คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ข่าวลือ (แก้ไขแล้ว)
กลางทะเลสีทันดรอันกว้างใหญ่ มีเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งวางตัวอยู่อย่างสงบ แต่ในขณะเดียวกัน
ภูเขาไฟตรงใจกลางของเกาะกลับถูกปกคลุมด้วยควันดำหนาทึบ ประกอบกับบรรยากาศอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้ไม่มีแม้แต้สัตว์ร้ายเข้าใกล้กราย
ถ้ำภายในปล่องภูเขาไฟอันสงบเงียบกลับปรากฏเปลวไฟสีแดงฉานเรืองรองอยู่ตลอดเวลา ท่ามกลางแสงไฟมีร่างของอสูรตนหนึ่งในเครื่องทรงสีขาวเยี่ยงนักพรตกำลังนั่งบริกรรมคาถาอยู่ ในมือของเขาถือแผ่นตำราใบลานจารึกด้วยอักขระโบราณเป็นภาษาสันสกฤตและบาลีละเอียดยิบ
เขาเพียรท่องคาถาตั้งแต่ต้นจนจบทั้งแผ่นนับเป็นพันๆครั้ง จนในที่สุด...ท้องฟ้าก็เกิดวิปริตแปรปรวนขึ้นอย่างกะทันหัน พายุพัดโหมกระหน่ำ เมฆดำแผ่ขยายปกคลุมทั่วท้องนภาจนมืดมิดราวกับเป็นเวลากลางคืน
ครืนนนนน เปรี้ยงๆๆๆๆ!!!!
บังเกิดมีสายฟ้าหลายสายฟาดลงสู่เกาะ เสียงดังประหนึ่งเสียงกัมปนาท อสูรตนนั้นไม่มีท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่กลับยิ้มอย่างพึงพอใจที่ในที่สุดการบำเพ็ญเพียรของเขาก็สัมฤทธิ์ผล หลังจากที่เขาเพียรสร้างตบะพีธีมาเป็นเวลานานหนักหนา
เปรี้ยงงงง!!!
สายฟ้าขนานใหญ่สายหนึ่งฟาดใส่ตรงพื้นดินตรงหน้าเขาพอดิบพอดี ปรากฏคัมภีร์สีดำขึ้นเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า เขาหยิบคัมภีร์ขึ้นมาดู ปกคัมภีร์ทั้งหนาทั้งสากมือ เขาเปิดพลิกดูละหน้าจนถึงหน้าสุดท้ายและหัวเราะออกมา
“ฮ่าๆๆๆๆๆ ในที่สุด....คัมภีร์เล่มนี้ก็สำเร็จตามที่ข้าหวังเอาไว้ เหลือเพียงแต่ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของข้าเท่านั้น ครานี้ละ....เหล่าเทพทั้งหกชั้นสวรรค์และเหล่ามนุษย์จะต้องชดใช้ในสิ่งที่เคยทำที่เคยทำไว้กับเหล่าอสูร เตรียมใจไว้ให้ดีเถอะ
”
ในขณะที่เขากำลังดีใจกับผลสำเร็จของตน พลันปรากฏร่างของอสูรอีกผู้หนึ่งเดินเข้ามาข้างหลังเขา ผู้มาใหม่อยู่ในเครื่องทรงประดับอาภรณ์เลอค่า พระพักตร์ยาวเรียว พระขนงก่งงาม พระเนตรสีแดงฉาน พระวรกายสูงโปร่ง แข็งแรงบึกบึนสมเป็นชาติอาชาไนย บนผ้าคลุมไหล่ปรากฏตราสีทองเป็นตราสัญลักษณ์ของวงศ์พรหม
“ราชาภูมินทราสูร”
สีพระพักตร์มิสู้ดีนัก ดวงเนตรสีแดงของราชาอสูรทอดพระเนตรมายังพระอนุชาด้วยแววตาผิดหวังยิ่งนัก เพชญบดินทร์หันกลับมาเห็นเขากลับชักสีหน้าไม่พอใจ ย่อตัวลงทำความเคารพอย่างเสียมิได้ แล้วทูลถามเสียงห้วน
“ท่านพี่มาหาข้าถึงที่นี่ ด้วยเรื่องเดิมๆอีกละสิ”
ผู้สูงวัยกว่ารู้สึกสะเทือนใจในกิริยาที่พระอนุชาปฏิบัติต่อพระองค์ ทรงมีรับสั่งว่า
“เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ ที่ข้าเตือนเจ้าก็เพราะข้าเป็นห่วงเจ้า ไยเจ้าจึงไม่ฟังพี่บ้าง”
พระสุรเสียงทั้งพิโรธทั้งเสียพระทัยยิ่งนัก แต่แทนที่เขาจักเข้าใจความหวังดี กลับเอ่ยวาจาตัดรอนอย่างไม่ไยดี
“เก็บความหวังดีของท่านไว้เถิด ข้าเลือกเส้นทางเดินของข้าแล้ว ท่านไปตามเส้นทางของท่าน ส่วนข้าก็ไปตามทางของข้า เราไม่ข้องเกี่ยวกันอีก”
ราชาอสูรทรงหวั่นวิตก พระเนตรจับจ้องคัมภีร์สีดำในหัตถาของอนุชามิละวาง แม้จักทรงไม่รู้ว่าพระอนุชาของพระองค์มีแผนการอย่างไร แต่คงต้องใช้คัมภีร์เล่มนี้เป็นแน่ จึงทรงมีรับสั่งบังคับ
“สิ่งที่เจ้าถืออยู่นั่น....เอามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“ท่านจักเอาไปทำไม นี้มันของของข้า”
“ได้ยินที่ข้าพูดไหม ส่งมันมาให้ข้า เดี๋ยวนี้!!”
ทรงกริ้วหนักที่พระอนุชามิทำตามรับสั่ง พระสุรเสียงเกรี้ยวกราดยิ่งขึ้นตามพระอารมณ์
เพชญบดินทร์โต้ตอบอย่างไม่ยอมแพ้ น้ำเสียงเกรี้ยวกราดมิแพ้กัน
“อย่ามาใช้อำนาจของราชาอสูรข่มข้า ข้ามิใช่เพชญบดินทร์คนก่อนที่ต้องยำเกรงท่านจนหัวหด ท่านมันก็ไม่ต่างจากอสูรตนอื่นๆที่ก้มหัวให้เทพอันธพาลพวกนั้นโดยไม่สนใจสิ่งเลวร้ายที่พวกมันเคยทำ ท่านมันขี้ขลาด!”
“เจ้ากล้าหมิ่นข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ” ราชาอสูรชักจะหมดความอดทน “ไม่ว่ายังไง ข้าจักไม่ยอมให้เจ้าทำลายเกียรติของ...อสูรวงศ์พรหม...มากไปกว่านี้อีกแล้ว วันนี้ข้าต้องพาเจ้าไปกับข้าให้ได้”
ราชาอสูรย่างเข้าหาเพชญบดินทร์อย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายเห็นว่ามิมีทางรอดพ้นหัตถ์แห่งราชาอสูรไปได้แน่ จึงชักกระบี่เพชรของตนออกมา ราชาอสูรทรงเข้าพระทัยว่าพระอนุชาตั้งใจจักสู้กับพระองค์ หากแต่ผิดคาด....เพชญบดินทร์กลับจ่อปลายพระขรรค์เข้าที่คอของตนเองแล้วยิ้มอย่างท้าทาย
“หึ หากท่านคิดจักนำข้ากลับไปจริงๆ ก็จักได้เพียงร่างที่สิ้นลมหายใจแล้วของข้าเท่านั้น”
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว” ราชาอสูรตวาดลั่น “เพียงเพราะความแค้นในอดีต เจ้าถึงกับเอาตัวเองลงมาเกลือกกลั้วกับเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ อยากเป็นเยี่ยง...ไพณาสุริยวงศ์...รึ”
ราชาอสูรทรงตั้งพระทัยจักเข้าประชิดตัว ด้วยทรงรู้ดีว่าพระอนุชายังมีความยำเกรงในพระองค์อยู่มาก เพชญบดินทร์เห็นว่าพระเชษฐามิหลงกลจึงเปลี่ยนเป็นท่องมนต์บางอย่างขมุบขมิบ ทันใดนั้นที่พระบาทของราชาอสูรกลับร้อนราวกลับต้องเพลิงกัลป์ พระองค์ทรงตกพระทัยรีบชักพระบาทกลับ เมื่อมองไปรอบวรองค์กลับเห็นแต่เพลิงกาฬล้อมกรอบ เพชญบดินทร์ยิ้มย่อง
“ท่านน่าจักรู้ว่าข้าต้องบำเพ็ญตบะอยู่ในนี้นับพันๆปีโดยไม่ขยับเขยื้อนตัวอย่างเด็ดขาด แล้วข้าจักประมาทได้อย่างไรเล่า ที่เท้าของท่านคือขีดกั้นอาณาเขตที่ข้าสร้างขึ้นเพื่อป้องกันตนเองจากภัยพาล ซึ่งไม่มีการยกเว้นแม้แต่กับท่านก็ตาม”
“เพชญบดินทร์ เจ้า...”
ภูมินทราสูรเข่นพระทนต์แน่นอย่างโกรธเกรี้ยวที่ไม่สามารถขัดขวางเพชญบดินทร์ได้ ได้แต่ทอดพระเนตรอีกฝ่ายซึ่งโบกมืออำลาอย่างสบายใจ
“ข้ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องทำ ไม่มีเวลามาต่อล้อต่อเถียงกับท่าน แต่อีกไม่นานเราคงได้พบหน้ากันอีก....ในสนามรบ....”
เขาพูดทิ้งท้ายอย่างเย็นชาก่อนจักหายวับไปพร้อมคัมภีร์มารเล่มนั้น ปล่อยให้ภูมินทราสูรคำรามก้องอยู่ในนั้น
“เพชญบดินทร์!!!!”
..........................
ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เหล่าเทพและเทพธิดาต่างมาประชุมพร้อมหน้ากันยังเขาพระสุเมรุ โดยมีพระอินทร์เป็นองค์ประธาน ทั้งเทพและเทพธิดาต่างพูดคุยกันเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ พระอินทร์มีสีพระพักตร์เป็นกังวลเหมือนทรงรอผู้ใดอยู่
“ไยจึงมาช้านักนะ?” พระอินทร์ตรัสบ่น ท่าทางทรงอารมณ์เสียมาก
พระองค์ทอดสายพระเนตรมองผ่านเหล่าเทพที่กำลังชุมนุมกันอยู่ ณ เบื้องล่าง ทันใดนั้นก็ทรงเห็นแสงสีขาวพุ่งตรงเข้ามา
“มาเสียทีนะ” พระอินทร์ทรงเปรย และตรัสสั่งเหล่าเทพในที่ประชุม “เทพบุตรและเทพธิดาทั้งหลาย จงหยุดสนทนากันได้แล้ว ได้เวลาประชุมเรื่องสำคัญกันแล้ว”
ด้วยสีพระพักตร์และพระสุรเสียงทรงอำนาจของพระอินทร์ เสียงจ้อกแจ้กของเหล่านกกระจอกสวรรค์เงียบลงได้ในไม่กี่อึดใจ
แสงสีขาวที่พระอินทร์ทรงเห็น พุ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าพระองค์ท่ามกลางที่ประชุม และค่อยๆลดแสงสีลงจนกระทั่งเห็นเป็นร่างของเทพบุตรองค์หนึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าองค์อินทรา
“ได้ความมาแล้วพระเจ้าข้า” เทพบุตรองค์นั้นกราบทูลพระอินทร์ ในน้ำเสียงของเขาปนเสียงหอบด้วยความเหนื่อยระคนกัน
“ว่าอย่างไร?” พระอินทร์ตรัสถาม
เทพบุตรและเทพธิดาองค์อื่นๆต่างมองมาที่เทพบุตรองค์นั้นเป็นตาเดียวกัน
“เจ้า เพชญบดินทราสูร มันสร้างคัมภีร์คำสาปขึ้นเพื่อทำลายเหล่าเทพและมนุษย์ ตอนนี้มันสร้างคัมภีร์สำเร็จแล้ว แต่มันไม่สามารถนำไปใช้เองได้ จึงจำต้องหาผู้ที่จะมาใช้แทนมัน ซึ่งถ้ามันหาได้เมื่อไรจะเกิดเรื่องยุ่งยากอย่างมาก เพราะคัมภีร์คำสาปไม่สามารถทำลายได้พระเจ้าข้า”
เมื่อเทพบุตรองค์นั้นกล่าวจบ ก็เกิดเสียงระเบ็งเซ็งแซ่ในหมู่เทพดังขึ้นมาอีก
“ใจเย็นไว้ เหล่าเทพทั้งหลาย เราต้องมีสติจึงจะหาวิธีแก้ไขได้”
คำเตือนของพระอินทร์ช่วยนำความสงบมาสู่ที่ประชุมอีกครั้ง เทพบุตรองค์หนึ่งในที่ประชุมถามขึ้นว่า
“แล้วเราควรทำอย่างไรดีพระเจ้าข้า”
พระอินทร์ทรงตอบคำถามว่า
“ข้าจักรายงานเรื่องนี้ให้สามมหาเทพรู้ ส่วนการแก้ไขนั้นเราต้องมีคัมภีร์ของฝ่ายเราเพื่อใช้แก้คำสาปของคัมภีร์ของ เพชญบดินทราสูร”
แต่มีเทพบางส่วนไม่เห็นด้วย หนึ่งในจำนวนเทพซึ่งไม่เห็นด้วยยกมือขึ้นแสดงความเห็น
“แต่คัมภีร์แต่ละเล่มไม่ได้สร้างได้ง่ายๆ คัมภีร์ของ เพชญบดินทราสูร ยังใช้เวลาเป็นพันๆปีแต่เราเพิ่งรู้ข่าว แล้วมันจะทันหรือพระเจ้าข้า”
“ใครบอกว่าพวกเราเพิ่งรู้ ความจริงพวกเรารู้นานแล้ว และยังเตรียมการพร้อมกับมันอีกด้วย พวกเจ้ายังจำ ฤๅษีกไลโกฏ ได้หรือไม่?”
“ฤๅษีกไลโกฏ พร้อม ฤๅษีวสิษฐ์ ฤๅษีสวามิตร ฤๅษีวัชอัคคี และ ฤๅษีภารัทวาทที่เคยมาเฝ้าพระอิศวรมหาเทพ เพื่อที่จะอัญเชิญพระนารายณ์อวตารลงไปปราบท้าวทศกรรฐ์ เมื่อครั้งไตรดายุคใช่หรือไม่พระเจ้าข้า?”
“ถูกต้อง ด้วยเหตุที่คัมภีร์แต่ละเล่มไม่ได้บัญญัติขึ้นได้ง่ายๆอย่างที่เทพบุตรองค์นั้นพูด เราจึงเตรียมการแต่เริ่มๆโดยการขอความร่วมมือจากฤๅษีกไลโกฏ พร้อมทั้ง ฤๅษีวสิษฐ์ ฤๅษีสวามิตร ฤๅษีวัชอัคคี และ ฤๅษีภารัทวาท ที่มาพร้อมกันในวันนั้น และพวกท่านก็ยินดีช่วยเหลือ ตอนนี้คัมภีร์ฝ่ายเราคงใกล้สำเร็จแล้ว และเราคงต้องหาใครมาเป็นผู้ใช้และปกป้องคัมภีร์นี้ด้วย”
เมื่อพระอินทร์ทรงกล่าวจบ เทพบุตรและเทพธิดาทุกองค์พร้อมใจกันพยักหน้าเห็นด้วย เป็นอันว่าฝ่ายเทพเตรียมการป้องกันเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงผู้ที่จะมารับภาระหน้าที่นี้เท่านั้น....
ทางทิศเหนือของป่าหิมพานต์อันเป็นที่ตั้งปะรำพิธีของ อังคตฤๅษี และลูกศิษย์ ทุกคนกำลังนั่งทำพิธีกันอย่างคร่ำเคร่ง ในวันนี้ถือเป็นวันสุดท้ายในการประกอบพิธี เจษฎา และจันทรรัตน์ยืนดูอยู่ห่างๆด้วยความตื่นเต้น เมื่อถึงเวลาเที่ยงตรง ผลลัพธ์ที่รอคอยจึงสัมฤทธิ์ผล กลางกองไฟที่ลุกโชติช่วงอยู่มีอาวุธหลายสิ่งปรากฏขึ้นมา
“ศรวิชชุชวลิต ดาบปราบไพรินทร์ กริชภาณุมาศ ลูกแก้วไพฑูรย์ บ่วงมฤคราช ดาบมารวิชิต”
ฤๅษีอังคต เสกน้ำดับไฟและอาวุธทุกชิ้นลอยเข้าสู่มือผู้ที่มันเลือกให้เป็นเจ้าของ กรรณาภรณ์รับ ศรวิชชุชวลิต อมรสิงห์รับบ่วงมฤคราช ปิ่นสุวรรณรับกริชภาณุมาศ รัตนมณีรับลูกแก้วไพฑูรย์ สุริยมณีรับดาบปราบไพรินทร์ สุธรรมจินดารับดาบมารวิชิต”
พวกเขาต่างมองดูอาวุธของตนเอง สุริยมณีถามพระอังคตฤๅษีขึ้นว่า
“ทำไมอาวุธของอมรสิงห์และรัตนมณีจึงผิดแผกจากเพื่อนเล่าขอรับ?”
“ศาสตรา....นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถและความเหมาะสมของผู้ที่จักใช้มัน แต่ละอย่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่มีชิ้นใดเหนือไปกว่ากัน” อังคตฤๅษี พูดต่อไปว่า “พวกเจ้าเองต่างก็มีศักดิ์ศรีและคุณธรรมมิด้อยไปกว่ากัน ไยต้องยกเรื่องอาวุธมาเปรียบเทียบกันด้วยเล่า”
“หมายความว่าอย่างไรขอรับ พวกเขาคือใครกันแน่”
สุริยมณีและอมรสิงห์ถามขึ้นพร้อมกันโดยมิได้ตั้งใจ พระฤๅษีจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายกับนิสัยขี้ระแวงของพวกเขา
“ตานึกว่าเปิดใจกันรู้เรื่องแล้วเสียอีก อย่างนี้ตาคงต้องเฉลยเองแล้วสินะ
อมรสิงห์ คือโอรสองค์รองของเทพสีหราชแห่งเวียงวนาลัยบนสวรรค์ชั้นยามา และองค์หญิงกาญจนาเทวี
กรรณาภรณ์คือพระธิดาองค์รองของ ท้าวอัคนิรุตแห่งเวียงอัคคี แลพระนางหิรัญญิการ์
รัตนมณีคือพระนัดดาของพระนางกัลยาเทพธิดา
จันทรรัตน์คือธิดาบุญธรรมของวิพุธเทพบุตรซึ่งเป็นผู้ดูแลหอคัมภีร์สวรรค์ และนางยังเป็นเทพธิดาเหมือนกันกับรัตนมณี
ปิ่นสุวรรณคือพระธิดาของท้าวสุริยันแห่งเวียงชัยฤกษ์และ พระนางจุฑามณี
เจษฎาคือเชื้อสายของวายุเทพกับเทพธิดาองค์หนึ่ง ถ้านับกันตามสายเลือดแล้วเขายังมีศักดิ์เป็นพระนัดดาของท้าวภูมินทราสูรอีกด้วย
และที่สำคัญที่สุดก็คือ พระบิดาของพวกเขาเป็นพระสหายเก่าที่คบกันมาตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และยังเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกันอีกด้วย เว้นแต่เพียงบรรพบุรุษของเจษฎา เท่านั้นที่ไม่ได้รู้จักกัน แต่พวกเขาก็คือเทพเหมือนกัน”
อังคตฤๅษี กล่าวจบจึงหันไปมอง สุริยมณี กับ สุธรรมจินดา สองพี่น้องอ้าปากค้าง ตกตะลึงกับเรื่องชาติกำเนิดของเพื่อนแต่ละคนที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
“ส่วนสุริยมณีและสุธรรมจินดานั้นก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเจ้า เพียงแต่พวกเขาเป็นเทวดาที่ดำรงอยู่บนโลกมนุษย์ หาใช่เสวยบุญบนแดนสรวง ตาบอกพวกเจ้าได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือให้พวกเขาเล่าเองจักเข้าใจได้มากกว่า”
ระหว่างที่เดินกลับอาศรม สุริยมณีและสุธรรมจินจินดา จึงถือโอกาสนี้ถามเรื่องราวทั้งหมดจากพวกอมรสิงห์อีกครั้ง
“ทำไมพวกเจ้าไม่บอกให้พวกเรารู้บ้างเลย”
“ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องรู้นี่” อมรสิงห์ตอบกวนๆ “แล้วพวกเจ้าเองก็มิได้บอกพวกข้าเช่นเดียวกัน ถือเสียว่าเสมอกันก็แล้วกัน”
“นั่น! อินทรมิใช่รึ” รัตนมณีร้องบอก
ผู้มาทีหลังทิ้งตัวลงสู่พื้นและวิ่งเข้ามาหาทุกคนด้วยท่าทีตื่นเต้น เขาทักเจษฎาทันทีที่เห็นหน้า
“ข่าวด่วนๆ นายท่านขอรับ”
“เรื่องอะไร?” เจษฎา ถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยตามเดิม ต่างจากอีกฝ่ายที่กระตือรือร้นมากจนเกินเหตุ
“บนสวรรค์จะมีการคัดเลือกผู้ดูแลคัมภีร์กฤตยามนตร์ขอรับ”
“ก็เรื่องของเขาสิ”
เจษฎาตอบอย่างไม่แยแส ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกผดหวังเล็กน้อยแต่ก็มิได้ลดละความพยายาม
“ไม่ใช่...เรื่องของเขา...นะ เพราะพิธีนี้ทุกคนในป่าหิมพานต์ก็มีสิทธิ์ได้รับการคัดเลือกด้วย” อินทร ออกอาการโวยวาย “ขอเพียงเขาผู้นั้นเป็นฝ่ายเทพ ทั้งมีความรู้ความสามารถและมีวิทยายุทธ์ ก็มีสิทธิ์ที่จะได้รับหน้าที่นี้”
เจษฎาสะดุดใจกับเงื่อนไขนี้ จึงเริ่มให้ความสนใจบ้าง
“ทำไมมันง่ายนักเล่า ฤๅว่าจักมีอะไรแอบแฝง....”
อินทรเห็นว่าอีกฝ่ายเริ่มให้ความสนใจจึงหยอดลูกเล่นเข้าไปอีก
“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้น....แต่ถ้าท่านได้รับตำแหน่งนี้ก็ถือว่าโชคดีมากนะขอรับ”
“โชคดีอย่างไร?”
“โธ่ แล้วนายท่านไม่อยากแก้แค้น ไม่อยากล้างมลทินให้กับตนเองรึ”
“ข้าเองก็อยากอยู่หรอก แต่....จะแน่ใจได้อย่างไรว่าข้าจะได้รับเลือก มันไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆเลยนะ”
เจษฎาคิดหนัก อินทรจึงแสดงความเห็นว่า
“ไม่ลองก็ไม่รู้นี่ ลองไปถามท่านอังคตฤๅษี ก่อนดีไหมขอรับ”
เจษฎาชักเห็นด้วยกับข้อเสนอ บรรดาศิษย์น้องที่ฟังอยู่ก็เริ่มสนใจเรื่องงานพิธี แม้จักไม่รู้เรื่องของเจษฎาเลยก็ตาม
.............................
“ก็ดีแล้วนี่ เจ้าเองก็ไปด้วยสิ”
พระอังคตฤๅษีพลอยเออออไปด้วยโดยไม่คัดค้านแต่อย่างใด ทำเอาเจษฎาและบรรดาศิษย์น้องถึงกับเหวอ ยกเว้นอินทรที่นั่งยิ้มแป้นอยู่ข้างอาสนะ ได้ใจที่พระอังคตฤๅษี เห็นด้วยกับความคิดของตน
“ไม่ปรามสักนิดเลยหรือขอรับ?” เจษฎา ถามอย่างข้องใจ
“จักปรามไปไย นี้เป็นโอกาสดีสำหรับเจ้าเลยนะ อาจเสี่ยงชีวิตไปสักหน่อย แต่คนเก่งอย่างเจ้าทำได้แน่ๆ”
อังคตฤๅษี พูดพลางตบบ่าลูกศิษย์อย่างเชื่อมั่น อีกฝ่ายได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ท่าทางไม่ค่อยมั่นใจนัก
เพลาย่ำสนยา พวกอมรสิงห์เดินชมนกชมไม้อยู่ในป่าอย่างสบายอกสบายใจ มีเพียงเจษฎาที่เดินรั้งท้ายทั้งที่ปกติแล้วเขามักเป็นฝ่ายเดินนำ ในใจของเขาครุ่นคิดอยู่กับเรื่องที่ได้รับฟังมาเมื่อกลางวัน แม้ว่าทุกคนรอบข้างล้วนแต่สนับสนุนให้เขาทำหน้าที่นี้ แต่ลางสังหรณ์กลับบอกเขาว่ามิใช่เรื่องดีเลย ในขณะที่เดินตามทางที่ราบเรียบมาตลอด ขาซ้ายของเขากลับสะดุดกับบางสิ่งที่พื้นเข้าอย่างจังจนเกือบหน้าคะมำ เมื่อหันไปดูก็พบกับท่อนแขนของใครบางคนเกยขึ้นมาบนเส้นทาง ส่วนลำตัวเกือบทั้งหมดนอนอยู่ในพงหญ้า เขารีบเข้ามาดูอาการ ตามด้วยคนอื่นๆที่วิ่งตามมาสมทบ กรรณาภรณ์เข้าไปเขย่าตัวเขาพลางกล่าวว่า
“นี่มันอะไรกัน ทำไมเขาจึงมานอนหมดสติอยู่ตรงนี้ได้”
เมื่อพลิกร่างขึ้นดู เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าตาดี สวมชุดสีเขียวมรกตเป็นลายเกล็ดงูเลื่อมระยับ ตัดกับอาภรณ์สีทองอร่าม ทั้งปิ่นที่ติดมายังเป็นรูปร่างของพญาอนันตนาคราช
“ชุดของเขาแปลกดีนะ เป็นสีเขียวมรกตตัดกับเครื่องอาภรณ์สีทองตั้งแต่หัวจรดเท้าเลย” ปิ่นสุวรรณ ออกความเห็น
เจษฎาและอินทรมองร่างที่นอนคว่ำอยู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า เริ่มจะเดาออก
“ดูท่าจะเป็น....”
อินทรหันไปมอง เจษฎาเหมือนจะขอความเห็น เจษฎาพยักหน้า
“เป็น ...นาค...”
สุริยมณีและสุธรรมจินดาช่วยกันตรวจชีพจรดูบ้าง
“อาการไม่ดีเลย พาเข้าไปพักในอาศรมของพวกเราดีกว่า” สุริยมณีบอก
ทุกฝ่ายต่างเห็นดีด้วย เจษฎา อินทร และ อมรสิงห์จึงช่วยกันแบกร่างไร้สติของนาคาน้อยเข้าไป
ภายในอาศรมของฝ่ายชาย ชายหนุ่มในชุดมรกตนั่งอยู่บนฟูกสีขาวสะอาด บนศีรษะและที่แขนทั้งสองข้างมีผ้าพันแผลพันไว้ โชคดีที่ไม่มีบาดแผลมานักเพียงแต่ไม่มีแรงเท่านั้น รอบตัวเขามีทั้งเจ้าของห้องและหญิงสาวถึงสี่นางกำลังนั่งจ้องตาเป๋งมองเขาอยู่อย่างตกตะลึง แต่ในขณะนั้นเขาไม่ได้สนใจเพราะกำลังจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้า
งั่มๆๆ จั๊บๆ หยับๆ....
“อดอยากมาจากๆไหนเนี่ย ข้าว่าคราวที่พวกเราหลงป่ากันยังไม่อเน็จอนาถถึงขนาดนี้เลยนะ”
ปิ่นสุรรณ แอบกระซิบกับจันทรรัตน์และสุธรรมจินดา อยู่ใกล้พอจะได้ยินเสียงกระซิบพยักหน้าเห็นด้วย
“นั่นสิ ปิ่นสุวรรณ ดูเขากินอย่างกับปอบลง”
สุธรรมจินดา นินทากันต่อหน้า แต่เจ้าตัวยังไม่สนใจ จนกระทั่งอาหารที่อยู่ตรงหน้าเขาหมดลง เขาดื่มน้ำจนหมดถ้วยแล้วจึงหันมาพูดกับเจษฎาที่นั่งประจันหน้ากับเขา
“ขอบคุณพวกท่านมากเลยนะ หากไม่เจอพวกท่านข้าคงแย่เสียแล้ว โชคดีที่ผู้มาพบเป็นพวกท่านไม่ใช่ครุฑ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่รอดอยู่ดี อ้อ....ลืมแนะนำตัวไปเลย นามข้า วิรุฬหนาคา มาจากเมืองบาดาล ยินดีที่ได้รู้จักนะท่าน”
นาคหนุ่มท่าทางสดใสร่าเริง กล่าวกับพวกเจษฎาตามแบบที่เรียกว่าพูดน้ำไหลไฟดับ ท่าทางเขาฟื้นตัวได้เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
“เอ้อ....ไม่เป็นไรหรอก เรื่องเพียงแค่นี้เรื่องเล็ก ว่าแต่เมื่อกี้ครุฑที่เจ้าพูดถึงเมื่อกี้นี้....คงไม่ใช่ พญาสุบรรณ แห่งวิมานฉิมพลีใช่ไหม” เจษฎา แทบตั้งรับไม่ทัน
“ไม่จำเป็นต้องถือมือของ พญาสุบรรณ หรอก แค่ครุฑธรรมดาข้าก็เหนื่อยแล้ว ยิ่งเจ้าพวกนั้นชอบมากันเป็นฝูงเสียด้วยสิ เฮ้อ....โชคดีที่ป่าหิมพานต์นี้มีผู้ดูแลอยู่แล้ว ทางสวรรค์จึงไม่ต้องมีนโยบายแบ่งกำลังเหล่าวิหคมาช่วยทางนี้ด้วย แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังเห็นเจ้าพวกนั้นบินว่อนไปว่อนมาแถวนี้อยู่ดี”
วิรุฬหนาคา ยังคงพูดไม่หยุด ทั้งยังตอบเกินคำถามอีก อมรสิงห์จึงรีบเบรกโดยการเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“พอแล้วเรื่องครุฑน่ะ แล้วในเมื่อเจ้าเป็นนาค ไยจึงต้องอุตส่าห์ตรากตรำเดินทางมาถึงป่าหิมพานต์อันไกลโพ้นด้วยเล่า”
“ข้าหนีเสด็จปู่มาเที่ยว ข้าเบื่อนครบาดาล มองไปทางไหนก็เห็นแต่น้ำกับน้ำ ข้าชอบโลกมนุษย์มากกว่า มีอะไรน่าสนใจกว่านครบาดาลตั้งเยอะ”
“แล้วนี่เจ้าหนีออกมาได้กี่วันแล้ว” เจษฎา ถาม
“เจ็ดวันแล้ว”
“นานขนาดนี้ เสด็จปู่กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ของเจ้าคงเป็นห่วงเจ้าแย่แล้วกระมัง”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ปิลันท์นาคาช่วยปิดไว้ให้แล้ว กลัวแต่ว่าชลธิชาจะโดนลูกหลงไปด้วย”
“สองคนนั้นเป็นใครหรือ”
“สองคนนั้นเป็นน้องชายและน้องสาวของข้า ปิลันท์นาคา เป็นน้องชายที่สนิทกับข้าที่สุด ส่วนชลธิชาเป็นลูกของเสด็จลุงปุณยนาคราช”
“แล้วที่ว่านางจะโดนลูกหลงหมายความว่าอย่างไร?” รัตนมณีไม่เข้าใจที่วิรุฬหนาคา พูด
“ก็คราใดที่ข้าหนีขึ้นมา นางต้องโดนเสด็จปู่เรียกไปถามอยู่เรื่อย นางเป็นคนซื่อ ไม่กล้าโกหกเสด็จปู่หรอก ต่อให้อยากช่วยข้าก็ตามที ข้ากับปิลันท์นาคาก็เห็นใจนางจึงมักบอกให้รู้กันแค่สองคน นางจะได้ไม่รู้และไม่ต้องลำบากใจ แต่ถึงกระนั้นนางก็เดาออกอยู่ดี”
สุธรรมจินดาถามว่า
“แล้วเจ้าจะกลับเมื่อไร”
“เมื่อข้าเที่ยวเสร็จ” วิรุฬหนาคา ตอบหน้าตาเฉย
“กว่าเจ้าจะเที่ยวเสร็จ พวกข้าคงไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหรอกนะ วิรุฬหนาคา”
อินทรบอก วิรุฬหนาคาชักสนใจ
“พวกเจ้าจะไปไหนกัน”
“ไปเขาไกรลาส”
“ไปดูพิธีคัดเลือกผู้ที่จะได้รับตำแหน่ง ผู้ดูแลคัมภีร์กฤตยามนตร์ น่ะหรือ?”
“เจ้าก็รู้ข่าวเหมือนกันหรือ” กรรณาภรณ์ ถามบ้าง
“ข้าว่าข้ารู้ก่อนพวกเจ้าเสียอีก ในนครบาดาลก็มีข่าวลือหนาหู แม้แต่เสด็จพ่อก็ยังทรงเปรยว่า....เมืองเราน่าจะส่งลูกหลานคนใดคนหนึ่งไปเป็นตัวแทนของนครบาดาลบ้าง....บางทีพวกเขาอาจเลือกปิลันท์นาคา รายนั้นเขาเรียนดีที่สุดในหมู่พี่น้องทั้งหมด แล้วพวกเจ้าเลือกใครขึ้นไปบ้างหรือเปล่า? ”
ทุกคนแนะนำ เจษฎา อย่างภาคภูมิใจ
“นี้ไง พี่ใหญ่ของเราคนนี้แหละ”
แต่ผู้ถูกเอ่ยนามกลับมีท่าทีตรงกันข้าม
“ท่านนี้เองหรือ? ข้าไม่แปลกใจเลย ท่าทางท่านทั้งเก่ง ทั้งฉลาด น่าจะผ่านได้สบายๆเลยเนอะ” วิรุฬหนาคา ชมอย่างจริงใจ
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” เจษฎา อายจนทำหน้าไม่ถูก “ความจริงข้ามีเหตุผลนิดหน่อยที่ลงสมัคร แต่ข้ามิเคยคิดที่จะชิงดีชิงเด่นเลย”
“ไม่มีใครว่าพี่ใหญ่อย่างนั้นสักหน่อย คิดมากไปเองทั้งนั้น” ปิ่นสุวรรณ ต่อว่า ออกจะหงุดหงิดที่เจษฎาไม่มั่นใจในตัวเองเสียเลย มิหนำซ้ำยังอ่อนน้อมต่อวิรุฬหนาคาโดยไม่จำเป็นเสียอีก
“อย่าไปว่าพี่เขาสิ ปิ่นสุวรรณ” กรรณาภรณ์ หันมาดุ
“ไหนๆพวกท่านก็จะไปสวรรค์กันอยู่แล้ว ข้าขอไปพร้อมกับพวกท่านด้วยเลยก็แล้วกัน”
วิรุฬนาคา ตัดสินใจในทันทีอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาทุกคนตั้งหลักไม่ทัน
“เอาอย่างนั้นรึ” อมรสิงห์ถาม
“เอาอย่างนั้นแหละ แล้วพวกเจ้าจักไปกันอย่างไร”
“เรื่องนั้นมีทางอยู่แล้ว”
อินทร ตอบ ยักคิ้วให้นิดๆอย่างมีเลศนัย คนอื่นๆต่างยิ้มอย่างรู้กันอยู่ในที...
.........................................
ความคิดเห็น