงิดๆ
“นายไม่อยากรู้หรอว่าสัญญาระหว่างตระกูลเราสองคนคืออะไร?”
ดูจุนทำลายความเงียบขึ้นมาอีกครั้ง และบังเอิญที่มันดันไปตรงกับสิ่งที่โยซอบ
กำลังจะเอ่ยถาม ร่างบางจึงทำเพียงพยักหน้าตอบเท่านั้น
“แม่ฉันเคยเล่าให้ฟังว่าก่อนที่ประตูเชื่อมระหว่างโลกของเราและโลกมนุษย์
จะถูกปิดผนึกลง เรดควีนกับไวท์ควีนได้กอดกันเป็นครั้งสุดท้าย โดยทั้งสองได้แอบทำสัญญา
กันลับๆในตอนนั้น”
“...”
“สัญญาที่เมื่อใดที่ลูกหลานของตนได้ดำเนินมาถึงรุ่นเหลน”
“อึก...” ร่างเล็กกลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างรอคอย รู้สึกถึงอนาคตที่
ต้องทำให้เขาตกใจไม่น้อยแน่ๆ
“เพื่อให้สีของสายเลือดสีขาวและสีแดงมารวมกันเป็นสีชมพู...
สีแห่งความรัก”
“...?”
“จะให้เหลนคนโตจากทั้งสองตระกูล...แต่งงานกัน”
“ฮะ?!?” เพียงเท่านั้นความซวยที่คิดว่ากำลังคืบคลานเข้ามาก็
กระแทกเข้าเต็มหน้าคนตัวเล็กด้วยความเร็วอย่างกับรถไฟด่วน โยซอบ
หน้าชาไปซักพักก่อนจะยกมือตบแก้มตัวเองให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป
“ล...แล้วเราสองคนก็ดันเป็นผู้ชายทั้งคู่ ทีนี้สัญญามันจะเป็นยังไงต่อไปอ่ะ?”
“อ้าว แล้วใครบอกว่ามันจะยกเลิก” ร่างสูงยักไหล่ถามอย่างไม่รู้ร้อน
ซ้ำแล้วจะแอบแสยะยิ้มเจ้าเลห์เล็กน้อยอีกด้วย
“แต่ฉันเป็นผู้ชายนะเฮ่ย!”
“ตอนแรกฉันก็คิดงั้น แต่หลังจากเยซุนเอาเรื่องพี่ชายตัวเอง
มาเล่าให้ฉันฟังไม่ขาด แถมยังบอกว่าพี่ชายตัวเองน่ารักอย่างนู้นอย่างนี้
ฉันก็เกิดความสงสัยว่า...ยังโยซอบคนนั้น...จะน่ารักจริงๆรึเปล่านะ”
ร่างสูงเล่าด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายเช่นเดิม แต่กลับดึงเลือดในร่างเล็กให้สูบฉีด
จนใจเต้นเร็วขึ้นๆมาอย่างช่วยไม่ได้
“จนวันนี้ฉันได้เขอเค้านี่แหละ ถึงได้รู้ว่า”
“...”
“น่ารักกว่าที่คิดไว้ซะอีก” ก่อนจะรู้สึกตัวมือหนาสองข้างก็วางลงบน
หัวไหล่ทั้งสองอย่างแผ่วเบา
“แล้วฉันก็เลยคิดว่า...ถ้าต้องทำตามสัญญาของท่านยายกับคนๆนี้จริงๆ”
ร่างสูงค่อยๆหย่อนเส้นสร้อยสีเงินเส้นบางที่มีกุญแจโบราณดอกหนึ่งห้อยอยู่ตรงกลาง
ลงวางบนต้นคอขาว ก่อนจะบรรจงติดตะขอทั้งสองของสร้อยเข้าด้วยกัน
“ก็คงไม่เป็นไรหรอก...” เอ่ยประโยคสุดท้ายออกมาเบาๆก่อนจะก้มลง
ประทับริมฝีปากลงบนก้านคอระหงเบาๆ
“ถือซะว่านี่เป็นของขวัญก็แล้วกัน... ใส่ไว้ล่ะ”
“อ...อืม ข...ขอบใจ” ร่างบางตอบกลับไปเสียงเบาราวกับกระซิบ
ไม่รู้ทำไมปากมันถึงส่งเสียงโวยวายอย่างที่ควรจะทำ
ลมหายใจอุ่นๆที่ด้านหลังถูกผละออกไปก่อนมือหนาจะถูกยื่นมาตรงหน้า
ตามด้วยรอยยิ้มอบอุ่นของร่างสูงที่ย้ายตัวมายืนอยู่ข้างเก้าอี้เช่นเดิม
“ไปกันเถอะ...ถึงเวลากลับบ้านของนายแล้ว ที่นั่นคงใกล้เช้าแล้วล่ะ”
ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป โยซอบยกมือวางลงบนมือของอีกคนเบาๆ ดูจุนกระชับมือ
ของอีกคนให้แน่นขึ้นก่อนจะค่อยๆพาร่างบางเดินกินลมผ่านโถงทางเดินใหญ่ของพระราชวัง
ลงบันไดที่เชื่อมกับสวนเขาวงกตด้านหลังตัววัง และเดินลัดพุ่มดอกลิลลี่สีน้ำเงินไปเรื่อยๆอย่างไม่รีบนัก
ในที่สุด ทั้งสองก็มาหยุดลงหน้าประตูเหล็กบานหนึ่งที่ไม่ได้สูงใหญ่
เหมือนกับบานอื่นๆที่ผ่านมา แถมยังจะดูโทรมมากอีกด้วย
ร่างสูงยื่นมือไปจับลูกบิดขึ้นสนิมเล็กน้อยจากการที่ไม่ได้เปิดใช้มานาน
ก่อนจะดันประตูเปิดออก และหันกลับมายิ้มให้โยซอบอย่างเคย
“เดินผ่านประตูนี้ไปก็จะเป็นโลกของนายแล้วล่ะ...ไปสิ”
โยซอบเอนตัวมองผ่านบานประตูไปก่อนจะเห็นว่าอีกฝั่งเป็นสวนหลังบ้านของเขาเอง
“นี่คือประตูห้องเก็บของนั่นหรอกหรอเนี่ย” ร่างบางพึมพำกับตัวเอง
พลางนึกถึงคำพูดของแม่ที่มักจะย้ำกับเขาเสมอว่ายังไงก็ตามอย่าเข้าไปใกล้
เพิงเก็บของเล็กๆที่ทำจากไม้เก่าๆซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะมีอะไรเก็บอยู่ข้างในอยู่ดี
ที่ด้านลึกสุดของสวนหลังบ้าน...ที่แท้ก็คือประตูเชื่อมกับวันเดอร์แลนด์ที่ดูจุน
พูดถึงเมื่อบ่ายนี่เองสินะ
“ขอบใจนะที่มาส่ง วันนี้ฉันสนุกมาก...จริงๆนะ” ทั้งสองระบายยิ้ม
ให้กันผ่านคนละฟากของประตู ดูจุนดึงไหล่สองข้างของอีกคนมากอดหลวมๆ
โดยที่ตัวโยซอบก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
“กุญแจที่คอของนาย คือกุญแจดอกเดียวที่สามารถเปิดประตูบานนี้ได้”
“...”
“อ่ะนี่ ฉันให้” ดูจุนดีดนิ้วเบาๆก่อนดอกกุหลาบสีขาวขนาดพอดีมือจะ
ปรากฏขึ้นระหว่างกำมือของร่างสูง ดูจุนจับมือของโยซอบมาแบออกก่อนจะวางมันลงไป
“กลับไปคิดเรื่องสัญญานั่นที่บ้านแล้วกัน ถ้านายคิดเหมือนฉัน
ก็มาไขเปิดประตูนี่ได้เสมอ”
“...”
“ฉันจะรอนะ...” กระซิบประโยคสุดท้ายพลางยกมือตบหลัง
ของร่างบางเบาๆสองสามครั้ง ก่อนจะผละออกมาส่งยิ้มบางๆให้อีกครั้ง
“จนกว่าจะถึงวันนั้น...โชคดีล่ะ”
“อืม นายด้วย” โยซอบยิ้มตอบ ก่อนบานประตูตรงหน้าจะถูก
อีกฝ่ายดันปิดลงช้าๆ
แสงสีเหลืองสว่างจนแสบตาส่องออกมาจากรอยเชื่อมระหว่าง
บานและขอบประตูก่อนจะค่อยๆไล่หายไปจากขอบด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง
ความมืดเข้าครอบคลุมบรรยากาศรอบตัวอีกครั้งจนโยซอบปรับสายตาไม่ทัน
“เฮ่อ~ เหนื่อยจัง” ถอนหายใจอย่างหมดแรงก่อนจะก้มลงมองกุญแจบนคอของตน
กับดอกกุหลาบขาวในมือและยกแขนบิดขี้เกียจเล็กน้อย ในหัวก็คิดถึงเรื่องตลอดคืน
ที่ผ่านมาที่อีกฝั่งหนึ่งของประตู
ฉันจะรอนะ
“ไม่รู้ล่ะ นอนๆๆๆ แม่กับเยซุนนะ กลับมาจะรีดทุกคำถามเลย
คอยดูเถอะ ฮึ่ย!” บ่นอย่างหัวเสียก่อนจะเดินกลับเข้าบ้านไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
เดือนนึงแล้วนะ...
“เฮ้อ~” ร่างสูงถอนหายใจพลางทอดสายตามองไปที่ชายหาด
ในหัวก็นึกถึงหน้าของคนตัวเล็กเมื่อเดือนก่อนที่หลังจากนั้นก็ไม่ได้มาให้เห็นหน้าอีกเลย
แม้แต่คนน้องก็ไม่ได้ขึ้นเรือลำเล็กนั่นมาให้เจอเช่นกัน
“คิดถึงเค้าก็ไปหาสิเจ้าชาย” เสียงแหลมของหญิงสาวดังขึ้นข้างๆ
ร่างสูงยกยิ้มโดยที่ไม่ต้องหันไปมอง
“ให้ตายสิเชสเตอร์ มีวิธีไหนที่ฉันจะกันเธอได้บ้างนะ”
ดูจุนเอ่ยอย่างเหนื่อยใจแต่บนใบหน้าก็ยังแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวเจ้าของชื่อที่นั่งอยู่บนขอบระเบียงอย่างไม่กลัวตกยกขาขวา
ขึ้นไขว่ห้างและแกว่งเท้าไปมาอย่างสบายใจ ปากก็ฮัมเพลงไปเบาๆ
“ฉันบอกเค้าแล้วว่าจะรออยู่ที่นี่ ถ้าเค้าไม่ได้คิดจะทำตามสัญญานั่น
ก็ไม่ต้องมา” ร่างสูงทิ้งตัวพิงหลังลงกับขอบระเบียงพลางพูดกับแมวสาว
เชสเตอร์ยกยิ้มมีเลศนัยก่อนจะหายตัวไปซะเฉยๆ
“เฮ่ย! อะไรเนี่ย เชสเตอร์?” ดูจุนแอบขมวดหว่างคิ้วลงเมื่อ
เพื่อนสาวจู่ๆจะหายตัวก็หายไปซะเฉยๆ ใบหน้าหล่อหันไปรอบๆตัวเผื่อ
คุณเพื่อนจะยังแอบอยู่ใกล้ๆ
“ฉันก็แค่จะรีบไปดูเรื่องที่สำคัญกว่าเท่านั้นเอง”
เสียงของอีกคนดังมาในสายลมทำให้รู้ว่าเจ้าตัวยังอยู่ใกล้ๆ และเท่าที่ฟัง
ก็น่าจะอยู่ไม่ห่างตัวเท่าไหร่ด้วย
“มีเรื่องอะไรสำคัญกว่าคุณเจ้าชายกำลังกลุ้มใจบ้างฮะถามที?”
ยกยิ้มแล้วแค่นหัวเราะก่อนจะยกแขนเท้าเอวสองข้าง เสียงหัวเราะแหลมสูงดังขึ้นมาเบาๆ
แสดงว่าเจ้าตัวเดินไปไกลพอดูก่อนจะหญิงสาวจะพูดตอบพอให้อีกคนได้ยิน
“แมวน่ะหูดีนะคุณเจ้าชาย”
“...?”
“แล้วเมื่อกี๊ฉันก็ได้ยินเสียงดัง...แกร่ก..แกร่ก...แอ๊ดดดดดดดด”
เสียงพูดของอีกคนจบไปแค่นั้นก่อนความเงียบจะเข้ามาครอบคลุมอีกครั้ง
แสดงว่าแมวสาวได้หายตัวไปที่อื่นแล้วจริงๆ
ดูจุนยืนอยู่ที่เดิมแล้วหรี่ตามองไปข้างหน้าอย่างครุ่นคิด
ก็เสียงประตู...
แล้ว...
“เฮ้ย?!?”
THE END
ความคิดเห็น