คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 02: Someone or something in the dark?
อีกด้านหนึ่ง วารีที่กำลังเดินไปยังทางออกด้านหลังก็ตกอยู่ในความหวาดกลัวไม่แพ้กัน แต่ไม่ใช่เพราะความมืด ความวังเวง และบรรยากาศอันเย็นยะเยือกที่ทำให้เธอกลัว แต่เธอกำลังกลัว สิ่งที่กำลังจะมากับความมืดต่างหาก!
คำร่ำลือเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้...ภายในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ ที่จะมีอะไรบางอย่างออกมาในยามวิกาล!
โชคไม่ดีที่วารีไม่ทันหยิบไฟฉายจากลิ้นชักเคาน์เตอร์ชำระเงินติดตัวมาเพราะเธอคิดว่าจะวิ่งไปที่ทางออกได้ทันเวลา แต่เพราะเธอคาดการณ์ผิด ทำให้เธอต้องคลำทางไปเรื่อยเมื่อไฟดับ และเมื่อตกอยู่ในความมืด ความคิดก็เริ่มฟุ้งซ่าน คิดถึงแต่เรื่องที่ไม่ควรจะคิดไปถึงไหนๆ
“ใจเย็นไว้ มันไม่ใช่เรื่องจริงหรอกน่า” วารีพยายามพูดปลอบใจตัวเอง
ทว่า ในขณะที่เธอกำลังหลงทางอยู่นั้น ก็ปรากฏเสียงของอะไรบางอย่างซึ่งทำลายความเงียบสงัดไป
ตุบ ตุบ ตุบ!
เสียงฝีเท้าดังขึ้นบริเวณใกล้กับที่วารีกำลังเดินอยู่ เธอหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่พบเห็นสิ่งใดนอกจากความมืด
ตุบ ตุบ ตุบ!
เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง วารีรู้สึกได้ว่าเสียงที่เธอได้ยินนั้นคล้ายกับเสียงที่เดินด้วยเท้าเปล่า และในบางฝีก้าวยังมีเสียงคล้ายกับพลาสติกกระทบพื้น
“นั่นใครน่ะ?” วารีโพล่งขึ้นมาด้วยเสียงอันแหบพร่า เธอรู้สึกคอแห้ง และเหงื่อก็ชุ่มโชกไปทั่วทั้งตัวแม้ว่าจะยังคงหลงเหลือความเย็นจากเครื่องปรับอากาศอยู่บ้างก็ตาม
แล้วสายตาที่เริ่มชินชากับความมืดก็วารีก็ทำให้เธอมองเห็นได้ลางๆ ว่า มีบางสิ่งกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว !
--------------------------------------------------------------------------------------
“ฮัลโหล เมฆ...ช่วยฉันด้วย ฉันติดอยู่ในห้องลองเสื้อที่ห้าง ฮือ” ในความสิ้นหวังและหมดกำลังใจ ก็เหมือนกับมีแสงสว่างแม้จะน้อยนิด แต่ก็ส่องเป็นประกายให้กับชลปิติ เมื่อเมฆโทรศัพท์มาถามเธอว่าตกลงได้ซื้อชุดที่ต้องการหรือยัง
“ตกลง เมฆจะรีบไปหาที่ห้างเดี๋ยวนี้เลย ชลทำใจดีๆ ไว้ก่อนนะ” เมฆตอบกลับด้วยความตื่นตระหนกและเป็นห่วงแฟนสาว ทำให้ชลปิติมั่นใจว่าอีกไม่นานเมฆคงจะต้องมาช่วยเธออย่างแน่นอน
“ไอ้เรานี่ก็บ้า แค่ไฟดับก็โวยวายซะขนาดนั้น ตั้งสติให้ดีๆ หน่อยสิชลปิติ” เมื่อมีสติ ทางออกก็เริ่มจะปรากฏให้เห็นตรงหน้า เพราะเมฆแท้ๆ ที่ช่วยเรียกสติให้กับเธอ ในเวลานี้เหมือนมีกำลังใจเข้ามาอย่างล้นหลามจนทำให้เธอคลายความหวาดกลัวและกังวลไปได้มากทีเดียว
“ระหว่างนี้ เราก็ต้องลองหาวิธีด้วยตัวเองไปพลางๆ ก่อน” พูดกับตัวเองจบ ชลปิติก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน รวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีไปยังบานประตู แล้วผลักออกไปสุดกำลัง
และครั้งนี้ก็เป็นผลสำเร็จ เมื่อบานประตูส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดเหมือนเริ่มจะเข้าที่เข้าทาง และเปิดออกอย่างรวดเร็ว
แต่เพียงเสี้ยววินาทีที่ประตูเปิดออกได้ กระทั่งชลปิติเองยังไม่ทันได้ฉีกยิ้มดีใจ ประตูก็เด้งกลับอย่างแรงจนเธอต้องรีบผละมือออกจากประตูด้วยความตกใจ แรงดันที่ส่งผ่านมาจากอีกฟากหนึ่งของประตูนั้นเต็มไปด้วยพละกำลังอย่างมหาศาล
มีใครบางคนต้องการจะขังเธอเอาไว้ในนี้!
“ปัดโธ่ เปิดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้เปิดไง!” ชลปิติส่งเสียงโวยวายอีกครั้ง เมื่อครู่นี้เธอรู้สึกได้เลยว่า มีใครบางคนอยู่ข้างนอกห้อง และรอจังหวะที่เธอสามารถเปิดประตูออกมาได้ เหวี่ยงประตูกลับเข้าไปอีกครั้งเพื่อไม่ให้เธอออกสู่ภายนอก
ปึ้ง! ชลปิติทุบประตูด้วยความโกรธแค้น ใครกันที่มาเล่นตลกร้ายกับเธอเช่นนี้ และมีเหตุผลอะไรที่จะกักขังเธอเอาไว้ภายในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ แห่งนี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ชลปิติจึงก้มตัวลง และยื่นโทรศัพท์มือถือของเธอออกไปทางช่องแคบๆ ระหว่างประตูกับพื้น ใช้แสงสว่างจากอุปกรณ์สื่อสารพยายามสอดส่องดูว่ามีใครอยู่ข้างนอกบ้าง
แต่แล้ว มือที่แข็งกระด้างและลื่นของบุคคลลึกลับข้างนอกก็ตรงเข้าบีบมือของชลปิติเอาไว้ เธอตกใจกรีดร้องดังลั่นและรีบสะบัดมือออกอย่างแรง แล้วรีบชักกลับเข้ามาโดยเผลอทิ้งโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้านนอก
ชลปิติกุมมือไว้แน่น ใจเต้นระรัวจนแทบหายใจไม่ทัน ความรู้สึกอันน่าขยะแขยงของสัมผัสจากมือที่เธอได้รับนั้น เหมือนกับอีกฝ่ายหนึ่งไม่ใช่มนุษย์!
“ใครน่ะ ใครอยู่ข้างนอก? บอกมาเดี๋ยวนี้นะ!” แม้จะไม่อยากรู้คำตอบเท่าไรนักแต่ปากก็โพล่งออกไปแล้ว และเธอก็โล่งอกที่ไม่มีใครตอบคำถามเพราะคำตอบที่ได้รับอาจจะทำให้เธอยิ่งสยดสยองไปมากกว่านี้
ทันใดนั้น เสียงกรีดร้องก็ดังขึ้นมาจากที่ใดที่หนึ่งซึ่งอยู่ไกลไปจากโซนเสื้อผ้า
“กรี๊ด!!!” ชลปิติจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของวารี แต่เสียงร้องนั่น ช่างเหมือนกับเสียงโหยหวนที่พยายามจะร้องขอชีวิต และเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและทรมานอย่างแสนสาหัส
“ว...วารี เธอเป็นอะไรน่ะ วารี?” ชลปิติพยายามตะโกนเรียกพร้อมกับทุบประตูไปพลาง แต่เพียงไม่นานหลังจากนั้น ชลปิติก็ได้ยินเสียงกระทืบโทรศัพท์มือถือของเธอจนแตกละเอียด พร้อมกับแสงอันริบหรี่จากตัวเครื่องที่มอดดับลงในทันที
“นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นในห้างนี้เนี่ย???” ชลปิติร้องลั่น พลันคิดว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับวารีอย่างแน่นอน และขณะเดียวกันก็มีใครบางคนกำลังจับตาดูเธออยู่ด้วย
“พอกันที ฉันจะไม่ยอมตกเป็นเหยื่อรอความตายอยู่ในห้องแคบๆ นี้หรอกนะ” จู่ๆ ชลปิติก็มีแรงฮึดขึ้นมา เธอต้องการรู้ให้ได้ว่ามีอะไรเกิดขึ้นภายในห้างแห่งนี้ยามค่ำคืน และเพื่อหาทางหลบหนีให้ได้ก่อนที่เธอเองจะตกเป็นเหยื่อรายต่อไป เธอก้าวถอยหลังจนชิดติดกระจก แล้วออกแรงกระแทกอย่างสุดแรงเกิดเข้าที่บานประตู
เปรี้ยง! บานประตูกระเด็นเปิดออกจนเกือบหลุดพร้อมกับร่างของหญิงสาวในชุดราตรีที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ เธอล้มกองลงกับพื้นโดยไม่ทันได้ตั้งตัว พร้อมกันนั้น มีเสียงของอะไรบางอย่างซึ่งคาดว่ากำลังดันประตูอยู่ด้านนอกเพื่อไม่ให้เธอออกไปได้กระเด็นไปอีกทางหนึ่งด้วย อาจเพราะแรงกระแทกอย่างมหาศาลที่เกิดจากความบ้าคลั่งของหญิงสาวทำให้สิ่งสิ่งนั้นล้มกระแทกพื้นแล้วนิ่งไม่ไหวติงอีกเลย
ชลปิติยันกายลุกขึ้นด้วยความบอบช้ำ แขนซ้ายทั้งแขนและหัวไหล่เกิดอาการชาเนื่องจากแรงกระแทกที่รุนแรง ตอนนี้สายตาของเธอชินกับความมืดแล้ว จึงสามารถมองเห็นซากโทรศัพท์มือถือที่แหลกเละอยู่เบื้องล่างได้อย่างชัดเจน
“ไม่น่ารีบซื้อเครื่องใหม่ตั้งแต่เดือนที่แล้วเลย รู้แบบนี้น่าจะเก็บเงินไว้ก่อน” เธอพร่ำบ่นอย่างเสียดาย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาอาลัยอาวรณ์กับวัตถุใดๆ ทั้งสิ้น ที่สำคัญคือรักษาชีวิตไว้ให้ได้ก่อน
“ว่าแต่...คนที่เหยียบโทรศัพท์มือถือของฉันล่ะ?” ว่าแล้วเธอก็รีบหันมองรอบด้าน ด้วยกลัวว่าจะถูกทำร้ายโดยไม่ทันได้ตั้งตัว แต่เมื่อตั้งท่ารออยู่พักหนึ่งแล้ว ก็ไม่พบเจอสิ่งใดนอกจากความเงียบสงัดเหมือนอยู่ในป่าช้า จึงคิดเอาเองว่าคนร้ายน่าจะหนีไปแล้ว
“อย่าให้จับได้นะ แม่เอาตายทีเดียว” ชลปิติอาฆาตแค้นยิ่งนัก แต่แล้วเธอก็นึกขึ้นได้ว่ามีบางสิ่งที่กระเด็นไปอีกทางจากแรงกระแทกของประตู ซึ่งเธอยังไม่ได้ยินเสียงของสิ่งนั้นอีกเลย เธอจึงเดินไปตามทางที่ได้ยินเสียงเมื่อครู่นี้ ใช่จริงๆ ด้วย มีใครคนหนึ่งนอนหมดสติอยู่กับพื้น ห่างจากห้องลองเสื้อไปประมาณสองสามเมตร
“นี่...ตายรึยัง?” ชลปิติเดินเข้าไปเขี่ยๆ ดูอย่างไม่ค่อยไว้วางใจ แต่เมื่อสัมผัสเข้ากับท่อนแขน เธอก็จำได้ทันทีว่านี่เป็นมือของผู้ที่บีบมือเธอเมื่อครู่นี้นั่นเอง!
แต่ชลปิติก็ต้องรีบชักมือกลับอีกครั้ง เพราะมือและแขนของผู้ที่นอนหมดสติอยู่นั้นแข็งทื่อมากกว่าที่คิด และมันให้ความรู้สึกที่โล่งกลวง ราวกับไม่มีเลือดเนื้ออยู่ภายในเลย
“ค...คนรึผีกันเนี่ย?” ชลปิติถอยกรู พลันคิดหาอุปกรณ์อื่นๆ นอกจากโทรศัพท์มือถือที่จะสามารถให้แสงสว่างได้
“ไฟฉาย” ว่าแล้วชลปิติก็เดินคลำทางไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงิน จากประสบการณ์ของเธอบอกว่า ลิ้นชักโต๊ะของพนักงานบริษัททุกคนมักจะมีอุปกรณ์จิปาถะและของใช้ส่วนตัวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย และสำหรับพนักงานคิดเงินตามห้างสรรพสินค้าก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีไฟฉายเผื่อไว้เกิดกรณีไฟดับอยู่ด้วย
แล้วก็เป็นไปตามที่เธอคาดการณ์ ใต้ลิ้นชักเก็บเงินนั้นเป็นที่ให้พนักงานวางของ และภายในนั้นก็มีไฟฉายอยู่ด้วยพอดี เธอรีบหยิบมันออกมาแล้วกดเปิดสวิตซ์ พร้อมกับส่องไปยังผู้ที่นอนไม่ได้สติเบื้องหน้า
แต่นั่นไม่ใช่มนุษย์ กลับเป็นเพียงหุ่นโชว์เสื้อผ้าตัวหนึ่ง ที่อยู่ในชุดราตรีสีชมพูเหมือนกันกับเธอเท่านั้น!
“หุ่นหรอกเหรอ? ถึงว่าสิ นอนไม่ขยับอย่างนั้น”
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว หุ่นตัวนี้มายืนดันประตูห้องลองเสื้ออยู่ได้อย่างไร?
“ต้องมีใครสักคนแกล้งกันแน่ ดึกดื่นป่านนี้ยังมีเวลามาเล่นเป็นเด็กๆ อยู่ได้” ชลปิติเลิกสนใจกับสิ่งที่ไม่สามารถหาคำตอบได้รอบๆ ตัวเธอขณะนี้ แต่สิ่งที่เธอให้ความสนใจมากกว่าคือจะต้องไปช่วยวารีให้ได้ก่อน!
แต่ก่อนที่เธอกำลังจะเดินออกจากโซนเสื้อผ้าสตรีที่เธอติดอยู่เป็นเวลานานแห่งนี้ เธอคิดว่าควรจะเปลี่ยนชุดให้ดูทะมัดทะแมงกว่านี้เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์สักหน่อย
“นานๆ ทีจะได้ใส่ชุดสวยๆ แพงๆ ก็ขอใส่หน่อยแล้วกัน ถ้าจะเทียบกับค่าเสียหายที่ห้างจะต้องจ่ายแล้วละก็ ชุดพวกนี้ก็ดูราคาถูกไปเลย” เมื่อหญิงสาวจอมแก่นลองชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบดูแล้ว ก็ตัดสินใจหยิบชุดมาอีกชุดหนึ่งซึ่งสวยสง่าไม่แพ้ชุดราตรีสีชมพูสด และชุดสีเทาแซมขาวเลย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามแต่อย่างน้อยสาวมั่นเธอก็ขอสวยรับสถานการณ์ไว้ก่อน!
ความคิดเห็น