ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dooseob's House!!!

    ลำดับตอนที่ #25 : [SF] เรื่องจริงของลูกเป็ดขี้เหร่

    • อัปเดตล่าสุด 10 พ.ย. 55


    TITLE: เรื่องจริงของลูกเป็ดขี้เหร่...

    WRITER: TEUKSOB

    PAIRING: DOOSEOB

    RATE: PG – 15 / DRAMA เบาๆ

    TALK: มันยาวมากนะคะ เพราะเนื้อเรื่องมันค่อนข้างเยอะ

    แต่อ่านเถอะ เราแนะนำเรื่องนี้สุดไส้ ไหนจะลองบรรยายแบบที่ไม่เคยทำ

    เพลงประกอบ : Evening Sky

    **ฟังนะ ต้องฟังนะ ขอให้ฟังเพลงนี้ตอนอ่าน เพื่ออรรถรสและอารมณ์ร่วม=w=**











    “ลูกของแม่ดูดีมากเลยค่ะ” หญิงสาววัยกลางคนยิ้มหวาน
    พลางจัดเสื้อสูทสีขาวสะอาดสะอ้านของลูกชายที่ยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกอย่างไม่มั
    ่นใจนัก
    รอยย่นตามอายุปรากฏขึ้นตามหางตาของผู้เป็นแม่เมื่อยกยิ้มเป็นตัวแทนปริมาณของความสุข
    ที่ได้เห็นลูกชายตัวเล็กของเธอเติบใหญ่มาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ได้เป็นอย่างด


    “ขอบคุณนะครับแม่ แม่ไปนอนพักผ่อนเถอะ โยกลับดึกมากไม่ต้องรอนะครับ
    เดี๋ยวได้ไม่สบายกันอีกพอดี” ผู้เป็นแม่ยิ้มรับก่อนจะดึงร่างเล็กของลูกชายเข้ามากอดหลวมๆ

    “โยลูก...”
    “ครับแม่?”
    “เรื่องอะไรที่มันเลวร้ายในอดีต... หนูก็ไม่ต้องไปนึกถึงมันนะคะ”
    “แม่...”
    “วันนี้ลูกของแม่คือลูกของแม่ คือยังโยซอบผู้มีรอยยิ้มสดใส...สัญญากับคุณแม่นะคะ
    ว่าคืนนี้โยจะมีความสุข...” กระซิบเสียงอ่อนโยนพลางยกมือลูบแผ่นหลังเล็กของชายหนุ่ม

    ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เด็กชายตัวเล็กที่เธอเคยโอบอุ้มได้สบายๆได้สูงนำเธอไปขนาดนี้

    “สัญญาครับแม่” ผละออกมายิ้มให้หญิงวัยทอง
    ก่อนร่างอ้วนท้วมของผู้เป็นแม่จะเดินหายลับไปที่บันไดบ้าน






    “โอ๊ย!” ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในเสื้อนักเรียนชั้นมัธยมปลายล้มลงที่ตรอกเล็กๆหลังตึกพละ
    ใบหน้าเล็กที่ปกคลุมไว้ด้วยแว่นกลมอันหนาเตอะยู่ลงด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตา

    “ฮึก...เราไม่ได้มองหน้าหาเรื่องพวกนายจริงๆนะ
    ชื่อของพวกนายเรายังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ...ฮึก...” 

    “อย่ามาสำออย เหอะ มึงก็เหมือนเด็กเนิร์ดคนอื่นๆนั่นแหละ
    ต่อหน้าก็ทำเป็นกลัว แต่ลับหลังก็เกลียดพวกกูเข้าไส้ นี่ไง!! โอกาสที่มึงจะได้แสดงออก”
    หัวโจกของกลุ่มแหวกกลุ่มเพื่อนอีกสี่ห้าคนเข้ามาก่อนจะนั่งยองลงให้อยู่ในระดับเดียว
    กันกับร่างเล็ก
    ยกมือเชยคางมนให้เงยขึ้นเพื่อสอดส่องใบหน้าเล็กที่มีรอยช้ำอยู่ตามมุมปากและขอบตา
    ไหนจะเลนส์แว่นที่ร้าวเป็นจุดๆแต่ยังไม่แตกออกมา

    “ร...เราไม่ได้เกลียดพวกนายจริงๆนะ...ขอร้องล่ะ...ปล่อยเราไปเถอะ...เรากลัวแล้ว...น
    ะ”
    เอ่ยอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นพลางมองลึกลงไปในตาของคนหน้าโฉดตรงหน้า
    หวังว่าจะได้รับความเมตตาซักหน่อย...อย่างน้อยก็อย่าตายหรือพิการ...

    “กลัวเหรอ...กูจะทำให้มึงรู้...ว่ากลัวจริงๆน่ะมันคือยังไง”
    ว่าพลางแสยะยิ้มร้าย มือหนาย้ายไปกำกลุ่มผมสีเข้มของคนข้างหน้าไว้
    ก่อนจะก้มหน้าลงจนแทบชิดกัน

    “จะว่าไปมึงก็หน้าตาน่ารักใช้ได้นี่...เสียดายเปล่าๆนะมาใส่แว่นแบบนี้”
    “น...นายจะทำอะไร?”
    “มาเป็นเมียกูดีกว่ามา...”
    “ฮึก..อย่า! อั่ก!” เอ่ยท้วงทันทีแต่ก็หมดเสียงจะเปล่งขอความช่วยเหลือไปในทันที
    ที่โดนกำหมัดหนักๆของหัวหน้าแก๊งกระแทกเข้าที่ท้องน้อยเต็มๆ

    น้ำตาที่รื้นขอบตาอยู่เมื่อซักครู่บัดนี้ไหลลงมาไม่หยุด
    ใบหน้าเล็กหันหนีปลายจมูกและริมฝีปากของคนแปลกหน้าสุดความสามารถ
    ปากก็พยายามร้องของความช่วยเหลือ...แต่กลับไม่มีเสียงใดออกมา...นอกจากเสียงสะอื้น

    “รำคาญว้อย กูบอกให้มึงเงียบไง!! ฤทธิ์มากนักนะมึง” ตะโกนขึ้นอย่างหัวเสีย
    เมื่อใช้ลูกน้องถึงสี่คนในการพันธนาการร่างเล็กเบื้องล่างไว้แต่ก็ยังมีแรงที่จะขัดข
    ืน
    เสียงดังน่ากลัวนั่นทำให้คนตัวเล็กหยุดเถียงไปโดยอัตโนมัติ

    “ต้องอย่างนิ้สิ...หึ” ยกยิ้มก่อนจะก้มลงซุกใบหน้าลงกับต้นคอขาว
    เพื่อสูดกลิ่นสบู่อ่อนๆปนกับสัมผัสแฉะๆของน้ำตาอุ่นๆอยากพึงพอใจ




    ร่างเล็กกำมือตัวเองแน่นพลางนึกสมเพชตัวเองไม่หยุด






    ยังไงก็หนีไม่พ้นสินะ...






    ดวงตาแดงฉ่ำหลับลงยอมรับชะตากรรม แรงที่จะดิ้นค่อยหมดลง
    ทำให้การรุกรานของร่างสูงด้านบนเป็นไปได้สะดวกยิ่งขึ้น





    แต่พระเจ้าคงยังเห็นใจเขาอยู่บ้าง...





    “ทำอะไรกันน่ะ?!?”







    “คุณยังโยซอบรึเปล่าครับ?” ชายสูงอายุลดกระจกรถลง
    ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มร่างเล็กในส฿ทและกางเกงสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
    ที่ยืนกอดตัวเองอยู่ริมถนนหน้าบ้านหลังใหญ่มาได้ซักพัก

    อากาศตอนต้นค่ำเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ
    ช่างไม่เข้ากับเสื้อผ้าเพียงสองชั้นบางๆของคนตัวเล็กได้เลย

    ร่างบางพยักหน้าตอบด้วยร่างกายสั่นเทาจากอากาศหนาวเหน็บ
    ไอสีขาวจางๆถูกพ่นออกมาจากปากและจมูกของเจ้าของใบหน้าขาวเนียน
    เห็นดังนั้นชายสูงวัยก็ลงจากรถมาเปิดประตูรถให้เจ้าของชื่อที่ได้รับคำสั่งให้มารับท
    ันที

    “ขอบคุณครับ” ยกยิ้มบางๆก่อนจะก้าวลงนั่งบนเบาะหนังสีครีมภายใน
    ประตูรถถูกปิดลงก่อนคนขับรถจะกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง

    “ผมจำหน้าคุณหนูไม่ได้เลยนะครับเนี่ย เรียนโปรแกรม EP เหรอครับ?”
    ชายแก่ที่เริ่มออกรถไปได้ซักพักเอ่ยถามพลางเงยหน้าสบตากับคนบนที่นั่งด้านหลัง
    ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ

    “ไม่ใช่หรอกครับ ผมเรียนโปรแกรมปกตินี่แหละ
    ตอนม.สี่ถึงม.ห้าผมก็เคยขึ้นรถบัสที่คุณลุงขับนะครับ”
    หลังจากนั่งตากฮีเตอร์ในรถจนหายอาการหนาวสั่น ร่างเล็กก็เริ่มปริปากพูด
    เมื่อเห็นอีกคนเลิกคิ้วมองมาด้วยความสงสัย ก็ขยายความต่ออีกหน่อย

    “เมื่อก่อนผมทำผมสีดำน่ะครับ แล้วก็ใส่แว่นกลมๆ”
    พูดพลางทำนิ้วเป็นวงกลมยกขึ้นแปะตาทั้งสองข้าง

    “อ๋อ คุณหนูคนนั้นเอง เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ”
    “ครับ...อันนี้ผมทราบดี ฮะๆ”
    “ผมเองก็ดีใจนะครับ ที่เห็นคุณหนูโตมาแข็งแรงขึ้น...”
    ชายแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะเหลือบมองเด็กชายในความทรงจำของตน

    เด็กชายที่มักขึ้นรถบัสเบอร์แปดของเขาอยู่เงียบๆทุกวันเช้าเย็น

    เด็กหนุ่มพูดน้อยแต่กลับมีมารยาทผิดกลับเด็กรวยคนอื่นๆบนรถที่มักดูถูกอาชีพของเขา

    เด็กตัวเล็กเจ้าของใบหน้าหวาน แต่กลับปกปิดมันไว้ด้วยแว่นเรือนใหญ่

    เด็กคนที่มักนั่งเงียบๆไม่พูดจาอยุ่ที่เบาะเดิมๆไม่ยุ่งกับใครไม่เคยมีเพื่อนที่ไหน




    จนวันนั้นนั่นแหละ...





    ที่มีเขาได้เห็นเด็กน่ารักคนนี้มีเพื่อนกลับบ้านด้วยครั้งแรก


     




    “ไหวรึเปล่า?” เสียงเรียกพร้อมกับแรงสะกิดเบาๆที่ไหล่ทั้งสอง
    เรียกสติที่เรือนรางของร่างบางได้เล็กน้อย คนตัวเล็กปรือตาขึ้นก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นนั่ง

    ดวงตาหวานสอดส่ายไปรอบตัวก่อนจะพบเพียงซอกตึกที่ว่างเปล่า
    ไร้วี่แววของกลุ่มอันธพาลที่พยายามจะประทุษร้ายเขาเมื่อครู่



    จะมีก็แต่ใครบางคนที่เขาเองก็มองหน้าไม่ชัดนักนั่งอยู่เบื้องหน้า...



    รู้แค่เพียงบนใบหน้าของอีกคนมีรอยช้ำปรากฏอยู่เป็นจุดๆเท่านั้น




    “เกิด...อะไรขึ้น...?” เอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงแห้งผาก
    เท่าที่จำได้เขาได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นจากเบื้องหน้า
    แต่ก็ไม่ทันได้มองหน้าของผู้ที่มาช่วยเขาไว้

    สิ่งที่จำได้เป็นสิ่งสุดท้ายก็คือเสียงชกต่อยและเสียงร้องโอดครวญจากความเจ็บปวด

    ก่อนเขาจะหมดสติไปด้วยความเหนื่อยล้านั่นแหละ...


    “นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...”
    “...?” เลิกคิ้วและมองหน้าของอีกคนอย่างสงสัย
    มองอีกคนนิ่งอยู่อย่างนั้นซักพักนั่นแหละถึงนึกขึ้นได้ว่าตาของตนหายพร่ามัวแล้ว
    แต่ที่ยังมองไม่ชัดเป็นเพราะไม่ได้ใส่แว่นซะมากกว่า
    มือเล็กแปะไปตามพื้นก่อนจะเจอกรอบแว่นของตนโดนเหยียบเละเทะอยู่บนพื้นข้างตัว

    “รู้แค่ว่ามันผ่านไปแล้ว และนายปลอดภัยแล้ว...แค่นั้นพอ โอเคมั้ย?”
    “อืม...”
    “ดีมาก มานี่สิ ฉันจะพาไปทำแผล”
    “...?” ร่างเล็กส่งเสียงถามอีกครั้งก่อนร่างสูงจะเอื้อมมือไปจับมือข้างหนึ่งของอีกคนขึ้นมา

    “นี่ไง ไม่เจ็บหรอ?” มือเล็กข้างที่ถูกอีกคนกุมไว้เบาๆที่รอยแผล
    ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเศษแก้วบนพื้นบาดเป็นทางยาว มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาซิบๆ
    เจ้าของมือก้มลงมองตามก็ยู่หน้าขึ้นมาทันที

    “เจ็บ...แล้วล่ะ”




    ช่วยไม่ได้นี่นา...





    เขากลัวเลือดเสียยิ่งกว่าอะไร





    “โอ๊ย แสบ” พูดพึมพำออกมาพลางขมวดคิ้วแน่นเมื่ออีกคน
    แตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงบนปากแผลหลังจากห้ามเลือดเรียบร้อย

    “ฮะๆ ทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวทายาพันแผลก็เสร็จแล้ว”
    “ค...ครับ”
    “เฮ้ เราเป็นเพื่อนกันไม่ต้องพูดครับหรอกน่า”
    “เพื่อน...หรอ?” เอ่ยขึ้นมาเพียงเบาๆอย่างไม่เข้าใจ




    ชีวิตนี้...เขาไม่ยักจำได้ว่ามีเพื่อนกับคนอื่นเค้าด้วย...





    “ใช่สิ เราอยู่ห้องเดียวกันมาสามปีแล้วนะ”
    เงยหน้าขึ้นจากที่ทำแผลและยิ้มให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงห้องพยาบาล

    “นายอาจจะไม่รู้จักฉันมั้ง...ฉันยุนดุจุนเลขที่สิบเอ็ดไง”
    ร่างสูงชูป้ายชื่อของตัวเองขึ้นก่อนจะกลับไปสนใจกับการทำแผลให้อีกคนต่อ

    คนที่บาดเจ็บก้มลงมองซีกหน้าด้านบนของอีกคนอยู่เงียบๆ




    ยุนดูจุน...





    มีใครที่ไม่รู้จักคนๆนี้บ้างล่ะ?



    “เสร็จแล้วล่ะ...เฮ้” เมื่อเงยหน้ามาเจอร่างเล็กนั่งเหม่อจ้องหน้าเขาอยู่ซักพัก
    ก็เอ่ยทักขึ้นพลางโบกมือไปมาอยู่เบื้องหน้า คนที่ถูกเรียกก็ได้สติแทบจะทันที

    “ถ้าไม่รู้จักก็ไม่ต้องพยายามนึกขนาดนั้นหรอกน่า...”
    “ไม่ใช่นะ...คือเรามองไม่เห็น...”
    “อ๋อ เออจริงด้วยปกตินายต้องใส่แว่นแฮรี่ พอตเตอร์นี่เนอะ”

    ร่างบางเงียบไปซักพัก

    ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะมานั่งจะรายละเอียดอะไรของเขาด้วย...

    “งั้นวันนี้เราจะขึ้นรถกลับบ้านกับนายแล้วกัน”
    “...”
    “วันนี้...เราจะเป็นตาให้นายเอง...”





    “สวัสดีครับคุณลุง” เสียงทักทายที่คุ้นหูเรียกให้ชายวัยกลางคน
    ที่นั่งประจำที่อยู่บนที่นั่งคนขับหันไปมอง

    “อ้าว คุณหนูดูจุนสวัสดีครับสบายดีมั้ยครับวันนี้?”
    “สบายดีครับคุณลุง...จะไปไหนล่ะน่ะ?” ยิ้มตอบอีกคนก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็ก
    ที่เดินคลำตัวรถคันข้างๆมาช้าๆแถมยังทำท่าเหมือนจะเดินขึ้นไปแล้ว
    ถ้าไม่ถูกเรียกไว้ซะก่อนด้วย

    “อ...อ้อ ขอโทษที” เอ่ยเบาๆพลางยกมือเกาหัวด้วยความเขิน

    “บอกแล้วไงว่าอย่าปล่อยมือเรา ดื้อเองนะ” ไม่ว่าเปล่า
    มือหนาดึงแขนของร่างเล็กเบาๆให้เดินเข้าหาตัวเอง
    จับมือข้างขวาที่ไม่ได้มีผ้าพันแผลพันไว้มาวางไว้บนมือตัวเองและกำมันไว้เบาๆ

    “ไม่ต้องอายหรอกน่า” ระบายยิ้มหวานให้อีกคนสบายใจ
    ก่อนทั้งสองคนจะพากันขึ้นรถบัสไป

    “สวัสดีครับคุณลุง”
    “สวัสดีครับคุณหนู” คนตัวเล็กเอ่ยทักทายขึ้นบ้างและก้มหัวเก้ๆกังๆ
    เนื่องจากไม่มีแว่นใส่จึงมองหน้าคนที่ตัวเองเอ่ยสวัสดีไม่ถนัดตานัก

    ร่างสูงมองการกระทำนั้นด้วยรอยยิ้มอยู่เงียบๆ
    ก่อนจะดึงมือเล็กให้ร่างเล็กอีกคนเดินตามเข้าไปยังที่นั่งในตัวรถ

    “นายนั่งนี่สินะ” หยุดยืนอยู่หน้าเบาะนั่งที่ยังว่างอยู่ทั้งๆที่ทั้งรถก็เต็มเอียด
    ไม่รอให้อีกคนตอบก็ถอยให้ร่างเล็กเดินเข้าไปนั่งที่นั่งริมหน้าต่างด้วยความมั่นใจ

    “อืม” ตอบสั้นๆก่อนจะเดินเข้าไปเสียชิดหน้าต่างและนั่งลง
    แต่แล้วก็ต้องตกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อที่นั่งด้านข้างยวบลง

    “บอกแล้วไงว่าจะเป็นตาให้นาย ถ้านายเกิดลงเลยบ้านตัวเองไปจะทำยังไงจริงมั้ย?”
    ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะกลับมานั่งนิ่งๆเช่นเดิม

    “นี่นายไม่รู้จักเราจริงอ่ะ?” นั่งเงียบไปได้ซักพักคนข้างๆก็ถามขึ้นมาอีก

    “รู้จักสิ...นายดังจะตายนะ”
    “แล้วนายไม่รู้เลยจริงๆหรอว่าเราสองคนนั่งรถโรงเรียนคันเดียวกัน” คนตัวเล็กส่ายหัว

    “ขอโทษนะ”
    “เฮ้ยๆ ไม่ต้องขอโทษ ก็นะ เห็นนายจะขึ้นรถคนแรกๆตลอด
    แล้วก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่คนเดียว” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านี้
    ทางด้านร่างสูงก็ทิ้งตัวพิงลงให้สบายตัวขึ้นก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ที่หู





    และไม่ลืมที่จะแบ่งอีกข้างให้คนข้างๆใส่ด้วย





    “อ๊ะ!”
    “ฟังเถอะ ถือว่าเปิดหูเปิดตา” พูดลอยๆโดยที่ดวงตาทั้งสองก็ยังมองตรงไปข้างหน้า
    คนตัวเล็กพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกระชับกอดกระเป๋าให้แน่นขึ้น

    “ขอบคุณนะ...” เอ่ยออกไปเพียงเบาๆ
    โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนข้างๆจะได้ยินรึเปล่าผ่านหูฟังนี่ 





    ขอบคุณ...ที่อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้ตัว





    ว่าเขาก็ยังมีตัวตนสำหรับใครบางคน







    “ถึงแล้วครับคุณหนู” เสียงพูดที่ขัดความเงียบในคันรถ
    เรียกสติของร่างเล็กให้กลับมาอีกครั้ง เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตอบ

    มือข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาดูหลังจากลืมสังเกตไปนาน

    แผลเป็นยาวๆพาดผ่านฝ่ามือขาว
    ถึงจะเรือนลางไปมากแล้วจากการเวลา แต่ก็ยังมีรอยนูนจางๆให้เห็น





    ไม่เจ็บแล้วล่ะ...






    ใช่...





    ไม่เจ็บอีกแล้วล่ะ...



    “ของคุณนะครับคุณลุง โชคดีจังเลยที่คุณลุงเป็นคนมารับผม”
    ยิ้มหวานให้ชายวัยกลางคนที่อาจจะถือว่าสนิทที่สุดในชีวิตมัธยมแล้วก็ว่าได้
    ก่อนจะยกหน้ากากสีขาวในมือขึ้นสวมใส่และลงจากรถเมื่อคนขับรถลงจากรถมาเปิดประตูให้

    ลีมูซีนสีดำมันวาวตัดกับเสื้อผ้าสีขาวทั้งตัวกับผมสีทองอ่อนๆของคนตัวเล็ก
    ค่อยๆติดเครื่องอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป

    ชั่วเวลาหนึ่ง ดูเหมือนความตัดกันอย่างโดดเด่นของสีทั้งสองสิ่ง
    จะเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่ระเบียงของห้องจัดงานอีกฝั่งของสนามฟุตบอล


    สายตาหลากหลายคู่พากันจับจ้องไปที่แขกผู้มาใหม่
    ที่ดูจะมาช้ากว่าเวลาเริ่มงานไปเล็กน้อย







    รวมทั้งร่างสูงในเสื้อสูทสีดำที่วางแก้วไวน์ในมือลง
    และลืมบทสนทนากับเพื่อนเก่าไปเสียสนิท







    ดวงตาคมมองผ่านแผ่นพลาสติกสีเดียวกับสูทที่สวมใส่
    ก่อนส่วนหนึ่งในความทรงจำจะกระตุ้นให้เขาขบคิด








    ส่วนหนึ่งในความทรงจำ...กระตุกหัวใจของเขาให้เต้นแรงขึ้นมา...







    “ข้อนี้...ถ้านายเอาด้านตรงข้ามมุมฉากมาหารด้านตรงข้ามมุมเซต้า
    นายก็จะได้ค่าไซน์ แล้วก็เอาไปแทนหาความยาวของสะพานตามที่โจทย์ถาม...เข้าใจรึเปล่า?”
    ร่างเล็กหยุดอธิบายไปชั่วคราวเมื่อเงยหน้าขึ้นและพบว่าสายตาของคนที่เขา
    กำลังสอนการบ้านอยู่มันไม่ได้อยู่ที่หนังสือเรียนซักนิด

    “เอาจริงๆ...ไม่เลยซักนิดแฮะ”
    “นี่ยุนดูจุน!” ขึ้นเสียงเล็กน้อยแต่ก็ยังเบาอยู่ดีเพราะที่ๆเขานั่งอยู่คือห้องสมุด
    ถึงรอบบริเวณที่นั่งอยู่จะไม่มีคนอยู่เลยก็เถอะ แต่เขาก็มาห้องสมุดบ่อยจนชินเสียแล้ว

    “ก็นายเอาแต่นั่งจ้องหน้าเราอยู่อย่างนี้นายจะรู้เรื่องมั้ยล่ะ
    ถ้าจะไม่เรียนเราจะให้คุณแม่มารับแล้วนะ เราอุตส่าห์ยอมไม่ขึ้นรถกลับบ้าน
    เพื่อมาติวเลขให้นายเลยก็ช่วยตั้งใจเรียนหน่อยสิ”

    “ขอโทษครับคุณครู” ร่างสูงตอบเสียงใสอย่างไม่สะทบสะท้าน
    แถมยังระบายยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกต่างหาก



    ไม่รู้ว่าทำไม...แต่หลังจากวันนั้นคนตัวสูงก็ดูจะโผล่มาให้เขาเห็น
    บ่อยขึ้นเสียเหลือเกิน


    ‘เราจะเป็นเพื่อนของนายให้เอง ตกลงนะ?’


    จำได้ว่าวันนั้นคนตัวสูงข้างๆนี่พูดทิ้งท้ายไว้แบบนี้
    หลังจากอุตส่าห์เดินลงจากรถบัสเพื่อไปส่งเขาถึงบ้าน
    เพราะจากที่ๆลงก็ต้องเดินเข้าซอยไปอีกลึกพอควร



    ทั้งๆที่บ้านของคนตัวสูงเองก็ต้องเดินไปอีกไกลไม่น้อย...


    “เรามีเรื่องสงสัยอย่างนึง”
    “หือ?” เสียงพูดของอีกคนเรียกให้ร่างเล็กหันไปมองแล้วเลิกคิ้วถาม

    “ใบหน้าภายใต้แว่นแฮรี่ พอตเตอร์ของนาย...เราอยากเห็นมันอีกซักครั้งจัง”
    ดวงตาคมจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่โตของอีกคน พยายามจะลบภาพ
    แว่นอันเบ้อเริ่มที่บดบังใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของอีกคนให้ได้

    "มันก็ไม่เปลี่ยนไปจากที่นายเห้นคราวที่แล้วนักหรอก ถามทำไมหรอ? อ๊ะ!”
    ไม่ทันได้รับคำตอบในสิ่งที่สงสัย มือหนาก็คว้าแว่นบนใบหน้าหวานไว้
    และดึงออกอย่างเบามือทันทีที่เจ้าตัวหันหน้าไป


    ร่างสูงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
    ดวงตาทั้งสองยังคงจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าใสของคนข้างหน้าไม่ไปไหน


    ดวงตากลมโตที่มีแววตาสีน้ำตาลเข้มซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตาที่เรียงตัวสวยราวกับตุ๊กตา


    จมูกรั้นที่ถึงจะไม่ได้สูงโด่งแบบคนตะวันตก แต่กลับขับส่งส่วนอื่นๆบนใบหน้าให้สะดุดตา


    กลีบริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆทั้งสองที่กำลังอ้าเอ่ยคำพูดต่างๆออกมา
    แต่เขากลับไม่ได้สนใจได้ยินหรือฟังมันซักนิด





    น่ารัก... ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้มาก่อนนะ...





    “ดูจุน...ดูจุน เป็นอะไรรึเปล่า? ถ้าเรียนต่อไม่ไหววันนี้พอแค่นี้ก็ได้นะ”
    ร่างเล็กเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง สีหน้าเป็นกังวลลงอย่างเห็นได้ชัด

    “ม...ไม่เป็นไร” เมื่อได้สติร่างสูงก็ส่ายหัวสองสามครั้งและหันกลับมาจ้องหนังสือเรียน
    ที่ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สนใจจะเหลือบมองด้วยซ้ำเพื่อซ่อนสีหน้าแตกตื่นกับแรงบีบรัดที่
    หัวใจ




    ก็ตอนอยู่ที่เรียนพิเศษเขาสอบตรีโกณได้เต็มคนเดียวในห้องอยู่แล้วนี่…



    “คุณแม่โทรมาแล้วล่ะ เราไปก่อนนะ” สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นที่กระเป๋ากางเกง
    มือถือเครื่องสวยถูกหยิบออกมาและคุยโต้ตอบกับอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อยก่อนจะวางสาย
    และกันมาบอกลาเพื่อนตัวสูงกว่าที่นั่งหลบตาเขามาตั้งแต่เมื่อกี๊ ร่างสูงเงยหน้าขึ้นพยักหน้าตอบ
    ก่อนจะยื่นแว่นสีดำในมือคืนให้เจ้าของ

    “เดี๋ยว” แต่แล้วเมื่อร่างบางหมุนตัวหันหลังให้
    มือหนาก็คว้าข้อมือของอีกคนไว้และดึงกลับเข้าหาตัวเอง





    เพียงเสี้ยววินาที ร่างเล็กถูกดึงให้นั่งลงบนพื้นเผชิญหน้ากับอีกคน






    เพียงเสี้ยววินาทีที่เอวบางถูกโอบไว้และดึงเบาๆให้ล้มตัวลง
    ตามร่างสูงที่นั่งพิงตู้หนังสืออยู่ไม่ห่าง






    เพียงเสี้ยววินาทีที่แว่นบนใบหน้าถูกดึงออกอีกครั้ง






    แต่ไม่รู้ว่าผานไปซักกี่วินาที...







    ที่ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกัน






    สัมผัสที่อ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับก้อนเมฆ
    แต่กลับอ่อนหวานจนใจทั้งสองดวงเต้นกระสับกระส่ายขึ้นมาไม่น้อย








    เมื่อรู้สึกถึงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของคนในอ้อมกอด
    ร่างสุงก็ค่อยๆคลายแขนทั้งสองลง ส่งผลให้ร่างเล็กได้โอกาส
    วางมือลงกับอกกว้างและผละใบหน้าของตนออกมาก่อน

    “...”
    “...” ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองคนอย่างไม่ได้นัดหมาย
    ร่างเล็กนั่งก้มหน้ามองหน้าตักของตนที่บัดนี้นั่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองของร่างสูง
    ก่อนจะตัดสินใจหยิบแว่นกลับขึ้นมาใส่และคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

    “ร...เรากลับนะ” อีกคนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่นั่งก้มหน้านึกถึงเรื่องที่
    ตัวเองทำลงไปโดนไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเมื่อชั่วนาทีที่แล้ว

    พยักหน้าเล็กน้อยก่อนร่างเล็กจะเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อน...






    “ในนิทานที่ฉันเคยอ่าน...ตอนที่ลูกเป็ดขี้เหร่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นหงส์...
    มันทิ้งบ่อน้ำที่มันเคยอยู่ไปสู่ที่ๆสวยงามเหมือนตัวเอง...”
    เสียงทุ้มต่ำดังตามหลังมาลอยๆทำให้ร่างเล็กต้องหยุดขาทั้งสองลงอีกครั้ง






    “แล้วถ้าลูกเป็ดข้างหน้าฉันรู้ตัวว่าจริงๆแล้วตัวเอง
    เป็นหงส์ที่สวยงามขนาดไหน...”






    “มันจะทิ้งฉันไปเหมือนกันรึเปล่า?”







    “เฮ่อ...” ร่างเล็กถอนหายใจพลางก้าวเดินไปตามทางเดินประดับดอกไม้
    ที่ถูกดัดแปลงมาจากสนามฟุตบอลตรงหน้าช้าๆ

    อากาศข้างนอกเริ่มหนาวขึ้นกว่าตอนก่อนขึ้นรถเมื่อหัวค่ำ
    แต่การคิดนู่นคิดนี่เรื่อยเปื่อยทำให้จังหวะการเดินเอื่อยเฉื่อยลงอย่างเห็นได้ชัด

    แต่ก็ดีแล้วล่ะ...จะได้ใช้เวลาสำรวจโรงเรียนที่ไม่ได้มาเหยียบตั้งสามปีเศษๆให้เต็มท
    ี่


    ไม่นานนักร่างเล็กก็หยุดยืนลงที่หน้าประตูบานใหญ่หน้าตึกหลังใหญ่
    ที่ใช้สำหรับจัดงานสำคัญๆต่างๆของโรงเรียน

    บานไม้สูงใหญ่เบื้องหน้าทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงเรื่องต่างๆในอดีต
    แล้วก็อดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้




    ดีแค่ไหนแล้วที่เขาได้เอาชนะยังโยซอบผู้อ่อนแอสมัยนั้นไปได้ซักที





    “วันนี้คือวันของเรายังโยซอบ... เข้าไปมีความสุขให้เต็มที่...”
    ยกยิ้มให้กำลังใจตัวเองอีกซักครั้งก่อนมือเล็กทั้งสองที่ชื้นเหงื่อ
    จะจับลูกบิดประตูและผลักเปิดมันออกช้าๆ








    ถึงเวลาของยังโยซอบคนใหม่ จะได้ออกสู่โลกกว้างเสียที











    คุณเคยดูภาพยนตร์ซักเรื่องหนึ่งที่นางเอกแปลงโฉมจนสวยสง่า
    แล้วทุกๆคนมองจนตาค้างราวกับมีเธอเปล่งประกายอบู่ในความมืดมั้ย?

    มันคงไม่ต่างไปจากร่างเล็กผมทองบลอนด์คนนี้กำลังเผชิญอยู่ซักเท่าไหร่

    ทันทีที่ร่างเล็กผู้มาใหม่ก้าวเท้าเข้าไปในงาน
    ทุกอย่างรอบตัวก็แข็งทื่อราวกับหยุดนิ่ง

    เสียงพูดคุยจอแจค่อยๆเบาลงก่อนจะเงียบไป
    จนเหลือเสียงเพลงที่เปิดคลอสำหรับคนที่เต้นรำเท่านั้น

    แม้จะอยู่ภายใต้หน้ากากหลากหลายสีหลากหลายแบบ
    แต่ร่างเล็กก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาที่เขาเป็นตาเดียว






    แปลก...เขาไม่คุ้นกับบรรยากาศแบบนี้








    ก้มลงมองเครื่องแต่งกายของตนอีกครั้ง
    เผื่อสีขาวของมันจะเปื้อนติดอะไรมา

    แต่สูทสีขาวก็ยังขาวเรียบไม่มีรอยสกปรกใดๆ
    รวมทั้งกางเกงสแล็คและรองเท้าหนังสีเดียวกัน

    มือเล็กทั้งสองยกขึ้นจัดทรงผมของตนเล็กน้อย
    เผื่อว่าตอนนั่งอยู่บนรถมันจะเกิดยุ่งขึ้นมา

    'หมับ'
    "อ๊ะ!" อุทานออกมาเมื่อจู่ๆมือของตนก็ถูกจับไว้จากข้างหลัง
    มือหนาดึงข้อมือของเขาให้ลดลง ก่อนร่างสูงในสูทสีดำ
    ตลอดตัว จะเดินหมุนมาอยู่ตรงหน้าเขา

    "เค้ามองเพราะนายดูดีต่างหาก...ไม่ต้องกลัวหรอก"
    เอ่ยด้วยเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
    ก่อนใบหน้าภายใต้หน้ากากสีดำเงาประดับไข่มุกสีทอง
    และริบบิ้นสีเดียวกันจะระบายยิ้มให้คนข้างหน้าสบายใจ

    "อือ" พยักหน้าเบาๆก่อนจะยืนเกร็งตัวน้อยลงซักหน่อย

    "ขอบคุณนะ...ฉันเข้างานล่ะ" ยิ้มตอบคนข้างหน้า
    ก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อยและเดินผ่านไหล่คนข้างหน้าไปยังตัวงาน








    "เดี๋ยวสิ" แต่เสียงจากเบื้องหลังก็รั้งเขาไว้
    ขาเรียวทั้งสองหยุดเดินก่อนจะหันหน้าไปมองคนข้างหลัง
    ที่ยื่นมือข้างหนึ่งมาข้างหน้าและส่งยิ้มที่ทำให้ใจหวั่นไหวได้ง่ายๆ









    "เต้นรำกับฉันนะ"






    ว่างเปล่า...

    ตั้งแต่วันนั้นคนตัวสูงก็ไม่โผล่มาให้เขาเห็นอีกเลย

    ได้ยินว่าอีกคนหวัดกินนอนซมอยู่บ้านมาอาทิตย์นึงแล้ว






    จะว่าไป...วันนั้นเขาก็เพิ่งหายหวัด






    ...วันนั้นที่ห้องสมุด...





    'ครืด' เสียงฮือฮาหลังจากการเข้ามาในห้องเรียนของใครบางคน
    ปลุกร่างเล็กที่โต๊ะริมหน้าต่างตัวหน้าสุดขึ้นจากห้วงความคิด

    "หวัดดีทุกคน~" เสียงร่าเริงที่ติดจะแหบเล็กน้อย
    จากอาการป่วยที่ยังไม่หายดีทักเพื่อนๆในห้อง
    ก่อนจะเดินตรงมาที่หน้าต่าง แขนทั้งสองเท้าลงกับขอบหน้าต่างก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ

    "เป็นยังไง...หงส์ตัวนี้จะหนีบ่อน้ำไปไหนรึเปล่า?"
    "..." ร่างเล็กที่ดูจะได้ยินคำถามเพียงคนเดียว
    เงยหน้าขึ้นมองซีกหน้าด้านข้างของร่างสูง

    ใบหน้าหวานนิ่งอย่างครุ่นคิด
    ริมฝีปากเม้มลงจนเกือบเป็นเส้นตรง





    จู่ๆห้วงหนึ่งในความคิดเกิดคำถามขึ้นมา





    ถ้าคนตัวสูงแค่แกล้งทำดีกับเขาล่ะ?





    ถ้าจริงๆแล้ว...อีกคนก็แค่ทำด้วยเหตุผลเหมือนคนอื่นๆล่ะ?





    "ไม่...หรอ?" เสียงแหบเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง

    แม้จะเห็นเพียงครึ่งหน้าด้านข้าง แต่ร่างเล็กก็พอจะดูออก
    ว่าร่างสูงตรงหน้าเองก็เสียความรู้สึกไม่น้อย




    ความคิดเมื่อซักครู่หายไปทันที



    เป็นไปไม่ได้หรอก...ยุนดูจุนที่เขารู้จักไม่เคยหลอกใคร



    "เราไม่ใช่หงส์ที่สวยงามเหมือนที่นายบอกหรอกนะ..."
    "...?" ร่างสูงหันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยิน
    เสียงเล็กๆของใครอีกคนขึ้นมาตอนที่เขาตัดใจและ
    กลับมายืนปกติเพื่อเดินไปนั่งที่ของตัวเอง

    ใบหน้าหวานขึ้นสีชมพูระเรื่อก่อนจะสูดหายใจลึกๆ
    รวบรวมความกล้าอยู่พักนึงก่อนจะเอ่ยคำตอบ
    ในใจของตนให้อีกคนได้รู้



    คำพูดที่แม้จะพูดโดยไม่ได้มองหน้ากัน



    คำพูดเบาๆที่ได้ยินผ่านหูดั่งสายลม




    แต่กลับทำให้ร่างสูงยิ้มออกราวกับหายป่วยไปสนิท





    "แต่ถ้าบ่อน้ำยังมีที่ว่างให้ลูกเป็ดขี้เหร่ตัวนี้อยู่..."






    "เราก็คงไม่ไปไหนหรอก..."






    "เรา...เคยเรียนห้องเดียวกันรึเปล่า?"
    "หือ?" จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยถามขึ้น

    ร่างบางเงยหน้ามองอีกคนที่ถึงปากจะพูดกับเขา
    สายตาก็ยังมองทอดออกไปนอกหน้าต่าง

    "ฉันรู้สึกคุ้นหน้านายจัง...คุ้นมาก..."
    ว่าแล้วก็ย้ายสายตาลงมามองตอบร่างเล็ก
    ที่จ้องหน้าเขามาได้ซักพักแล้ว

    "จริงๆฉันไม่ใช่คนเด่นดังอะไรหรอกตอนอยู่โรงเรียน
    นายอาจเคยเห็นหน้าฉันผ่านๆมากกว่า"
    ยกยิ้มแหยๆก่อนจะตอบปัดๆไป
    แต่ดูเหมือนร่างสูงจะยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

    "ไม่...ฉันรู้สึกเหมือน...นายกับฉันรู้จักกันนะ"
    ว่าพลางโน้มใบหน้าลงมาใกล้คนตัวเล็กกว่ายิ่งขึ้น





    แววตาคู่นี้...เค้าคุ้นเคยกับมันยิ่งกว่าอะไร





    คุ้น...ว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยตกหลุมรักมันเพียงแค่ได้เห็นครั้งแรก





    ไม่ผิดแน่ๆ...






    "จำฉันไม่ได้เลยจริงหรอ?"
    "ม...ไม่นี่" ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจากเอวบาง
    และเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตากับตนเพื่อความแน่ใจ

    แววตาคมที่ดึงดูดผู้ที่ได้จ้องมองแค่เพียงมองผ่าน
    จ้องผ่านหน้าสีขาวไข่มุกของคนตรงหน้าลงไปยัง
    ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่มีเงาของตัวเขาเองสะท้อนอยู่
    ไม่ต่างไปจากที่เขามองเห็นร่างเล็กตรงหน้า

    "ฉันดูจุนไง...จำไม่ได้เลย...จริงๆหรอ?"
    มือที่เคยจับอยู่ที่ปลายคางเลื่อนไปประคองใบหน้าเนียนไว้เบาๆ
    แววตาหวานเริ่มสั่นไหวเมื่อคนข้างหน้าบอกชื่อของตนออกมา






    "หงส์ตัวนั้น...ลืมบ่อน้ำนี้ไปแล้ว...จริงๆงั้นหรอ..."



    "โยซอบ...?"




    ไม่รู้ว่าเพราะแววตาที่สั่นระริกไปด้วยน้ำตา
    ที่ตั้งท่าจะไหลลงมาของเขาหรืออะไร...





    ร่างเล็กถึงได้เห็นเงาใบหน้าของตัวเองในดวงตา
    ของอีกคนเริ่มสั่นไหว ก่อนหยดน้ำหยดเล็กๆจะหยดลงมา
    จากขอบตาของคนข้างหน้าช้าๆ





    หยดเดียวเท่านั้น...




    แต่กลับกระตุกหัวใจของเขาได้อย่างน่าใจหาย




    เหมือนเหลือเกิน





    เหมือนกับวันนั้น...






    ร่างบางวางถังขยะลงกับพื้นปูนของทางเดินอย่างหมดแรง

    จริงๆวันนี้ไม่ใช่เวรเขาทิ้งขยะหรอก
    แต่เพราะแม่ของเพื่อนเจ้าของหน้าที่ประสบอุบัติเหตุรถชน
    เขาเลยอาสาทำหน้าที่นี้แทนด้วยความเห็นใจ

    "เดี๋ยวนี้แกดูสนิทกับเด็กเนิร์ดนั่นจังเลยนะ"
    เสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องแล็บวิทย์ซึ่งอยู่ห่างจากจุดทิ้งขยะไปเล็กน้อย
    ด้วยความที่่ประตูของห้องแง้มไว้ร่างเล็กจึงได้ยินสิ่งที่คนในนั้นคุยกันชัดเจน

    "ก็...อืม" เสียงที่คุ้นหูเอ่ยตอบ
    ขาเรียวที่ตั้งใจจะเดินกลับห้องของตน
    เพราะมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมายืนฟังชะงักลง

    ไม่รู้ว่าอะไรสั่ง แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที
    ขาทั้งสองก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ
    รอคอยที่จะฟังสิ่งที่ร่างสูงจะตอบอย่างคาดหวัง





    ถึงในใจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าแท้จริงเขาเองคาดหวังอะไร




    เพื่อน...




    น้ำใจ...




    ความรัก...?




    "โยซอบก็น่ารักออก แถมยังนิสัยดีกว่าที่พวกนายคิดเยอะนะ"
    "แล้วแกไปทำไงถึงเริ่มคุยกันได้ล่ะวะ ปกติเห็นหมอนั่นเจี๋ยมเจี้ยมจะตาย
    นี่ถ้าไม่นายไม่บอกเราคิดว่าหมอนั่นเป็นใบ้ไปซะแล้วนะ"
    เพื่อนคนที่นั่งหันหลังให้ประตูพูดติดหัวเราะ
    ร่างสูงยิ้มตอบแต่ปากก็เอ่ยว่าเพื่อนของตน

    "นายก็เกินไป จริงๆเค้าก็เหงาออกนะ ไม่มีเพื่อน
    แถมไม่รู้จักวิธีคุยกับใครก่อน เราว่าเค้าน่าสงสารออก"
    "นายก็เลยเป็นเพื่อนกับหมอนั่น?"
    "อืม...จะว่างั้นก็ได้ เค้าน่าสงสาร...จนเรามองข้ามไปไม่ได้"
    ร่างสูงตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง

    "แต่ความจริงถ้าเลือกได้..."



    "เราก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับโยซอบหรอกนะ"


    ‘โครม’
    “เฮ้ย?!?” นักเรียนชายทุกคนในห้องสะดุ้งจนเกือบตกโต๊ะตกเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไปตามๆกัน
    เมื่อจู่ๆก็มีเสียงเหมือนบางอย่างตกลงพื้นดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง

    “ใครมาเล่นอะไรแถวนี้วะ?”
    คนที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดวิ่งมาที่ประตูก่อนจะกระชากมันออกอย่างรวดเร็ว
    แต่แล้วก็ต้องสะดุดไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า


    และคนที่ตกใจที่สุด...ก็คงไม่พ้นยุนดูจุน



    “ย...โยซอบ” ร่างสูงมองคนตัวเล็กที่ยืนก้มหน้าก้มตามองถังขยะ
    ที่ตนทำตกจากมือไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อย่างใจหาย


    ไหล่บางทั้งสองสั่นไหวจากการกลั้นน้ำตา
    แต่มันก็ยังคงไหลลงมาเรื่อยๆจนข้างแก้มใสเปียกซก


    ดวงตาแดงก่ำเงยขึ้นสบตากับคนเพียงคนเดียวในห้องที่เขารู้จัก
    เพียงวูบเดียว ก่อนจะวิ่งหายไปในความมืดไม่รอให้ร่างสูงได้แก้ตัวอะไร






    ตึก ตึก ตึก ตึก


    “โยซอบ! ยังโยซอบ โยซอบอา!!”
    ในที่สุดร่างเล็กที่วิ่งหนีมาจนสุดทางเดินก็ชะลอความเร็วลง
    และหันมาเผชิญหน้ากับร่างสูงด้านหลังที่อยู่ห่างไปเพียงนิดเดียว
    เพราะความยาวขาที่แตกต่างและอีกคนนึงเป็นนักกีฬา
    ร่างสูงจึงวิ่งตามทันภายในเวลาไม่นานนัก

    “อย่า...อย่าเรียกเราแบบนั้น...” เสียงใสเอ่ยขึ้นพลางหอบหายใจ
    ดวงตาหวานบัดนี้กลับดูจริงจังจนหน้าตกใจจ้องตาคนข้างหน้า
    เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่เพียงคำพูดลอยๆ

    “โยซอบ...คือ”
    “พอเถอะดูจุน...เราไม่อยากฟังแล้ว...”
    “ฟังเราก่อนได้มั้ยโยซอบอา?”
    “บอกว่าอย่าเรียกแบบนั้นไง!!!” ร่างบางตะโกนลั่นพลางยกมือปิดหูแน่น

    ร่างสูงทำได้เพียงยืนมองน้ำตาไหลลงมาจากขอบตาแดงก่ำของคนข้างหน้าอยู่เงียบๆ
    อยากจะเข้าไปปาดมันออกใจแทบขาดแต่คงไม่พ้นโดนปัดออกอยู่ดี

    “เรารู้เรามันน่าสงสาร...”




    “ใช่! เรามันไม่มีเพื่อน มาโรงเรียนให้โดนรังแกไปวันๆ”




    “แต่รู้มั้ย...ตอนที่นายบอกว่าจะเป็นเพื่อนกับเรา เราดีใจมากนะ”




    “ไม่เคยมีใครดีกับเรา ใส่ใจเราได้เท่านาย”




    “มันอาจดูน่าเกลียด...แต่สิ่งที่นายทำมันทำให้เราคิดว่านาย...รักเรา”




    “จนมันทำให้เราคิดเกินเลย...คำว่าเพื่อนกับนายไปแล้ว...”




    “แต่ทุกอย่าง...เราก็แค่คิดไปเองสินะ”




    “มันก็แค่...คำโกหก เหมือนคนอื่นๆเท่านั้น...ฮึก...”
    แขนเล็กถูกยกขึ้นปาดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า
    จนผ้ากำมะหยี่ของเสื้อสูทเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มไปหมด

    ร่างสูงทำได้เพียงยืนส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น

    “ไม่ใช่นะโยซอบ...ไม่ใช่”




    “เราไม่ได้โกหก...เชื่อเราเถอะนะ”
    น้ำใสๆเริ่มเอ่อขึ้นที่ขอบตาคม เขาทนเห็นน้ำตาของคนตัวเล็กเบื้องหน้าไม่ได้
    โดยเฉพาะน้ำตาที่เขาเป็นต้นเหตุ...



    “ที่เราบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับนาย...
    เพราะเราไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนเข้าใจมั้ยโยซอบอา...”



    “เรารักนาย...จริงๆนะ เรารักนายได้ยินมั้ย เราไม่ได้โกหก!!”
    ตะโกนคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกพลางยกมือจับไหล่เล็กทั้งสองเขย่าไปมา

    ดวงตาที่ฉ่ำน้ำตาจนแดงก่ำจ้องลงไปในดวงตากลมโตของคนข้างหน้า
    ที่สั่นจนเห็นภาพเบลอไปหมด ร่างเล็กไม่ได้หลบตาไปไหน
    แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะเอ่ยคำใดๆออกมาจากปาก

    เงียบอยู่อย่างนั้นจนทั้งสองสงบลงไปเอง
    ร่างบางจึงจับมือของอีกคนที่ไหล่ของตนลงเบาๆ
    ก่อนจะเงยหน้าส่ายหน้าให้อีกคนทั้งน้ำตาและเดินจากไป

    “เราขอโทษ...เราไม่รู้อีกแล้วว่าเราควรจะเชื่อนายดีรึเปล่า...”





    “ฉันจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักนาย...ขอโทษนะ”
    ตอบเสียงเรียบก่อนจะปล่อยมือที่คล้องคอร่างสูงตรงหน้าไว้ลงข้างตัว

    ไม่ทันที่มือที่ร่างสูงยกขึ้นหวังจะรั้งอีกคนเอาไว้จะได้สัมผัสลง
    บนผืนผ้าฝ้ายสีขาวที่ปกคลุมร่างกายบอบบางของคนเบื้องหน้า
    ร่างเล็กก็หมุนตัวและเดินฝ่าฝูงผู้คนออกไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่นำไปสู่ระเบียงเสียแ
    ล้ว





    ขาเรียวยังคงก้าวไปตามทางที่ปูด้วยหินเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย


    ไหนว่าวันนี้จะมีความสุขไง...


    ไหนว่ายังโยซอบคนใหม่เข้มแข็งนักหนา...


    สุดท้ายก็ต้องมาเสียน้ำตาให้เรื่องเดิมๆอยู่ดี...


    “ขี้แยจริงๆยังโยซอบ...” ปากบางเอ่ยว่าตัวเองเบาๆ
    ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปียกฟองน้ำใต้หน้ากากไปหมด


    เมื่อมองทอดไปรอบตัว ก็เห็นดอกไม้สีขาวบานเรียงรายตามข้างทางเดิน

    ร่างบางนั่งยองลงกับพื้นก่อนจะเด็ดดอกเดซี่สีขาวดอกหนึ่ง
    ขึ้นมาสูดกลิ่นหอมๆเพื่อให้อารมณ์เย็นลงได้บ้าง

    นึกย้อนไปหลังจากวันนั้น เขาก็พยายามไม่น้อยที่จะหลบหน้าอีกคน
    แถมยังต้องซ่อนเรื่องพวกนี้จากพ่อแม่และพี่สาวที่หวงเขานักหนาอีก

    จำได้ว่าเขาโกหกแม่ขอเปลี่ยนสายที่เรียนเพื่อจะได้เจอกับร่างสูงน้อยที่สุด
    ไหนจะขอให้แม่เอาคนขับรถมาที่โรงเรียนทุกวันอีก



    ใครจะไปรู้ว่าครอบครัวสุดที่รักรู้เรื่องมาแต่แรก?



    เขาทุ่มเทไปมากจริงๆนะ...กับการลืมคนแค่คนเดียว






    “ยัง...โย...ซอบสินะ ไม่ได้เจอกันนานนี่” เสียงทุ้มต่ำที่ติดแหบเล็กน้อยดังขึ้นด้านหลัง
    เรียกขนบนตัวร่างบางในเสื้อผ้าสีขาวสะอาดลุกซุ่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้


    นี่ก็คงเป็นอีกเรื่องที่เขาไม่เคยลืมลง


    “ฉัน...ไม่ใช่...อึก...”
    จู่ๆอวัยวะทุกส่วนมันก็สั่นขึ้นมาเมื่อโดนมือเย็นเฉียบของ
    ใครบางคนสัมผัสลงที่กลางหลัง มือเล็กทั้งสองยกขึ้นปิดหูและส่ายหัว
    ด้วยความหวาดกลัว

    “ไม่เปลี่ยนไปเลยนี่...ถ้ากูรู้ว่ามึงจะโตมาหน้าตาน่ารักขนาดนี้ล่ะก็
    วันนั้นกูคงไม่ปล่อยให้ไอ้ดูจุนมาขัดจังหวะกูหรอก เหอะ”
    ก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก ซึ่งดูเหมือนมือที่ยกปิดใบหูของเขาไว้
    จะไม่ได้ช่วยกั้นไม่ให้เสียงเล็ดรอดเข้าไปแต่อย่างใด

    “คืนนี้ยังทันนะ...ยังไงมึงก็หนีกูไม่พ้นหรอก”
    มือหนาจับลงที่ไหล่บางทั้งสองข้างก่อนจะไล่ลูบลงไปยังเอวคอดเล็ก
    จนเหมือนเด็กสาว ปลายจมูกแตะลงที่ต้นคอระหงและไล้ขึ้นลงตามใจอยาก

    ร่างบางตัวแข็งทื่อ อยากจะขัดขืนแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ




    กลัว...เขากลัวเกินไป




    “มึง!!” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น และหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที
    ร่างของคนที่ยังอยู่แนบแผ่นหลังของคนตัวเล็กก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเสียแล้ว


    “นายไม่ยอมคุยกับฉัน...แต่นายยอมมันงั้นหรอ?”
    ประโยคตัดพ้อดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยความเงียบ
    คนที่ถูกถามยังคงนั่งเงียบ จนสังเกตเห็นไหล่บางที่สั่นเป็นลูกนกนั่นแหละ
    ยุนดูจุนถึงได้รู้ตัวว่าพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปซะแล้ว


    “กลัวแล้ว...อย่า...ฉันกลัวแล้ว...ฮึก...” ร่างเล็กยังคงนั่งพึมพำ
    ประโยคเดิมไปมา แขนที่ไร้แรงจนปวกเปียกยกกอดเข่าตัวเองไว้
    และปล่อยให้กางเกงของตนเป็นที่ซับน้ำตา

    “ไม่ต้องกลัวนะ...ไม่มีอะไรแล้วโยซอบ...ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว...”
    ย่อเข่าลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนร่างสูงจะดึงตัวอีกคนเข้ามากอดไว้หลวมๆ

    ยังดีที่อีกคนไม่ได้ปฏิเสธอ้อมกอดของเขาอย่างที่คิด
    ร่างเล็กใช้เวลาซักพักกว่าจะหายสั่น ก่อนจะขยับตัวซุกลงสู่อ้อมอกอุ่นของอีกคน




    “ฉันทำไม่ได้...ฉันเริ่มต้นใหม่ไม่ได้...”
    พูดขึ้นเสียงอู้อี้ในขณะที่ยังคงซุกอยู่กับแผงอกที่เคยคุ้นเคย



    “ฉันคิดว่าฉันจะเริ่มใหม่ได้ คิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอ...
    แต่วันนี้...มันทำให้ฉันรู้ว่ามันไม่จริงซักนิด”


    ร่างสูงก้มลงมองซีกหน้าของคนตัวเล็กในอ้อมแขนของตนเงียบๆ
    ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมที่สีแปลกตาไปจากคราวก่อนที่เห็นลิบลับอย่างเบามือ



    ไม่ได้เห็นมาสามปีได้...แต่คุยกันครั้งสุดท้าย...เมื่อไหร่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ





    ก็อีกคนเล่นไม่เปิดโอกาสให้เขาปรับความเข้าใจเลยจนเรียนจบกันไปเนี่ยแหละ



    “นายไม่ต้องเริ่มใหม่อะไรทั้งนั้นโยซอบ ไม่ต้องพยายามลืมเรื่องในอดีต...”





    “อย่าพยายาม...ลืมฉัน...” กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูอีกคน
    ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น

    แต่ตรงกันข้าม เมื่อเริ่มรู้สึกตัวร่างเล็กก็ดันไหล่ของอีกคนออกทันที

    “ปล่อย” ร่างสูงเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไม่เข้าใจ
    ร่างเล็กยังคงออกแรงดันตัวอีกคนให้ออกห่างอย่างไม่ลดละ
    สุดท้ายร่างสูงก็ต้องยอมใจอ่อนคลายอ้อมแขนออกมาเอง


    “ฉัน...กลับเข้างานดีกว่า” พูดตัดบทขึ้นมา ก่อนเจ้าของเรือนผมสีอ่อนจะลุกขึ้นยืน
    และหมุนตัวเดินกลับเข้างานโดยไม่ได้หันกลับมาสนใจคนข้างหลัง





    ไม่สิ...ไม่กล้าหันไปมากกว่า




    “ฉันจะไม่ปล่อยให้นายหายไปไหนอีกแล้วยังโยซอบ”
    แรงฉุดที่มากพอจะทำให้เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกคนรัดเข้าที่ข้อมือ
    ก่อนร่างเล็กจะถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของร่างสูงอีกครั้ง

    “บอกว่าปล่อยไง...” พยายามทำเสียงให้ดูจริงจังที่สุด
    แต่มันกลับไม่มีผลเมื่อเจ้าของแขนแกร่งนั่นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย

    “เพราะอะไรเหรอ...ทำไมนายถึงเกลียดฉันขนาดนี้” 


    “ฉันบอกว่าฉันรักนาย เพราะฉันรักนายจริงๆโยซอบ
    ฉันไม่ได้โกหกไม่ได้พูดเล่นอะไรทั้งนั้น”



    “เราไม่ได้เจอกันมาสามปี...แต่ฉันก็ยังคิดถึงนายทุกวัน”




    “สำหรับนาย...มันยังเป็นคำโกหกอยู่รึเปล่า?”
    ร่างสูงก้มลงจ้องตาคนตรงหน้าก่อนจะถอดหน้ากาก
    ที่บดบังใบหน้าของอีกคนออกอย่างเบามือ

    นิ้วเรียวถูกยกขึ้นปาดที่ขอบตาแดงๆของร่างเล็กตรงหน้า
    โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ปฏิเสธหรือขัดขืนอย่างคราวก่อนๆ
    ก่อนร่างสูงจะย้ายมือมาประคองใบหน้าที่เมื่อก่อนเล็กยังไงก็ยังเล็กเท่าเดิมเอาไว้





    ลูกเป็ดของเขา...กลายเป็นหงส์เต็มตัวแล้วสินะ






    งดงาม...จนเขาไม่กล้าแตะต้อง...





    “บ่อน้ำบ่อนี้...มันยังรอให้หงส์ตัวนั้นกลับมาหาเสมอนะ”
    เอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเคยพลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบแก้มแฉะของอีกคนเบาๆ



    “ฉันไม่ใช่หงส์อย่างที่นายบอกดูจุน”




    “ฉันไม่ได้เป็นทั้งลูกเป็ดขี้เหร่หรือหงส์อะไรทั้งนั้น...”




    “ฉันคือฉัน...ยังโยซอบ...เด็กบ้าเรียนที่ไม่มีใครรัก”
    ร่างบางพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนเงียบมานาน มือนิ่มที่เย็นเฉียบใกล้เคียง
    กับอากาศรอบตัวแตะเข้าที่ข้างแก้มของคนตัวสูงกว่า
    ถอดแผ่นพลาสติกสีดำที่กั้นใบหน้าของเขาทั้งสองออกเบาๆ
    ก่อนจะยกยิ้มเมื่อใบหน้าของอีกคนไม่ได้เหปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนซักนิด


    มีแต่จะดูดีขึ้นเท่านั้น...ดูดีจนไม่กล้าเข้าใกล้ไปมากกว่านี้



    “เพราะฉันไม่ใช่...ฉันเลยไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้กับนายไปมากกว่านี้”



    “ฉันไม่มีอะไรซักอย่างที่ดีพอจะไปยืนข้างๆนาย...อ...อือ”
    ไม่ทันจะพูดให้ริมฝีปากอิ่มก็ถูกปิดลง
    ร่างบางเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อยกับสัมผัมที่ได้รับกระทันหันแต่กลับไม่ได้ขัดขืน

    จังหวะการจูบยังคงเป็นไปอย่างเนิบนาบ
    ไม่มีการรุกรานใดๆ เหมือนกับคราวก่อน
    ดวงตากลมโตค่อยๆหลับลงเพื่อรับสัมผัสบนริมฝีปาก
    ก่อนมือหนาจะประคองใบหน้าเล็กให้เข้าไปใกล้ขึ้น

    ผ่านไปอีกนานพอดูจนได้ยินเสียงจอแจดังออกมาจากห้องจัดงานนั่นแหละ
    ทั้งสองคนถึงผละออกจากกัน

    ร่างสูงย้ายมือลงมากุมมือเย็นๆของคนตัวเล็กไว้
    เข่าข้างหนึ่งย่อลงประชิดพื้นก่อนจะเงยหน้ามองคนข้างหน้า
    ที่มองกลับมาด้วยแววตาสงสัย







    “งั้นฉันก็จะรักยังโยซอบคนที่ไม่มีอะไรคนนี้นี่แหละ...”




    THE END




    โอยยยยย จบแล้ว ลงฟิคดึกอีกเช่นเคย
    อ่ะนะ คนยังไม่เปิดเทอม 555

    เรื่องนี้เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะ
    มีตอนเดียวแต่ยาวมากกกกกกกกกก เลยต้องเป็น SF ไปโดยปริยาย
    คือตอนแรกก็รู้แล้วล่ะว่าต้องออกมายาวแบบนี้ เพราะแค่พล็อตก็ยาวเหยียด
    จะตัดตอนเดี๋ยวมันก็ไม่ต่อเนื่องอีก แต่ขอให้ทุกคนอ่านให้จบนะคะ
    ไม่รู้สิเราชอบพล็อตเรื่องนี้นะ อาจจะเขียนบรรยายไม่ละเอียดพอ
    แต่ชอบที่สุดที่เคยแต่งมาเลย (รวมทั้งเพลงเพราะ)
    ใครมาเม้นแปะแล้วมาดิทช้าเราเข้าใจค่ะ เพราะมันต้องใช้เวลาในการอ่าน
    แต่ข่วยเม้นหน่อยนะ ถือว่าให้กำลังใจหน่อย (หมดแรง ณ จุดนี้)

    เจอกันเรื่องหน้าค่ะbiggrin.gif

    CRY .q
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×