ลำดับตอนที่ #25
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #25 : [SF] เรื่องจริงของลูกเป็ดขี้เหร่
TITLE: เรื่องจริงของลูกเป็ดขี้เหร่...
WRITER: TEUKSOB
PAIRING: DOOSEOB
RATE: PG – 15 / DRAMA เบาๆ
TALK: มันยาวมากนะคะ เพราะเนื้อเรื่องมันค่อนข้างเยอะ
แต่อ่านเถอะ เราแนะนำเรื่องนี้สุดไส้ ไหนจะลองบรรยายแบบที่ไม่เคยทำ
เพลงประกอบ : Evening Sky
**ฟังนะ ต้องฟังนะ ขอให้ฟังเพลงนี้ตอนอ่าน เพื่ออรรถรสและอารมณ์ร่วม=w=**
“ลูกของแม่ดูดีมากเลยค่ะ” หญิงสาววัยกลางคนยิ้มหวาน
พลางจัดเสื้อสูทสีขาวสะอาดสะอ้านของลูกชายที่ยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกอย่างไม่มั
่นใจนัก
รอยย่นตามอายุปรากฏขึ้นตามหางตาของผู้เป็นแม่เมื่อยกยิ้มเป็นตัวแทนปริมาณของความสุข
ที่ได้เห็นลูกชายตัวเล็กของเธอเติบใหญ่มาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ได้เป็นอย่างด
ี
“ขอบคุณนะครับแม่ แม่ไปนอนพักผ่อนเถอะ โยกลับดึกมากไม่ต้องรอนะครับ
เดี๋ยวได้ไม่สบายกันอีกพอดี” ผู้เป็นแม่ยิ้มรับก่อนจะดึงร่างเล็กของลูกชายเข้ามากอดหลวมๆ
“โยลูก...”
“ครับแม่?”
“เรื่องอะไรที่มันเลวร้ายในอดีต... หนูก็ไม่ต้องไปนึกถึงมันนะคะ”
“แม่...”
“วันนี้ลูกของแม่คือลูกของแม่ คือยังโยซอบผู้มีรอยยิ้มสดใส...สัญญากับคุณแม่นะคะ
ว่าคืนนี้โยจะมีความสุข...” กระซิบเสียงอ่อนโยนพลางยกมือลูบแผ่นหลังเล็กของชายหนุ่ม
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เด็กชายตัวเล็กที่เธอเคยโอบอุ้มได้สบายๆได้สูงนำเธอไปขนาดนี้
“สัญญาครับแม่” ผละออกมายิ้มให้หญิงวัยทอง
ก่อนร่างอ้วนท้วมของผู้เป็นแม่จะเดินหายลับไปที่บันไดบ้าน
“โอ๊ย!” ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในเสื้อนักเรียนชั้นมัธยมปลายล้มลงที่ตรอกเล็กๆหลังตึกพละ
ใบหน้าเล็กที่ปกคลุมไว้ด้วยแว่นกลมอันหนาเตอะยู่ลงด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตา
“ฮึก...เราไม่ได้มองหน้าหาเรื่องพวกนายจริงๆนะ
ชื่อของพวกนายเรายังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ...ฮึก...”
“อย่ามาสำออย เหอะ มึงก็เหมือนเด็กเนิร์ดคนอื่นๆนั่นแหละ
ต่อหน้าก็ทำเป็นกลัว แต่ลับหลังก็เกลียดพวกกูเข้าไส้ นี่ไง!! โอกาสที่มึงจะได้แสดงออก”
หัวโจกของกลุ่มแหวกกลุ่มเพื่อนอีกสี่ห้าคนเข้ามาก่อนจะนั่งยองลงให้อยู่ในระดับเดียว
กันกับร่างเล็ก
ยกมือเชยคางมนให้เงยขึ้นเพื่อสอดส่องใบหน้าเล็กที่มีรอยช้ำอยู่ตามมุมปากและขอบตา
ไหนจะเลนส์แว่นที่ร้าวเป็นจุดๆแต่ยังไม่แตกออกมา
“ร...เราไม่ได้เกลียดพวกนายจริงๆนะ...ขอร้องล่ะ...ปล่อยเราไปเถอะ...เรากลัวแล้ว...น
ะ”
เอ่ยอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นพลางมองลึกลงไปในตาของคนหน้าโฉดตรงหน้า
หวังว่าจะได้รับความเมตตาซักหน่อย...อย่างน้อยก็อย่าตายหรือพิการ...
“กลัวเหรอ...กูจะทำให้มึงรู้...ว่ากลัวจริงๆน่ะมันคือยังไง”
ว่าพลางแสยะยิ้มร้าย มือหนาย้ายไปกำกลุ่มผมสีเข้มของคนข้างหน้าไว้
ก่อนจะก้มหน้าลงจนแทบชิดกัน
“จะว่าไปมึงก็หน้าตาน่ารักใช้ได้นี่...เสียดายเปล่าๆนะมาใส่แว่นแบบนี้”
“น...นายจะทำอะไร?”
“มาเป็นเมียกูดีกว่ามา...”
“ฮึก..อย่า! อั่ก!” เอ่ยท้วงทันทีแต่ก็หมดเสียงจะเปล่งขอความช่วยเหลือไปในทันที
ที่โดนกำหมัดหนักๆของหัวหน้าแก๊งกระแทกเข้าที่ท้องน้อยเต็มๆ
น้ำตาที่รื้นขอบตาอยู่เมื่อซักครู่บัดนี้ไหลลงมาไม่หยุด
ใบหน้าเล็กหันหนีปลายจมูกและริมฝีปากของคนแปลกหน้าสุดความสามารถ
ปากก็พยายามร้องของความช่วยเหลือ...แต่กลับไม่มีเสียงใดออกมา...นอกจากเสียงสะอื้น
“รำคาญว้อย กูบอกให้มึงเงียบไง!! ฤทธิ์มากนักนะมึง” ตะโกนขึ้นอย่างหัวเสีย
เมื่อใช้ลูกน้องถึงสี่คนในการพันธนาการร่างเล็กเบื้องล่างไว้แต่ก็ยังมีแรงที่จะขัดข
ืน
เสียงดังน่ากลัวนั่นทำให้คนตัวเล็กหยุดเถียงไปโดยอัตโนมัติ
“ต้องอย่างนิ้สิ...หึ” ยกยิ้มก่อนจะก้มลงซุกใบหน้าลงกับต้นคอขาว
เพื่อสูดกลิ่นสบู่อ่อนๆปนกับสัมผัสแฉะๆของน้ำตาอุ่นๆอยากพึงพอใจ
ร่างเล็กกำมือตัวเองแน่นพลางนึกสมเพชตัวเองไม่หยุด
ยังไงก็หนีไม่พ้นสินะ...
ดวงตาแดงฉ่ำหลับลงยอมรับชะตากรรม แรงที่จะดิ้นค่อยหมดลง
ทำให้การรุกรานของร่างสูงด้านบนเป็นไปได้สะดวกยิ่งขึ้น
แต่พระเจ้าคงยังเห็นใจเขาอยู่บ้าง...
“ทำอะไรกันน่ะ?!?”
“คุณยังโยซอบรึเปล่าครับ?” ชายสูงอายุลดกระจกรถลง
ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มร่างเล็กในส฿ทและกางเกงสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
ที่ยืนกอดตัวเองอยู่ริมถนนหน้าบ้านหลังใหญ่มาได้ซักพัก
อากาศตอนต้นค่ำเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ
ช่างไม่เข้ากับเสื้อผ้าเพียงสองชั้นบางๆของคนตัวเล็กได้เลย
ร่างบางพยักหน้าตอบด้วยร่างกายสั่นเทาจากอากาศหนาวเหน็บ
ไอสีขาวจางๆถูกพ่นออกมาจากปากและจมูกของเจ้าของใบหน้าขาวเนียน
เห็นดังนั้นชายสูงวัยก็ลงจากรถมาเปิดประตูรถให้เจ้าของชื่อที่ได้รับคำสั่งให้มารับท
ันที
“ขอบคุณครับ” ยกยิ้มบางๆก่อนจะก้าวลงนั่งบนเบาะหนังสีครีมภายใน
ประตูรถถูกปิดลงก่อนคนขับรถจะกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง
“ผมจำหน้าคุณหนูไม่ได้เลยนะครับเนี่ย เรียนโปรแกรม EP เหรอครับ?”
ชายแก่ที่เริ่มออกรถไปได้ซักพักเอ่ยถามพลางเงยหน้าสบตากับคนบนที่นั่งด้านหลัง
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมเรียนโปรแกรมปกตินี่แหละ
ตอนม.สี่ถึงม.ห้าผมก็เคยขึ้นรถบัสที่คุณลุงขับนะครับ”
หลังจากนั่งตากฮีเตอร์ในรถจนหายอาการหนาวสั่น ร่างเล็กก็เริ่มปริปากพูด
เมื่อเห็นอีกคนเลิกคิ้วมองมาด้วยความสงสัย ก็ขยายความต่ออีกหน่อย
“เมื่อก่อนผมทำผมสีดำน่ะครับ แล้วก็ใส่แว่นกลมๆ”
พูดพลางทำนิ้วเป็นวงกลมยกขึ้นแปะตาทั้งสองข้าง
“อ๋อ คุณหนูคนนั้นเอง เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ”
“ครับ...อันนี้ผมทราบดี ฮะๆ”
“ผมเองก็ดีใจนะครับ ที่เห็นคุณหนูโตมาแข็งแรงขึ้น...”
ชายแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะเหลือบมองเด็กชายในความทรงจำของตน
เด็กชายที่มักขึ้นรถบัสเบอร์แปดของเขาอยู่เงียบๆทุกวันเช้าเย็น
เด็กหนุ่มพูดน้อยแต่กลับมีมารยาทผิดกลับเด็กรวยคนอื่นๆบนรถที่มักดูถูกอาชีพของเขา
เด็กตัวเล็กเจ้าของใบหน้าหวาน แต่กลับปกปิดมันไว้ด้วยแว่นเรือนใหญ่
เด็กคนที่มักนั่งเงียบๆไม่พูดจาอยุ่ที่เบาะเดิมๆไม่ยุ่งกับใครไม่เคยมีเพื่อนที่ไหน
จนวันนั้นนั่นแหละ...
ที่มีเขาได้เห็นเด็กน่ารักคนนี้มีเพื่อนกลับบ้านด้วยครั้งแรก
“ไหวรึเปล่า?” เสียงเรียกพร้อมกับแรงสะกิดเบาๆที่ไหล่ทั้งสอง
เรียกสติที่เรือนรางของร่างบางได้เล็กน้อย คนตัวเล็กปรือตาขึ้นก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นนั่ง
ดวงตาหวานสอดส่ายไปรอบตัวก่อนจะพบเพียงซอกตึกที่ว่างเปล่า
ไร้วี่แววของกลุ่มอันธพาลที่พยายามจะประทุษร้ายเขาเมื่อครู่
จะมีก็แต่ใครบางคนที่เขาเองก็มองหน้าไม่ชัดนักนั่งอยู่เบื้องหน้า...
รู้แค่เพียงบนใบหน้าของอีกคนมีรอยช้ำปรากฏอยู่เป็นจุดๆเท่านั้น
“เกิด...อะไรขึ้น...?” เอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงแห้งผาก
เท่าที่จำได้เขาได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นจากเบื้องหน้า
แต่ก็ไม่ทันได้มองหน้าของผู้ที่มาช่วยเขาไว้
สิ่งที่จำได้เป็นสิ่งสุดท้ายก็คือเสียงชกต่อยและเสียงร้องโอดครวญจากความเจ็บปวด
ก่อนเขาจะหมดสติไปด้วยความเหนื่อยล้านั่นแหละ...
“นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...”
“...?” เลิกคิ้วและมองหน้าของอีกคนอย่างสงสัย
มองอีกคนนิ่งอยู่อย่างนั้นซักพักนั่นแหละถึงนึกขึ้นได้ว่าตาของตนหายพร่ามัวแล้ว
แต่ที่ยังมองไม่ชัดเป็นเพราะไม่ได้ใส่แว่นซะมากกว่า
มือเล็กแปะไปตามพื้นก่อนจะเจอกรอบแว่นของตนโดนเหยียบเละเทะอยู่บนพื้นข้างตัว
“รู้แค่ว่ามันผ่านไปแล้ว และนายปลอดภัยแล้ว...แค่นั้นพอ โอเคมั้ย?”
“อืม...”
“ดีมาก มานี่สิ ฉันจะพาไปทำแผล”
“...?” ร่างเล็กส่งเสียงถามอีกครั้งก่อนร่างสูงจะเอื้อมมือไปจับมือข้างหนึ่งของอีกคนขึ้นมา
“นี่ไง ไม่เจ็บหรอ?” มือเล็กข้างที่ถูกอีกคนกุมไว้เบาๆที่รอยแผล
ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเศษแก้วบนพื้นบาดเป็นทางยาว มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาซิบๆ
เจ้าของมือก้มลงมองตามก็ยู่หน้าขึ้นมาทันที
“เจ็บ...แล้วล่ะ”
ช่วยไม่ได้นี่นา...
เขากลัวเลือดเสียยิ่งกว่าอะไร
“โอ๊ย แสบ” พูดพึมพำออกมาพลางขมวดคิ้วแน่นเมื่ออีกคน
แตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงบนปากแผลหลังจากห้ามเลือดเรียบร้อย
“ฮะๆ ทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวทายาพันแผลก็เสร็จแล้ว”
“ค...ครับ”
“เฮ้ เราเป็นเพื่อนกันไม่ต้องพูดครับหรอกน่า”
“เพื่อน...หรอ?” เอ่ยขึ้นมาเพียงเบาๆอย่างไม่เข้าใจ
ชีวิตนี้...เขาไม่ยักจำได้ว่ามีเพื่อนกับคนอื่นเค้าด้วย...
“ใช่สิ เราอยู่ห้องเดียวกันมาสามปีแล้วนะ”
เงยหน้าขึ้นจากที่ทำแผลและยิ้มให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงห้องพยาบาล
“นายอาจจะไม่รู้จักฉันมั้ง...ฉันยุนดุจุนเลขที่สิบเอ็ดไง”
ร่างสูงชูป้ายชื่อของตัวเองขึ้นก่อนจะกลับไปสนใจกับการทำแผลให้อีกคนต่อ
คนที่บาดเจ็บก้มลงมองซีกหน้าด้านบนของอีกคนอยู่เงียบๆ
ยุนดูจุน...
มีใครที่ไม่รู้จักคนๆนี้บ้างล่ะ?
“เสร็จแล้วล่ะ...เฮ้” เมื่อเงยหน้ามาเจอร่างเล็กนั่งเหม่อจ้องหน้าเขาอยู่ซักพัก
ก็เอ่ยทักขึ้นพลางโบกมือไปมาอยู่เบื้องหน้า คนที่ถูกเรียกก็ได้สติแทบจะทันที
“ถ้าไม่รู้จักก็ไม่ต้องพยายามนึกขนาดนั้นหรอกน่า...”
“ไม่ใช่นะ...คือเรามองไม่เห็น...”
“อ๋อ เออจริงด้วยปกตินายต้องใส่แว่นแฮรี่ พอตเตอร์นี่เนอะ”
ร่างบางเงียบไปซักพัก
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะมานั่งจะรายละเอียดอะไรของเขาด้วย...
“งั้นวันนี้เราจะขึ้นรถกลับบ้านกับนายแล้วกัน”
“...”
“วันนี้...เราจะเป็นตาให้นายเอง...”
“สวัสดีครับคุณลุง” เสียงทักทายที่คุ้นหูเรียกให้ชายวัยกลางคน
ที่นั่งประจำที่อยู่บนที่นั่งคนขับหันไปมอง
“อ้าว คุณหนูดูจุนสวัสดีครับสบายดีมั้ยครับวันนี้?”
“สบายดีครับคุณลุง...จะไปไหนล่ะน่ะ?” ยิ้มตอบอีกคนก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็ก
ที่เดินคลำตัวรถคันข้างๆมาช้าๆแถมยังทำท่าเหมือนจะเดินขึ้นไปแล้ว
ถ้าไม่ถูกเรียกไว้ซะก่อนด้วย
“อ...อ้อ ขอโทษที” เอ่ยเบาๆพลางยกมือเกาหัวด้วยความเขิน
“บอกแล้วไงว่าอย่าปล่อยมือเรา ดื้อเองนะ” ไม่ว่าเปล่า
มือหนาดึงแขนของร่างเล็กเบาๆให้เดินเข้าหาตัวเอง
จับมือข้างขวาที่ไม่ได้มีผ้าพันแผลพันไว้มาวางไว้บนมือตัวเองและกำมันไว้เบาๆ
“ไม่ต้องอายหรอกน่า” ระบายยิ้มหวานให้อีกคนสบายใจ
ก่อนทั้งสองคนจะพากันขึ้นรถบัสไป
“สวัสดีครับคุณลุง”
“สวัสดีครับคุณหนู” คนตัวเล็กเอ่ยทักทายขึ้นบ้างและก้มหัวเก้ๆกังๆ
เนื่องจากไม่มีแว่นใส่จึงมองหน้าคนที่ตัวเองเอ่ยสวัสดีไม่ถนัดตานัก
ร่างสูงมองการกระทำนั้นด้วยรอยยิ้มอยู่เงียบๆ
ก่อนจะดึงมือเล็กให้ร่างเล็กอีกคนเดินตามเข้าไปยังที่นั่งในตัวรถ
“นายนั่งนี่สินะ” หยุดยืนอยู่หน้าเบาะนั่งที่ยังว่างอยู่ทั้งๆที่ทั้งรถก็เต็มเอียด
ไม่รอให้อีกคนตอบก็ถอยให้ร่างเล็กเดินเข้าไปนั่งที่นั่งริมหน้าต่างด้วยความมั่นใจ
“อืม” ตอบสั้นๆก่อนจะเดินเข้าไปเสียชิดหน้าต่างและนั่งลง
แต่แล้วก็ต้องตกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อที่นั่งด้านข้างยวบลง
“บอกแล้วไงว่าจะเป็นตาให้นาย ถ้านายเกิดลงเลยบ้านตัวเองไปจะทำยังไงจริงมั้ย?”
ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะกลับมานั่งนิ่งๆเช่นเดิม
“นี่นายไม่รู้จักเราจริงอ่ะ?” นั่งเงียบไปได้ซักพักคนข้างๆก็ถามขึ้นมาอีก
“รู้จักสิ...นายดังจะตายนะ”
“แล้วนายไม่รู้เลยจริงๆหรอว่าเราสองคนนั่งรถโรงเรียนคันเดียวกัน” คนตัวเล็กส่ายหัว
“ขอโทษนะ”
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องขอโทษ ก็นะ เห็นนายจะขึ้นรถคนแรกๆตลอด
แล้วก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่คนเดียว” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านี้
ทางด้านร่างสูงก็ทิ้งตัวพิงลงให้สบายตัวขึ้นก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ที่หู
และไม่ลืมที่จะแบ่งอีกข้างให้คนข้างๆใส่ด้วย
“อ๊ะ!”
“ฟังเถอะ ถือว่าเปิดหูเปิดตา” พูดลอยๆโดยที่ดวงตาทั้งสองก็ยังมองตรงไปข้างหน้า
คนตัวเล็กพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกระชับกอดกระเป๋าให้แน่นขึ้น
“ขอบคุณนะ...” เอ่ยออกไปเพียงเบาๆ
โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนข้างๆจะได้ยินรึเปล่าผ่านหูฟังนี่
ขอบคุณ...ที่อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้ตัว
ว่าเขาก็ยังมีตัวตนสำหรับใครบางคน
“ถึงแล้วครับคุณหนู” เสียงพูดที่ขัดความเงียบในคันรถ
เรียกสติของร่างเล็กให้กลับมาอีกครั้ง เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตอบ
มือข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาดูหลังจากลืมสังเกตไปนาน
แผลเป็นยาวๆพาดผ่านฝ่ามือขาว
ถึงจะเรือนลางไปมากแล้วจากการเวลา แต่ก็ยังมีรอยนูนจางๆให้เห็น
ไม่เจ็บแล้วล่ะ...
ใช่...
ไม่เจ็บอีกแล้วล่ะ...
“ของคุณนะครับคุณลุง โชคดีจังเลยที่คุณลุงเป็นคนมารับผม”
ยิ้มหวานให้ชายวัยกลางคนที่อาจจะถือว่าสนิทที่สุดในชีวิตมัธยมแล้วก็ว่าได้
ก่อนจะยกหน้ากากสีขาวในมือขึ้นสวมใส่และลงจากรถเมื่อคนขับรถลงจากรถมาเปิดประตูให้
ลีมูซีนสีดำมันวาวตัดกับเสื้อผ้าสีขาวทั้งตัวกับผมสีทองอ่อนๆของคนตัวเล็ก
ค่อยๆติดเครื่องอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป
ชั่วเวลาหนึ่ง ดูเหมือนความตัดกันอย่างโดดเด่นของสีทั้งสองสิ่ง
จะเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่ระเบียงของห้องจัดงานอีกฝั่งของสนามฟุตบอล
สายตาหลากหลายคู่พากันจับจ้องไปที่แขกผู้มาใหม่
ที่ดูจะมาช้ากว่าเวลาเริ่มงานไปเล็กน้อย
รวมทั้งร่างสูงในเสื้อสูทสีดำที่วางแก้วไวน์ในมือลง
และลืมบทสนทนากับเพื่อนเก่าไปเสียสนิท
ดวงตาคมมองผ่านแผ่นพลาสติกสีเดียวกับสูทที่สวมใส่
ก่อนส่วนหนึ่งในความทรงจำจะกระตุ้นให้เขาขบคิด
ส่วนหนึ่งในความทรงจำ...กระตุกหัวใจของเขาให้เต้นแรงขึ้นมา...
“ข้อนี้...ถ้านายเอาด้านตรงข้ามมุมฉากมาหารด้านตรงข้ามมุมเซต้า
นายก็จะได้ค่าไซน์ แล้วก็เอาไปแทนหาความยาวของสะพานตามที่โจทย์ถาม...เข้าใจรึเปล่า?”
ร่างเล็กหยุดอธิบายไปชั่วคราวเมื่อเงยหน้าขึ้นและพบว่าสายตาของคนที่เขา
กำลังสอนการบ้านอยู่มันไม่ได้อยู่ที่หนังสือเรียนซักนิด
“เอาจริงๆ...ไม่เลยซักนิดแฮะ”
“นี่ยุนดูจุน!” ขึ้นเสียงเล็กน้อยแต่ก็ยังเบาอยู่ดีเพราะที่ๆเขานั่งอยู่คือห้องสมุด
ถึงรอบบริเวณที่นั่งอยู่จะไม่มีคนอยู่เลยก็เถอะ แต่เขาก็มาห้องสมุดบ่อยจนชินเสียแล้ว
“ก็นายเอาแต่นั่งจ้องหน้าเราอยู่อย่างนี้นายจะรู้เรื่องมั้ยล่ะ
ถ้าจะไม่เรียนเราจะให้คุณแม่มารับแล้วนะ เราอุตส่าห์ยอมไม่ขึ้นรถกลับบ้าน
เพื่อมาติวเลขให้นายเลยก็ช่วยตั้งใจเรียนหน่อยสิ”
“ขอโทษครับคุณครู” ร่างสูงตอบเสียงใสอย่างไม่สะทบสะท้าน
แถมยังระบายยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกต่างหาก
ไม่รู้ว่าทำไม...แต่หลังจากวันนั้นคนตัวสูงก็ดูจะโผล่มาให้เขาเห็น
บ่อยขึ้นเสียเหลือเกิน
‘เราจะเป็นเพื่อนของนายให้เอง ตกลงนะ?’
จำได้ว่าวันนั้นคนตัวสูงข้างๆนี่พูดทิ้งท้ายไว้แบบนี้
หลังจากอุตส่าห์เดินลงจากรถบัสเพื่อไปส่งเขาถึงบ้าน
เพราะจากที่ๆลงก็ต้องเดินเข้าซอยไปอีกลึกพอควร
ทั้งๆที่บ้านของคนตัวสูงเองก็ต้องเดินไปอีกไกลไม่น้อย...
“เรามีเรื่องสงสัยอย่างนึง”
“หือ?” เสียงพูดของอีกคนเรียกให้ร่างเล็กหันไปมองแล้วเลิกคิ้วถาม
“ใบหน้าภายใต้แว่นแฮรี่ พอตเตอร์ของนาย...เราอยากเห็นมันอีกซักครั้งจัง”
ดวงตาคมจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่โตของอีกคน พยายามจะลบภาพ
แว่นอันเบ้อเริ่มที่บดบังใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของอีกคนให้ได้
"มันก็ไม่เปลี่ยนไปจากที่นายเห้นคราวที่แล้วนักหรอก ถามทำไมหรอ? อ๊ะ!”
ไม่ทันได้รับคำตอบในสิ่งที่สงสัย มือหนาก็คว้าแว่นบนใบหน้าหวานไว้
และดึงออกอย่างเบามือทันทีที่เจ้าตัวหันหน้าไป
ร่างสูงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
ดวงตาทั้งสองยังคงจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าใสของคนข้างหน้าไม่ไปไหน
ดวงตากลมโตที่มีแววตาสีน้ำตาลเข้มซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตาที่เรียงตัวสวยราวกับตุ๊กตา
จมูกรั้นที่ถึงจะไม่ได้สูงโด่งแบบคนตะวันตก แต่กลับขับส่งส่วนอื่นๆบนใบหน้าให้สะดุดตา
กลีบริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆทั้งสองที่กำลังอ้าเอ่ยคำพูดต่างๆออกมา
แต่เขากลับไม่ได้สนใจได้ยินหรือฟังมันซักนิด
น่ารัก... ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้มาก่อนนะ...
“ดูจุน...ดูจุน เป็นอะไรรึเปล่า? ถ้าเรียนต่อไม่ไหววันนี้พอแค่นี้ก็ได้นะ”
ร่างเล็กเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง สีหน้าเป็นกังวลลงอย่างเห็นได้ชัด
“ม...ไม่เป็นไร” เมื่อได้สติร่างสูงก็ส่ายหัวสองสามครั้งและหันกลับมาจ้องหนังสือเรียน
ที่ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สนใจจะเหลือบมองด้วยซ้ำเพื่อซ่อนสีหน้าแตกตื่นกับแรงบีบรัดที่
หัวใจ
ก็ตอนอยู่ที่เรียนพิเศษเขาสอบตรีโกณได้เต็มคนเดียวในห้องอยู่แล้วนี่…
“คุณแม่โทรมาแล้วล่ะ เราไปก่อนนะ” สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นที่กระเป๋ากางเกง
มือถือเครื่องสวยถูกหยิบออกมาและคุยโต้ตอบกับอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อยก่อนจะวางสาย
และกันมาบอกลาเพื่อนตัวสูงกว่าที่นั่งหลบตาเขามาตั้งแต่เมื่อกี๊ ร่างสูงเงยหน้าขึ้นพยักหน้าตอบ
ก่อนจะยื่นแว่นสีดำในมือคืนให้เจ้าของ
“เดี๋ยว” แต่แล้วเมื่อร่างบางหมุนตัวหันหลังให้
มือหนาก็คว้าข้อมือของอีกคนไว้และดึงกลับเข้าหาตัวเอง
เพียงเสี้ยววินาที ร่างเล็กถูกดึงให้นั่งลงบนพื้นเผชิญหน้ากับอีกคน
เพียงเสี้ยววินาทีที่เอวบางถูกโอบไว้และดึงเบาๆให้ล้มตัวลง
ตามร่างสูงที่นั่งพิงตู้หนังสืออยู่ไม่ห่าง
เพียงเสี้ยววินาทีที่แว่นบนใบหน้าถูกดึงออกอีกครั้ง
แต่ไม่รู้ว่าผานไปซักกี่วินาที...
ที่ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกัน
สัมผัสที่อ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับก้อนเมฆ
แต่กลับอ่อนหวานจนใจทั้งสองดวงเต้นกระสับกระส่ายขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อรู้สึกถึงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของคนในอ้อมกอด
ร่างสุงก็ค่อยๆคลายแขนทั้งสองลง ส่งผลให้ร่างเล็กได้โอกาส
วางมือลงกับอกกว้างและผละใบหน้าของตนออกมาก่อน
“...”
“...” ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองคนอย่างไม่ได้นัดหมาย
ร่างเล็กนั่งก้มหน้ามองหน้าตักของตนที่บัดนี้นั่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองของร่างสูง
ก่อนจะตัดสินใจหยิบแว่นกลับขึ้นมาใส่และคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ร...เรากลับนะ” อีกคนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่นั่งก้มหน้านึกถึงเรื่องที่
ตัวเองทำลงไปโดนไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเมื่อชั่วนาทีที่แล้ว
พยักหน้าเล็กน้อยก่อนร่างเล็กจะเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อน...
“ในนิทานที่ฉันเคยอ่าน...ตอนที่ลูกเป็ดขี้เหร่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นหงส์...
มันทิ้งบ่อน้ำที่มันเคยอยู่ไปสู่ที่ๆสวยงามเหมือนตัวเอง...”
เสียงทุ้มต่ำดังตามหลังมาลอยๆทำให้ร่างเล็กต้องหยุดขาทั้งสองลงอีกครั้ง
“แล้วถ้าลูกเป็ดข้างหน้าฉันรู้ตัวว่าจริงๆแล้วตัวเอง
เป็นหงส์ที่สวยงามขนาดไหน...”
“มันจะทิ้งฉันไปเหมือนกันรึเปล่า?”
“เฮ่อ...” ร่างเล็กถอนหายใจพลางก้าวเดินไปตามทางเดินประดับดอกไม้
ที่ถูกดัดแปลงมาจากสนามฟุตบอลตรงหน้าช้าๆ
อากาศข้างนอกเริ่มหนาวขึ้นกว่าตอนก่อนขึ้นรถเมื่อหัวค่ำ
แต่การคิดนู่นคิดนี่เรื่อยเปื่อยทำให้จังหวะการเดินเอื่อยเฉื่อยลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็ดีแล้วล่ะ...จะได้ใช้เวลาสำรวจโรงเรียนที่ไม่ได้มาเหยียบตั้งสามปีเศษๆให้เต็มท
ี่
ไม่นานนักร่างเล็กก็หยุดยืนลงที่หน้าประตูบานใหญ่หน้าตึกหลังใหญ่
ที่ใช้สำหรับจัดงานสำคัญๆต่างๆของโรงเรียน
บานไม้สูงใหญ่เบื้องหน้าทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงเรื่องต่างๆในอดีต
แล้วก็อดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้
ดีแค่ไหนแล้วที่เขาได้เอาชนะยังโยซอบผู้อ่อนแอสมัยนั้นไปได้ซักที
“วันนี้คือวันของเรายังโยซอบ... เข้าไปมีความสุขให้เต็มที่...”
ยกยิ้มให้กำลังใจตัวเองอีกซักครั้งก่อนมือเล็กทั้งสองที่ชื้นเหงื่อ
จะจับลูกบิดประตูและผลักเปิดมันออกช้าๆ
ถึงเวลาของยังโยซอบคนใหม่ จะได้ออกสู่โลกกว้างเสียที
คุณเคยดูภาพยนตร์ซักเรื่องหนึ่งที่นางเอกแปลงโฉมจนสวยสง่า
แล้วทุกๆคนมองจนตาค้างราวกับมีเธอเปล่งประกายอบู่ในความมืดมั้ย?
มันคงไม่ต่างไปจากร่างเล็กผมทองบลอนด์คนนี้กำลังเผชิญอยู่ซักเท่าไหร่
ทันทีที่ร่างเล็กผู้มาใหม่ก้าวเท้าเข้าไปในงาน
ทุกอย่างรอบตัวก็แข็งทื่อราวกับหยุดนิ่ง
เสียงพูดคุยจอแจค่อยๆเบาลงก่อนจะเงียบไป
จนเหลือเสียงเพลงที่เปิดคลอสำหรับคนที่เต้นรำเท่านั้น
แม้จะอยู่ภายใต้หน้ากากหลากหลายสีหลากหลายแบบ
แต่ร่างเล็กก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาที่เขาเป็นตาเดียว
แปลก...เขาไม่คุ้นกับบรรยากาศแบบนี้
ก้มลงมองเครื่องแต่งกายของตนอีกครั้ง
เผื่อสีขาวของมันจะเปื้อนติดอะไรมา
แต่สูทสีขาวก็ยังขาวเรียบไม่มีรอยสกปรกใดๆ
รวมทั้งกางเกงสแล็คและรองเท้าหนังสีเดียวกัน
มือเล็กทั้งสองยกขึ้นจัดทรงผมของตนเล็กน้อย
เผื่อว่าตอนนั่งอยู่บนรถมันจะเกิดยุ่งขึ้นมา
'หมับ'
"อ๊ะ!" อุทานออกมาเมื่อจู่ๆมือของตนก็ถูกจับไว้จากข้างหลัง
มือหนาดึงข้อมือของเขาให้ลดลง ก่อนร่างสูงในสูทสีดำ
ตลอดตัว จะเดินหมุนมาอยู่ตรงหน้าเขา
"เค้ามองเพราะนายดูดีต่างหาก...ไม่ต้องกลัวหรอก"
เอ่ยด้วยเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
ก่อนใบหน้าภายใต้หน้ากากสีดำเงาประดับไข่มุกสีทอง
และริบบิ้นสีเดียวกันจะระบายยิ้มให้คนข้างหน้าสบายใจ
"อือ" พยักหน้าเบาๆก่อนจะยืนเกร็งตัวน้อยลงซักหน่อย
"ขอบคุณนะ...ฉันเข้างานล่ะ" ยิ้มตอบคนข้างหน้า
ก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อยและเดินผ่านไหล่คนข้างหน้าไปยังตัวงาน
"เดี๋ยวสิ" แต่เสียงจากเบื้องหลังก็รั้งเขาไว้
ขาเรียวทั้งสองหยุดเดินก่อนจะหันหน้าไปมองคนข้างหลัง
ที่ยื่นมือข้างหนึ่งมาข้างหน้าและส่งยิ้มที่ทำให้ใจหวั่นไหวได้ง่ายๆ
"เต้นรำกับฉันนะ"
ว่างเปล่า...
ตั้งแต่วันนั้นคนตัวสูงก็ไม่โผล่มาให้เขาเห็นอีกเลย
ได้ยินว่าอีกคนหวัดกินนอนซมอยู่บ้านมาอาทิตย์นึงแล้ว
จะว่าไป...วันนั้นเขาก็เพิ่งหายหวัด
...วันนั้นที่ห้องสมุด...
'ครืด' เสียงฮือฮาหลังจากการเข้ามาในห้องเรียนของใครบางคน
ปลุกร่างเล็กที่โต๊ะริมหน้าต่างตัวหน้าสุดขึ้นจากห้วงความคิด
"หวัดดีทุกคน~" เสียงร่าเริงที่ติดจะแหบเล็กน้อย
จากอาการป่วยที่ยังไม่หายดีทักเพื่อนๆในห้อง
ก่อนจะเดินตรงมาที่หน้าต่าง แขนทั้งสองเท้าลงกับขอบหน้าต่างก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ
"เป็นยังไง...หงส์ตัวนี้จะหนีบ่อน้ำไปไหนรึเปล่า?"
"..." ร่างเล็กที่ดูจะได้ยินคำถามเพียงคนเดียว
เงยหน้าขึ้นมองซีกหน้าด้านข้างของร่างสูง
ใบหน้าหวานนิ่งอย่างครุ่นคิด
ริมฝีปากเม้มลงจนเกือบเป็นเส้นตรง
จู่ๆห้วงหนึ่งในความคิดเกิดคำถามขึ้นมา
ถ้าคนตัวสูงแค่แกล้งทำดีกับเขาล่ะ?
ถ้าจริงๆแล้ว...อีกคนก็แค่ทำด้วยเหตุผลเหมือนคนอื่นๆล่ะ?
"ไม่...หรอ?" เสียงแหบเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
แม้จะเห็นเพียงครึ่งหน้าด้านข้าง แต่ร่างเล็กก็พอจะดูออก
ว่าร่างสูงตรงหน้าเองก็เสียความรู้สึกไม่น้อย
ความคิดเมื่อซักครู่หายไปทันที
เป็นไปไม่ได้หรอก...ยุนดูจุนที่เขารู้จักไม่เคยหลอกใคร
"เราไม่ใช่หงส์ที่สวยงามเหมือนที่นายบอกหรอกนะ..."
"...?" ร่างสูงหันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยิน
เสียงเล็กๆของใครอีกคนขึ้นมาตอนที่เขาตัดใจและ
กลับมายืนปกติเพื่อเดินไปนั่งที่ของตัวเอง
ใบหน้าหวานขึ้นสีชมพูระเรื่อก่อนจะสูดหายใจลึกๆ
รวบรวมความกล้าอยู่พักนึงก่อนจะเอ่ยคำตอบ
ในใจของตนให้อีกคนได้รู้
คำพูดที่แม้จะพูดโดยไม่ได้มองหน้ากัน
คำพูดเบาๆที่ได้ยินผ่านหูดั่งสายลม
แต่กลับทำให้ร่างสูงยิ้มออกราวกับหายป่วยไปสนิท
"แต่ถ้าบ่อน้ำยังมีที่ว่างให้ลูกเป็ดขี้เหร่ตัวนี้อยู่..."
"เราก็คงไม่ไปไหนหรอก..."
"เรา...เคยเรียนห้องเดียวกันรึเปล่า?"
"หือ?" จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยถามขึ้น
ร่างบางเงยหน้ามองอีกคนที่ถึงปากจะพูดกับเขา
สายตาก็ยังมองทอดออกไปนอกหน้าต่าง
"ฉันรู้สึกคุ้นหน้านายจัง...คุ้นมาก..."
ว่าแล้วก็ย้ายสายตาลงมามองตอบร่างเล็ก
ที่จ้องหน้าเขามาได้ซักพักแล้ว
"จริงๆฉันไม่ใช่คนเด่นดังอะไรหรอกตอนอยู่โรงเรียน
นายอาจเคยเห็นหน้าฉันผ่านๆมากกว่า"
ยกยิ้มแหยๆก่อนจะตอบปัดๆไป
แต่ดูเหมือนร่างสูงจะยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
"ไม่...ฉันรู้สึกเหมือน...นายกับฉันรู้จักกันนะ"
ว่าพลางโน้มใบหน้าลงมาใกล้คนตัวเล็กกว่ายิ่งขึ้น
แววตาคู่นี้...เค้าคุ้นเคยกับมันยิ่งกว่าอะไร
คุ้น...ว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยตกหลุมรักมันเพียงแค่ได้เห็นครั้งแรก
ไม่ผิดแน่ๆ...
"จำฉันไม่ได้เลยจริงหรอ?"
"ม...ไม่นี่" ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจากเอวบาง
และเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตากับตนเพื่อความแน่ใจ
แววตาคมที่ดึงดูดผู้ที่ได้จ้องมองแค่เพียงมองผ่าน
จ้องผ่านหน้าสีขาวไข่มุกของคนตรงหน้าลงไปยัง
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่มีเงาของตัวเขาเองสะท้อนอยู่
ไม่ต่างไปจากที่เขามองเห็นร่างเล็กตรงหน้า
"ฉันดูจุนไง...จำไม่ได้เลย...จริงๆหรอ?"
มือที่เคยจับอยู่ที่ปลายคางเลื่อนไปประคองใบหน้าเนียนไว้เบาๆ
แววตาหวานเริ่มสั่นไหวเมื่อคนข้างหน้าบอกชื่อของตนออกมา
"หงส์ตัวนั้น...ลืมบ่อน้ำนี้ไปแล้ว...จริงๆงั้นหรอ..."
"โยซอบ...?"
ไม่รู้ว่าเพราะแววตาที่สั่นระริกไปด้วยน้ำตา
ที่ตั้งท่าจะไหลลงมาของเขาหรืออะไร...
ร่างเล็กถึงได้เห็นเงาใบหน้าของตัวเองในดวงตา
ของอีกคนเริ่มสั่นไหว ก่อนหยดน้ำหยดเล็กๆจะหยดลงมา
จากขอบตาของคนข้างหน้าช้าๆ
หยดเดียวเท่านั้น...
แต่กลับกระตุกหัวใจของเขาได้อย่างน่าใจหาย
เหมือนเหลือเกิน
เหมือนกับวันนั้น...
ร่างบางวางถังขยะลงกับพื้นปูนของทางเดินอย่างหมดแรง
จริงๆวันนี้ไม่ใช่เวรเขาทิ้งขยะหรอก
แต่เพราะแม่ของเพื่อนเจ้าของหน้าที่ประสบอุบัติเหตุรถชน
เขาเลยอาสาทำหน้าที่นี้แทนด้วยความเห็นใจ
"เดี๋ยวนี้แกดูสนิทกับเด็กเนิร์ดนั่นจังเลยนะ"
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องแล็บวิทย์ซึ่งอยู่ห่างจากจุดทิ้งขยะไปเล็กน้อย
ด้วยความที่่ประตูของห้องแง้มไว้ร่างเล็กจึงได้ยินสิ่งที่คนในนั้นคุยกันชัดเจน
"ก็...อืม" เสียงที่คุ้นหูเอ่ยตอบ
ขาเรียวที่ตั้งใจจะเดินกลับห้องของตน
เพราะมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมายืนฟังชะงักลง
ไม่รู้ว่าอะไรสั่ง แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที
ขาทั้งสองก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ
รอคอยที่จะฟังสิ่งที่ร่างสูงจะตอบอย่างคาดหวัง
ถึงในใจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าแท้จริงเขาเองคาดหวังอะไร
เพื่อน...
น้ำใจ...
ความรัก...?
"โยซอบก็น่ารักออก แถมยังนิสัยดีกว่าที่พวกนายคิดเยอะนะ"
"แล้วแกไปทำไงถึงเริ่มคุยกันได้ล่ะวะ ปกติเห็นหมอนั่นเจี๋ยมเจี้ยมจะตาย
นี่ถ้าไม่นายไม่บอกเราคิดว่าหมอนั่นเป็นใบ้ไปซะแล้วนะ"
เพื่อนคนที่นั่งหันหลังให้ประตูพูดติดหัวเราะ
ร่างสูงยิ้มตอบแต่ปากก็เอ่ยว่าเพื่อนของตน
"นายก็เกินไป จริงๆเค้าก็เหงาออกนะ ไม่มีเพื่อน
แถมไม่รู้จักวิธีคุยกับใครก่อน เราว่าเค้าน่าสงสารออก"
"นายก็เลยเป็นเพื่อนกับหมอนั่น?"
"อืม...จะว่างั้นก็ได้ เค้าน่าสงสาร...จนเรามองข้ามไปไม่ได้"
ร่างสูงตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง
"แต่ความจริงถ้าเลือกได้..."
"เราก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับโยซอบหรอกนะ"
‘โครม’
“เฮ้ย?!?” นักเรียนชายทุกคนในห้องสะดุ้งจนเกือบตกโต๊ะตกเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไปตามๆกัน
เมื่อจู่ๆก็มีเสียงเหมือนบางอย่างตกลงพื้นดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“ใครมาเล่นอะไรแถวนี้วะ?”
คนที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดวิ่งมาที่ประตูก่อนจะกระชากมันออกอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วก็ต้องสะดุดไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
และคนที่ตกใจที่สุด...ก็คงไม่พ้นยุนดูจุน
“ย...โยซอบ” ร่างสูงมองคนตัวเล็กที่ยืนก้มหน้าก้มตามองถังขยะ
ที่ตนทำตกจากมือไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อย่างใจหาย
ไหล่บางทั้งสองสั่นไหวจากการกลั้นน้ำตา
แต่มันก็ยังคงไหลลงมาเรื่อยๆจนข้างแก้มใสเปียกซก
ดวงตาแดงก่ำเงยขึ้นสบตากับคนเพียงคนเดียวในห้องที่เขารู้จัก
เพียงวูบเดียว ก่อนจะวิ่งหายไปในความมืดไม่รอให้ร่างสูงได้แก้ตัวอะไร
ตึก ตึก ตึก ตึก
“โยซอบ! ยังโยซอบ โยซอบอา!!”
ในที่สุดร่างเล็กที่วิ่งหนีมาจนสุดทางเดินก็ชะลอความเร็วลง
และหันมาเผชิญหน้ากับร่างสูงด้านหลังที่อยู่ห่างไปเพียงนิดเดียว
เพราะความยาวขาที่แตกต่างและอีกคนนึงเป็นนักกีฬา
ร่างสูงจึงวิ่งตามทันภายในเวลาไม่นานนัก
“อย่า...อย่าเรียกเราแบบนั้น...” เสียงใสเอ่ยขึ้นพลางหอบหายใจ
ดวงตาหวานบัดนี้กลับดูจริงจังจนหน้าตกใจจ้องตาคนข้างหน้า
เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่เพียงคำพูดลอยๆ
“โยซอบ...คือ”
“พอเถอะดูจุน...เราไม่อยากฟังแล้ว...”
“ฟังเราก่อนได้มั้ยโยซอบอา?”
“บอกว่าอย่าเรียกแบบนั้นไง!!!” ร่างบางตะโกนลั่นพลางยกมือปิดหูแน่น
ร่างสูงทำได้เพียงยืนมองน้ำตาไหลลงมาจากขอบตาแดงก่ำของคนข้างหน้าอยู่เงียบๆ
อยากจะเข้าไปปาดมันออกใจแทบขาดแต่คงไม่พ้นโดนปัดออกอยู่ดี
“เรารู้เรามันน่าสงสาร...”
“ใช่! เรามันไม่มีเพื่อน มาโรงเรียนให้โดนรังแกไปวันๆ”
“แต่รู้มั้ย...ตอนที่นายบอกว่าจะเป็นเพื่อนกับเรา เราดีใจมากนะ”
“ไม่เคยมีใครดีกับเรา ใส่ใจเราได้เท่านาย”
“มันอาจดูน่าเกลียด...แต่สิ่งที่นายทำมันทำให้เราคิดว่านาย...รักเรา”
“จนมันทำให้เราคิดเกินเลย...คำว่าเพื่อนกับนายไปแล้ว...”
“แต่ทุกอย่าง...เราก็แค่คิดไปเองสินะ”
“มันก็แค่...คำโกหก เหมือนคนอื่นๆเท่านั้น...ฮึก...”
แขนเล็กถูกยกขึ้นปาดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า
จนผ้ากำมะหยี่ของเสื้อสูทเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มไปหมด
ร่างสูงทำได้เพียงยืนส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น
“ไม่ใช่นะโยซอบ...ไม่ใช่”
“เราไม่ได้โกหก...เชื่อเราเถอะนะ”
น้ำใสๆเริ่มเอ่อขึ้นที่ขอบตาคม เขาทนเห็นน้ำตาของคนตัวเล็กเบื้องหน้าไม่ได้
โดยเฉพาะน้ำตาที่เขาเป็นต้นเหตุ...
“ที่เราบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับนาย...
เพราะเราไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนเข้าใจมั้ยโยซอบอา...”
“เรารักนาย...จริงๆนะ เรารักนายได้ยินมั้ย เราไม่ได้โกหก!!”
ตะโกนคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกพลางยกมือจับไหล่เล็กทั้งสองเขย่าไปมา
ดวงตาที่ฉ่ำน้ำตาจนแดงก่ำจ้องลงไปในดวงตากลมโตของคนข้างหน้า
ที่สั่นจนเห็นภาพเบลอไปหมด ร่างเล็กไม่ได้หลบตาไปไหน
แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะเอ่ยคำใดๆออกมาจากปาก
เงียบอยู่อย่างนั้นจนทั้งสองสงบลงไปเอง
ร่างบางจึงจับมือของอีกคนที่ไหล่ของตนลงเบาๆ
ก่อนจะเงยหน้าส่ายหน้าให้อีกคนทั้งน้ำตาและเดินจากไป
“เราขอโทษ...เราไม่รู้อีกแล้วว่าเราควรจะเชื่อนายดีรึเปล่า...”
“ฉันจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักนาย...ขอโทษนะ”
ตอบเสียงเรียบก่อนจะปล่อยมือที่คล้องคอร่างสูงตรงหน้าไว้ลงข้างตัว
ไม่ทันที่มือที่ร่างสูงยกขึ้นหวังจะรั้งอีกคนเอาไว้จะได้สัมผัสลง
บนผืนผ้าฝ้ายสีขาวที่ปกคลุมร่างกายบอบบางของคนเบื้องหน้า
ร่างเล็กก็หมุนตัวและเดินฝ่าฝูงผู้คนออกไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่นำไปสู่ระเบียงเสียแ
ล้ว
ขาเรียวยังคงก้าวไปตามทางที่ปูด้วยหินเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย
ไหนว่าวันนี้จะมีความสุขไง...
ไหนว่ายังโยซอบคนใหม่เข้มแข็งนักหนา...
สุดท้ายก็ต้องมาเสียน้ำตาให้เรื่องเดิมๆอยู่ดี...
“ขี้แยจริงๆยังโยซอบ...” ปากบางเอ่ยว่าตัวเองเบาๆ
ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปียกฟองน้ำใต้หน้ากากไปหมด
เมื่อมองทอดไปรอบตัว ก็เห็นดอกไม้สีขาวบานเรียงรายตามข้างทางเดิน
ร่างบางนั่งยองลงกับพื้นก่อนจะเด็ดดอกเดซี่สีขาวดอกหนึ่ง
ขึ้นมาสูดกลิ่นหอมๆเพื่อให้อารมณ์เย็นลงได้บ้าง
นึกย้อนไปหลังจากวันนั้น เขาก็พยายามไม่น้อยที่จะหลบหน้าอีกคน
แถมยังต้องซ่อนเรื่องพวกนี้จากพ่อแม่และพี่สาวที่หวงเขานักหนาอีก
จำได้ว่าเขาโกหกแม่ขอเปลี่ยนสายที่เรียนเพื่อจะได้เจอกับร่างสูงน้อยที่สุด
ไหนจะขอให้แม่เอาคนขับรถมาที่โรงเรียนทุกวันอีก
ใครจะไปรู้ว่าครอบครัวสุดที่รักรู้เรื่องมาแต่แรก?
เขาทุ่มเทไปมากจริงๆนะ...กับการลืมคนแค่คนเดียว
“ยัง...โย...ซอบสินะ ไม่ได้เจอกันนานนี่” เสียงทุ้มต่ำที่ติดแหบเล็กน้อยดังขึ้นด้านหลัง
เรียกขนบนตัวร่างบางในเสื้อผ้าสีขาวสะอาดลุกซุ่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
นี่ก็คงเป็นอีกเรื่องที่เขาไม่เคยลืมลง
“ฉัน...ไม่ใช่...อึก...”
จู่ๆอวัยวะทุกส่วนมันก็สั่นขึ้นมาเมื่อโดนมือเย็นเฉียบของ
ใครบางคนสัมผัสลงที่กลางหลัง มือเล็กทั้งสองยกขึ้นปิดหูและส่ายหัว
ด้วยความหวาดกลัว
“ไม่เปลี่ยนไปเลยนี่...ถ้ากูรู้ว่ามึงจะโตมาหน้าตาน่ารักขนาดนี้ล่ะก็
วันนั้นกูคงไม่ปล่อยให้ไอ้ดูจุนมาขัดจังหวะกูหรอก เหอะ”
ก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก ซึ่งดูเหมือนมือที่ยกปิดใบหูของเขาไว้
จะไม่ได้ช่วยกั้นไม่ให้เสียงเล็ดรอดเข้าไปแต่อย่างใด
“คืนนี้ยังทันนะ...ยังไงมึงก็หนีกูไม่พ้นหรอก”
มือหนาจับลงที่ไหล่บางทั้งสองข้างก่อนจะไล่ลูบลงไปยังเอวคอดเล็ก
จนเหมือนเด็กสาว ปลายจมูกแตะลงที่ต้นคอระหงและไล้ขึ้นลงตามใจอยาก
ร่างบางตัวแข็งทื่อ อยากจะขัดขืนแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ
กลัว...เขากลัวเกินไป
“มึง!!” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น และหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที
ร่างของคนที่ยังอยู่แนบแผ่นหลังของคนตัวเล็กก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเสียแล้ว
“นายไม่ยอมคุยกับฉัน...แต่นายยอมมันงั้นหรอ?”
ประโยคตัดพ้อดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยความเงียบ
คนที่ถูกถามยังคงนั่งเงียบ จนสังเกตเห็นไหล่บางที่สั่นเป็นลูกนกนั่นแหละ
ยุนดูจุนถึงได้รู้ตัวว่าพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปซะแล้ว
“กลัวแล้ว...อย่า...ฉันกลัวแล้ว...ฮึก...” ร่างเล็กยังคงนั่งพึมพำ
ประโยคเดิมไปมา แขนที่ไร้แรงจนปวกเปียกยกกอดเข่าตัวเองไว้
และปล่อยให้กางเกงของตนเป็นที่ซับน้ำตา
“ไม่ต้องกลัวนะ...ไม่มีอะไรแล้วโยซอบ...ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว...”
ย่อเข่าลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนร่างสูงจะดึงตัวอีกคนเข้ามากอดไว้หลวมๆ
ยังดีที่อีกคนไม่ได้ปฏิเสธอ้อมกอดของเขาอย่างที่คิด
ร่างเล็กใช้เวลาซักพักกว่าจะหายสั่น ก่อนจะขยับตัวซุกลงสู่อ้อมอกอุ่นของอีกคน
“ฉันทำไม่ได้...ฉันเริ่มต้นใหม่ไม่ได้...”
พูดขึ้นเสียงอู้อี้ในขณะที่ยังคงซุกอยู่กับแผงอกที่เคยคุ้นเคย
“ฉันคิดว่าฉันจะเริ่มใหม่ได้ คิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอ...
แต่วันนี้...มันทำให้ฉันรู้ว่ามันไม่จริงซักนิด”
ร่างสูงก้มลงมองซีกหน้าของคนตัวเล็กในอ้อมแขนของตนเงียบๆ
ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมที่สีแปลกตาไปจากคราวก่อนที่เห็นลิบลับอย่างเบามือ
ไม่ได้เห็นมาสามปีได้...แต่คุยกันครั้งสุดท้าย...เมื่อไหร่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ก็อีกคนเล่นไม่เปิดโอกาสให้เขาปรับความเข้าใจเลยจนเรียนจบกันไปเนี่ยแหละ
“นายไม่ต้องเริ่มใหม่อะไรทั้งนั้นโยซอบ ไม่ต้องพยายามลืมเรื่องในอดีต...”
“อย่าพยายาม...ลืมฉัน...” กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูอีกคน
ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
แต่ตรงกันข้าม เมื่อเริ่มรู้สึกตัวร่างเล็กก็ดันไหล่ของอีกคนออกทันที
“ปล่อย” ร่างสูงเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไม่เข้าใจ
ร่างเล็กยังคงออกแรงดันตัวอีกคนให้ออกห่างอย่างไม่ลดละ
สุดท้ายร่างสูงก็ต้องยอมใจอ่อนคลายอ้อมแขนออกมาเอง
“ฉัน...กลับเข้างานดีกว่า” พูดตัดบทขึ้นมา ก่อนเจ้าของเรือนผมสีอ่อนจะลุกขึ้นยืน
และหมุนตัวเดินกลับเข้างานโดยไม่ได้หันกลับมาสนใจคนข้างหลัง
ไม่สิ...ไม่กล้าหันไปมากกว่า
“ฉันจะไม่ปล่อยให้นายหายไปไหนอีกแล้วยังโยซอบ”
แรงฉุดที่มากพอจะทำให้เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกคนรัดเข้าที่ข้อมือ
ก่อนร่างเล็กจะถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของร่างสูงอีกครั้ง
“บอกว่าปล่อยไง...” พยายามทำเสียงให้ดูจริงจังที่สุด
แต่มันกลับไม่มีผลเมื่อเจ้าของแขนแกร่งนั่นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย
“เพราะอะไรเหรอ...ทำไมนายถึงเกลียดฉันขนาดนี้”
“ฉันบอกว่าฉันรักนาย เพราะฉันรักนายจริงๆโยซอบ
ฉันไม่ได้โกหกไม่ได้พูดเล่นอะไรทั้งนั้น”
“เราไม่ได้เจอกันมาสามปี...แต่ฉันก็ยังคิดถึงนายทุกวัน”
“สำหรับนาย...มันยังเป็นคำโกหกอยู่รึเปล่า?”
ร่างสูงก้มลงจ้องตาคนตรงหน้าก่อนจะถอดหน้ากาก
ที่บดบังใบหน้าของอีกคนออกอย่างเบามือ
นิ้วเรียวถูกยกขึ้นปาดที่ขอบตาแดงๆของร่างเล็กตรงหน้า
โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ปฏิเสธหรือขัดขืนอย่างคราวก่อนๆ
ก่อนร่างสูงจะย้ายมือมาประคองใบหน้าที่เมื่อก่อนเล็กยังไงก็ยังเล็กเท่าเดิมเอาไว้
ลูกเป็ดของเขา...กลายเป็นหงส์เต็มตัวแล้วสินะ
งดงาม...จนเขาไม่กล้าแตะต้อง...
“บ่อน้ำบ่อนี้...มันยังรอให้หงส์ตัวนั้นกลับมาหาเสมอนะ”
เอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเคยพลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบแก้มแฉะของอีกคนเบาๆ
“ฉันไม่ใช่หงส์อย่างที่นายบอกดูจุน”
“ฉันไม่ได้เป็นทั้งลูกเป็ดขี้เหร่หรือหงส์อะไรทั้งนั้น...”
“ฉันคือฉัน...ยังโยซอบ...เด็กบ้าเรียนที่ไม่มีใครรัก”
ร่างบางพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนเงียบมานาน มือนิ่มที่เย็นเฉียบใกล้เคียง
กับอากาศรอบตัวแตะเข้าที่ข้างแก้มของคนตัวสูงกว่า
ถอดแผ่นพลาสติกสีดำที่กั้นใบหน้าของเขาทั้งสองออกเบาๆ
ก่อนจะยกยิ้มเมื่อใบหน้าของอีกคนไม่ได้เหปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนซักนิด
มีแต่จะดูดีขึ้นเท่านั้น...ดูดีจนไม่กล้าเข้าใกล้ไปมากกว่านี้
“เพราะฉันไม่ใช่...ฉันเลยไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้กับนายไปมากกว่านี้”
“ฉันไม่มีอะไรซักอย่างที่ดีพอจะไปยืนข้างๆนาย...อ...อือ”
ไม่ทันจะพูดให้ริมฝีปากอิ่มก็ถูกปิดลง
ร่างบางเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อยกับสัมผัมที่ได้รับกระทันหันแต่กลับไม่ได้ขัดขืน
จังหวะการจูบยังคงเป็นไปอย่างเนิบนาบ
ไม่มีการรุกรานใดๆ เหมือนกับคราวก่อน
ดวงตากลมโตค่อยๆหลับลงเพื่อรับสัมผัสบนริมฝีปาก
ก่อนมือหนาจะประคองใบหน้าเล็กให้เข้าไปใกล้ขึ้น
ผ่านไปอีกนานพอดูจนได้ยินเสียงจอแจดังออกมาจากห้องจัดงานนั่นแหละ
ทั้งสองคนถึงผละออกจากกัน
ร่างสูงย้ายมือลงมากุมมือเย็นๆของคนตัวเล็กไว้
เข่าข้างหนึ่งย่อลงประชิดพื้นก่อนจะเงยหน้ามองคนข้างหน้า
ที่มองกลับมาด้วยแววตาสงสัย
“งั้นฉันก็จะรักยังโยซอบคนที่ไม่มีอะไรคนนี้นี่แหละ...”
THE END
โอยยยยย จบแล้ว ลงฟิคดึกอีกเช่นเคย
อ่ะนะ คนยังไม่เปิดเทอม 555
เรื่องนี้เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะ
มีตอนเดียวแต่ยาวมากกกกกกกกกก เลยต้องเป็น SF ไปโดยปริยาย
คือตอนแรกก็รู้แล้วล่ะว่าต้องออกมายาวแบบนี้ เพราะแค่พล็อตก็ยาวเหยียด
จะตัดตอนเดี๋ยวมันก็ไม่ต่อเนื่องอีก แต่ขอให้ทุกคนอ่านให้จบนะคะ
ไม่รู้สิเราชอบพล็อตเรื่องนี้นะ อาจจะเขียนบรรยายไม่ละเอียดพอ
แต่ชอบที่สุดที่เคยแต่งมาเลย (รวมทั้งเพลงเพราะ)
ใครมาเม้นแปะแล้วมาดิทช้าเราเข้าใจค่ะ เพราะมันต้องใช้เวลาในการอ่าน
แต่ข่วยเม้นหน่อยนะ ถือว่าให้กำลังใจหน่อย (หมดแรง ณ จุดนี้)
เจอกันเรื่องหน้าค่ะ
CRY .q
WRITER: TEUKSOB
PAIRING: DOOSEOB
RATE: PG – 15 / DRAMA เบาๆ
TALK: มันยาวมากนะคะ เพราะเนื้อเรื่องมันค่อนข้างเยอะ
แต่อ่านเถอะ เราแนะนำเรื่องนี้สุดไส้ ไหนจะลองบรรยายแบบที่ไม่เคยทำ
เพลงประกอบ : Evening Sky
**ฟังนะ ต้องฟังนะ ขอให้ฟังเพลงนี้ตอนอ่าน เพื่ออรรถรสและอารมณ์ร่วม=w=**
“ลูกของแม่ดูดีมากเลยค่ะ” หญิงสาววัยกลางคนยิ้มหวาน
พลางจัดเสื้อสูทสีขาวสะอาดสะอ้านของลูกชายที่ยืนหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกอย่างไม่มั
่นใจนัก
รอยย่นตามอายุปรากฏขึ้นตามหางตาของผู้เป็นแม่เมื่อยกยิ้มเป็นตัวแทนปริมาณของความสุข
ที่ได้เห็นลูกชายตัวเล็กของเธอเติบใหญ่มาหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ได้เป็นอย่างด
ี
“ขอบคุณนะครับแม่ แม่ไปนอนพักผ่อนเถอะ โยกลับดึกมากไม่ต้องรอนะครับ
เดี๋ยวได้ไม่สบายกันอีกพอดี” ผู้เป็นแม่ยิ้มรับก่อนจะดึงร่างเล็กของลูกชายเข้ามากอดหลวมๆ
“โยลูก...”
“ครับแม่?”
“เรื่องอะไรที่มันเลวร้ายในอดีต... หนูก็ไม่ต้องไปนึกถึงมันนะคะ”
“แม่...”
“วันนี้ลูกของแม่คือลูกของแม่ คือยังโยซอบผู้มีรอยยิ้มสดใส...สัญญากับคุณแม่นะคะ
ว่าคืนนี้โยจะมีความสุข...” กระซิบเสียงอ่อนโยนพลางยกมือลูบแผ่นหลังเล็กของชายหนุ่ม
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่เด็กชายตัวเล็กที่เธอเคยโอบอุ้มได้สบายๆได้สูงนำเธอไปขนาดนี้
“สัญญาครับแม่” ผละออกมายิ้มให้หญิงวัยทอง
ก่อนร่างอ้วนท้วมของผู้เป็นแม่จะเดินหายลับไปที่บันไดบ้าน
“โอ๊ย!” ร่างเล็กของเด็กหนุ่มในเสื้อนักเรียนชั้นมัธยมปลายล้มลงที่ตรอกเล็กๆหลังตึกพละ
ใบหน้าเล็กที่ปกคลุมไว้ด้วยแว่นกลมอันหนาเตอะยู่ลงด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเริ่มรื้นขึ้นที่ขอบตา
“ฮึก...เราไม่ได้มองหน้าหาเรื่องพวกนายจริงๆนะ
ชื่อของพวกนายเรายังไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ...ฮึก...”
“อย่ามาสำออย เหอะ มึงก็เหมือนเด็กเนิร์ดคนอื่นๆนั่นแหละ
ต่อหน้าก็ทำเป็นกลัว แต่ลับหลังก็เกลียดพวกกูเข้าไส้ นี่ไง!! โอกาสที่มึงจะได้แสดงออก”
หัวโจกของกลุ่มแหวกกลุ่มเพื่อนอีกสี่ห้าคนเข้ามาก่อนจะนั่งยองลงให้อยู่ในระดับเดียว
กันกับร่างเล็ก
ยกมือเชยคางมนให้เงยขึ้นเพื่อสอดส่องใบหน้าเล็กที่มีรอยช้ำอยู่ตามมุมปากและขอบตา
ไหนจะเลนส์แว่นที่ร้าวเป็นจุดๆแต่ยังไม่แตกออกมา
“ร...เราไม่ได้เกลียดพวกนายจริงๆนะ...ขอร้องล่ะ...ปล่อยเราไปเถอะ...เรากลัวแล้ว...น
ะ”
เอ่ยอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงสั่นพลางมองลึกลงไปในตาของคนหน้าโฉดตรงหน้า
หวังว่าจะได้รับความเมตตาซักหน่อย...อย่างน้อยก็อย่าตายหรือพิการ...
“กลัวเหรอ...กูจะทำให้มึงรู้...ว่ากลัวจริงๆน่ะมันคือยังไง”
ว่าพลางแสยะยิ้มร้าย มือหนาย้ายไปกำกลุ่มผมสีเข้มของคนข้างหน้าไว้
ก่อนจะก้มหน้าลงจนแทบชิดกัน
“จะว่าไปมึงก็หน้าตาน่ารักใช้ได้นี่...เสียดายเปล่าๆนะมาใส่แว่นแบบนี้”
“น...นายจะทำอะไร?”
“มาเป็นเมียกูดีกว่ามา...”
“ฮึก..อย่า! อั่ก!” เอ่ยท้วงทันทีแต่ก็หมดเสียงจะเปล่งขอความช่วยเหลือไปในทันที
ที่โดนกำหมัดหนักๆของหัวหน้าแก๊งกระแทกเข้าที่ท้องน้อยเต็มๆ
น้ำตาที่รื้นขอบตาอยู่เมื่อซักครู่บัดนี้ไหลลงมาไม่หยุด
ใบหน้าเล็กหันหนีปลายจมูกและริมฝีปากของคนแปลกหน้าสุดความสามารถ
ปากก็พยายามร้องของความช่วยเหลือ...แต่กลับไม่มีเสียงใดออกมา...นอกจากเสียงสะอื้น
“รำคาญว้อย กูบอกให้มึงเงียบไง!! ฤทธิ์มากนักนะมึง” ตะโกนขึ้นอย่างหัวเสีย
เมื่อใช้ลูกน้องถึงสี่คนในการพันธนาการร่างเล็กเบื้องล่างไว้แต่ก็ยังมีแรงที่จะขัดข
ืน
เสียงดังน่ากลัวนั่นทำให้คนตัวเล็กหยุดเถียงไปโดยอัตโนมัติ
“ต้องอย่างนิ้สิ...หึ” ยกยิ้มก่อนจะก้มลงซุกใบหน้าลงกับต้นคอขาว
เพื่อสูดกลิ่นสบู่อ่อนๆปนกับสัมผัสแฉะๆของน้ำตาอุ่นๆอยากพึงพอใจ
ร่างเล็กกำมือตัวเองแน่นพลางนึกสมเพชตัวเองไม่หยุด
ยังไงก็หนีไม่พ้นสินะ...
ดวงตาแดงฉ่ำหลับลงยอมรับชะตากรรม แรงที่จะดิ้นค่อยหมดลง
ทำให้การรุกรานของร่างสูงด้านบนเป็นไปได้สะดวกยิ่งขึ้น
แต่พระเจ้าคงยังเห็นใจเขาอยู่บ้าง...
“ทำอะไรกันน่ะ?!?”
“คุณยังโยซอบรึเปล่าครับ?” ชายสูงอายุลดกระจกรถลง
ก่อนจะเอ่ยถามชายหนุ่มร่างเล็กในส฿ทและกางเกงสีขาวตั้งแต่หัวจรดเท้า
ที่ยืนกอดตัวเองอยู่ริมถนนหน้าบ้านหลังใหญ่มาได้ซักพัก
อากาศตอนต้นค่ำเริ่มหนาวขึ้นเรื่อยๆ
ช่างไม่เข้ากับเสื้อผ้าเพียงสองชั้นบางๆของคนตัวเล็กได้เลย
ร่างบางพยักหน้าตอบด้วยร่างกายสั่นเทาจากอากาศหนาวเหน็บ
ไอสีขาวจางๆถูกพ่นออกมาจากปากและจมูกของเจ้าของใบหน้าขาวเนียน
เห็นดังนั้นชายสูงวัยก็ลงจากรถมาเปิดประตูรถให้เจ้าของชื่อที่ได้รับคำสั่งให้มารับท
ันที
“ขอบคุณครับ” ยกยิ้มบางๆก่อนจะก้าวลงนั่งบนเบาะหนังสีครีมภายใน
ประตูรถถูกปิดลงก่อนคนขับรถจะกลับมาขึ้นรถอีกครั้ง
“ผมจำหน้าคุณหนูไม่ได้เลยนะครับเนี่ย เรียนโปรแกรม EP เหรอครับ?”
ชายแก่ที่เริ่มออกรถไปได้ซักพักเอ่ยถามพลางเงยหน้าสบตากับคนบนที่นั่งด้านหลัง
ร่างเล็กเงยหน้าขึ้นยิ้มตอบ ก่อนจะส่ายหัวน้อยๆ
“ไม่ใช่หรอกครับ ผมเรียนโปรแกรมปกตินี่แหละ
ตอนม.สี่ถึงม.ห้าผมก็เคยขึ้นรถบัสที่คุณลุงขับนะครับ”
หลังจากนั่งตากฮีเตอร์ในรถจนหายอาการหนาวสั่น ร่างเล็กก็เริ่มปริปากพูด
เมื่อเห็นอีกคนเลิกคิ้วมองมาด้วยความสงสัย ก็ขยายความต่ออีกหน่อย
“เมื่อก่อนผมทำผมสีดำน่ะครับ แล้วก็ใส่แว่นกลมๆ”
พูดพลางทำนิ้วเป็นวงกลมยกขึ้นแปะตาทั้งสองข้าง
“อ๋อ คุณหนูคนนั้นเอง เปลี่ยนไปเยอะเลยนะครับ”
“ครับ...อันนี้ผมทราบดี ฮะๆ”
“ผมเองก็ดีใจนะครับ ที่เห็นคุณหนูโตมาแข็งแรงขึ้น...”
ชายแก่เอ่ยด้วยรอยยิ้มก่อนจะเหลือบมองเด็กชายในความทรงจำของตน
เด็กชายที่มักขึ้นรถบัสเบอร์แปดของเขาอยู่เงียบๆทุกวันเช้าเย็น
เด็กหนุ่มพูดน้อยแต่กลับมีมารยาทผิดกลับเด็กรวยคนอื่นๆบนรถที่มักดูถูกอาชีพของเขา
เด็กตัวเล็กเจ้าของใบหน้าหวาน แต่กลับปกปิดมันไว้ด้วยแว่นเรือนใหญ่
เด็กคนที่มักนั่งเงียบๆไม่พูดจาอยุ่ที่เบาะเดิมๆไม่ยุ่งกับใครไม่เคยมีเพื่อนที่ไหน
จนวันนั้นนั่นแหละ...
ที่มีเขาได้เห็นเด็กน่ารักคนนี้มีเพื่อนกลับบ้านด้วยครั้งแรก
“ไหวรึเปล่า?” เสียงเรียกพร้อมกับแรงสะกิดเบาๆที่ไหล่ทั้งสอง
เรียกสติที่เรือนรางของร่างบางได้เล็กน้อย คนตัวเล็กปรือตาขึ้นก่อนจะพยายามยันตัวขึ้นนั่ง
ดวงตาหวานสอดส่ายไปรอบตัวก่อนจะพบเพียงซอกตึกที่ว่างเปล่า
ไร้วี่แววของกลุ่มอันธพาลที่พยายามจะประทุษร้ายเขาเมื่อครู่
จะมีก็แต่ใครบางคนที่เขาเองก็มองหน้าไม่ชัดนักนั่งอยู่เบื้องหน้า...
รู้แค่เพียงบนใบหน้าของอีกคนมีรอยช้ำปรากฏอยู่เป็นจุดๆเท่านั้น
“เกิด...อะไรขึ้น...?” เอ่ยถามคนตรงหน้าเสียงแห้งผาก
เท่าที่จำได้เขาได้ยินเสียงของใครบางคนดังขึ้นจากเบื้องหน้า
แต่ก็ไม่ทันได้มองหน้าของผู้ที่มาช่วยเขาไว้
สิ่งที่จำได้เป็นสิ่งสุดท้ายก็คือเสียงชกต่อยและเสียงร้องโอดครวญจากความเจ็บปวด
ก่อนเขาจะหมดสติไปด้วยความเหนื่อยล้านั่นแหละ...
“นายไม่จำเป็นต้องรู้หรอก...”
“...?” เลิกคิ้วและมองหน้าของอีกคนอย่างสงสัย
มองอีกคนนิ่งอยู่อย่างนั้นซักพักนั่นแหละถึงนึกขึ้นได้ว่าตาของตนหายพร่ามัวแล้ว
แต่ที่ยังมองไม่ชัดเป็นเพราะไม่ได้ใส่แว่นซะมากกว่า
มือเล็กแปะไปตามพื้นก่อนจะเจอกรอบแว่นของตนโดนเหยียบเละเทะอยู่บนพื้นข้างตัว
“รู้แค่ว่ามันผ่านไปแล้ว และนายปลอดภัยแล้ว...แค่นั้นพอ โอเคมั้ย?”
“อืม...”
“ดีมาก มานี่สิ ฉันจะพาไปทำแผล”
“...?” ร่างเล็กส่งเสียงถามอีกครั้งก่อนร่างสูงจะเอื้อมมือไปจับมือข้างหนึ่งของอีกคนขึ้นมา
“นี่ไง ไม่เจ็บหรอ?” มือเล็กข้างที่ถูกอีกคนกุมไว้เบาๆที่รอยแผล
ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเศษแก้วบนพื้นบาดเป็นทางยาว มีเลือดสีแดงสดไหลออกมาซิบๆ
เจ้าของมือก้มลงมองตามก็ยู่หน้าขึ้นมาทันที
“เจ็บ...แล้วล่ะ”
ช่วยไม่ได้นี่นา...
เขากลัวเลือดเสียยิ่งกว่าอะไร
“โอ๊ย แสบ” พูดพึมพำออกมาพลางขมวดคิ้วแน่นเมื่ออีกคน
แตะสำลีชุบแอลกอฮอล์ลงบนปากแผลหลังจากห้ามเลือดเรียบร้อย
“ฮะๆ ทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวทายาพันแผลก็เสร็จแล้ว”
“ค...ครับ”
“เฮ้ เราเป็นเพื่อนกันไม่ต้องพูดครับหรอกน่า”
“เพื่อน...หรอ?” เอ่ยขึ้นมาเพียงเบาๆอย่างไม่เข้าใจ
ชีวิตนี้...เขาไม่ยักจำได้ว่ามีเพื่อนกับคนอื่นเค้าด้วย...
“ใช่สิ เราอยู่ห้องเดียวกันมาสามปีแล้วนะ”
เงยหน้าขึ้นจากที่ทำแผลและยิ้มให้ร่างเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงห้องพยาบาล
“นายอาจจะไม่รู้จักฉันมั้ง...ฉันยุนดุจุนเลขที่สิบเอ็ดไง”
ร่างสูงชูป้ายชื่อของตัวเองขึ้นก่อนจะกลับไปสนใจกับการทำแผลให้อีกคนต่อ
คนที่บาดเจ็บก้มลงมองซีกหน้าด้านบนของอีกคนอยู่เงียบๆ
ยุนดูจุน...
มีใครที่ไม่รู้จักคนๆนี้บ้างล่ะ?
“เสร็จแล้วล่ะ...เฮ้” เมื่อเงยหน้ามาเจอร่างเล็กนั่งเหม่อจ้องหน้าเขาอยู่ซักพัก
ก็เอ่ยทักขึ้นพลางโบกมือไปมาอยู่เบื้องหน้า คนที่ถูกเรียกก็ได้สติแทบจะทันที
“ถ้าไม่รู้จักก็ไม่ต้องพยายามนึกขนาดนั้นหรอกน่า...”
“ไม่ใช่นะ...คือเรามองไม่เห็น...”
“อ๋อ เออจริงด้วยปกตินายต้องใส่แว่นแฮรี่ พอตเตอร์นี่เนอะ”
ร่างบางเงียบไปซักพัก
ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนตรงหน้าจะมานั่งจะรายละเอียดอะไรของเขาด้วย...
“งั้นวันนี้เราจะขึ้นรถกลับบ้านกับนายแล้วกัน”
“...”
“วันนี้...เราจะเป็นตาให้นายเอง...”
“สวัสดีครับคุณลุง” เสียงทักทายที่คุ้นหูเรียกให้ชายวัยกลางคน
ที่นั่งประจำที่อยู่บนที่นั่งคนขับหันไปมอง
“อ้าว คุณหนูดูจุนสวัสดีครับสบายดีมั้ยครับวันนี้?”
“สบายดีครับคุณลุง...จะไปไหนล่ะน่ะ?” ยิ้มตอบอีกคนก่อนจะหันไปมองคนตัวเล็ก
ที่เดินคลำตัวรถคันข้างๆมาช้าๆแถมยังทำท่าเหมือนจะเดินขึ้นไปแล้ว
ถ้าไม่ถูกเรียกไว้ซะก่อนด้วย
“อ...อ้อ ขอโทษที” เอ่ยเบาๆพลางยกมือเกาหัวด้วยความเขิน
“บอกแล้วไงว่าอย่าปล่อยมือเรา ดื้อเองนะ” ไม่ว่าเปล่า
มือหนาดึงแขนของร่างเล็กเบาๆให้เดินเข้าหาตัวเอง
จับมือข้างขวาที่ไม่ได้มีผ้าพันแผลพันไว้มาวางไว้บนมือตัวเองและกำมันไว้เบาๆ
“ไม่ต้องอายหรอกน่า” ระบายยิ้มหวานให้อีกคนสบายใจ
ก่อนทั้งสองคนจะพากันขึ้นรถบัสไป
“สวัสดีครับคุณลุง”
“สวัสดีครับคุณหนู” คนตัวเล็กเอ่ยทักทายขึ้นบ้างและก้มหัวเก้ๆกังๆ
เนื่องจากไม่มีแว่นใส่จึงมองหน้าคนที่ตัวเองเอ่ยสวัสดีไม่ถนัดตานัก
ร่างสูงมองการกระทำนั้นด้วยรอยยิ้มอยู่เงียบๆ
ก่อนจะดึงมือเล็กให้ร่างเล็กอีกคนเดินตามเข้าไปยังที่นั่งในตัวรถ
“นายนั่งนี่สินะ” หยุดยืนอยู่หน้าเบาะนั่งที่ยังว่างอยู่ทั้งๆที่ทั้งรถก็เต็มเอียด
ไม่รอให้อีกคนตอบก็ถอยให้ร่างเล็กเดินเข้าไปนั่งที่นั่งริมหน้าต่างด้วยความมั่นใจ
“อืม” ตอบสั้นๆก่อนจะเดินเข้าไปเสียชิดหน้าต่างและนั่งลง
แต่แล้วก็ต้องตกใจขึ้นมาอีกครั้งเมื่อที่นั่งด้านข้างยวบลง
“บอกแล้วไงว่าจะเป็นตาให้นาย ถ้านายเกิดลงเลยบ้านตัวเองไปจะทำยังไงจริงมั้ย?”
ร่างบางพยักหน้ารับก่อนจะกลับมานั่งนิ่งๆเช่นเดิม
“นี่นายไม่รู้จักเราจริงอ่ะ?” นั่งเงียบไปได้ซักพักคนข้างๆก็ถามขึ้นมาอีก
“รู้จักสิ...นายดังจะตายนะ”
“แล้วนายไม่รู้เลยจริงๆหรอว่าเราสองคนนั่งรถโรงเรียนคันเดียวกัน” คนตัวเล็กส่ายหัว
“ขอโทษนะ”
“เฮ้ยๆ ไม่ต้องขอโทษ ก็นะ เห็นนายจะขึ้นรถคนแรกๆตลอด
แล้วก็นั่งก้มหน้าก้มตาอยู่คนเดียว” คนตัวเล็กไม่ได้ตอบอะไรไปมากกว่านี้
ทางด้านร่างสูงก็ทิ้งตัวพิงลงให้สบายตัวขึ้นก่อนจะหยิบหูฟังขึ้นมาใส่ที่หู
และไม่ลืมที่จะแบ่งอีกข้างให้คนข้างๆใส่ด้วย
“อ๊ะ!”
“ฟังเถอะ ถือว่าเปิดหูเปิดตา” พูดลอยๆโดยที่ดวงตาทั้งสองก็ยังมองตรงไปข้างหน้า
คนตัวเล็กพยักหน้ารับรู้ก่อนจะกระชับกอดกระเป๋าให้แน่นขึ้น
“ขอบคุณนะ...” เอ่ยออกไปเพียงเบาๆ
โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าคนข้างๆจะได้ยินรึเปล่าผ่านหูฟังนี่
ขอบคุณ...ที่อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้ตัว
ว่าเขาก็ยังมีตัวตนสำหรับใครบางคน
“ถึงแล้วครับคุณหนู” เสียงพูดที่ขัดความเงียบในคันรถ
เรียกสติของร่างเล็กให้กลับมาอีกครั้ง เขาสะดุ้งเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าตอบ
มือข้างซ้ายถูกยกขึ้นมาดูหลังจากลืมสังเกตไปนาน
แผลเป็นยาวๆพาดผ่านฝ่ามือขาว
ถึงจะเรือนลางไปมากแล้วจากการเวลา แต่ก็ยังมีรอยนูนจางๆให้เห็น
ไม่เจ็บแล้วล่ะ...
ใช่...
ไม่เจ็บอีกแล้วล่ะ...
“ของคุณนะครับคุณลุง โชคดีจังเลยที่คุณลุงเป็นคนมารับผม”
ยิ้มหวานให้ชายวัยกลางคนที่อาจจะถือว่าสนิทที่สุดในชีวิตมัธยมแล้วก็ว่าได้
ก่อนจะยกหน้ากากสีขาวในมือขึ้นสวมใส่และลงจากรถเมื่อคนขับรถลงจากรถมาเปิดประตูให้
ลีมูซีนสีดำมันวาวตัดกับเสื้อผ้าสีขาวทั้งตัวกับผมสีทองอ่อนๆของคนตัวเล็ก
ค่อยๆติดเครื่องอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนตัวออกไป
ชั่วเวลาหนึ่ง ดูเหมือนความตัดกันอย่างโดดเด่นของสีทั้งสองสิ่ง
จะเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนที่ระเบียงของห้องจัดงานอีกฝั่งของสนามฟุตบอล
สายตาหลากหลายคู่พากันจับจ้องไปที่แขกผู้มาใหม่
ที่ดูจะมาช้ากว่าเวลาเริ่มงานไปเล็กน้อย
รวมทั้งร่างสูงในเสื้อสูทสีดำที่วางแก้วไวน์ในมือลง
และลืมบทสนทนากับเพื่อนเก่าไปเสียสนิท
ดวงตาคมมองผ่านแผ่นพลาสติกสีเดียวกับสูทที่สวมใส่
ก่อนส่วนหนึ่งในความทรงจำจะกระตุ้นให้เขาขบคิด
ส่วนหนึ่งในความทรงจำ...กระตุกหัวใจของเขาให้เต้นแรงขึ้นมา...
“ข้อนี้...ถ้านายเอาด้านตรงข้ามมุมฉากมาหารด้านตรงข้ามมุมเซต้า
นายก็จะได้ค่าไซน์ แล้วก็เอาไปแทนหาความยาวของสะพานตามที่โจทย์ถาม...เข้าใจรึเปล่า?”
ร่างเล็กหยุดอธิบายไปชั่วคราวเมื่อเงยหน้าขึ้นและพบว่าสายตาของคนที่เขา
กำลังสอนการบ้านอยู่มันไม่ได้อยู่ที่หนังสือเรียนซักนิด
“เอาจริงๆ...ไม่เลยซักนิดแฮะ”
“นี่ยุนดูจุน!” ขึ้นเสียงเล็กน้อยแต่ก็ยังเบาอยู่ดีเพราะที่ๆเขานั่งอยู่คือห้องสมุด
ถึงรอบบริเวณที่นั่งอยู่จะไม่มีคนอยู่เลยก็เถอะ แต่เขาก็มาห้องสมุดบ่อยจนชินเสียแล้ว
“ก็นายเอาแต่นั่งจ้องหน้าเราอยู่อย่างนี้นายจะรู้เรื่องมั้ยล่ะ
ถ้าจะไม่เรียนเราจะให้คุณแม่มารับแล้วนะ เราอุตส่าห์ยอมไม่ขึ้นรถกลับบ้าน
เพื่อมาติวเลขให้นายเลยก็ช่วยตั้งใจเรียนหน่อยสิ”
“ขอโทษครับคุณครู” ร่างสูงตอบเสียงใสอย่างไม่สะทบสะท้าน
แถมยังระบายยิ้มกว้างกว่าเดิมอีกต่างหาก
ไม่รู้ว่าทำไม...แต่หลังจากวันนั้นคนตัวสูงก็ดูจะโผล่มาให้เขาเห็น
บ่อยขึ้นเสียเหลือเกิน
‘เราจะเป็นเพื่อนของนายให้เอง ตกลงนะ?’
จำได้ว่าวันนั้นคนตัวสูงข้างๆนี่พูดทิ้งท้ายไว้แบบนี้
หลังจากอุตส่าห์เดินลงจากรถบัสเพื่อไปส่งเขาถึงบ้าน
เพราะจากที่ๆลงก็ต้องเดินเข้าซอยไปอีกลึกพอควร
ทั้งๆที่บ้านของคนตัวสูงเองก็ต้องเดินไปอีกไกลไม่น้อย...
“เรามีเรื่องสงสัยอย่างนึง”
“หือ?” เสียงพูดของอีกคนเรียกให้ร่างเล็กหันไปมองแล้วเลิกคิ้วถาม
“ใบหน้าภายใต้แว่นแฮรี่ พอตเตอร์ของนาย...เราอยากเห็นมันอีกซักครั้งจัง”
ดวงตาคมจ้องลึกลงไปในดวงตาคู่โตของอีกคน พยายามจะลบภาพ
แว่นอันเบ้อเริ่มที่บดบังใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือของอีกคนให้ได้
"มันก็ไม่เปลี่ยนไปจากที่นายเห้นคราวที่แล้วนักหรอก ถามทำไมหรอ? อ๊ะ!”
ไม่ทันได้รับคำตอบในสิ่งที่สงสัย มือหนาก็คว้าแว่นบนใบหน้าหวานไว้
และดึงออกอย่างเบามือทันทีที่เจ้าตัวหันหน้าไป
ร่างสูงนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง
ดวงตาทั้งสองยังคงจดจ้องอยู่ที่ใบหน้าใสของคนข้างหน้าไม่ไปไหน
ดวงตากลมโตที่มีแววตาสีน้ำตาลเข้มซ่อนอยู่ภายใต้แพขนตาที่เรียงตัวสวยราวกับตุ๊กตา
จมูกรั้นที่ถึงจะไม่ได้สูงโด่งแบบคนตะวันตก แต่กลับขับส่งส่วนอื่นๆบนใบหน้าให้สะดุดตา
กลีบริมฝีปากสีชมพูอ่อนๆทั้งสองที่กำลังอ้าเอ่ยคำพูดต่างๆออกมา
แต่เขากลับไม่ได้สนใจได้ยินหรือฟังมันซักนิด
น่ารัก... ทำไมเขาถึงไม่เคยรู้มาก่อนนะ...
“ดูจุน...ดูจุน เป็นอะไรรึเปล่า? ถ้าเรียนต่อไม่ไหววันนี้พอแค่นี้ก็ได้นะ”
ร่างเล็กเอ่ยขึ้นอย่างเป็นห่วง สีหน้าเป็นกังวลลงอย่างเห็นได้ชัด
“ม...ไม่เป็นไร” เมื่อได้สติร่างสูงก็ส่ายหัวสองสามครั้งและหันกลับมาจ้องหนังสือเรียน
ที่ที่ผ่านมาเขาไม่ได้สนใจจะเหลือบมองด้วยซ้ำเพื่อซ่อนสีหน้าแตกตื่นกับแรงบีบรัดที่
หัวใจ
ก็ตอนอยู่ที่เรียนพิเศษเขาสอบตรีโกณได้เต็มคนเดียวในห้องอยู่แล้วนี่…
“คุณแม่โทรมาแล้วล่ะ เราไปก่อนนะ” สะดุ้งเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงสั่นที่กระเป๋ากางเกง
มือถือเครื่องสวยถูกหยิบออกมาและคุยโต้ตอบกับอีกฝ่ายอยู่เล็กน้อยก่อนจะวางสาย
และกันมาบอกลาเพื่อนตัวสูงกว่าที่นั่งหลบตาเขามาตั้งแต่เมื่อกี๊ ร่างสูงเงยหน้าขึ้นพยักหน้าตอบ
ก่อนจะยื่นแว่นสีดำในมือคืนให้เจ้าของ
“เดี๋ยว” แต่แล้วเมื่อร่างบางหมุนตัวหันหลังให้
มือหนาก็คว้าข้อมือของอีกคนไว้และดึงกลับเข้าหาตัวเอง
เพียงเสี้ยววินาที ร่างเล็กถูกดึงให้นั่งลงบนพื้นเผชิญหน้ากับอีกคน
เพียงเสี้ยววินาทีที่เอวบางถูกโอบไว้และดึงเบาๆให้ล้มตัวลง
ตามร่างสูงที่นั่งพิงตู้หนังสืออยู่ไม่ห่าง
เพียงเสี้ยววินาทีที่แว่นบนใบหน้าถูกดึงออกอีกครั้ง
แต่ไม่รู้ว่าผานไปซักกี่วินาที...
ที่ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกัน
สัมผัสที่อ่อนโยนและแผ่วเบาราวกับก้อนเมฆ
แต่กลับอ่อนหวานจนใจทั้งสองดวงเต้นกระสับกระส่ายขึ้นมาไม่น้อย
เมื่อรู้สึกถึงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของคนในอ้อมกอด
ร่างสุงก็ค่อยๆคลายแขนทั้งสองลง ส่งผลให้ร่างเล็กได้โอกาส
วางมือลงกับอกกว้างและผละใบหน้าของตนออกมาก่อน
“...”
“...” ความเงียบเข้าปกคลุมทั้งสองคนอย่างไม่ได้นัดหมาย
ร่างเล็กนั่งก้มหน้ามองหน้าตักของตนที่บัดนี้นั่งอยู่ระหว่างขาทั้งสองของร่างสูง
ก่อนจะตัดสินใจหยิบแว่นกลับขึ้นมาใส่และคว้ากระเป๋าลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
“ร...เรากลับนะ” อีกคนไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่นั่งก้มหน้านึกถึงเรื่องที่
ตัวเองทำลงไปโดนไม่ได้คิดหน้าคิดหลังเมื่อชั่วนาทีที่แล้ว
พยักหน้าเล็กน้อยก่อนร่างเล็กจะเป็นฝ่ายเดินออกมาก่อน...
“ในนิทานที่ฉันเคยอ่าน...ตอนที่ลูกเป็ดขี้เหร่รู้ตัวว่าตัวเองเป็นหงส์...
มันทิ้งบ่อน้ำที่มันเคยอยู่ไปสู่ที่ๆสวยงามเหมือนตัวเอง...”
เสียงทุ้มต่ำดังตามหลังมาลอยๆทำให้ร่างเล็กต้องหยุดขาทั้งสองลงอีกครั้ง
“แล้วถ้าลูกเป็ดข้างหน้าฉันรู้ตัวว่าจริงๆแล้วตัวเอง
เป็นหงส์ที่สวยงามขนาดไหน...”
“มันจะทิ้งฉันไปเหมือนกันรึเปล่า?”
“เฮ่อ...” ร่างเล็กถอนหายใจพลางก้าวเดินไปตามทางเดินประดับดอกไม้
ที่ถูกดัดแปลงมาจากสนามฟุตบอลตรงหน้าช้าๆ
อากาศข้างนอกเริ่มหนาวขึ้นกว่าตอนก่อนขึ้นรถเมื่อหัวค่ำ
แต่การคิดนู่นคิดนี่เรื่อยเปื่อยทำให้จังหวะการเดินเอื่อยเฉื่อยลงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ก็ดีแล้วล่ะ...จะได้ใช้เวลาสำรวจโรงเรียนที่ไม่ได้มาเหยียบตั้งสามปีเศษๆให้เต็มท
ี่
ไม่นานนักร่างเล็กก็หยุดยืนลงที่หน้าประตูบานใหญ่หน้าตึกหลังใหญ่
ที่ใช้สำหรับจัดงานสำคัญๆต่างๆของโรงเรียน
บานไม้สูงใหญ่เบื้องหน้าทำให้เขานึกย้อนกลับไปถึงเรื่องต่างๆในอดีต
แล้วก็อดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้
ดีแค่ไหนแล้วที่เขาได้เอาชนะยังโยซอบผู้อ่อนแอสมัยนั้นไปได้ซักที
“วันนี้คือวันของเรายังโยซอบ... เข้าไปมีความสุขให้เต็มที่...”
ยกยิ้มให้กำลังใจตัวเองอีกซักครั้งก่อนมือเล็กทั้งสองที่ชื้นเหงื่อ
จะจับลูกบิดประตูและผลักเปิดมันออกช้าๆ
ถึงเวลาของยังโยซอบคนใหม่ จะได้ออกสู่โลกกว้างเสียที
คุณเคยดูภาพยนตร์ซักเรื่องหนึ่งที่นางเอกแปลงโฉมจนสวยสง่า
แล้วทุกๆคนมองจนตาค้างราวกับมีเธอเปล่งประกายอบู่ในความมืดมั้ย?
มันคงไม่ต่างไปจากร่างเล็กผมทองบลอนด์คนนี้กำลังเผชิญอยู่ซักเท่าไหร่
ทันทีที่ร่างเล็กผู้มาใหม่ก้าวเท้าเข้าไปในงาน
ทุกอย่างรอบตัวก็แข็งทื่อราวกับหยุดนิ่ง
เสียงพูดคุยจอแจค่อยๆเบาลงก่อนจะเงียบไป
จนเหลือเสียงเพลงที่เปิดคลอสำหรับคนที่เต้นรำเท่านั้น
แม้จะอยู่ภายใต้หน้ากากหลากหลายสีหลากหลายแบบ
แต่ร่างเล็กก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มองมาที่เขาเป็นตาเดียว
แปลก...เขาไม่คุ้นกับบรรยากาศแบบนี้
ก้มลงมองเครื่องแต่งกายของตนอีกครั้ง
เผื่อสีขาวของมันจะเปื้อนติดอะไรมา
แต่สูทสีขาวก็ยังขาวเรียบไม่มีรอยสกปรกใดๆ
รวมทั้งกางเกงสแล็คและรองเท้าหนังสีเดียวกัน
มือเล็กทั้งสองยกขึ้นจัดทรงผมของตนเล็กน้อย
เผื่อว่าตอนนั่งอยู่บนรถมันจะเกิดยุ่งขึ้นมา
'หมับ'
"อ๊ะ!" อุทานออกมาเมื่อจู่ๆมือของตนก็ถูกจับไว้จากข้างหลัง
มือหนาดึงข้อมือของเขาให้ลดลง ก่อนร่างสูงในสูทสีดำ
ตลอดตัว จะเดินหมุนมาอยู่ตรงหน้าเขา
"เค้ามองเพราะนายดูดีต่างหาก...ไม่ต้องกลัวหรอก"
เอ่ยด้วยเสียงเบาให้ได้ยินกันสองคน
ก่อนใบหน้าภายใต้หน้ากากสีดำเงาประดับไข่มุกสีทอง
และริบบิ้นสีเดียวกันจะระบายยิ้มให้คนข้างหน้าสบายใจ
"อือ" พยักหน้าเบาๆก่อนจะยืนเกร็งตัวน้อยลงซักหน่อย
"ขอบคุณนะ...ฉันเข้างานล่ะ" ยิ้มตอบคนข้างหน้า
ก่อนจะก้มหัวให้เล็กน้อยและเดินผ่านไหล่คนข้างหน้าไปยังตัวงาน
"เดี๋ยวสิ" แต่เสียงจากเบื้องหลังก็รั้งเขาไว้
ขาเรียวทั้งสองหยุดเดินก่อนจะหันหน้าไปมองคนข้างหลัง
ที่ยื่นมือข้างหนึ่งมาข้างหน้าและส่งยิ้มที่ทำให้ใจหวั่นไหวได้ง่ายๆ
"เต้นรำกับฉันนะ"
ว่างเปล่า...
ตั้งแต่วันนั้นคนตัวสูงก็ไม่โผล่มาให้เขาเห็นอีกเลย
ได้ยินว่าอีกคนหวัดกินนอนซมอยู่บ้านมาอาทิตย์นึงแล้ว
จะว่าไป...วันนั้นเขาก็เพิ่งหายหวัด
...วันนั้นที่ห้องสมุด...
'ครืด' เสียงฮือฮาหลังจากการเข้ามาในห้องเรียนของใครบางคน
ปลุกร่างเล็กที่โต๊ะริมหน้าต่างตัวหน้าสุดขึ้นจากห้วงความคิด
"หวัดดีทุกคน~" เสียงร่าเริงที่ติดจะแหบเล็กน้อย
จากอาการป่วยที่ยังไม่หายดีทักเพื่อนๆในห้อง
ก่อนจะเดินตรงมาที่หน้าต่าง แขนทั้งสองเท้าลงกับขอบหน้าต่างก่อนจะพูดขึ้นมาลอยๆ
"เป็นยังไง...หงส์ตัวนี้จะหนีบ่อน้ำไปไหนรึเปล่า?"
"..." ร่างเล็กที่ดูจะได้ยินคำถามเพียงคนเดียว
เงยหน้าขึ้นมองซีกหน้าด้านข้างของร่างสูง
ใบหน้าหวานนิ่งอย่างครุ่นคิด
ริมฝีปากเม้มลงจนเกือบเป็นเส้นตรง
จู่ๆห้วงหนึ่งในความคิดเกิดคำถามขึ้นมา
ถ้าคนตัวสูงแค่แกล้งทำดีกับเขาล่ะ?
ถ้าจริงๆแล้ว...อีกคนก็แค่ทำด้วยเหตุผลเหมือนคนอื่นๆล่ะ?
"ไม่...หรอ?" เสียงแหบเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงผิดหวัง
แม้จะเห็นเพียงครึ่งหน้าด้านข้าง แต่ร่างเล็กก็พอจะดูออก
ว่าร่างสูงตรงหน้าเองก็เสียความรู้สึกไม่น้อย
ความคิดเมื่อซักครู่หายไปทันที
เป็นไปไม่ได้หรอก...ยุนดูจุนที่เขารู้จักไม่เคยหลอกใคร
"เราไม่ใช่หงส์ที่สวยงามเหมือนที่นายบอกหรอกนะ..."
"...?" ร่างสูงหันกลับมาอีกครั้งเมื่อได้ยิน
เสียงเล็กๆของใครอีกคนขึ้นมาตอนที่เขาตัดใจและ
กลับมายืนปกติเพื่อเดินไปนั่งที่ของตัวเอง
ใบหน้าหวานขึ้นสีชมพูระเรื่อก่อนจะสูดหายใจลึกๆ
รวบรวมความกล้าอยู่พักนึงก่อนจะเอ่ยคำตอบ
ในใจของตนให้อีกคนได้รู้
คำพูดที่แม้จะพูดโดยไม่ได้มองหน้ากัน
คำพูดเบาๆที่ได้ยินผ่านหูดั่งสายลม
แต่กลับทำให้ร่างสูงยิ้มออกราวกับหายป่วยไปสนิท
"แต่ถ้าบ่อน้ำยังมีที่ว่างให้ลูกเป็ดขี้เหร่ตัวนี้อยู่..."
"เราก็คงไม่ไปไหนหรอก..."
"เรา...เคยเรียนห้องเดียวกันรึเปล่า?"
"หือ?" จู่ๆร่างสูงก็เอ่ยถามขึ้น
ร่างบางเงยหน้ามองอีกคนที่ถึงปากจะพูดกับเขา
สายตาก็ยังมองทอดออกไปนอกหน้าต่าง
"ฉันรู้สึกคุ้นหน้านายจัง...คุ้นมาก..."
ว่าแล้วก็ย้ายสายตาลงมามองตอบร่างเล็ก
ที่จ้องหน้าเขามาได้ซักพักแล้ว
"จริงๆฉันไม่ใช่คนเด่นดังอะไรหรอกตอนอยู่โรงเรียน
นายอาจเคยเห็นหน้าฉันผ่านๆมากกว่า"
ยกยิ้มแหยๆก่อนจะตอบปัดๆไป
แต่ดูเหมือนร่างสูงจะยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
"ไม่...ฉันรู้สึกเหมือน...นายกับฉันรู้จักกันนะ"
ว่าพลางโน้มใบหน้าลงมาใกล้คนตัวเล็กกว่ายิ่งขึ้น
แววตาคู่นี้...เค้าคุ้นเคยกับมันยิ่งกว่าอะไร
คุ้น...ว่าครั้งหนึ่ง เขาเคยตกหลุมรักมันเพียงแค่ได้เห็นครั้งแรก
ไม่ผิดแน่ๆ...
"จำฉันไม่ได้เลยจริงหรอ?"
"ม...ไม่นี่" ยกมือข้างหนึ่งขึ้นจากเอวบาง
และเชยคางมนให้เงยขึ้นสบตากับตนเพื่อความแน่ใจ
แววตาคมที่ดึงดูดผู้ที่ได้จ้องมองแค่เพียงมองผ่าน
จ้องผ่านหน้าสีขาวไข่มุกของคนตรงหน้าลงไปยัง
ดวงตากลมโตสีน้ำตาลเข้มที่มีเงาของตัวเขาเองสะท้อนอยู่
ไม่ต่างไปจากที่เขามองเห็นร่างเล็กตรงหน้า
"ฉันดูจุนไง...จำไม่ได้เลย...จริงๆหรอ?"
มือที่เคยจับอยู่ที่ปลายคางเลื่อนไปประคองใบหน้าเนียนไว้เบาๆ
แววตาหวานเริ่มสั่นไหวเมื่อคนข้างหน้าบอกชื่อของตนออกมา
"หงส์ตัวนั้น...ลืมบ่อน้ำนี้ไปแล้ว...จริงๆงั้นหรอ..."
"โยซอบ...?"
ไม่รู้ว่าเพราะแววตาที่สั่นระริกไปด้วยน้ำตา
ที่ตั้งท่าจะไหลลงมาของเขาหรืออะไร...
ร่างเล็กถึงได้เห็นเงาใบหน้าของตัวเองในดวงตา
ของอีกคนเริ่มสั่นไหว ก่อนหยดน้ำหยดเล็กๆจะหยดลงมา
จากขอบตาของคนข้างหน้าช้าๆ
หยดเดียวเท่านั้น...
แต่กลับกระตุกหัวใจของเขาได้อย่างน่าใจหาย
เหมือนเหลือเกิน
เหมือนกับวันนั้น...
ร่างบางวางถังขยะลงกับพื้นปูนของทางเดินอย่างหมดแรง
จริงๆวันนี้ไม่ใช่เวรเขาทิ้งขยะหรอก
แต่เพราะแม่ของเพื่อนเจ้าของหน้าที่ประสบอุบัติเหตุรถชน
เขาเลยอาสาทำหน้าที่นี้แทนด้วยความเห็นใจ
"เดี๋ยวนี้แกดูสนิทกับเด็กเนิร์ดนั่นจังเลยนะ"
เสียงหนึ่งดังขึ้นจากห้องแล็บวิทย์ซึ่งอยู่ห่างจากจุดทิ้งขยะไปเล็กน้อย
ด้วยความที่่ประตูของห้องแง้มไว้ร่างเล็กจึงได้ยินสิ่งที่คนในนั้นคุยกันชัดเจน
"ก็...อืม" เสียงที่คุ้นหูเอ่ยตอบ
ขาเรียวที่ตั้งใจจะเดินกลับห้องของตน
เพราะมันก็คงไม่ใช่เรื่องที่เขาจะมายืนฟังชะงักลง
ไม่รู้ว่าอะไรสั่ง แต่กว่าจะรู้ตัวอีกที
ขาทั้งสองก็มาหยุดยืนอยู่หน้าประตูเงียบๆ
รอคอยที่จะฟังสิ่งที่ร่างสูงจะตอบอย่างคาดหวัง
ถึงในใจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ...ว่าแท้จริงเขาเองคาดหวังอะไร
เพื่อน...
น้ำใจ...
ความรัก...?
"โยซอบก็น่ารักออก แถมยังนิสัยดีกว่าที่พวกนายคิดเยอะนะ"
"แล้วแกไปทำไงถึงเริ่มคุยกันได้ล่ะวะ ปกติเห็นหมอนั่นเจี๋ยมเจี้ยมจะตาย
นี่ถ้าไม่นายไม่บอกเราคิดว่าหมอนั่นเป็นใบ้ไปซะแล้วนะ"
เพื่อนคนที่นั่งหันหลังให้ประตูพูดติดหัวเราะ
ร่างสูงยิ้มตอบแต่ปากก็เอ่ยว่าเพื่อนของตน
"นายก็เกินไป จริงๆเค้าก็เหงาออกนะ ไม่มีเพื่อน
แถมไม่รู้จักวิธีคุยกับใครก่อน เราว่าเค้าน่าสงสารออก"
"นายก็เลยเป็นเพื่อนกับหมอนั่น?"
"อืม...จะว่างั้นก็ได้ เค้าน่าสงสาร...จนเรามองข้ามไปไม่ได้"
ร่างสูงตอบด้วยรอยยิ้มก่อนจะเหม่อมองไปนอกหน้าต่าง
"แต่ความจริงถ้าเลือกได้..."
"เราก็ไม่ได้อยากเป็นเพื่อนกับโยซอบหรอกนะ"
‘โครม’
“เฮ้ย?!?” นักเรียนชายทุกคนในห้องสะดุ้งจนเกือบตกโต๊ะตกเก้าอี้ที่นั่งอยู่ไปตามๆกัน
เมื่อจู่ๆก็มีเสียงเหมือนบางอย่างตกลงพื้นดังขึ้นที่หน้าประตูห้อง
“ใครมาเล่นอะไรแถวนี้วะ?”
คนที่อยู่ใกล้ประตูที่สุดวิ่งมาที่ประตูก่อนจะกระชากมันออกอย่างรวดเร็ว
แต่แล้วก็ต้องสะดุดไปเมื่อเห็นภาพตรงหน้า
และคนที่ตกใจที่สุด...ก็คงไม่พ้นยุนดูจุน
“ย...โยซอบ” ร่างสูงมองคนตัวเล็กที่ยืนก้มหน้าก้มตามองถังขยะ
ที่ตนทำตกจากมือไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อย่างใจหาย
ไหล่บางทั้งสองสั่นไหวจากการกลั้นน้ำตา
แต่มันก็ยังคงไหลลงมาเรื่อยๆจนข้างแก้มใสเปียกซก
ดวงตาแดงก่ำเงยขึ้นสบตากับคนเพียงคนเดียวในห้องที่เขารู้จัก
เพียงวูบเดียว ก่อนจะวิ่งหายไปในความมืดไม่รอให้ร่างสูงได้แก้ตัวอะไร
ตึก ตึก ตึก ตึก
“โยซอบ! ยังโยซอบ โยซอบอา!!”
ในที่สุดร่างเล็กที่วิ่งหนีมาจนสุดทางเดินก็ชะลอความเร็วลง
และหันมาเผชิญหน้ากับร่างสูงด้านหลังที่อยู่ห่างไปเพียงนิดเดียว
เพราะความยาวขาที่แตกต่างและอีกคนนึงเป็นนักกีฬา
ร่างสูงจึงวิ่งตามทันภายในเวลาไม่นานนัก
“อย่า...อย่าเรียกเราแบบนั้น...” เสียงใสเอ่ยขึ้นพลางหอบหายใจ
ดวงตาหวานบัดนี้กลับดูจริงจังจนหน้าตกใจจ้องตาคนข้างหน้า
เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่พูดไม่ใช่เพียงคำพูดลอยๆ
“โยซอบ...คือ”
“พอเถอะดูจุน...เราไม่อยากฟังแล้ว...”
“ฟังเราก่อนได้มั้ยโยซอบอา?”
“บอกว่าอย่าเรียกแบบนั้นไง!!!” ร่างบางตะโกนลั่นพลางยกมือปิดหูแน่น
ร่างสูงทำได้เพียงยืนมองน้ำตาไหลลงมาจากขอบตาแดงก่ำของคนข้างหน้าอยู่เงียบๆ
อยากจะเข้าไปปาดมันออกใจแทบขาดแต่คงไม่พ้นโดนปัดออกอยู่ดี
“เรารู้เรามันน่าสงสาร...”
“ใช่! เรามันไม่มีเพื่อน มาโรงเรียนให้โดนรังแกไปวันๆ”
“แต่รู้มั้ย...ตอนที่นายบอกว่าจะเป็นเพื่อนกับเรา เราดีใจมากนะ”
“ไม่เคยมีใครดีกับเรา ใส่ใจเราได้เท่านาย”
“มันอาจดูน่าเกลียด...แต่สิ่งที่นายทำมันทำให้เราคิดว่านาย...รักเรา”
“จนมันทำให้เราคิดเกินเลย...คำว่าเพื่อนกับนายไปแล้ว...”
“แต่ทุกอย่าง...เราก็แค่คิดไปเองสินะ”
“มันก็แค่...คำโกหก เหมือนคนอื่นๆเท่านั้น...ฮึก...”
แขนเล็กถูกยกขึ้นปาดน้ำตาครั้งแล้วครั้งเล่า
จนผ้ากำมะหยี่ของเสื้อสูทเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเข้มไปหมด
ร่างสูงทำได้เพียงยืนส่ายหน้าอยู่อย่างนั้น
“ไม่ใช่นะโยซอบ...ไม่ใช่”
“เราไม่ได้โกหก...เชื่อเราเถอะนะ”
น้ำใสๆเริ่มเอ่อขึ้นที่ขอบตาคม เขาทนเห็นน้ำตาของคนตัวเล็กเบื้องหน้าไม่ได้
โดยเฉพาะน้ำตาที่เขาเป็นต้นเหตุ...
“ที่เราบอกว่าไม่อยากเป็นเพื่อนกับนาย...
เพราะเราไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อนเข้าใจมั้ยโยซอบอา...”
“เรารักนาย...จริงๆนะ เรารักนายได้ยินมั้ย เราไม่ได้โกหก!!”
ตะโกนคำเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกพลางยกมือจับไหล่เล็กทั้งสองเขย่าไปมา
ดวงตาที่ฉ่ำน้ำตาจนแดงก่ำจ้องลงไปในดวงตากลมโตของคนข้างหน้า
ที่สั่นจนเห็นภาพเบลอไปหมด ร่างเล็กไม่ได้หลบตาไปไหน
แต่ก็ยังปฏิเสธที่จะเอ่ยคำใดๆออกมาจากปาก
เงียบอยู่อย่างนั้นจนทั้งสองสงบลงไปเอง
ร่างบางจึงจับมือของอีกคนที่ไหล่ของตนลงเบาๆ
ก่อนจะเงยหน้าส่ายหน้าให้อีกคนทั้งน้ำตาและเดินจากไป
“เราขอโทษ...เราไม่รู้อีกแล้วว่าเราควรจะเชื่อนายดีรึเปล่า...”
“ฉันจำไม่ได้ว่าเคยรู้จักนาย...ขอโทษนะ”
ตอบเสียงเรียบก่อนจะปล่อยมือที่คล้องคอร่างสูงตรงหน้าไว้ลงข้างตัว
ไม่ทันที่มือที่ร่างสูงยกขึ้นหวังจะรั้งอีกคนเอาไว้จะได้สัมผัสลง
บนผืนผ้าฝ้ายสีขาวที่ปกคลุมร่างกายบอบบางของคนเบื้องหน้า
ร่างเล็กก็หมุนตัวและเดินฝ่าฝูงผู้คนออกไปทางหน้าต่างบานใหญ่ที่นำไปสู่ระเบียงเสียแ
ล้ว
ขาเรียวยังคงก้าวไปตามทางที่ปูด้วยหินเบื้องหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย
ไหนว่าวันนี้จะมีความสุขไง...
ไหนว่ายังโยซอบคนใหม่เข้มแข็งนักหนา...
สุดท้ายก็ต้องมาเสียน้ำตาให้เรื่องเดิมๆอยู่ดี...
“ขี้แยจริงๆยังโยซอบ...” ปากบางเอ่ยว่าตัวเองเบาๆ
ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่เปียกฟองน้ำใต้หน้ากากไปหมด
เมื่อมองทอดไปรอบตัว ก็เห็นดอกไม้สีขาวบานเรียงรายตามข้างทางเดิน
ร่างบางนั่งยองลงกับพื้นก่อนจะเด็ดดอกเดซี่สีขาวดอกหนึ่ง
ขึ้นมาสูดกลิ่นหอมๆเพื่อให้อารมณ์เย็นลงได้บ้าง
นึกย้อนไปหลังจากวันนั้น เขาก็พยายามไม่น้อยที่จะหลบหน้าอีกคน
แถมยังต้องซ่อนเรื่องพวกนี้จากพ่อแม่และพี่สาวที่หวงเขานักหนาอีก
จำได้ว่าเขาโกหกแม่ขอเปลี่ยนสายที่เรียนเพื่อจะได้เจอกับร่างสูงน้อยที่สุด
ไหนจะขอให้แม่เอาคนขับรถมาที่โรงเรียนทุกวันอีก
ใครจะไปรู้ว่าครอบครัวสุดที่รักรู้เรื่องมาแต่แรก?
เขาทุ่มเทไปมากจริงๆนะ...กับการลืมคนแค่คนเดียว
“ยัง...โย...ซอบสินะ ไม่ได้เจอกันนานนี่” เสียงทุ้มต่ำที่ติดแหบเล็กน้อยดังขึ้นด้านหลัง
เรียกขนบนตัวร่างบางในเสื้อผ้าสีขาวสะอาดลุกซุ่ขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้
นี่ก็คงเป็นอีกเรื่องที่เขาไม่เคยลืมลง
“ฉัน...ไม่ใช่...อึก...”
จู่ๆอวัยวะทุกส่วนมันก็สั่นขึ้นมาเมื่อโดนมือเย็นเฉียบของ
ใครบางคนสัมผัสลงที่กลางหลัง มือเล็กทั้งสองยกขึ้นปิดหูและส่ายหัว
ด้วยความหวาดกลัว
“ไม่เปลี่ยนไปเลยนี่...ถ้ากูรู้ว่ามึงจะโตมาหน้าตาน่ารักขนาดนี้ล่ะก็
วันนั้นกูคงไม่ปล่อยให้ไอ้ดูจุนมาขัดจังหวะกูหรอก เหอะ”
ก้มลงกระซิบข้างหูคนตัวเล็ก ซึ่งดูเหมือนมือที่ยกปิดใบหูของเขาไว้
จะไม่ได้ช่วยกั้นไม่ให้เสียงเล็ดรอดเข้าไปแต่อย่างใด
“คืนนี้ยังทันนะ...ยังไงมึงก็หนีกูไม่พ้นหรอก”
มือหนาจับลงที่ไหล่บางทั้งสองข้างก่อนจะไล่ลูบลงไปยังเอวคอดเล็ก
จนเหมือนเด็กสาว ปลายจมูกแตะลงที่ต้นคอระหงและไล้ขึ้นลงตามใจอยาก
ร่างบางตัวแข็งทื่อ อยากจะขัดขืนแต่กลับไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ
กลัว...เขากลัวเกินไป
“มึง!!” เสียงของบุคคลที่สามดังขึ้น และหลังจากนั้นเพียงเสี้ยววินาที
ร่างของคนที่ยังอยู่แนบแผ่นหลังของคนตัวเล็กก็ลงไปนอนกองอยู่กับพื้นเสียแล้ว
“นายไม่ยอมคุยกับฉัน...แต่นายยอมมันงั้นหรอ?”
ประโยคตัดพ้อดังขึ้นก่อนจะตามมาด้วยความเงียบ
คนที่ถูกถามยังคงนั่งเงียบ จนสังเกตเห็นไหล่บางที่สั่นเป็นลูกนกนั่นแหละ
ยุนดูจุนถึงได้รู้ตัวว่าพูดอะไรที่ไม่ควรออกไปซะแล้ว
“กลัวแล้ว...อย่า...ฉันกลัวแล้ว...ฮึก...” ร่างเล็กยังคงนั่งพึมพำ
ประโยคเดิมไปมา แขนที่ไร้แรงจนปวกเปียกยกกอดเข่าตัวเองไว้
และปล่อยให้กางเกงของตนเป็นที่ซับน้ำตา
“ไม่ต้องกลัวนะ...ไม่มีอะไรแล้วโยซอบ...ฉันอยู่ตรงนี้แล้ว...”
ย่อเข่าลงให้อยู่ในระดับเดียวกันก่อนร่างสูงจะดึงตัวอีกคนเข้ามากอดไว้หลวมๆ
ยังดีที่อีกคนไม่ได้ปฏิเสธอ้อมกอดของเขาอย่างที่คิด
ร่างเล็กใช้เวลาซักพักกว่าจะหายสั่น ก่อนจะขยับตัวซุกลงสู่อ้อมอกอุ่นของอีกคน
“ฉันทำไม่ได้...ฉันเริ่มต้นใหม่ไม่ได้...”
พูดขึ้นเสียงอู้อี้ในขณะที่ยังคงซุกอยู่กับแผงอกที่เคยคุ้นเคย
“ฉันคิดว่าฉันจะเริ่มใหม่ได้ คิดว่าตัวเองเข้มแข็งพอ...
แต่วันนี้...มันทำให้ฉันรู้ว่ามันไม่จริงซักนิด”
ร่างสูงก้มลงมองซีกหน้าของคนตัวเล็กในอ้อมแขนของตนเงียบๆ
ยกมือขึ้นลูบกลุ่มผมที่สีแปลกตาไปจากคราวก่อนที่เห็นลิบลับอย่างเบามือ
ไม่ได้เห็นมาสามปีได้...แต่คุยกันครั้งสุดท้าย...เมื่อไหร่ยังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ
ก็อีกคนเล่นไม่เปิดโอกาสให้เขาปรับความเข้าใจเลยจนเรียนจบกันไปเนี่ยแหละ
“นายไม่ต้องเริ่มใหม่อะไรทั้งนั้นโยซอบ ไม่ต้องพยายามลืมเรื่องในอดีต...”
“อย่าพยายาม...ลืมฉัน...” กระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูอีกคน
ก่อนจะกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น
แต่ตรงกันข้าม เมื่อเริ่มรู้สึกตัวร่างเล็กก็ดันไหล่ของอีกคนออกทันที
“ปล่อย” ร่างสูงเลิกคิ้วมองคนตรงหน้าที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างไม่เข้าใจ
ร่างเล็กยังคงออกแรงดันตัวอีกคนให้ออกห่างอย่างไม่ลดละ
สุดท้ายร่างสูงก็ต้องยอมใจอ่อนคลายอ้อมแขนออกมาเอง
“ฉัน...กลับเข้างานดีกว่า” พูดตัดบทขึ้นมา ก่อนเจ้าของเรือนผมสีอ่อนจะลุกขึ้นยืน
และหมุนตัวเดินกลับเข้างานโดยไม่ได้หันกลับมาสนใจคนข้างหลัง
ไม่สิ...ไม่กล้าหันไปมากกว่า
“ฉันจะไม่ปล่อยให้นายหายไปไหนอีกแล้วยังโยซอบ”
แรงฉุดที่มากพอจะทำให้เขาหันกลับไปเผชิญหน้ากับอีกคนรัดเข้าที่ข้อมือ
ก่อนร่างเล็กจะถูกดึงเข้าสู่อ้อมกอดของร่างสูงอีกครั้ง
“บอกว่าปล่อยไง...” พยายามทำเสียงให้ดูจริงจังที่สุด
แต่มันกลับไม่มีผลเมื่อเจ้าของแขนแกร่งนั่นไม่ได้ขยับเลยแม้แต่น้อย
“เพราะอะไรเหรอ...ทำไมนายถึงเกลียดฉันขนาดนี้”
“ฉันบอกว่าฉันรักนาย เพราะฉันรักนายจริงๆโยซอบ
ฉันไม่ได้โกหกไม่ได้พูดเล่นอะไรทั้งนั้น”
“เราไม่ได้เจอกันมาสามปี...แต่ฉันก็ยังคิดถึงนายทุกวัน”
“สำหรับนาย...มันยังเป็นคำโกหกอยู่รึเปล่า?”
ร่างสูงก้มลงจ้องตาคนตรงหน้าก่อนจะถอดหน้ากาก
ที่บดบังใบหน้าของอีกคนออกอย่างเบามือ
นิ้วเรียวถูกยกขึ้นปาดที่ขอบตาแดงๆของร่างเล็กตรงหน้า
โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ปฏิเสธหรือขัดขืนอย่างคราวก่อนๆ
ก่อนร่างสูงจะย้ายมือมาประคองใบหน้าที่เมื่อก่อนเล็กยังไงก็ยังเล็กเท่าเดิมเอาไว้
ลูกเป็ดของเขา...กลายเป็นหงส์เต็มตัวแล้วสินะ
งดงาม...จนเขาไม่กล้าแตะต้อง...
“บ่อน้ำบ่อนี้...มันยังรอให้หงส์ตัวนั้นกลับมาหาเสมอนะ”
เอ่ยพร้อมรอยยิ้มอย่างเคยพลางใช้นิ้วหัวแม่มือลูบแก้มแฉะของอีกคนเบาๆ
“ฉันไม่ใช่หงส์อย่างที่นายบอกดูจุน”
“ฉันไม่ได้เป็นทั้งลูกเป็ดขี้เหร่หรือหงส์อะไรทั้งนั้น...”
“ฉันคือฉัน...ยังโยซอบ...เด็กบ้าเรียนที่ไม่มีใครรัก”
ร่างบางพูดขึ้นบ้างหลังจากยืนเงียบมานาน มือนิ่มที่เย็นเฉียบใกล้เคียง
กับอากาศรอบตัวแตะเข้าที่ข้างแก้มของคนตัวสูงกว่า
ถอดแผ่นพลาสติกสีดำที่กั้นใบหน้าของเขาทั้งสองออกเบาๆ
ก่อนจะยกยิ้มเมื่อใบหน้าของอีกคนไม่ได้เหปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนซักนิด
มีแต่จะดูดีขึ้นเท่านั้น...ดูดีจนไม่กล้าเข้าใกล้ไปมากกว่านี้
“เพราะฉันไม่ใช่...ฉันเลยไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้กับนายไปมากกว่านี้”
“ฉันไม่มีอะไรซักอย่างที่ดีพอจะไปยืนข้างๆนาย...อ...อือ”
ไม่ทันจะพูดให้ริมฝีปากอิ่มก็ถูกปิดลง
ร่างบางเบิ่งตาขึ้นเล็กน้อยกับสัมผัมที่ได้รับกระทันหันแต่กลับไม่ได้ขัดขืน
จังหวะการจูบยังคงเป็นไปอย่างเนิบนาบ
ไม่มีการรุกรานใดๆ เหมือนกับคราวก่อน
ดวงตากลมโตค่อยๆหลับลงเพื่อรับสัมผัสบนริมฝีปาก
ก่อนมือหนาจะประคองใบหน้าเล็กให้เข้าไปใกล้ขึ้น
ผ่านไปอีกนานพอดูจนได้ยินเสียงจอแจดังออกมาจากห้องจัดงานนั่นแหละ
ทั้งสองคนถึงผละออกจากกัน
ร่างสูงย้ายมือลงมากุมมือเย็นๆของคนตัวเล็กไว้
เข่าข้างหนึ่งย่อลงประชิดพื้นก่อนจะเงยหน้ามองคนข้างหน้า
ที่มองกลับมาด้วยแววตาสงสัย
“งั้นฉันก็จะรักยังโยซอบคนที่ไม่มีอะไรคนนี้นี่แหละ...”
THE END
โอยยยยย จบแล้ว ลงฟิคดึกอีกเช่นเคย
อ่ะนะ คนยังไม่เปิดเทอม 555
เรื่องนี้เล่นเอาเหนื่อยเลยล่ะ
มีตอนเดียวแต่ยาวมากกกกกกกกกก เลยต้องเป็น SF ไปโดยปริยาย
คือตอนแรกก็รู้แล้วล่ะว่าต้องออกมายาวแบบนี้ เพราะแค่พล็อตก็ยาวเหยียด
จะตัดตอนเดี๋ยวมันก็ไม่ต่อเนื่องอีก แต่ขอให้ทุกคนอ่านให้จบนะคะ
ไม่รู้สิเราชอบพล็อตเรื่องนี้นะ อาจจะเขียนบรรยายไม่ละเอียดพอ
แต่ชอบที่สุดที่เคยแต่งมาเลย (รวมทั้งเพลงเพราะ)
ใครมาเม้นแปะแล้วมาดิทช้าเราเข้าใจค่ะ เพราะมันต้องใช้เวลาในการอ่าน
แต่ข่วยเม้นหน่อยนะ ถือว่าให้กำลังใจหน่อย (หมดแรง ณ จุดนี้)
เจอกันเรื่องหน้าค่ะ
CRY .q
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น