คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 01: Before the department closed
ชลปิติเดินจ้ำอ้าวเข้าไปในห้างสรรพสินค้าที่เคยมาเป็นประจำอย่างรวดเร็ว ด้วยความเร่งรีบของเธอนั้นทำเอายามประจำหน้าห้างกล่าวต้อนรับแทบไม่ทัน
“ให้ตายสิ ดันต้องมาทำโอทีเอาวันนี้ด้วย กว่างานจะเสร็จห้างก็ใกล้จะปิดอยู่แล้ว” พนักงานบัญชีไฟแรงบ่นอุบพลันเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ จนไม่ทันสังเกตรอบด้านว่าแทบจะไม่มีลูกค้าเดินผ่านไปมาเลย เพราะอีกเพียงสิบห้านาทีก็จะถึงเวลาปิดทำการของห้างสรรพสินค้าในค่ำคืนนี้แล้ว
“ชั้นสอง โซนกลาง...” เธอพูดกับตัวเองเพื่อนึกถึงโซนที่ตั้งของสินค้าหมุนเวียนที่จะสับเปลี่ยนกันไปทุกครึ่งเดือน ทั้งหนังสือลดราคา อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ทำความสะอาด อาหาร และเสื้อผ้า และในวันนี้ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของสินค้าหมุนเวียนหมวดเสื้อผ้าสตรี ที่เธอเดินผ่านเมื่อสี่วันที่แล้ว หล่อนสะดุดตาเข้ากับชุดสาวออฟฟิศสีเทาแซมขาว แลดูงดงามเป็นอย่างมาก ทรวดทรงองค์เอวของเธอก็ไม่ได้แพ้บรรดาหุ่นโชว์ที่ยืนเรียงรายอยู่เลย และหล่อนออกจะมั่นใจเสียด้วยว่าชุดนั้นจะต้องเหมาะสมกับหล่อนยิ่งกว่าหุ่นพวกนั้นเสียอีก
ทว่า ความมั่นอกมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของเธอขณะก้าวเดินเข้ามาในโซนก็มลายหายไปทันที เมื่อเธอเรียกพนักงานให้นำชุดนั้นมาเชยชม แล้วสายตาดันเหลือบไปเห็นป้ายราคา
“น...นี่ลดราคาแล้วเหรอคะ?” พยายามคุมน้ำเสียงและสีหน้าให้ดูเป็นปกติที่สุด
“ค่ะ ลดยี่สิบเปอร์เซ็นต์จากป้ายแล้ว เหลือสามพันสี่ร้อยบาทค่ะ” พนักงานสาวอายุไล่เลี่ยกันกับชลปิติตอบอย่างไม่แยแส อาการตกใจของลูกค้าเมื่อได้เห็นราคาป้ายนั้นทำให้เธอรู้ในทันทีว่าชลปิติไม่มีปัญญาซื้อชุดราคาแพงที่แม้จะลดราคาลงแล้วแบบนี้ได้แน่ สายตาเหยียดหยามระคนดูหมิ่นนั้นทำให้ชลปิติคับแค้นใจอย่างมากจนสามวันที่ผ่านมาแทบจะไม่ได้ทำงานทำการ เอาแต่คิดหาวิธีที่จะได้เงินมาซื้อชุดนั้นเพื่อเพิ่มความสง่าให้กับตัวเองตั้งแต่ก้าวเดินออกจากบ้าน และเพื่อนำความดูถูกดูแคลนที่เธอได้รับกลับไปโยนใส่เจ้าของสายตาคู่นั้นด้วย
วารี...ป้ายชื่อพนักงานที่ติดอกด้านขวาทำให้ชลปิติรู้ชื่อเสียงเรียงนามของพนักงานคนนี้
ในตอนแรกชลปิติกระวนกระวายอย่างมากจนเกือบจะระเบิดอารมณ์ใส่เพื่อนร่วมงานที่บริษัทเพราะคิดหาวิธีที่จะได้เงินไม่ออก แต่แล้วก็มีผู้หยิบยื่นความปรารถนาดีนั้นให้กับเธอ เขาผู้นั้นคือเมฆินทร์ หรือเมฆ แฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง เมฆสัญญาว่าจะไปซื้อชุดด้วยกันกับเธอในวันนี้ แต่ทว่าเธอต้องทำโอทีในวันนี้ด้วยเช่นกัน และเมฆก็ติดธุระในตอนกลางคืนพอดีทำให้ชลปิติต้องมาซื้อชุดเพียงคนเดียว
“ขอบคุณนะคะเมฆ ถึงจะไม่ได้มาด้วย แต่ถ้ามีเงินมาแล้วก็ไม่ต้องมาก็ได้ค่ะ” เธอพูดด้วยอารมณ์ขันเพื่อฆ่าเวลาระหว่างที่เดิน เมฆเป็นคนดีและเพียบพร้อมไปทุกอย่างทั้งหน้าตาและฐานะทางบ้าน ความรักระหว่างสองหนุ่มสาวแน่นแฟ้นมากจนชลปิติคิดว่าทั้งชีวิตนี้เธอคงไม่อาจหาชายอื่นที่ดีเท่าเทียมเมฆได้อีกแล้ว
ความฟุ้งซ่านของชลปิติต้องหยุดชะงัก เมื่อเธอเดินมาถึงโซนเสื้อผ้าสตรีที่เธอต้องการ
บริเวณลานที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลายแบรนด์ ในเวลานี้ไม่หลงเหลือลูกค้าอยู่เลย มีเพียงพนักงานที่รอเวลาห้างปิดที่อยู่ในโซนนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น และเธอคนนั้นก็คือ วารี!
เป็นโอกาสดีสำหรับชลปิติที่เธอจะได้สำแดงเดชกับพนักงานจอมโอหังคนนี้ เธอเดินก้าวอาดๆ เข้าไปด้วยความมั่นใจเสียยิ่งกว่าครั้งแรกที่เดินเข้ามาเสียอีก
“ขอโทษนะคะ ห้างจะปิด...” น้ำเสียงของวารีนั้นดูอ่อนเพลียแต่แฝงไว้ซึ่งความกระวนกระวาย ทำให้ชลปิติได้โอกาสสวนกลับอย่างผู้มีอำนาจต่อรองที่เหนือกว่าก่อนที่พนักงานสาวจะพูดจบ
“แต่ฉันจะซื้อชุดในวันนี้ เธอมีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้ฉันซื้อ!” ชลปิติตะเบ็งเสียงกร้าวจนวารีสะดุ้งตกใจ
“คุณ?” เพียงไม่กี่วินาที วารีก็พอจะจำเค้าหน้าได้ว่าลูกค้ารายนี้คือคนเดียวกับเมื่อสองสามวันที่ผ่านมา ที่แค่มาดูป้ายราคาเฉยๆ แล้วไม่ได้ซื้อ
“ถึงเวลาทำการของห้างจะปิด แต่ถ้าลูกค้ายังเลือกซื้อสินค้าไม่เสร็จ ก็ไม่ควรจะไล่ลูกค้าออกไปถูกต้องมั้ยคะ?” ชลปิติยังคงแผดเสียงต่อไป เธอเดินตรงไปยังที่แขวนชุดที่เธอต้องการจะซื้ออย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องง้อพนักงาน
“ฉันจะลองเสื้อก่อน แล้วก็จะรีบๆ กลับ เธอไม่ต้องกลัวว่าฉันจะกินเวลาเลิกของพนักงานอย่างเธอหรอกนะ” ชลปิติคว้าชุดที่ต้องการแล้วเดินตรงเข้าไปยังห้องลองเสื้อโดยไม่สนว่าวารีจะพยายามห้ามปรามเพียงใด
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณลูกค้า คือว่า...”
ปึ้ง!
ประตูห้องลองเสื้อกระแทกดังโครมก่อนที่วารีจะทันได้พูดอะไรต่อ ชลปิติซึ่งเข้าไปข้างในแล้วแอบยิ้มเยาะอย่างสะใจที่ได้ระเบิดอารมณ์ใส่พนักงานตัวแสบ แม้จะรู้ว่าเป็นการกระทำที่ร้ายกาจ แต่เพื่อความสะใจและสบายใจ ชลปิติจึงไม่เลือกที่จะคิดเรื่องนี้อีก แล้วหันไปสนใจชุดที่เธอกำลังจะลองใส่อย่างใจจดจ่อ โดยหารู้ไม่ว่า วารีซึ่งรออยู่ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกกระวนกระวายและร้อนรนยิ่งนัก
“แย่จริงๆ ทำไมยัยบ้านี่ดันมาซื้อชุดเอาดึกป่านนี้นะ ยิ่งคืนนี้เป็นคืนสุดท้ายซะด้วย” สีหน้าของวารีซีดเผือดราวกับกำลังหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ประตูห้องเสื้อเปิดออก ชลปิติเดินอย่างเฉิดฉายออกมาในชุดเสื้อสีเทาและแซมสีขาวประปราย โดยไม่ใส่ใจว่าวารีจะพยายามพูดอะไร และแทนที่เธอจะรีบซื้อชุดนั้นเสียแล้วรีบกลับไป แต่เจ้าหล่อนดันไปหยิบชุดราตรีสีชมพูสดอีกชุดหนึ่งมาเชยชม แล้วเดินกลับเข้าห้องลองเสื้อไปอีกครั้ง
วารีอดรนทนไม่ไหว จึงตัดสินใจเคาะประตูเสียงดังลั่น
“คุณคะ ห้างจะปิดแล้วนะคะ ไว้มาซื้อวันอื่นเถอะค่ะ!” วารีพูดอย่างเร็วรัวจนดูเหมือนออกคำสั่งมากกว่าจะขอร้อง สร้างความไม่พึงปรารถนาให้กับชลปิติเป็นอย่างมาก
“โอ๊ย พอฉันลองชุดนี้เสร็จก็จะจ่ายเงินแล้วน่ะ จะรีบอะไรนักหนา” ชลปิติตะโกนตอบอย่างรำคาญก่อนจะหันมามองที่กระจก
“งดงามจริงๆ” หล่อนจ้องมองตนเองในชุดราตรีสีชมพูสดอย่างเคลิบเคลิ้ม แต่เมื่อนึกถึงราคาที่น่าจะแพงกว่าชุดเก่าที่เธอเล็งไว้อีกกว่าพันบาท พนักงานบัญชีธรรมดาๆ อย่างเธอจึงจำต้องตื่นจากภวังค์ และตัดใจจากชุดนี้ไปซื้อชุดเดิมที่เธอเลือกไว้ ชุดพนักงานออฟฟิศสีเทาแซมขาวที่ดูเหมาะกับบุคลิกสาวมั่นอย่างเธอที่สุด
แต่ขณะที่ชลปิติกำลังจะเปิดประตู จู่ๆ บานประตูก็เปิดไม่ออก!
“บ้าจริง” หญิงสาวสบถ ก่อนจะลองเปิดใหม่อีกครั้ง แม้เธอจะคลายกลอนแล้วแต่ประตูห้องลองเสื้อก็ยังไม่เปิดออก
“นี่...ทำไมประตูเปิดไม่ออก?” ชลปิติตะโกนเสียงดังเพราะคิดว่าพนักงานสาวจอมแสบอาจจะกลั่นแกล้งเธอ
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” แต่น้ำเสียงที่ตอบกลับมาก็ฟังดูตกใจเช่นกัน ทำให้ชลปิติเริ่มใจเสีย
“อยู่ดีๆ ประตูมันก็เปิดไม่ออก นี่เธอต้องรีบช่วยฉันเดี๋ยวนี้นะ!” ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำลังตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เสียงประกาศเตือนจากทางห้างก็ดังขึ้น สร้างความเสียขวัญให้กับสองสาวมากขึ้นไปอีก
“เรียนท่านผู้มีอุปการคุณโปรดทราบ ขณะนี้ได้เวลาปิดทำการของห้างสรรพสินค้าแล้ว สำหรับลูกค้าที่ยังไม่ได้ออกจากห้างกรุณาใช้ทางออกด้านหลังห้างภายในสิบห้านาทีนี้ก่อนที่ระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติจะทำงาน ทางห้างขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่มาซื้อสินค้าและบริการของเรา และขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ”
“ทางนี้ก็เปิดไม่ออกเหมือนกันนะคะ” วารีทั้งผลักทั้งดึง แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าประตูจะเปิดออกได้เลย
“ฉันจะไม่ยอมติดอยู่ในนี้ทั้งคืนหรอกนะ!” ชลปิติเริ่มโวยวาย เพียงแค่ได้ยินประกาศว่าห้างจะปิดเธอก็เริ่มตะโกนโหวกเหวกราวกับคนที่ใกล้เสียสติ
“ใจเย็นๆ นะคะ เดี๋ยวดิฉันจะรีบไปเรียกคนมาช่วย” วารีนึกขึ้นได้ว่ายังมีรปภ. อยู่ด้านนอก จึงจะออกไปขอความช่วยเหลือ แต่เมื่อเธอกำลังจะก้าวเดิน ก็นึกเรื่องสำคัญอีกเรื่องขึ้นมาได้
“แต่คุณคะ...ตั้งแต่ตอนนี้ไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามออกจากห้องมาเองจนกว่าจะมีคนมาช่วยนะคะ!” วารีพูดเสียงเข้มและหนักแน่นจนชลปิติยิ่งรู้สึกเครียด แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ถามอะไรวารีก็รีบวิ่งออกไปทันที ทิ้งให้ชลปิติอยู่ตัวคนเดียวภายในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ นั้น
“ท...ทำไมล่ะ ระหว่างนี้ถ้าเปิดประตูออกไปได้เองถึงยังไม่ให้ออกล่ะ?” ชลปิติไม่เข้าใจในสิ่งที่วารีบอก แต่เธอรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงเมื่อครู่นี้
ทันใดนั้น ไฟทั่วทั้งห้างก็ดับพรึ่บ แสงสว่างกลับกลายเป็นความมืดในบัดดล ทำให้ชลปิติแทบจะคลั่งไปในทันที!
“เดี๋ยวสิๆ อย่าเพิ่งปิดไฟ ฉันยังติดอยู่ในนี้!” ชลปิติแผดเสียงร้องอย่างบ้าคลั่ง
“เธอก็ด้วย อย่าเพิ่งไป กลับมานี่ก่อน!” เสียงเรียกของชลปิติดูเหมือนจะอุดอู้อยู่ภายในห้องลองเสื้อที่เล็กและคับแคบแห่งนี้เท่านั้น ไม่สามารถส่งไปถึงอีกฝ่ายที่บัดนี้ชลปิติได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าที่เริ่มค่อยลง ค่อยลง จนเงียบหายไปกับความมืด
แม้จะเป็นคนที่ไม่ชอบหน้ากันเพียงใด แต่ในยามคับขัน คนคนนั้นก็อาจมีความสำคัญขึ้นมาได้
“ฮือ...ใครก็ได้ ช่วยด้วย” เสียงร้องเริ่มแผ่วลง เสียงสะอื้นเริ่มมาแทนที่ ยามเมื่อตกอยู่ในความมืดมิดไร้ซึ่งแสงสว่าง ไม่ว่าเสื้อผ้าอาภรณ์ที่อยู่กับตัวจะทำจากวัสดุที่ดีเพียงใด แบรนด์โด่งดังเพียงใด หรือสวยงามสักเพียงใดก็ดูไร้ค่าไปในทันที เมื่อไม่มีใครสามารถมองเห็นมันได้แม้แต่เจ้าของที่สวมใส่
ความคิดเห็น