ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dooseob's House!!!

    ลำดับตอนที่ #26 : [OS] SWITCH ผม...หรือเขา?

    • อัปเดตล่าสุด 22 ม.ค. 56


       -BGM-





                    ผมยังจำได้

     

     

                    ใบหน้าของเขาตอนที่ส่งรอยยิ้มมาให้ผมจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

     

     

                    ผมจำได้...จำได้...

     

     

                    “ยิ้มสิ...ยิ้มให้ฉันหน่อย...”

     

     

     

     

     

     

     

     

                    โรคสองบุคลิก มักเกิดในบุคคลที่มีอดีตหรือความทรงจำที่โหดร้ายหรือผ่านความเจ็บปวดทางจิตใจ

     

                    “ขอผมนั่งด้วยนะ” เสียงจากอีกฝั่งของหนังสือพิมพ์บทความพิเศษเรื่องโรคแปลกๆต่างๆที่เจ้าตัวชอบอ่านเรียกให้เจ้าของใบหน้าคมดึงสติออกมาจากหน้ากระดาษได้ชั่วคราว ดูจุนพยักหน้าตอบก่อนจะค่อยๆลดของในมือลงมองใบหน้าของอีกฝ่าย

                    “อ้าว ดูจุน ไม่ได้เจอกันนานนี่” คนตัวเล็กหน้าโต๊ะยกยิ้มก่อนจะถือโอกาสนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามโดยไม่รอคำตอบจากคนที่นั่งอยู่ก่อน

                    “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ...ฮะๆ” ร่างสูงหัวเราะแห้งๆก่อนจะยกน้ำขึ้นดื่ม

                    “โรคสองบุคลิก...มีของพรรค์นี้อยู่ด้วยหรอ” ผู้มาใหม่ก้มมองหนังสือพิมพ์ก่อนจะทำหน้าครุ่นคิดอยู่ซักพักและเอ่ยถามผู้เป็นเจ้าของ ดูจุนพยักหน้าก่อนจะอธิบายต่อ

                    “อืม โรคทางจิตอย่างนึง คนที่เป็นจะมีอารมณ์ขึ้นลงบ่อยๆแบบที่ไม่รู้ตัวน่ะ”

                    “หึ...งั้นเหรอ”

                    “...”

                    “ฝนตกหนักมากเลยนะ” โยซอบว่าพลางหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แขนข้างหนึ่งก็ยกขึ้นเท้าคางของตัวเองไว้กับโต๊ะ

                    “นั่นสินะ” ดูจุนมองตามร่างบางออกไปยังถนนด้านนอกกระจกของร้านกาแฟเล็กๆที่ทั้งสองเข้ามาใช้เป็นที่หลบฝน และโดยที่ไม่รู้ตัว ดวงตาคู่ที่มักจะแสดงอารมณ์เรียบเฉยแต่กลับอบอุ่นก็เคลื่อนมาวางลงบนใบหน้าหวานแทน

                    “ฉันไม่ชอบฝนเลยจริงๆ”

                    “อืม...ฉันจำได้”

                    “จำเรื่องฉันได้ด้วยเหรอ? น่าแปลกใจนะ” โยซอบหันกลับมามองตาดูจุนตอบ ก่อนรอยยิ้มเย้ยหยันจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าหวานอีกครั้ง ดูจุนกระพริบตาสองสามครั้งก่อนจะพยักหน้าเมื่อไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

                    “อย่างน้อยเราก็เคยรักกันนี่นะ” ร่างสูงว่าพลางยื่นมือไปกุมมือขวาของอีกฝ่ายไว้หลวมๆ แต่โยซอบกลับรีบปัดมันทิ้งลงข้างโต๊ะพร้อมตะโกนเสียงดังลั่นร้าน และก็คงถือว่าทั้งสองยังโชคดีที่ในร้านมีลูกค้าอยู่เพียงสองคนกับพนักงานเป็นลุงกับป้าแก่ๆคู่หนึ่ง

                    “ถ้ามันเป็นเพราะเรื่องนี้ล่ะก็ ฉันไม่ต้องการให้นายมาสนใจหรอกนะ!!!

     

     

     

     

     

                    “เจ็บรึเปล่า? ที่มือน่ะเจ็บรึเปล่า?” เสียงปิดตู้เย็นตามด้วยเสียงแก้วน้ำกระทบกับถาดเหล็กใบเก่าดังขึ้นจากเคาน์เตอร์ริมห้องโถง ก่อนบุคคลผู้เป็นเจ้าของห้องจะเดินถือถาดมาวางลงบนโต๊ะไม้สี่เหลี่ยมโต๊ะเล็กๆระหว่างทั้งสอง

                    “...”

                    “เมื่อกี๊ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ...ฉันก็แค่เห็นนายแปลกไป ตอนเราเลิกกันนายไม่ได้เป็นแบบนี้”

                    “...”

                    “ฉันถามว่าเจ็บมั้ย?!?

                    “...”

                    “ถ้านายได้ยินฉัน...ฉันสั่งให้นายตอบ”

                    “...”

                    “ตอบซะก่อนฉันจะทนไม่ไหวนะคนดี”

                    “...”

                    “ตอบสิโถ่เว้ย!!!” เจ้าตัวค่อยๆหุบยิ้มลงก่อนจะเปลี่ยนเป็นเขวี้ยงถาดแก้วน้ำในมือลงกับพื้นและตะโกนเสียงดังลั่นห้องเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรนอกจากนั่งเงียบและมองออกไปทางอื่นอย่างเดียว

     

     

     

     

     

     

                    “แหวนนายสวยนี่” เสียงเล็กดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ และหลังจากเตรียมใจเรียบร้อย ดูจุนก็เงยหน้าขึ้นไปสบตากับอีกฝ่าย

    รอยยิ้มสวยกลับมาอยู่บนใบหน้าเล็กอีกครั้งพร้อมกับนิ้วนุ่มนิ่มที่จิ้มไปมาอยู่บนนิ้วนางซ้ายของเขา

                    “ของคนๆนั้นสินะ สวยกว่าของเราเมื่อก่อนอีกนี่”

                    “ย...โยซอบ”

                    “อ้อ ขอโทษแล้วกัน เรื่องของเรามันก็จบไปนานแล้วนี่นะ...จะมารื้อฟื้นมันทำไมกัน จริงมั้ย? ฮะๆ”

                    “...” ดูจุนก้มกลับลงมามองหน้าหนังสือพิมพ์บนโต๊ะอีกครั้ง บทความเรื่องโรคประหลาดนั่นยังปรากฏต่อสายตาไม่ไปไหน

                    “ช่วยเลิกอ่านหนังสือพิมพ์แล้วมาสนใจกันหน่อยไม่ได้รึไงกันเนี่ย? อย่างกับเราเป็นคนห่างไกลอะไรกัน” แต่จู่ๆโยซอบก็เป็นคนดึงแผ่นกระดาษสีเทาดำออกไปวางไว้บนโต๊ะข้างๆและส่งรอยยิ้มเป็นมิตรมาให้ ดูจุนเงียบไปก่อนจะพยักหน้าสองครั้งเป็นการตอบตกลง

                    “นายเอง...ก็มีแหวนนี่” ร่างสูงก้มลงมองต่ำลงไปที่มือข้างซ้ายของโยซอบที่มีวัตถุบางอย่างสะท้อนแสงเข้าตามาพอดิบพอดี ก่อนจะเจอแหวนลายแปลกตาอยู่บนนิ้วนาง และอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาบ้าง

                    “ซื้อมาตั้งแต่ม.ปลายแล้วล่ะ”

                    “หือ?”

                    “ใช่ ตั้งแต่เราเพิ่งเริ่มคบกัน ถ้านายยังจำได้นายเองก็เคยบอกว่าซื้อแหวนแต่งงานถูกๆเอาไว้ขอฉันตอนโตขึ้น พอได้ยินอย่างนั้นฉันก็เลยซื้อมาบ้าง” โยซอบพยักหน้าตอบด้วยรอยยิ้มบางๆ ก่อนจะก้มมองแหวนสีเงินบนนิ้วและหมุนมันไปมา

                    “แต่น่าเสียดายนะ เราดันไปไม่รอดซะก่อน อีกอย่างที่นายพูดก็คงเป็นแค่คำโกหกเหมือนทุกๆครั้งที่เอาไว้แก้ตัวเวลานายออกไปทำผิดอะไรลับหลังแนมาอยู่ดีสินะ”

                    “...”

                    “ตอนนี้...แหวนของนายมันไปอยู่กับเจ้าของจริงๆของมันแล้วล่ะ ยงจุนฮยอง คนที่นายเคยบอกไม่ให้ฉันไปยุ่งด้วยไง จำได้รึเปล่า?”

                    “โยซอบ...” ร่างสูงเงยหน้าขึ้นจากกาแฟที่พร่องไปได้ครึ่งแก้วและเลิกคิ้วสงสัยกับเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า โยซอบยกนิ้วชี้แตะปิดริมฝีปากของอีกคนก่อนจะได้พุดอะไร ก่อนจะระบายยิ้มหวานและส่ายหัวเบาๆ

                    “นายไม่ใช่คนเดียวที่มีรักครั้งใหม่ได้หลังจากรักครั้งแรกจบลงหรอกนะ...ยุนดูจุน”

     

     

     

     

     

                    “มือนายน่ะ...พอไม่มีแหวนนี้มันดูสวยกว่าเยอะ รู้ตัวรึเปล่า?” หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ มือคู่ที่ไม่ได้ถูกตรึงไว้กับพื้นโต๊ะก็วางทับลงบนผิวหนังเย็นเฉียบของอีกคน รอยสีแดงจางๆจากการถูกดึงแหวนออกอย่างไม่เต็มใจยังมีปรากฏอยู่หลังมือและสร้างความเจ็บให้เสมอเมื่อสัมผัส

                    “อึก...”

                    “เรื่องที่ฉันมีคนใหม่น่ะ...ไม่ใช่เรื่องจริงหรอกนะ”

                    “...”

                    “นายเองก็เหมือนกันใช่มั้ยล่ะ? ฉันรู้นะ ว่าข้างใน นายก็ลืมฉันไม่ได้”

                    “ไม่...ไม่”

                    “นายรักฉันได้คนเดียว ฟังหัวใจของตัวเองเถอะ”

                    “ไม่ใช่ นายก็บอกเองไม่ใช่รึไงว่าเรื่องของเรามันจบแล้ว มันจบตั้งแต่วันนั้นแล้ว!

                    “หุบปากนะ! ตะโกนอย่างหัวเสียพลางตบโต๊ะและลุกขึ้นยืนเต็มแรงจนเก้าอี้ตัวเก่าตกหงายหลังไปด้านหลัง ชายหนุ่มถอนหายใจสลบสติอารมณ์ก่อนจะจัดการตั้งเก้าอี้และนั่งลงอีกครั้ง มือข้างขวาของเจ้าตัวล้วงลงในกระเป๋ากางเกงข้างขวาและควักกล่องกำมะหยี่สีแดงที่ฝุ่นเกาะอยู่รอบๆมากพอสมควรตามกาลเวลาออกมาตั้งบนโต๊ะ เปิดมันออกและเป่าลมลงไปเบาๆให้ฝุ่นที่เกาะอยู่ตามรอยบนแหวนภายในหลุดออกไปให้หมด

                    “ดูสิที่รัก...นี่ไงแหวนของเรา” พูดเสียงหวานพลางคลี่ยิ้มให้อีกฝ่าย ใบหน้าที่ซีดเซียวอย่างไร้เลือดสูบฉีดของคนที่ถูกถามหลับตาลงและเบนหน้าไปทางอื่นแทน

                    “แหวนเนี่ย...ฉันจะใส่ให้นายเองนะ” ว่าจบก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้และโน้มตัวไปข้างหน้า แบมือสอดใต้มือของอีกฝ่ายก่อนจะค่อยๆสวมแหวนสีเงินวงเก่าลงไปที่นิ้วนางข้างซ้ายอย่างเบามือ

                    “ฉันไม่ต้องการ...”

                    “ไม่ได้หรอก...นายปฏิเสธมันไม่ได้ ถ้าฉันไม่อนุญาต”

                    “ฉันบอกว่าฉันไม่ใส่!!

                    “แหวนนี้มันเป็นของนายมาก่อนแหวนบ้าๆบนมือนายซะอีก หัดสำนึกว่าอะไรถูกอะไรผิดซะบ้างสิ!!

                    “สิ่งที่นายทำอยู่นั่นแหละที่ไม่ถูก ปล่อย!

     

                    ‘เพี๊ยะ!!’

                    “อึก...อ่า...” คนที่โดนฝ่ามือเข้าไปจนหน้าหันร้องซี๊ดในปากเมื่อความแสบเริ่มเข้ามาเล่นงานไปถึงครึ่งหน้า และยังคงก้มหน้าค้างไว้อย่างนั้นไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย

                    “แล้วอย่า...มาพูดให้ฉันได้ยินอีกล่ะว่านายไม่รักฉัน” เจ้าตัวแสยะยิ้มก่อนจะเดินอ้อมไปย่อตัวนั่งลงข้างอีกคนบนเก้าอี้

                    “นาย...รักฉันคนเดียว”

                    “...”

                    “คน เดียว”

     

     

     

     

     

     

                    “นาย...สบายดีรึเปล่า?”

                    “สบายมาก เห็นๆอยู่ว่าฉันยิ้มออก แม้จะอยู่ต่อหน้านาย”

                    “นายมีความสุข...แม้จะไม่มีฉัน...”

                    “ฉันอยู่ได้”

                    “หึ...” ร่างสูงยกยิ้มหลังจากนั่งทำสีหน้าเฉยชามานาน โยซอบก็ทำเช่นเดียวกัน

                    “ในเมื่อนายก็มีชีวิตต่อไปได้ ทำไมฉันจะมีไม่ได้ล่ะ”

                    “...”

                    “แล้วก็...ใครมันจะมานั่งคิดถึงคนที่ทิ้งตัวเองอย่างไม่ใยดีกันล่ะ”

                    “นั่นสินะ ไม่น่าเชื่อว่านายจะตัดใจจากคนที่บอกว่ารักนักรักหนาได้ภายในไม่กี่ปีขนาดนี้”

                    “นั่นก็เพราะ...”

                    “เพราะนายไม่ได้สำคัญพอที่ฉันจะเอามาไว้ขวางทางชีวิต...อย่างนั้นสินะ?”

                    “หึ...รู้นี่ ก็นะ...นายเป็นคนพูดมันเอง ตอนไหนนะ อ้อใช่ ตอนนายบอกเลิกกัน เหอะ งี่เง่า”

                    “อย่าเอาสาเหตุของฉันมาใช้เลยโยซอบ มันก็ผ่านไปนานมากแล้วนะ”

                    “ทีนี้ล่ะพูดได้เชียวนะ ใบ้กินมาตั้งนาน”

                    “...”

                    “เก็บปากของนายไว้อวดเก่งกับคนอื่นที่ไม่ใช่ฉันเถอะ” โยซอบหุบยิ้มและแสดงสีหน้าเย็นชาผิดกับบุคลิกปกติสิ้นเชิง มือข้างหนึ่งล้วงแบงค์แสนวอนออกมาจากกระเป๋าสตางค์และตบมันลงโต๊ะอย่างไม่รู้สึกเสียดาย

     

     

     

     

     

     

                    “หรือนายโกรธที่ฉันพูดแรงเกินไป...ฉันขอโทษนะที่รัก...ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

                    “...”

                    “ฉันแค่ไม่อยากให้นายห่วง ถึงนายจะมีชีวิตต่อไปได้ แต่ฉันไม่...ฉันเลยต้องทำเป็นโกหก ทำเป็นแข็งแรง”

                    “ขอร้องล่ะ...ปล่อยฉันไปเถอะ”

                    “ปล่อยให้นายกลับไปหานายนั่นน่ะเหรอ? ขอโทษทีนะ ฉันปล่อยนายไปไหนอีกไม่ได้แล้ว”

                    “แต่เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เราเลิกกันแล้ว เลิกกันนานแล้วจำไม่ได้รึไง?

                    “หุบปาก!!

                    “น...นี่ ใจเย็นๆนะ เราสองคนก็มีคนรักใหม่กันแล้วทั้งคู่ไม่ใช่เหรอ คิดถึงจิตใจคนๆนั้นของนายไว้สิ”

                    “คนๆนั้นมันมีอยู่จริงซะที่ไหนล่ะ? ให้ตายเถอะ นี่นายดูไม่ออกเลยเหรอว่าฉันโกหก ไม่เห็นสายตาเวลาที่ฉันมองนายเหรอ ไม่เห็นรอยยิ้มที่ฉันปั้นให้กับนายเหรอ ในเมื่อฉันยังรักนายอยู่เต็มอก ฉันจะมีคนอื่นได้ยังไง?”

                    “เอ่อ...”

                    “ฉันไม่ได้แม้แต่จะเคยคุยกับเค้าด้วยซ้ำ...” หลังจากระเบิดอารมณ์ออกมาอีดครั้งเจ้าตัวก็ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อีกครั้ง น้ำตาใสๆเริ่มก่อตัวที่ขอบตาก่อนจะหยดลงมาตามแรงโน้มถ่วงช้าๆ

                    “ฉันรักนาย...ไม่ว่าเมื่อสามปีก่อนเรื่องมันจะเป็นยังไง...นายลืมมันแล้วกลับมารักฉันไม่ได้เหรอ”

                    “...”

                    “ไม่ว่าฉันจะทำผิดอะไร นายให้อภัยฉันได้มั้ย?”

                    “รู้มั้ย ว่าสิ่งที่ผิดที่สุดที่นายทำคืออะไร” ในที่สุดคนที่นั่งเงียบมานานก็เอ่ยปากพูด ริมฝีปากที่เริ่มแตกจากอากาศหนาวจัดขยับพูดด้วยน้ำเสียงแห้งผากพลางจ้องตาของอีกคนไม่ไปไหน

                    “อะไร...อะไรล่ะ? บอกมาสิ ฉันยอมทำให้นายทุกอย่างเลย” รอยยิ้มถูกคลี่ออกอย่างมีหวังพลางเจ้าตัวก็ดึงมือของคนจากฝั่งตรงข้ามของโต๊ะมากุมไว้อย่างตื่นเต้น

                    “ที่คิดว่าฉันจะกลับไปรักนาย”

                    “ฮ...ฮะ?”

                    “ให้ตาย ฉันก็ไม่กลับไปรักนายหรอก ฉันคิดว่าเราคุยกันชัดเจนแล้วนะ...เมื่อสามปีก่อน”

                    “ไม่!!! นั่นมันเป็นความผิดพลาด...ฉันทำผิดเอง...ขอร้องล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้น” เจ้าของเสื้อกันหนาวตัวหนาพูดพึมพำและส่ายหัวไปมา มือทั้งสองข้างปล่อยมือของอีกคนไปและเปลีย่นเป้นแคะเล็บตัวเองไปมาด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน

     

                    “นายเปลี่ยนไปมากนะ”

                    “ห...หือ? อะไรนะ?” เมื่ออีกฝ่ายยกยิ้มขึ้นที่มุมปากและพูดประโยคชวนสงสัยขัดกับบรรยากาศเขาก้ต้องเงยหน้ากลับขึ้นไปมองอีกคนที่ถูกล่ามติดกับเก้าอี้ไว้อีกครั้ง

                    “ตอนแรกที่เรายังคบกันอยู่ฉันก็คิดว่านายอารมณ์แปรปรวน เมื่อกี๊ที่เราคุยกันนายก็ยังดูปกติดี”

                    “...”

                    “แต่จริงๆแล้ว...นายมันโรคจิต...โรคจิตชัดๆ”

                    “อ...อะไรนะ?”

                    “ให้ฉันย้ำอีกรอบก็ได้...นายมันโรคจิต บ้าชัดๆที่จับฉันมาทำแบบนี้ทั้งๆที่รู้ว่ายังไงเราก็กลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว เลิกคิดว่าฉันรักนายได้แล้ว หยุดโกหกตัวเองซักที!!

                    ‘เพี๊ยะ!!’

                    “โอ๊ย! ฝ่ามือถูกปัดตบลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้งตามมาด้วยเสียงหอบหายใจของคนที่อีกฝั่งของโต๊ะ เจ้าตัวยกมือขึ้นปาดน้ำตาออก แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากขอโทษเหมือนคราวก่อนที่เผลอลงแรงไปเพราะควบคุมตัวเองไม่อยู่

     

     

     

     

     

     

     

                    ร่างสูงเดินอ้อมไปข้างเก้าอี้ที่อีกฝ่ายถูกตรึงไว้ มือหนาดึงปอยผมหน้าม้าอีกคนขึ้นก่อนจะสวนใบหน้ากลับลงไปปิดปากเล็กๆไว้ด้วยปากของตัวเอง

                    “ฉันไม่ใช่โรคจิต”

                    “...ใช่...นายมันใช่ชัดๆ...ฮึก...” น้ำตาเริ่มไหลออกมาจากขอบตาแดงก่ำเมื่อร่างเล็กรับรู้ได้ว่าตัวเองคงไม่ได้รอดออกไปง่ายๆ

                    “ฉันก็แค่คนที่รักนายมาก..จนต้องเอานายกลับมาอยู่ด้วยกัน”

                    “อึก...”

                    “ฉันขอโทษที่บอกเลิกกับนายไปตอนนั้น แต่หลังจากนายหายไป ฉันก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ วันๆฉันก็คิดถึงแต่นาย ถึงจะพยายามตามหานาย ก้จะมียงจุนฮยองนั่นมาขวางทางระหว่างเราสองคนเสมอ”

                    “ฮ...ฮะ?”

                    “จนวันนี้เราได้มาเจอกันอีก ฉันก็ได้รู้...ว่าเราสองคนคือคนที่เกิดมาคู่กัน...ไม่มีใครมาแยกเราได้ รู้รึเปล่าโยซอบอา แม้แต่นายเอง”

                    “ม...ไม่ ฉันไม่ได้อยากคู่อะไรกับนาย...ขอร้องล่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ” โยซอบที่เริ่มกลัวจนร่างกายสั่นสะท้านเอ่ยเสียงแหบพร้อมกับดวงตาโตที่เริ่มกระพริบถี่ขึ้นจากน้ำตา ดูจุนมองภาพนั้นด้วยสีหน้าเศร้าไม่แพ้กัน แต่เพียงชั่วครู่มันก็ถูกแทนที่ด้วยดวงตาดุดันจนโยซอบแทบลืมหายใจ

                    “ยังไงนายก้ต้องรักฉันคนเดียวโยซอบอา...นายหนีฉันไปไหนไม่ได้อีกแล้ว”       

     

     

     

     

     

                    “ไม่ต้องทอน” หลังจากวางเงินค่ากาแฟที่ดูจะเกินราคาจริงไปหลายเท่าลงบนโต๊ะสำหรับอีกคนเรียบร้อย โยซอบก็จัดการรวบกระเป๋าสะพายขึ้นไหล่และลุกขึ้นยืน แต่ไม่ทันจะได้เดินไปไหนก็ถูกคว้าข้อมือไว้เสียก่อน

                    “แต่ฝนยังไม่หยุด”

                    “ฉันไม่อยากอยู่กับนายสองต่อสองไปนานกว่านี้แล้วล่ะนะ ไม่รู้สึกว่ามันแปลก แถมนายยังไม่เปลี่ยนไปจากเดิมซักนิด...คิดถึงแต่ตัวเอง” โยซอบว่าก่อนจะส่ายหน้าเนือยๆ อาศัยตอนที่ดูจุนเงียบไปอีกครั้งสะบัดข้อมือตัวเองให้เป้นอิสระ บอกลาอีกฝ่ายส่งๆก่อนจะเดินออกจากร้านมาทั้งที่ฝนยังคงตกกระหน่ำ

                    “เดี๋ยวก่อนโยซอบอา”

                    “นายมีสิทธิอะไรมาเรียกฉันอย่างนั้น?!? โยซอบหันไปตะโกนอย่างหัวเสียเมื่อดูจุนดูจะยังไม่เลิกล้มความคิดและวิ่งตากฝนตามเขาออกมาอีก ร่างสูงไม่ตอบอะไรนอกจากดึงคนตัวเล็กกว่าเข้าไปกอดไว้แน่น

                    “ฉันยังรักนายอยู่นะ”

                    “มาพูดบ้าๆอะไรเนี่ย?”

                    “ฉันไม่ได้มีแฟนใหม่อย่างที่ใครๆรู้ ฉันไม่ได้อยู่ได้โดยที่ไม่มีนาย ฉันขาดนายไม่ได้จริงๆในสามปีที่ผ่านมา”

                    “น...นี่”

                    “จำได้มั้ย เรื่องแหวนนั่นไง แหวนที่ฉันใส่นี่ไง ฉันไม่ได้โกหกนะ ฉันซื้อมาจริงๆ ซื้อมาใส่คู่กับนายไง” ดูจุนว่าพลางชูมือข้างซ้ายของตนขึ้นที่ระดับสายตา แต่ตรงกันข้าม มันกลับทำให้คนในอ้อมกอดยิ่งกลัวขึ้นกว่าเดิม

                    “นายรู้ใช่มั้ยว่าจุนฮยองเป็นตำรวจ...”

                    “แล้วไง?”

                    “ถ้าเขารู้ว่านายทำอะไรฉัน เขาไม่ปล่อยนายไว้แน่”

                    “ทีนี้ก็ปล่อยฉันแล้วไสหัวไปได้แล้ว เราไม่มีอะไรเกีย่วข้องกันนอกจากคนแปลกหน้า รู้ไว้ด้วย” โยซอบพูดด้วยน้ำเสียงเย็นที่สุดที่ทำได้ไม่ให้ตัวเองดูกลัวไปมากกว่านี้ และดูเหมือนจะได้ผลเมื่ออ้อมแขนของดูจุนค่อยๆคลายออกจนหลวมพอที่เขาจะดันมันออก

                    “หวังว่าเราจะไม่เจอกันอีก...อ้อก!” แต่ไม่ทันทุกอย่างจะเป็นอย่างที่คิด กำปั้นหนักๆก็สวนเข้าที่ท้องน้อยทันทีที่เขาหมุนตัวหันกลับไป ผ่านไปไม่ถึงวินาทีร่างเล็กๆของโยซอบก็ตกลงในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนเจ้าตัวจะหมดสติไปอย่างง่ายดาย

                    “ถ้าฉันจะไม่ได้นายคืนมา...ก็อย่าหวังว่าจะมีใครได้นายไป...”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

                    ขณะนี้เรากำลังเร่งกองกำลังตามหานายยังโยซอบ รูปลักษณ์ดังภาพที่ได้หายตัวไปตั้งแต่เมื่อวานซืนอย่างเต็มที่ ยังไม่พบหลักฐานใดๆ ผู้ใดที่มีเรื่องแจ้งกรุณาติดต่อ...

     

                    “นั่นข่าวของนายแน่ะโยซอบอา” ร่างสูงว่าพลางชี้นิ้วไปที่จอทีวีปลายเตียง เจ้าของชื่อไม่ตอบเพียงแค่หมุนตัวหันหลังหนีไปอีกทางเท่านั้น เสียงของโซ่กับกุญแจมือดังเคร้งๆก่อนโซ่ส่วนที่ยาวเกินไปจะตกลงไปกองบนพื้นข้างเตียง

                    “เค้ากำลังตามหานายกันให้ควั่กเลยแฮะ” ดูจุนยกยิ้มกับภาพตรงหน้าก่อนจะหันมามองแผ่นหลังคอดเล็กที่ไม่มีสิ่งใดผิดบังนอกจากผ้าห่มสีขาวผืนบาง รอยจูบสีแดงกับรอยช้ำสีม่วงเป้นจ้ำๆตามช่องทางเบื้องล่างยังปรากฏเด่นชัดให้เห็นถี่จนน่ากลัว

                    “เป็นอะไรไปล่ะ หือ?” เมื่อคนตัวเล็กไม่ตอบอะไรมาซักคำดูจุนก็เริ่มแคลงใจและยันตัวขึ้นจากพื้นเตียง มองข้ามไหล่บางไปยังใบหน้าเล็กที่ซุกอยู่กับหมอนหันหน้าไปทางหน้าต่างห้อง

                    “ปล่อยฉันไปเถอะนะ...” เสียงเล็กเอ่ยเบาจนไม่ได้ยินเพราะคอยังทั้งแสบทั้งแห้งจากการกรีดร้องด้วยความเสียวซ่านที่ร่างกายไม่ได้ต้องการติดต่อกันมาสองวันแทบไม่ได้พักฝ่อน แต่เมื่อนึกถึงตอนที่อีกฝ่ายเกิดโมโหจนข่มขืนเขารุนแรงจนเป็นต้นเหตุของรอยเลือดมากมายบนผ้าปูที่นอนเมื่อคืนแรกก็นึกอยากตบปากตัวเองขึ้นมาให้ได้

                    “อะไรนะ?”

                    “หนาว...ฉ...ฉันหนาวเฉยๆ” แอบโล่งใจเมื่อดูจุนไม่ได้ยินสิ่งที่ตนพูดก่อนจะใช้โอกาสแก้คำพูดโดยที่ยังไม่หันหน้ากลับไปมองหน้าอีกฝ่ายเหมือนเคย ไม่นานนักก่อนร่างสูงจะลุกออกจากเตียงไปและเอาเสื้อกันหนาวตัวใหญ่มาคลุมร่างของเขาไว้ ทิ้งตัวลงนอนและสวมกอดเขาไว้จากด้านหลังหลวมๆ

                    “นี่โยซอบอา”

                    “อ...อะไร?”

                    “ไม่ต้องกลัวนะ”

                    “ไม่ต้องกลัว...งั้นเหรอ?” ร่างเล็กถามย้ำอย่างไม่อยากจะเชื่อหู หลังจากเรื่องทั้งหมดในองวันที่ผ่านมา ยังจะมาบอกว่าไม่ให้กลัวมันไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือไง?

                    “ใช่ไม่ต้องกลัวนะ...ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาหาเราเจอ มันจะไม่มีวันนั้น...เชื่อสิ”

                    “ฮ...ฮะ?” เสียงใสอุทานอย่างใจหายพลางน้ำตาจากความหวาดกลัวก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง ดูจุนพยักหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะฝังจูบลงบนต้นคอขาวอีกครั้ง สอดมือไปประสานกับมือข้างซ้ายของร่างเล็กที่ยังมีแหวนของเขาสวมอยู่ไม่ไปไหนและตอบด้วยน้ำเสียงที่คงดูอบอุ่นกว่านี้มากถ้าได้ยินเมื่อสามปีก่อน

     

     

                    “จะไม่มีใครมาเอานายไปจากฉันได้แน่นอน”

     

     

     

    THE END

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×