คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ...คำตอบ...คือคำตัดสิน (แก้ไขแล้ว)
“ปิ่นสุวรรณ!!!”
เขามองนางอย่างตกตะลึงเช่นกัน นางยิ้มแย้มด้วยความดีใจที่ได้เจอคนรู้จัก
“รู้จักกันด้วยหรือ”
กรรณาภรณ์ถาม ปิ่นสุวรรณอธิบายว่า
“รู้จักสิ ข้ากับโภไคยอสูรเราเป็นญาติกัน เสด็จแม่ของข้าคือพระภคินีของท้าวภูมินทราสูร เสด็จพ่อของโภไคยอสูร”
“โภไคยอสูรรึ!” ชายหนุ่มเจ้าของบ่วงเงินมองหน้าอสูรหนุ่มตาเบิกกว้าง “ฤๅว่า....ท่านก็คือลูกศิษย์ของ...มหานามโยคี...ผู้สำเร็จ วิชาสีตลอัคคี ผู้นั้น!”
โภไคยอสูรค้อมตัวลงเล็กน้อยก่อนตอบรับ
“ถูกแล้ว ข้าคือโภไคยอสูรผู้นั้น”
หญิงสาวเจ้าของบ่วงทองมองเขาอย่างตื่นตะลึง มิคิดว่าจักได้พบศิษย์ของมหาโยคีผู้เลื่องลือในที่แบบนี้
“ไม่น่าเชื่อ ข้าเคยแต่ได้ยินแต่ชื่อเท่านั้น แต่ข้าไม่เคยรู้เลยว่าเขาจัก...จักยังอายุพอๆกันกับพวกเรา”
“พูดอะไรของเจ้าน่ะ” ปิ่นสุวรรณ กล่าวอย่างไม่พอใจ “ต่อให้อายุยังน้อย แต่มันก็ไม่เห็นจักเกี่ยวอะไรกับการสำเร็จวิชาเลยนี่ อสูรวงศ์พรหมทุกตนน่ะมิได้กระจอกอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอกนะ”
ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองถอยห่างออกมาด้วยความกลัวสายตาแข็งกร้าวเยี่ยงอสูรของนาง ถึงอย่างไรนางก็เป็นสายโลหิตของเผ่าพันธุ์อสูร ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่านางจักเป็นมิตรรึไม่ รัตนมณีปรามปิ่นสุวรรณว่า
“ไม่เอาน่ะ พวกเขาคงมิได้ตั้งใจพูดให้เจ้าเข้าใจเยี่ยงนั้นหรอก พวกเราเป็นพวกเดียวกันอยู่แล้วมิใช่รึ จักทะเลาะกันไปไย”
เจษฎาเอ่ยถามโภไคยอสูรว่า
“บรรพบุรุษของท่านคือ...อสุรผัด...ใช่ไหม”
(อสุรผัด คือลูกของหนุมานกับนางเบญกาย)
อีกฝ่ายพยักหน้ารับเขาจึงพูดต่อว่า
“งั้นเราก็เป็นญาติกันนะสิ บรรพบุรุษของข้าคือพระพายรุ่นที่สิบห้า”
“จริงรึนี่!” โภไคยอสูรกล่าวด้วยความดีใจ ไม่นึกว่าจักได้เจอเชื้อสายเดียวกัน “ไม่น่าเชื่อเลย ข้าเคยเกือบนึกว่าเหลือแต่พวกเราที่เป็นลูกหลานแห่งพระพาย ข้าเองก็เคยได้ยินว่ายังมีญาติฝ่ายวานรอยู่แต่ก็ไม่เคยได้พบ ข้าไม่เคยเห็นหน้าญาติฝ่ายไหนของข้าเลย”
ปิ่นสุวรรณมองหน้าโภไคยอสูร สลับกับมองหน้าเจษฎา ในเมื่อบรรพบุรุษร่วมของนางกับโภไคยอสูรแลเจษฎาคือพระพาย ก็เท่ากับว่านางก็เป็นญาติกับเจษฎาด้วย ไยพระมารดาของนางจึงมิเคยบอกนางเรื่องนี้แล้วทำไมนางจึงมิเคยสงสัย เจษฎากับโภไคยอสูรหันไปทางเจ้าของบ่วงเงินและบ่วงทอง โภไคยอสูรกล่าวว่า
“พวกเราช่วยกันสู้รบกับพวกอสูรมาตั้งนาน ยังมิได้ทราบชื่อเสียงเรียงนามกันเลย ข้าใคร่ขอทราบนามของพวกท่านบ้าง”
เจ้าของบ่วงเงินตอบว่า
“นามข้า สัตตบรรณ แต่นามเดิมคือ นภศูล หลานของพญาสุบรรณ ยินดีที่ได้รู้จัก และนี้คือ ทิชากานต์ น้องสาวของข้า”
พรึ่บๆๆๆๆ!
เสียงกระพือปีกของนกฝูงหนึ่งดังแว่วมาจาข้างนอก ทุกคนตกใจรีบวิ่งออกไปดู ก็เห็นครุฑกลุ่มหนึ่งบินตรงมายังที่ที่พวกเขายืนอยู่ แต่มีวิหคอีกสองตัวที่ดูเหมือนจักมิใช่ครุฑ ตัวหนึ่งเป็นสีน้ำตาลแดง อีกตัวเป็นสีน้ำเงิน บินปะปนอยู่ในกลุ่มของครุฑ เมื่อขาของพวกครุฑและวิหคอีกสองตัวลงแตะถึงพื้น ก็กลับกลายร่างเป็นเหล่าทหารองครักษ์ และทำความเคารพ สัตตบรรณ กับ ทิชากานต์ ทันที
“ขอเดชะ พวกหม่อมฉันตามมาถวายอารักขาช้า ถือว่าบกพร่องในหน้าที่ ขอองค์ชายและองค์หญิงโปรดประทานอภัยด้วยพระเจ้าข้า” วิหคสีน้ำเงินกล่าว
“วารีปักษา เจ้าไปโดนอะไรมา ทำไมแผลเต็มตัวอย่างนี้”
ทิชากานต์ ตกใจรีบเข้าไปดูบาดแผลให้ทหารวิหคสีน้ำเงิน
ไม่ใช่แค่ วารีปักษา เท่านั้น ทหารองครักษ์ทุกตัวก็มีสภาพเดียวกันหมด
“ไม่เป็นไรหรอก ทิชากานต์ แผลแค่นี้รักษาไม่นานก็หาย” เขาตอบน้ำเสียงอ่อนโยน
สัตตบรรณ หันไปถามหาเหตุผลจากวิหคสีน้ำตาลแดง
“เกิดอะไรขึ้น รวิพัท”
ผู้ถูกถามสีหน้าเคร่งเครียด เริ่มอธิบายเรื่องราวตั้งแต่ต้นอย่างละเอียด
“ทูลองค์ชาย ระหว่าทางที่พวกเรามาที่นี่ ข้าเห็นอสูรกลุ่มหนึ่งทำลับๆล่อๆ และแบ่งกำลังออกไปซ่อนเร้นอยู่ตามสถานที่ต่างๆบนสวรรค์ พวกหม่อมฉันจึงแอบสะกดรอยตามไปแต่กลับถูกพวกมันจับได้และชิงความได้เปรียบโจมตีก่อน ทั้งยังต้องประทะกับนายกองอสูรนามว่า มารัน กว่าจะปลีกตัวออกมาได้ก็แทบแย่ สภาพที่รอดออกมาได้ก็เป็นอย่างที่เห็น”
ครุฑตนหนึ่งในนั้นกล่าวเสริมขึ้นว่า
“พอมาถึงก็พบว่าอสูรที่นี่ถูกพวกท่านจัดการไปหมดแล้ว”
“แล้วที่แอบฟังมาได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“จากที่ได้ยินมาพอจะสรุปคร่าวๆได้ว่า พวกอสูรที่ดักซุ่มอยู่ตามสถานที่ต่างๆเพื่อจัดการกับเทพที่เฝ้าอยู่ตามสถานที่นั้น ส่วนกองกำลังที่มายังหอคัมภีร์สวรรค์คือผู้ที่จะดำเนินการตามแผนที่วางไว้ แต่ไม่มีอสูรตนใดเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของงานนี้เลย”
“.....เป็นอย่างนี้เองหรอกรึ....”
เสียงทุ้มน่าเกรงขามของใครบางคนดังแทรกการสนทนาขึ้นมา ทันที่ที่ได้เห็นว่าผู้มาที่หลังคือผู้ใด ทั้งหมดก็รีบคุกเข่าคำนับโดยพร้อมเพรียงกัน
“ถวายบังคม องอินทร์ และ พญาสุบรรณ พ่ะย่ะค่ะ เพคะ”
พระอินทร์ทรงกวาดสายพระเนตรมองศพอสูรที่ตายเกลื่อนบนลานหน้าหอคัมภีร์สวรรค์ ลานสีขาวบริสุทธิ์อาบด้วยสีแดงสด สีพระพักตร์เคร่งขรึม พญาสุบรรณนั้นก็มิแผกกัน
“ใครเป็นคนจัดการพวกมัน” พญาสุบรรณ ตรัสถาม สัตตบรรณ ทูลตอบ
“พวกเราเอง พ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วพวกอสูรกลุ่มอื่นล่ะ”
“ข้อนี้พวกหม่อมฉันไม่อาจทราบได้ แต่คาดว่าน่าจะมีใครไปจัดการแล้ว”
พญาสุบรรณ ทอดพระเนตรจับที่นาคาสองตนซึ่งอยู่รวมในกลุ่มนี้ด้วย ....ไอ้งูนั่นส่งลูกมันมาจริงด้วย ไม่ว่าข้าจักคิดอย่างไร เจ้าก็คิดได้เยี่ยงข้าไปเสียหมดเชียวนะ ไวทยนาคราช....
“แล้ว ไวทยนาคราช ไม่มาด้วยรึ” พญาสุบรรณทรงเจาะจงถามวิรุฬหนาคา “ฤๅว่าเพราะป่วย....จึงขึ้นมาไม่ไหว”
พญาสุบรรณ เหมือนตรัสเล่น แต่ใช่ว่าวิรุฬหนาคาจักฟังไม่ออกว่าในน้ำเสียงนั้นมีแววเย้ยหยันปนอยู่ แล้วที่ว่า...ป่วย...นั้นคงอยากพูดว่า...กลัว...ต่างหาก
“เสด็จพ่อยังทรงพระเกษมสำราญดีพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทรงเป็นอะไรไปง่ายๆแน่หากยังไม่ได้พบพระองค์”
วิรุฬหนาคา ตอบคำถาม ไม่แสดงอาการหวั่นกลัวให้อีกฝ่ายได้เห็น
“ปากดีนี่เจ้าหนู สมแล้วที่เป็นลูกหลานเชื้อสายนาคราช หยิ่งในศักดิ์ศรีเหมือนกันหมด”
พญาสุบรรณทรงแดกดัน ในใต้หล้านี้มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฝ่ายนาคาเคยทำเยี่ยงไรต่อฝ่ายครุฑ หากแต่เพราะมิมีผู้ใดยอมรับว่าตนเป็นผู้ผิด จึงไม่อาจตกลงสงบศึกกันได้ เมื่อเวลาผันผ่านเรื่องราวเหล่านั้นก็ถูกลืมเลือนไป เหลือเพียงความร้าวฉานระหว่างสองเผ่าพันธุ์ที่ยากจะสมานให้เหมือนเก่า
“ขอบพระทัย ถือเป็นเกียรติที่ได้รับคำชมจากพระองค์ พ่ะย่ะค่ะ”
วิรุฬนาคา ในยามนี้ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ถ้าเป็นยามปกติต่อให้บรรยากาศตึงเครียดเพียงใด เขาย่อมใช้ความเป็นคนอารมณ์ดีของเขาช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลงได้แน่ แต่ก็เป็นที่รู้กันดีว่า ตระกูลนาค และตระกูลวิหค มิถูกกันมาแต่ปางบรรพ์ เรียกว่า ขมิ้นกับปูน ก็ย่อมได้ ดังนั้นเมื่อพญาสุบรรณทรง..ยอกหนามมา.. วิรุฬหนาคาจึง..ยอกหนามบ่ง..บ้าง
“เอาเป็นว่า...พวกเรามาคุยเรื่องอสูรกันก่อนดีกว่า ขอให้พวกท่านช่วยเก็บความแค้นระหว่างตระกูลไว้ก่อนจะได้ไหม”
เมื่อพระอินทร์ทรงขอร้อง โดยทรงยกเอาเรื่องที่พัวพันถึงส่วนรวมมาอ้างเช่นนี้ ตัวแทนจากสองตระกูลจึงยอมสงบศึกชั่วคราวและหันมาร่วมมือกัน พระอินทร์ทรงถามความเห็นจากทุกคนในที่นั้น
“พวกท่านคิดว่าอย่างไร ลำพังถ้าอสูรภายนอกเข้ามาก็เห็นว่ามิพ้นมือหน่วยรบบนสวรรค์เป็นแน่ แต่ทำไมพวกมันกลับเข้ามาได้มากถึงเพียงนี้”
ทุกคนต่างครุ่นคิดหาสาเหตุ รัตนมณีนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงทูลพระอินทร์ว่า
“หม่อมฉันคิดว่าต้องมี ไส้ศึก เพคะ”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เทพองค์ใดจะไปเข้าข้างพวกยักษ์”
“แต่หน่วยรบบนสวรรค์ก็มีพวกยักษ์รวมอยู่ด้วยนะเพคะ” นางชี้แจง “และยิ่งกว่านั้น เทพบางองค์อาจเป็นยักษ์แปลงเข้ามาด้วยก็ได้”
“พูดเป็นเล่นไป เจ้าคิดว่าเทพทุกองค์จะโง่ ยอมให้มันตบตาด้วยเรื่องพรรค์นี้รึ?”
พญาสุบรรณมิทรงเชื่อเช่นกัน มิหนำซ้ำกลับทรงเข้าใจว่านางเข้าข้างพวกอสูรเสียอีกจันทรรัตน์ทนไม่ไหวจึงกล่าวขึ้นบ้าง
“ยักษ์ก็ไม่โง่ไปหมดทุกตนเหมือนกันเพคะ เมื่อก่อน ยักษ์ราหู ยังปลอมตัวเข้ามาดื่มน้ำอมฤตได้โดยไม่มีผู้ใดรู้ด้วยซ้ำ หากพระอาทิตย์และพระจันทร์ไม่ล่วงรู้เข้าเสียก่อน ป่านนี้มันคงทำลายสวรรค์ป่นปี้ไปหมดแล้ว ไม่โดนจักรแก้วของพระนารายณ์ตัดขาดเหลือครึ่งตัวเช่นที่เห็นทุกวันนี้หรอกเพคะ หม่อมฉันเชื่ออย่างที่รัตนมณีกล่าวมา ในอดีตพวกอสูรเคยยกทัพขึ้นมาบนสรรค์หลายครั้งหลายหน เป็นไปมิได้ว่าพวกมันจักไม่รู้จุดอ่อนของฝ่ายเรา”
กรรณาภรณ์กล่าวต่อจากนางว่า
“อีกทั้งบนสวรรค์ก็มิได้มีแต่เทวดานางฟ้า แต่ยังมีนายทวารซึ่งเป็นยักษ์อยู่ด้วยนะเพคะ”
พระอินทร์ ทรงเข้าพระทัยในข้อนี้ดี พระองค์เคยปราบปรามเหล่าอสูรที่ยกทัพมาเพื่อหวังจะชิงแดนสวรรค์คืนจากเหล่าเทวดา ทั้งไพจิตราสูร หรือแม้แต่อินทรชิตโอรสท้าวทศกรรฐ์ซึ่งเคยรบชนะพระองค์มาแล้ว นอกจากนี้ก็ยังต้องรับศึกจากอสูรตนอื่นอยู่เนืองๆ หากแต่ครานี้พวกอสูรกลับทำในสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเหล่าเทพ
“พวกเจ้าคิดว่าทำไมพวกอสูรจึงจงใจเลือกเวลานี้ในการบุกโจมตีพวกเรา ทั้งที่ยามนี้เป็นช่วงที่เหล่าเทพเกือบทั้งสรวงสวรรค์มาชุมนุมที่นี่พร้อมกันได้”
พระองค์ทรงตรัสถามความคิดเห็นอีก โภไคยอสูรวิเคราะห์ตามสถานการณ์แล้วจึงกราบทูลว่า
“เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่ บรรดาเทพบุตรและเทพธิดาจึงมารวมกันที่นี่ ผู้อยู่ภายนอกจึงเหลือเพียงพวกอสูรเท่านั้น แต่เราลืมไปว่าฟ้าดินได้จัดแบ่งหมวดหมู่ของสรรพสิ่งไว้จริงอยู่ที่เทพมารวมตัวกันมากย่อมมีพลังแสนยานุภาพมากขึ้น แต่นั่นก็หมายความว่าอสูรซึ่งอยู่วงนอกก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเช่นเดียวกัน หากเราลองแยกสภาวะดูระหว่างการบีบล้อมจากวงนอกและการดันตัวออกจากภายใน อย่างแรกดูเหมือนจักมีพลังมากกว่า”
เจษฎาอธิบายต่อไปว่า
“หากว่าพวกมันวางแผนให้เหล่าเทพมาอยู่ที่นี่กันทั้งหมด แล้วรอเวลาส่งสัญญาณให้ทุกกองทัพที่ได้จัดแบ่งไว้เข้ารุมล้อมจู่โจมพวกเราโดยที่ไม่ทันระวังตัวแล้วละก็ มีความเป็นไปได้สูงที่แผนการครั้งนี้จักสำเร็จ”
สัตตบรรณ ฟังทั้งสองชี้แจงอย่างละเอียดจนพอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“แสดงว่าแผนการนี้ถูกวางไว้อย่างตั้งใจล่วงหน้าแล้ว แต่เรื่องกลับพลิกผันด้วยถูกพวกรวิพัทพบเข้าเสียก่อน เมื่อกองทัพหนึ่งแตกพ่ายจึงทำให้แผนของกองทัพอื่นรวนและเกิดความระส่ำระสายตามมา แผนการที่วางไว้อย่างดิบดีจึงเสียหมด”
อมรสิงห์กล่าวต่อว่า
“ในเมื่อเสียแผนแล้วจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการสู้ตายเอาดาบหน้า ทั้งที่สภาพความพร้อมถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว และที่เหนือความคาดหมายก็คือฝ่ายเราสูญเสียน้อยกว่าที่ควรจักเป็น เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วพวกอสูรจึงเหลือเพียงทางเดียวคือพาพวกที่เหลือตายจำนวนน้อยนิดกลับไปตั้งหลักใหม่ยังภพอสูร”
พระอินทร์และพญาสุบรรณได้สดับแล้วทรงเห็นพ้องต้องกันว่า ที่พวกเขาพูดมานั้นล้วนถูกต้อง
“จริงอย่างที่พวกเจ้าว่า งานนี้พวกอสูรเอาจริงยิ่งกว่าคราวก่อนๆ ถึงขั้นนำจุดอ่อนของฝ่ายเรามาใช้เป็นเกราะกำบังตนในการสู้รบ เราใคร่เห็นหน้าอสูรผู้เป็นต้นคิดแผนการนี้จริงๆ....”
พระอินทร์ทรงหยุดตัดสินพระทัยชั่วครู่ก่อนจักทรงกล่าวต่อไปว่า
“ในเมื่อเรื่องราวบานปลายถึงเพียงนี้แล้ว เราเห็นทีจักต้องตัดสินกันให้เด็ดขาดในตอนนี้ ว่าหนึ่งในพวกเจ้า ใครเป็นผู้เหมาะสมที่สุด ความจริงข้าควรทดสอบความสามารถของพวกเจ้าให้ครบทุกด้านเสียก่อน หากแต่เพราะครานี้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น สำหรับความเชี่ยวชาญด้านเชิงยุทธ์นั้นข้าจักถือว่าพวกเจ้าผ่านเกณฑ์หมด คราวนี้ข้าจักเป็นผู้ตั้งคำถามเอง...”
ทันใดนั้นก็มีเสียงคัดค้านขึ้นกลางคันว่า
“ข้าแต่องค์อินทรา ข้าเชื่อว่าพระองค์ทรงปรารถนาให้ทุกคนในรับความเป็นธรรม แต่ข้าเห็นว่าวิธีนี้คงไม่เหมาะ”
“แล้วท่านมีความเห็นเยี่ยงไรรึ ไวทยนาคราช”
พระอินทร์ดำรัสถามผู้ซึ่งเดินเข้ามาเผชิญพักตร์กับพระองค์อย่างกล้าหาญ ไวทยนาคราชจัดว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้าซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ยึดถือความเที่ยงธรรมเป็นหลัก แม้แต่พระองค์เองก็ไม่สามารถปฏิเสธคำกล่าวนี้ได้ ไวทยนาคราชตรัสต่อไปว่า
“วิหคน้อยสองตนนี้คือพระนัดดาของพญาครุฑซึ่งพระองค์ทรงยำเกรงให้ความนับถือ เจษฎาเป็นเชื้อสายแห่งพระพายผู้ยิ่งใหญ่ โภไคยอสูรก็เป็นโอรสแห่งราชาอสูรผู้มากด้วยบารมี และปิลันทนาคาก็เป็นบุตรของข้า ซึ่งท่านเองก็คงปฏิเสธมิได้ว่ามิมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับเหล่านาคเยี่ยงพวกเรา รอบตัวท่านมีแต่บุคคลให้ท่านต้องคำนึงถึงด้วยกันทั้งนั้น เช่นนี้แล้วท่านจักวางองค์เป็นกลางได้เยี่ยงไร มีอยู่เพียงทางเดียวคือท่านต้องอัญเชิญสามมหาเทพมาร่วมตัดสินในพิธีนี้ด้วย เช่นนี้จึงจักยุติธรรมแก่ทุกฝ่าย”
“จริงอย่างที่ไวทยนาคราชว่า...” พญาสุบรรณทรงเห็นดีด้วย “มิใช่ว่าพวกเรามิเชื่อใจท่าน แต่ถ้าทำเช่นนี้พวกเราและเทพองค์อื่นๆจักได้รู้สึกวางใจ เมื่อตัดสินแล้วจักได้มิมีข้อครหาในตัวท่านตามมาด้วย”
พระอินทร์ทรงประหลาดพระทัยไม่น้อยที่ครานี้ศัตรูตลอดกาลอย่างพญาสุบรรณและไวทยนาคราชกลับเข้ากันได้อย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย แต่ก็มิทรงมีพระประสงค์ที่จักชักใบให้เรือเสีย จึงตรัสว่า
“หากพวกท่านเห็นพ้องต้องกันเช่นนี้ ข้าก็จักดำเนินการตามท่านว่า อีกไม่นานสามมหาเทพก็จักเสด็จมาถึงปะรำพิธี เราจักเริ่มการตัดสินกัน....” พระองค์ทรงชี้นิ้วลง
“...ที่นี่แหละ...”
.................................
ในเวลาไม่นานต่อมา ลานโล่งก็คลาคล่ำไปด้วยเหล่าเทพบุตรและเทพธิดาเกือบทั้งชั้นสวรรค์มารวมตัวกัน เนื่องจากการกระจายข่าวที่รวดเร็วของ เทพมาตุลี กลางลานมีบุคคลทั้งห้าคนยืนเรียงกันรอฟังคำถามจาก พระอินทร์ พระอิศวร พระนารายณ์ และ พระพรหม ทรงเสด็จมาถึงแล้ว พระอินทร์ จึงทรงประกาศเริ่มพิธี
“บัดนี้ สามมหาเทพ เสด็จมาถึงแล้ว เราจะถามคำถามกับผู้ร่วมทดสอบทั้งห้า ณ บัดนี้”
พระอินทร์ ทรงนิ่งคิดคำถามท่ามกลางความตื่นเต้นของทั้งห้าคนตรงหน้า
“เจ้าคิดอะไรอยู่รึ ไวทยนาคราช” พญาสุบรรณ เป็นฝ่ายเริ่ม
“ทำไมรึ สุบรรณ” ไวทยนาคราช ย้อนถาม
“ก็จู่ๆ เจ้าก็คัดค้านพระราชดำริขององค์อินทรา แล้วยังกล้าเสนอให้สามมหาเทพช่วยในการตัดสินอีก ข้ามิเคยเห็นใครใจกล้าบ้าบิ่นเยี่ยงเจ้ามาก่อนเลย”
“ข้าเป็นเยี่ยงนี้มานานแล้ว เจ้าเองก็รู้จักข้าดีมิใช่รึไง”
“เจ้าคิดจักทำอะไร” พญาสุบรรณมิอยากอ้อมค้อมให้เสียเวลาอีก
“หึ ข้าก็แค่หาหนทางที่ดีที่สุดสำหรับทุกฝ่ายเท่านั้น อย่าลืมสิว่ายามนี้เราต้องสามัคคีกันไว้ เพราะมิมีใครสารถรู้ได้ว่าอาณาจักรใดจักถูกพวกอสูรโจมตีก่อน พวกอสูรในยุคของพวกเราแข็งแกร่งกว่าที่เคยมีมา หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับใครก่อน ผู้ใดจักได้คัมภีร์ไป ท้ายที่สุดก็ต้องร่วมหัวจมท้ายด้วยกันอยู่วันยังค่ำ”
“ถูกของเจ้า” พญาสุบรรณ ยอมรับและถามต่อ “แล้วเจ้าทำเช่นนี้เพื่ออาณาจักของพวกเราด้วยรึ”
“อย่าเข้าใจผิดสิ ข้าทำเพื่อเห็นแก่ส่วนรวมเท่านั้น และเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของนครบาดาลด้วย ยังไงซะ คราวนี้เจ้าเป็นหนี้ข้าแล้ว เตรียมของไถ่หนี้ไว้ด้วยล่ะ”
พญาสุบรรณได้ยินวาจาแยบคายที่ไวทยนาคราชกล่าวแล้ว อดพูดจาเสียดสีมิได้
“ซื่อตรงจริงนะ เจ้างูเขียว”
“มิได้ๆ เจ้าชมเกินไปแล้ว เจ้านกยักษ์” ไวทยนาคราช เสียดสีกลับ
ก่อนที่ งู กับ นก จะเปิดศึกปะทะคารมกันต่อ วิพุธเทพบุตรก็เข้ามายืนคั่นกลางด้วยเจตนาที่จักห้ามศึกเพื่อมิให้สงครามเย็นยืดเยื้อไปกว่านี้ กอปรพระอินทร์ ก็ทรงคิดคำถามออกพอดี
“เห็นคือไม่เห็น มีเหมือนไม่มี ดูผิวเผินเหมือนตื้นแต่เป็นสิ่งที่ลึกที่สุด จะเป็นสวรรค์หรือนรกก็ค้นเข้าไปไม่ถึง อ่านก็ไม่มีวันหมด ท่านทราบหรือไม่ว่ามันคืออะไร?”
ผู้ทดสอบทั้งห้านิ่งอึ้ง ก่อนจะคิดเหมือนกันหมดว่า
“คำถามอะไรของท่านเนี่ย”
ทว่า.....สามมหาเทพ กลับดำริตรงกันข้าม
“เป็นคำถามที่ดีนะ ท่านว่าอย่างนั้นไหม พรหม นารายณ์” พระอิศวร ตรัสอย่างทรงพระอารมณ์ดี
“แต่หม่อมฉันเกรงว่าคำถามกำกวมเช่นนี้ จะมิมีใครตอบเลยสักคน” พระนารายณ์ ตรัสตอบ
“ก็ไม่แน่เสมอไปหรอก นารายณ์ คำถามแบบนี้มันต้องใช้ปัญญาคิดมาก ดูสิ....พวกเขาตั้งใจกันขนาดนี้ เห็นทีสวรรค์คงได้อัจฉริยะบุรุษเพิ่มก็ครานี้เอง” พระพรหม ตรัสอย่างมั่นพระทัย
สามมหาเทพทรงทอดพระเนตรมองเหล่าผู้ถูกทดสอบเบื้องล่าง ประดุจประทานกำลังใจแก่พวกเขา
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน เหล่าเทพที่คอยลุ้นกันอยู่เริ่มจะหมดหวัง เทพบางกลุ่มถึงกับถอยจากแถวหน้าไปยืนอยู่แถวหลังแทน เป็นโอกาสให้ญาติสนิทมิตรสหายของผู้ร่วมทดสอบเลื่อนขึ้นมาอยู่แถวหน้าแทน
“พี่ใหญ่จะไหวไหมนะ”
กรรณาภรณ์ เอ่ย น้ำเสียงเป็นห่วง
“เจษฎาน่ะไม่เป็นไรหรอก ห่วงคนที่ตอบไม่ได้เลยดีกว่า”
วิรุฬหนาคาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ในเวลานี้คนที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือ โภไคยอสูร และปิลันทนาคา ที่ยังไม่มีท่าท่าว่าจักคิดออก
“เจ้าว่าเจ้านาคนั่นจะตอบได้ไหม?” เสียงเทพบุตร นินทา
“ไม่รู้สิ แต่ข้าว่าคงไม่ได้หรอก ดูหน้าก็รู้” เพื่อนเทพบุตรอีกองค์ร่วมวงด้วย
“ยักษ์นั่นก็คงเหมือนๆกันกระมัง”
“นั่นสิ อสูรก็อย่างนี้แหละ”
พวกเขานินทากันแค่สองคนก็จริง แต่หูของญาติผู้ถูกนินทาทั้งสองคนไม่ได้บอด ซ้ำยังได้ยินชัดเจนเสียด้วย
“เอากับข้าไหม วิรุฬหนาคา”
“แน่นอน ปิ่นสุวรรณ”
และหลังจากนั้น เทพบุตรช่างนินทาทั้งสองก็หายไปจากบริเวณลาน เหลือกลับมาเพียง ปิ่นสุวรรณ กับ วิรุฬหนาคา เท่านั้น....
“พวกเจ้าทำอะไรกับพวกเขาหรือ”
อินทร ดูท่าจะเดาออกว่าพวกเขาต้องไปทำอะไรไม่ดีมาแน่ ทั้งสองเดินเข้ามาหาเขาอย่างสบายอารมณ์พลางให้คำตอบว่า
“ไม่ต้องห่วงหรอก สองคนนั้นปลอดภัยดี พวกเราแค่สั่งสอนนิดๆหน่อยๆ”
ปิ่นสุวรรณ ตอบด้วยสีหน้าสดชื่น อินทรสังเกตที่มือของคนทั้งคู่....แล้วสีแดงนั่นมันอะไรวะ....
“จริงนะ”
วิรุฬหนาคากล่าวยืนยันหนักแน่น อินทรเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ว่าอย่าไปยุ่งด้วยเลยจะดีกว่า ....เทพบุตรสององค์นั้นคงไม่เป็นไรจริงๆนั่นแหละ คงจะแค่โดน....ตบ.... เขาคิดหวังให้เป็นเช่นนั้น จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาสนใจการทดสอบต่อไป
ก่อนที่เหล่าเทพที่เหลืออยู่ไม่เท่าไรจะเปลี่ยนใจกลับวิมานใครวิมานมันกันหมด เสียงที่ชวนให้มีความหวังอีกครั้งก็ดังสวนความเงียบขึ้นมา
“ข้าขอลองตอบ” ทุกคนหันไปมองที่ต้นเสียง ที่ก้าวเดินออกมาข้างหน้าด้วยท่าทางกล้าๆกลัวๆอยู่บ้าง แต่ค่อนข้างมั่นใจมากกว่า
“แน่ใจรึว่าจะตอบแล้วจริงๆน่ะ เจษฎา”
“แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ ตำตอบนั้นคือ.....”
ครานี้ทุกคนเงียบราวกับหยุดหายใจพร้อมกัน
“จิตใจมนุษย์”
เป็นคำตอบที่ง่ายมาก ผิดกับคำถามที่ยาวเหยียด
“ถูกต้อง” พระอิศวร ดำรัสเฉลย พระนารายณ์ และ พระพรหม ทรงพยักหน้าเห็นด้วย
เสียงโห่ร้องดีใจด้วยของเหล่าเทพดังไปทั่วทั้งลาน
“ทำไมเจ้าจึงรู้คำตอบได้ คำถามนี้ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะ”
พระอินทร์ ตรัสถาม ผู้ร่วมทดสอบอีกสี่คนก็อยากรู้เช่นกัน
“เท่าที่หม่อมฉันเคยพบเห็นมา จิตใจมนุษย์ คือสิ่งที่เข้าใจยากที่สุด เพราะถึงแม้จะรู้จักกันเพียงใดก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้อยู่นั่นเอง ถึงเขาจะบอกเราก็ใช่ว่าจะบอกหมดทุกอย่าง มนุษย์นั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน ไม่ค่อยทำอะไรที่ตรงกับใจสักเท่าไร แม้แต่ความคิดก็ยากที่จะตามทัน หม่อมฉันจึงคิดว่ามันน่าจะเป็นคำตอบ” เจษฎา บอกเหตุผล
“นั่นสิ มนุษย์ไม่เหมือนพวกเรา ตรงที่พวกเขามิได้ใส่ใจกับความถูกต้องที่แท้จริงมากนัก แม้แต่กฏที่ตั้งขึ้นก็ยังเข้าข้างตนเอง” ทิชากานต์ คิดตาม
วิพุธเทพบุตร ถือกล่องใหญ่ใบหนึ่งเข้ามา พระอินทร์ทรงหยิบและยื่นให้ เจษฎา
“เอ้านี่ คัมภีร์ฝ่ายเทพเป็นของเจ้าแล้ว จากนี้ไปชะตากรรมผู้บริสุทธิ์ทุกคนขึ้นอยู่กับความสามารถของท่านแล้วนะ”
“ขอพระองค์โปรดวางพระทัย หม่อมฉันขอสาบานว่าจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด และจะไม่คิดทรยศไปอยู่ฝ่ายมารเป็นอันขาด”
เจษฎา รับคัมภีร์มา หน้าที่เช่นนี้ดูผิวเผินเหมือนจะไม่สำคัญอะไรนัก แต่มันช่างยิ่งใหญ่ในความรู้สึกของเขา เพราะตอนนี้เขาเป็นผู้ที่กุมชะตาของผู้บริสุทธิ์ไว้ ผู้โชคร้ายจากคำสาปของคัมภีร์มารมีเพียงเขาที่จะช่วยแก้ไขได้ ฉะนั้นเขาจะทำให้ทุกคนผิดหวังไม่ได้
ระหว่างทางกลับ พวกอมรสิงห์พูดคุยกันเรื่องคำถามไม่หยุด มีเพียงเจษฎาและ อินทรเท่านั้นที่มุ่งความสนใจมาที่กล่องคัมภีร์
“มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ”
อินทร ถามอย่างสงสัย ที่ เจษฎา ถือกล่องคัมภีร์พลิกไปพลิกมาหลายตลบแล้ว
“เปล่า.....เพียงแต่ ข้าว่ากล่องมันเบาๆชอบกล เจ้าคิดว่าคัมภีร์สำคัญเพียงนี้จะหนาสักเท่าใดกัน แต่ข้าว่ามันไม่น่าจะเบาขนาดนี้”
เจษฎา ตอบพลาง มือก็ถือกล่องเขย่าด้วยความอยากรู้
“แต่ข้าคิดว่านี่มันก็หนามากแล้วนะขอรับ”
อินทร แย้ง พิจารณาดูจากขนาดของกล่อง ความยาวก็ประมาณเกือบหนึ่งช่วงแขนเห็นจะได้ ความกว้างก็น่าจะประมาณครึ่งหนึ่งของความยาว ทั้งความหนาก็ไม่น่าจะต่ำกว่าตำราสี่เล่มตั้งรวมกัน แล้ว....ไหงเจ้านายของเขากลับคิดว่ามันเบาละเนี่ย
ณ อาศรม ฤๅษีอังคต
“ได้รับหน้าที่จริงๆด้วยสินะ สมแล้วที่เป็นเจ้า ข้ามองคนไม่ผิดจริงๆ”
ฤๅษีอังคต ชื่นชมในตัวลูกศิษย์ที่มิเคยทำให้ท่านต้องผิดหวัง
“ชมเกินไปแล้วขอรับ ท่านตา” เจษฎาตอบเขินๆ
“ในเมื่อเจ้าเดินหน้ามาได้ถึงขนาดนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องห่วงอีกแล้ว ข้าจะได้ไปทำธุระที่อื่นต่อสักที ข้าจะต้องไปที่เมืองเมืองหนึ่งตั้งแต่คืนนี้ เจ้าก็ทำหน้าที่อยู่ที่นี่ต่อไปก็แล้วกัน”
“เอ๋!?!”
พวกลูกศิษย์ รวมทั้งอินทรพากันอุทานอย่างตกใจ ไม่คิดว่าฤๅษีอังคตจะแจ้งเรื่องอย่างกะทันหันเช่นนี้
“แต่ศิษย์น้องทั้งหมดนี้เล่าขอรับ” เจษฎาถามต่อ
“เขาจะเป็นผู้ช่วยของเจ้า ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเขาดูแลเจ้าได้แน่ แต่เจ้าก็ต้องดูแลพวกเขาด้วยเหมือนกัน”
ฤๅษีอังคตบอกเป็นนัยและตั้งท่าจะไปอยู่แล้ว
“อ้อ! เกือบลืม” ฤๅษีอังคตค้นของในย่ามใบใหญ่ที่ท่านพกติดตัวตลอดเวลา “นี่คือ ผ้าส่งสาร เมื่อพวกเจ้าตั้งใจจักสื่อสารกับใครให้กางผ้านี้เสีย หรือหากต้องการเห็นสิ่งใดก็จงตั้งจิตให้เป็นสมาธิ แล้วเจ้าก็จักได้เห็น”
ฤๅษีอังคต ยัดผ้าใสในมือของอมรสิงห์ ซึ่งกำลังยืนอึ้งพูดอะไรไม่ออก
“ส่วนเจษฎาน่ะ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆห้ามเปิดผนึกคัมภีร์นั้นออกอ่าน จำไว้นะ ห้ามปิดคัมภีร์นั้นออกเป็นอันขาด ที่ตาจะเตือนก็มีแค่นี้แหละ ไปแล้วนะ ขอให้โชคดี....ศิษย์รัก”
ว่าแล้ว ฤๅษีอังคต ก็เหาะขึ้นฟ้าไป
“เอ่อ....คือว่า”
พวกลูกศิษย์พูดคำนี้ได้เป็นคำสุดท้าย ท่านตาก็หายลับเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
“ท่านตานี้อารมณ์แปรปรวนจริงๆ”
ปิ่นสุวรรณ เปรย ทุกคนในที่นั้นต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“แล้ว....พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดีล่ะ?” รัตนมณี ถาม
“เอาเป็นว่า นอนก่อนแล้วค่อยคิดกันตอนเช้าเถอะ”
เจษฎา สรุป เพราะกว่าจะกลับมาถึงที่นี่ก็ดึกมาก ทุกคนก็เหนื่อยกันมากแล้ว ถึงอยากจะคิดตอนนี้ ก็คงจะคิดไม่ไหว ทันทีทีกำลังจะเดินไปห้องนอน เจษฎา กลับรู้สึกเอะใจว่าเหมือนมีอะไรผิดปกติ รีบหันกลับมานับจำนวนศิษย์น้องทั้งหมด
“พงษ์เทวัญ รัตนมณี กรรณาภรณ์ ปิ่นสุวรรณ จันทรรัตน์.......และ.......”
ทุกคนหันมามองหน้ากันหน้าซีเผือด เริ่มรู้ตัวแล้วว่าลืมอะไรไป
“สุริยมณี กับ สุธรรมจินดา ล่ะ!?!”
ขณะเดียวกัน ณ วิมานของ วิพุธเทพบุตร
“พวกนั้นหายไปไหนกันหมด หนีไวเป็นบ้า เมื่อไหร่จะกลับมารับเสียทีนะ พวกนั้นน่ะ” สุริยมณีบ่นอย่างหัวเสีย
นับย้อนหลังไปหลังจากงานทดสอบสิ้นสุดลง เขากับกับพวกเพื่อนๆยังอยู่ที่นี่ด้วยกันพร้อมหน้า ทว่า....เขากับสุธรรมจินดาเผลออ่านหนังสือจนลืมเวลาไปทั้งคู่ หันกลับมาอีกที พวกเจษฎาก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเสียแล้ว.....
“อย่าคิดมากไปเลยน่า เจ้าพี่ เดี๋ยวพวกเขาต้องมาแน่ ” สุธรรมจินดา ปลอบพี่ชาย พลางนั่งจิบน้ำชากับวิพุธเทพบุตรอย่างสบายอารมณ์
“กินขนมไหม สุริยมณี” วิพุธเทพบุตร ชักชวน
“ขนม จริงสินะ”
สุริยมณีลืมโมโห เพิ่งนึกได้ว่ายังมิได้กินอะไรเลยตั้งแต่รู้พวกอสูรบุกขึ้นมา เมื่อเขาเดินมานั่งข้างๆน้องชาย วิพุธเทพบุตรก็วางของสองสิ่งตรงหน้าพวกเขา เป็นกระบอกม้วนสารสีทองลงครั่งปิดสนิท ประทับด้วยตราสีทองของพระอินทร์ วิพุธเทพบุตรสบตากับพวกเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แววตาจริงจังเสียจนน่ากลัว กล่าวด้วยเสียงที่เบาจนแทบไม่ได้ยิน
“จงฟังให้ดี นี้เป็นความลับจากตรีมูรติ พวกเจ้าได้ยินจากข้าแล้วห้ามบอกใครเป็นอันขาด ไม่มีการยกเว้นแม้แต่กับเพื่อนๆของเจ้า”
ทั้งสองจ้องตาเทพบุตรอย่างรอฟังคำตอบ อีกฝ่ายสูดหายใจลึกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ
“เราจักสอนมนต์ต้องห้ามให้กับพวกเจ้า!”
.........................................
สามมหาเทพทรงมีพระประสงค์อะไรจึงดำรัสสั่งให้วิพุธเทพบุตรสอนมนต์ต้องห้ามให้สองพี่น้อง ทำไมจึงทรงไว้พระทัยพวกเขา อีกไม่นานเราคงได้รู้กัน
ความคิดเห็น