ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คัมภีร์กฤตยามนตร์

    ลำดับตอนที่ #4 : สหายศึก ขลุ่ย พัด และดาบคู่ (แก้ไขแล้ว)

    • อัปเดตล่าสุด 2 ธ.ค. 52


    เสียงใสๆของไกฟ้าดังก้องป่าหิมพานต์ต้อนรับเช้าวันใหม่เหมือนทุกวัน  อังคตฤๅษีเรียกลูกศิษย์ทั้งหมดมาชุมนุมกันที่ลานกว้างแห่งหนึ่ง  มีกองอัคคีอยู่กลางวงล้อม  แต่ครานี้ต่างกันตรงที่มีประกายแสงสีขาวและสีฟ้าแซมตามเปลวของแสงไฟ  นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมประหลาดฟุ้งตระลบทั่วทั้งบริเวณ  เหล่าลูกศิษย์ต่างสงสัยอยากรู้ว่าพระอังคตฤๅษีพาพวกตนมาทำอะไรกัน  ยังไม่ทันจะถาม....อังคตฤๅษีก็พูดขึ้นมาเสียก่อน

    "อยากรู้ใช่ไหม?  ว่าเพราะอะไร....ข้าถึงพาพวกเจ้ามาที่แห่งนี้"

              บรรดาลูกศิษย์พากันพยักหน้า 

    "ผ่านมาปีเศษแล้วที่พวกเจ้ามาฝึกวิชากับตา  สำหรับเจ้าชาย  สุริยมณี และเจ้าชายสุธรรมจินดานั้น  ถึงแม้ว่าจะมีเวลาฝึกน้อยกว่าเพื่อน  แต่ด้วยพระปรีชาของพวกท่านจึงสามารถฝ่าฟันมาได้และบรรลุถึงแก่นวิชาได้เร็วกว่าคนอื่น"  อังคตฤๅษีเริ่มอธิบาย  "มาถึงวันนี้ตาเองก็ถ่ายทอดสรรพวิชาให้พวกเจ้าจนหมดแล้ว   ถึงเวลาที่พวกเจ้าจะได้กลับบ้านกลับเมืองกันสักที  แต่ก่อนที่พวกเจ้าจะกลับไป  ตาจักชุบอาวุธวิเศษให้พวกเจ้า....กองไฟกองนี้เกิดจากการการบำเพ็ญตบะของตาและรวมของวิเศษต่างๆเข้าไว้ด้วยกันจนสามารถเสกของต่างๆขึ้นมาจากกองไฟได้  เพียงแต่ของวิเศษนั้นมักเลือกเจ้าของด้วยตัวของมันเอง   พิธีนี้จึงขาดพวกเจ้ามิได้"

    อมรสิงห์ถามขึ้นเป็นคนแรกว่า
    "ทำอย่างไรหรือขอรับ
    ?"

    "พวกเราจะทำพิธีที่นี่เป็นเวลาเจ็ดวันเจ็ดคืน  เพื่อให้ได้อาวุธที่เหมาะสมกับพวกเจ้าทุกคน  ยกเว้น...จันทรรัตน์..."  อังคตฤๅษีมองมาที่ผู้ได้รับการเอ่ยนาม  "เจ้าเป็นศิษย์เพียงคนเดียวที่เรียนวิชาเกี่ยวกับการฝึกจิต   ต้องพึ่งพาตนเองมากว่าอาวุธอยู่แล้ว  จึงไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมพิธีด้วย"

    อังคตฤาษี กล่าวจบสุธรรมจินดาจึงรีบถามขึ้นมา

    "แล้วถ้าหากนางเกิดบาดเจ็บหรือสภาพจิตใจไม่นิ่งพอ   จนไม่สามารถใช้พลังจิตได้   จะทำอย่างไรเล่าขอรับ?"

    อังคตฤๅษีมองจินดาอย่างเข้าใจในความหมาย   ตอบว่า

    "องค์ชายก็ต้องคอยดูแลนางให้ดี   ในระหว่างที่พวกเรานั่งทำพิธีกันอยู่นี้   นางจะเป็นผู้ดูแลเราในด้านความปลอดภัย   ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด   ทุกคนจะได้อาวุธวิเศษของตนเองอย่างแน่นอน  เจษฎา เองก็มีอาวุธวิเศษประจำตัวอยู่แล้วก็คอยช่วยจันทรรัตน์อีกแรงก็แล้วกัน"

    "ขอรับ ท่านตา"

    เจษฎา รับคำและเดินออกไปยืนข้าง จันทรรัตน์

    "พี่ใหญ่มีอาวุธวิเศษแล้วหรือเจ้าคะ?  ข้าไม่เคยเห็นเลย"

    ปิ่นสุวรรณประหลาดใจนัก   เพราะตั้งแต่เจอกันครั้งแรกจนถึงเดี๋ยวนี้  พวกนางก็ยังไม่เคยเห็น เจษฎา หยิบจับอาวุธใดๆ  นอกเสียจากอาวุธต่างๆที่ใช้สอนพวกนางและมีดเล่มเล็กธรรมดาเท่านั้น   แต่เจษฎาก็แกล้งพูดเลี่ยงไปเรื่องอื่น

    "เริ่มพิธีกันเถอะขอรับ  เดี๋ยวจะเสียฤกษ์หมด  ข้ากับ จันทรรัตน์ จะรับเป็นธุระทางนี้ให้เอง"

              "อืม..."

              ฤๅษีอังคต ย่อตัวลงนั่งขัดสมาธิ  พวก อมรสิงห์ ย่อตัวลงนั่งตาม  แล้วทั้งหมดก็เริ่มเข้าสู่สมาธิ   เจษฎา หันไปบอกน้องสาวคนสนิท

    "ไปกันเถอะ จันทรรัตน์"

    นางพยักหน้าแทนคำตอบ    แล้วทั้งสองต่างออกไปทำหน้าที่ของตนบ้าง….

     

    ..............................................

     

      ชายหาดทางทิศใต้แห่งหนึ่งของแดนหิมพานต์  ใต้ต้นมะพร้าวสูงใหญ่ปรากฏร่างของบุรุษผู้หนึ่งยืนรับลมอยู่  ดูจากเครื่องแบบที่เขาสวมใส่แล้วก็สามารถรู้ได้ทันทีว่าเป็นหนึ่งในผู้ดูแลป่าหิมพานต์ทั้งแปดทิศนั่นเอง  เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด...สีหน้าสดชื่น  เขาหยิบขลุ่ยขึ้นมาและบรรจงเป่าเป็นเพลงไพเราะเสนาะหู


    ".....โอ้ว่าเจ้าสาลิการ้องเจื้อยแจ้ว          บนกิ่งแก้วข้าแว่วจำเรียงเสียง

                     การเวกเจ้าร่วมร้องมาคลอเคียง                   สองสำเนียงสกุณาน่ายลยิน…."


    พลันเสียงของใครบางคนดังแทรกขึ้นมากลางคัน


    "เจ้าแอบหนีงานมาเที่ยวอีกแล้วหรือ
    ?  คิริชาล"

    ผู้ถูกเอ่ยนามหยุดการบรรเลงแต่เพียงเท่านี้   แล้วหันไปมองที่ต้นเสียง   เห็นเป็นชายหนุ่มหน้าตาคมสัน  แต่งกายเช่นเดียวกันกับเขากำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ในอาณาบริเวณที่ไม่ไกลจากเขานัก

    "อินทร"

    เขาเรียกชื่อของอีกฝ่ายอย่างสนิทสนม   ฝ่ายนั้นยิ้มหน้าบานแล้วเหาะเข้ามาหา

    "ว่าไง   มีอะไรจะแก้ตัวไหม   ผิวข้าอาจจะใจอ่อนมิไปถวายรายงานท้าวสักกเทวราชว่าเจ้าแอบอู้งานที่ได้รับมอบหมาย"  อินทร ถามซ้ำพลางทำหน้าทะเล้น

    "เจ้ามันก็ช่างเที่ยวพอๆกันกับข้านั่นแหละอินทร   แล้วนี้ลมอะไรพัดเจ้าเตร่ลงมาถึงทางใต้ได้ล่ะนี่?   เจษฎานี้ก็เหลือเกิน....มัวแต่คุม ศิษย์น้อง จนลืมคุม ลูกน้อง....เจ้าถึงได้เตร่ลงมาถึงที่นี่ได้   เฮ้อออ....."

    ชายหนุ่มถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้าด้วยความระอาในนิสัยของเพื่อนรัก   แต่อีกฝ่ายยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน

    "อะไร้!   ข้าทักทายเจ้าแค่สองประโยค   แต่เจ้ากลับบ่นข้าเป็นวรรคเป็นเวร   นานทีปีหนจะได้แอบหนีงานมาพบเพื่อนเก่า   แต่เจ้ากลับไม่ดีใจกับข้าเลย   ซ้ำยังว่ากระทบนายข้าอีก"

    "นานทีปีหน?    เมื่อเดือนก่อนเราก็เพิ่งพบกันระหว่างทางขึ้นเขาพระสุเมรุ เพื่อไปเข้าเฝ้า ท้าวสักกเทวราชเพื่อรายงานสภาพของป่าหิมพานต์ส่วนที่ถูกรุกรานไม่ใช่เรอะ  อีกทั้งก่อนกลับพวกเราก็มาดื่มสุรากันที่ชายหาดนี้อีกต่างหาก   วันนั้นทั้งข้าและเจ้าเมาแอ๋เลย   กว่าจักกลับก็เช้าตรู่  ข้าโดนท่านรุกขเทวาเทศนาสั่งสอนอยู่เป็นอาทิตย์เลย  แล้วเจ้าล่ะ   พระอังคตมุนี ไม่ว่าเจ้าบ้างเลยหรือ?"

              คิริชาล เตือนความจำให้   และถามถึงผลที่ได้รับในวันนั้น   อีกฝ่ายตอบกลับมาอย่างชื่นมื่น

    "ไม่ว่าหรอก    มันเรื่องอะไรที่ข้าจักบอกให้ท่านอังคตฤๅษีรู้    ท่านจักได้ลงโทษข้าปะไร   แม้แต่นายท่านข้าก็ไม่บอก เขาหยุดเล่าไปชั่วอึดใจแล้วจึงกล่าวต่อด้วยสีหน้ายำเกรง   แต่นายท่านฉลาดมาก  พริบตาเดียวก็หลอกให้ข้าคายความจริงออกมาได้   ดีที่นายท่านเข้าใจเลยช่วยปิดไว้ให้   แต่ก็กำชับว่าห้ามทำเช่นนี้อีก   แล้วก็ฝากมาเตือนเจ้าด้วยว่าถ้าเกิดกรณีอย่างวันนั้นอีก   เรื่องคงทราบถึง อังคตฤๅษี   ดีไม่ดีจะถึงพระกรรณท้าวสักกเทวราชด้วย  จากนั้นแล้วคงไม่มีใครช่วยเจ้าและข้าได้" อินทร หยุดถอนหายใจชั่วครู่  แล้วจึงพูดต่อ "แต่พูดก็พูดเถอะนะ....ถึงนายท่านจะไม่พูดอะไรแต่ท่านก็ดุเอาเรื่อง   ทำเอาข้าหนาวสะท้านไปทั้งตัวทีเดียว   ตอนที่จับพิรุธข้าได้นายท่านมองข้าตาขวาง   จนข้ารู้สึกว่าถ้าขืนยังปากแข็งไม่พูดไม่จาอยู่อีก....แทนที่จะถูกท้าวสักกเทวราชลงทัณฑ์บนสวรรค์   ข้าคงจะโดนเจ้านายตัวเองเล่นงานเสียก่อน"

    อินทร พูดจบก็หันไปมองเพื่อนรัก  เห็นคิริชาลหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง

    "ฮ่าๆๆๆ   ไม่คิดว่าเจ้าจะกลัว เจษฎามาขนาดนั้น   แต่ถึงจะกลัวก็ยังแอบหนีงานมาอีกนี่   เดี๋ยวกลับไปข้าจะเตรียมธูปเทียนกับเครื่องเซ่นให้เจ้า....ดีไหม  ฮะๆๆ"

    "ก็เจ้าไม่ได้โดนเหมือนข้านี่ อินทรโวยวายใส่  เห็นท่าทางสงบเยือกเย็นอย่างนั้น    เวลาโกรธละ   จ้าวอสูรยังเรียกพี่    ยักษ์มารสบตายังผวาเก็บไปฝันร้ายได้เลย"

              อินทร พูดพลางคิดถึงสถานการณ์ตอนนั้น   สีหน้าหวั่นเกรงอย่างเห็นได้ชัด

    "เกินไปกระมัง....แต่ถึงกระนั้นข้าก็ยังไม่เคยเห็น เจษฎา เวลาที่โกรธสุดขีดสักที   เขาน่ากลัวอย่างที่เจ้าว่าจริงหรือ?" 

    คิริชาล ชักอยากรู้   แม้แต่ในหมู่เพื่อนฝูง   เจษฎายังดูเป็นคนลึกลับอยู่ไม่น้อย

    "สักวันหนึ่ง....เจ้าก็คงจะได้เห็นเอง"

              อินทรพูดพลางล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าสีเขียวสดซึ่งอยู่เหนือขึ้นมาจากชายหาดไม่ไกลนัก

    เขาแหงนมองฟ้าดูก้อนเมฆที่ทอดตัวยาวเป็นสายเหมือนคลื่นน้ำที่ซัดสาดเข้าสู่ชายฝั่ง   แล้วหวนนึกกลับไปถึงอดีต....ครั้งแรกที่เขาและ คิริชาล   พบกับ เจษฎา....


       ที่นี่   ในวันนั้น....

    "เจ้าเป็นใคร!  ไยจึงเข้ามาถึงที่นี้ได้"  คิริชาล ตวาดถามผู้ที่อยู่ตรงหน้า   อินทรตั้งท่าเตรียมต่อสู้อยู่ข้างๆตลอดเวลา    เพียงแต่คนอย่างอินทรนั้น

    "ข้าไม่ได้มาร้ายนะ    ข้าเพียงแต่อยากคนๆหนึ่ง    มีคนแนะนำว่าให้มาพบเขาได้ที่นี่   ให้ข้าเข้าไปเถอะ"

    คำตอบของฝ่ายตรงข้ามนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตั้งใจเป็นศัตรูด้วย   น้ำเสียงก็ออกจะฟังดูปกติ   ท่าทางไร้พิษสงเยี่ยงนี้ไม่น่าจักเป็นศัตรูร้ายได้    คิริชาลฟังแล้วมิได้นึกสงสัยอะไร   แต่อินทรยังไม่ยอมเชื่อ   ถามด้วยน้ำเสียงดูแคลน

    "เจ้าบอกว่ามีคนต้องการพบที่นี่    แล้วเขาคนนั้นอยู่จุดไหนของป่าล่ะ   แล้วเจ้าชื่อเสียงเรียงนามว่าไร  มีญาติพี่น้องที่นี่ไหม"

    "ข้าชื่อเจษฎา   แต่ข้าไมมีญาติที่ไหนหรอก   แต่มีคนแนะนำให้ข้ากลับมาที่นี่    ข้าตอบมากพอรึยัง"

              อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระชากนิดๆ   ไม่พอใจที่ถูกถามเซ้าซี้ราวกับตนเป็นคนร้าย

    "เฮอะ!  ไม่มีพยานยืนยัน   ยังรั้นจะเข้าไปอีก  ถ้าเจ้าเป็นยักษ์ปลอมตัวมาสร้างความเดือดร้อนในป่าหิมพานต์   แล้วข้ากับเพื่อนมิต้องโดนลงทัณฑ์เพราะเจ้าเรอะ"

    อินทร ถามอย่างไม่สนใจความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย   แต่แทนที่ เจษฎา จะตะคอกกลับ   เขากลับตอบอย่างใจเย็น

    "ที่ท่านว่าข้าไม่มีพยานยืนยันนั้นท่านคิดผิด   ข้าบอกไปแล้วว่ามีคนแนะนำข้าให้กลับมาที่นี่   ท่านผู้นั้นคือ ยาคะฤๅษี  หนึ่งในสี่มหาโยคีแห่งป่าทวารวดี   และข้อกล่าวหาที่ว่าข้าเป็นยักษ์แปลงนั้น   ข้าขอยืนยันว่าข้ามิได้เป็นอย่างที่ท่านคิด   อันคุณสมบัติของยักษ์นั้นต่างจากมนุษย์และเทวา    ต่อให้ยักษ์แปลงกายอย่างไรก็ตาม  คุณสมบัติเหล่านั้นของยักษ์ก็จักยังคงอยู่   แต่ข้าเองก็เหมือนกันกับท่านทุกประการมิใช่รึไง"

    เจษฎา ย้อนถาม   คิริชาลและอินทรพิจารณาดูก็เห็นจริงทุกประการ   แต่ยังมิวายตั้งคำถามต่อ

    "ในป่าหิมพานต์นี้มีทั้งอมนุษย์  สัตว์  และเทพบางจำพวก   มีทั้งเป็นมิตรและไม่เป็นมิตร   ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาจริง   แล้วเจ้ารอดชีวิตจากพวกที่เป็นอันตรายมาได้อย่างไร    โดยที่เจ้าไม่มีบาดแผลใดๆติดตัวเลย"

    คำถามข้อนี้มีผลให้ผู้ฟังมีท่าทีอึกอัก....มิใช่เพราะว่าตอบไม่ได้   แต่ไม่รู้ว่าควรจะตอบดีหรือไม่ต่างหาก....  คิริชาลจับจ้องคอยสังเกตอากัปกิริยาอยู่   เห็นได้ชัดว่าเจษฎามีท่าทีเปลี่ยนไป   อินทรเห็นแล้วก็ขี้เกียจซักต่อ   กลับสรุปความเอาเองเสียดื้อๆ

    "ถ้าเจ้าไม่ใช่ยักษ์แปลง  เจ้าก็ต้องเป็น..ปิศาจ..เป็นแน่   อย่าหวังว่าจะได้เข้าไปเลย"  ว่าแล้วก็ชักดาบคู่อาวุธประจำตัวขึ้นขู่ทันที  "เลือกเอา   จะตายอยู่ที่หน้าประตูทางเข้านี้   หรือจะกลับไปตามทางเดิมที่เจ้ามา?"

    "เรื่องแบบนี้มันเล่าลำบาก   แต่ข้าไม่ได้เป็นปิศาจอย่างที่ท่านคิดนะ" เจษฎาพยายามที่จะอธิบาย   แต่ดูท่าทีฝ่ายตรงข้ามแล้วก็นึกหวั่นว่าสิ่งที่พูดไปอาจไร้ผล....แล้วก็เป็นดังที่คาดการณ์ไว้   อินทร ตวัดดาบและพุ่งเข้าใส่เขาทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ตั้งตัว

    "กระบวนดาบปราบมาร   กรงเล็บนรสิงห์"

    อินทร จู่โจมด้วยกระบวนท่าที่ตนถนัดมากที่สุด


    (เดิมที อินทร คือศิษย์เอกของวันทนดาบสคู่กันกับ คิริชาล    ซึ่งวันทนดาบสเองก็เคยบำพ็ญตบะอยู่ในป่าหิมพานต์และเป็นสหายสนิทกับ อังคตฤๅษี   แต่เนื่องจาก วันทนดาบส ต้องจาริกไปยังที่ต่างๆตลอดเวลา  จึงไม่ค่อยมีเวลาสอนสรรพวิชาให้กับลูกศิษย์มากนัก    ก่อนที่จะออกจากป่านี้ไป   วันทนดาบสได้มอบดาบคู่ให้กับ อินทร พร้อมทั้งประสาทวิชาบทสุดท้ายให้    นั่นคือ...กระบวนดาบปราบมาร     แต่ในตำราที่มอบให้มีเพียงรูปวาดเท่านั้น   ด้วยความที่เป็นคนฉลาด  อินทรจึงสามารถฝึกกระบวนดาบสำเร็จภายในเวลาเพียงสองปี    และบัญญัตินามของกระบวนดาบท่าต่างๆไว้ดังนี้

    กระบวนที่ ๑     ฉัททันต์ประสานงา...ตั้งรับการรุกและสังเกตการเคลื่อนไหว   

    กระบวนที่ ๒    เหมราชเริงระบำ...ท่วงทีการเคลื่อนไหวอ่อนช้อยแต่ทำลายได้มากในคราวเดียว

    กระบวนที่ ๓     กรงเล็บนรสิงห์...ใช้ทั้งความรวดเร็วและรุนแรงในการฟาดฟันศัตรู

    กระบวนที่ ๔     ไกรสรสำแดงเดช...เน้นความรุนแรงในการทำร้ายมากกว่าความเร็ว

    กระบวนที่ ๕     ราชสีห์สังหาร...ใช้พลังทั้งหมดสังหารศัตรูในเพลงเดียว

    ด้วยกระบวนดาบทั้งห้านี้ส่งผลให้เขาได้รับการยอมรับจากเหล่าเทพ   และได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในแปดของผู้ดูแลป่าหิมพานต์)

     

    ด้วยกระบวนดาบที่รวดเร็วและรุนแรงทำให้ เจษฎา มารถรับรู้ได้ถึงความสามารถของอีกฝ่าย

    "ฝีมือไม่ธรรมดาเลย  การเคลื่อนไหวก็ไม่มีติดขัด  แรงที่พุ่งเข้าใส่ก็ทำเอาเกือบแย่  หนำซ้ำแทงเราไม่ยั้งมือ"

              เจษฎา หลบดาบได้ตลอดก็จริงอยู่  แต่ด้วยสัญชาตญาณจึงเริ่มจะโต้ตอบบ้าง    พลันปรากฏมีพัดขนนกสีขาวขึ้นในมือ

    "ยอดวิชาแห่งวายุ  บทที่๑...ตรีวชิรวาตา"

    ขาดคำ  ลมพายุจากแปดทิศ  ทั้ง  อุดร  ทักษิณ  บูรพา  ประจิม  พายัพ  อิสาน  หรดี  และ อาคเนย์   ต่างพัดมุ่งตรงมาบรรจบตรงหน้า  เจษฎา  จากนั้นจึงแยกกันเป็นสามสาย  สายหนึ่งพุ่งเข้าปะทะกับดาบและที่หน้าของ อินทร  อีกสองสายเข้าล้อมหน้าล้อมหลังไว้

    "ข้าคิดอยู่แล้ว  ว่าเจ้าต้องไม่ธรรมดา" อินทร เปรยออกมา

    เสมือนเจษฎาใช้พลังควบคุมกระแสพลังลมให้ทำงานได้ดังใจนึก  เขาโบกพัดทีหนึ่ง...   พายุสายแรกพัด อินทร กระเด็นไปกระแทกกับต้นไม้ใหญ่ข้างหลังโครมใหญ่จนต้นไม้ไหวเอน   ร่างเหมือนถูกตรึงแน่อยู่อย่างนั้น   อีกสองสายที่ล้อมตัวอยู่เมื่อกี้นี้พัดเฉือนผิวเนื้อไปมาราวกับแส้   รู้สึกปวดแสบที่บาดแผลยิ่งนัก  แต่ไม่มีเสียงร้องใดใดเปล่งออกมา   คิริชาล วิ่งเข้าไปช่วยเพื่อน  แต่ถูกแรงลมสะบัดกระเด็นออกมา   

    "เจ้าคิดจะทำอะไร!?"

              คิริชาลตวาดถามเจษฎาซึ่งกำลังใช้คาถาเพียงบทเดียว  เล่นงานเพื่อนรักจนย่ำแย่ต่อหน้าต่อตา   มือของเขาหยิบขลุ่ยคู่กายออกจากออกเสื้อ   มันเป็นได้ทั้งเครื่องเล่นแก้เหงาและ...อาวุธร้าย...ได้ในคราวเดียวกัน    ทว่า...เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด   ขลุ่ยของเขาเมื่อถูกมือบีบเข้าหน่อยกลับแหลกละเอียดมิเป็นชิ้นเป็นอัน   เขามองเศษไม้ในมือด้วยความตะลึงงัน

              นี้มันอะไรกัน   รึว่าสายลมเมื่อกี้...  

    เจษฎาหันมามองคิริชาล แวบหนึ่งแล้วหันกลับไปมอง อินทร อีกรอบ  ตอนนี้ร่างของ อินทร มีแต่แผลกับเลือดเต็มตัว  สีหน้าของอินทรบ่งบอกว่าเจ็บปวดเพียงใด  แต่กลับไม่ยอมร้องออกมาแม้แต่คำเดียว  เจษฎาโบกพัดลง  ทุกอย่างรอบตัวจึงกลับเป็นปกติ  ร่างของอินทรร่วงลงกองกับพื้น   คิริชาลรีบวิ่งเข้าไปประคองเพื่อน   ทั้งสองหันมามอง เจษฎาอย่างยากที่จะบรรยายความรู้สึก  บัดนี้  พวกเขารู้แล้วว่าวิชาของเจษฎาร้ายกาจเพียงใด

    เจษฎา จ้องมองพวกเขานิ่ง  ลมจากแปดทิศยังคงหมุนวนอยู่รอบตัวของเขาก่อนจักสลายพลังไป

    "ขอโทษนะ   ที่ข้าทำรุนแรงอย่างนี้   แต่เจ้าก็ไม่น่าบังคับข้าเลย"

              เจษฎากล่าวเสียงเรียบ  อินทร กับ คิริชาล หันมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ  ทีแรกพวกเขานึกว่า เจษฎา จะถือเอาจังหวะนี้เล่นงานพวกเขาในทีเดียวเสียอีก 

    "เดี๋ยวข้าจะช่วยรักษาแผลให้เอง"

    เจษฎาบอกกับอินทร ซึ่งมีท่าทางเหมือนกับไม่เชื่อที่เขาพูด   พลางยกดาบขึ้นป้องกันตนเองกับคิริชาลเอาไว้  เจษฎาอ่านความคิดของอินทร ออกจึงไม่เดินเข้าใกล้

    "ขลุ่ยของเจ้าที่พังไปข้าไม่รู้ว่าควรจักชดใช้อย่างไร    แต่ข้าเชื่อว่าข้าพอจักซ่อมแซมให้เจ้าได้   แม้นว่ามันอาจไม่ดีเหมือนเดิมแต่ก็เป็นสิ่งที่ข้าพอจะช่วยได้มากที่สุด"

              เขาร่ายมนต์เพียงชั่วครู่    เศษซากของขลุ่ยที่ตกกระจายอยู่บนพื้นก็กลับมาเรียงตัวกันเป็นรูปขลุ่ยเลาเดิม   ทั้งรอยแตกยังสมานกันสนิท   เพื่อให้ทั้งสองคลายใจและไม่ระแวงสงสัยในตัวเขาอีก  เจษฎาจึงเก็บสมุนไพรสมานแผลกลับมาให้

    "นี้คือ ว่านวาสุกรี  เป็นยาสมานแผลอย่างดี  ส่วนนี้คือ ดอกพิมลมาลา  ต้มน้ำและให้เขาดื่มจะช่วยฟื้นฟูกำลังได้ดี  ทั้งกลิ่นหอมเย็นของดอกยังช่วยให้หลับสบายอีกด้วย  ส่วนที่เหลือนี้คือสมุนไพรบางชนิดที่ช่วยในการรักษาแผล  และบรรเทาอาการเจ็บปวดได้"

    เจษฎา สาธยายให้ คิริชาล และ อินทร ฟังเป็นฉากๆ

    "แล้วนี้คืออะไรล่ะ" คิริชาล หยิบใบไม้สีเทาเรียบเป็นมันในกองสมุนไพรขึ้นมาพิจารณาอย่างใคร่รู้

    "นั่นคือ ใบเมฆิน  ตามปกติมันมักจะขึ้นอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่แข็งแรง  มีสรรพคุณในการช่วยบรรเทาพิษบาดแผลให้เจ็บปวดน้อยลง  ตามปกติสามารถพบมันได้ทุกที่ที่มีต้นไม้ใหญ่  เพราะมันจัดเป็นวัชพืชชนิดหนึ่งเหมือนกัน"

              คิริชาลนึกทึ่งในความรู้ความสามารถของชายผู้นี้   แม้แต่เขาซึ่งคลุกคลีอยู่ในป่ามาแต่กำเนิดยังไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้เลย

    เจ้ารู้เรื่องพวกนี้มาจากไหนกัน

     

    "พอได้แล้ว!   รีบรักษาแผลให้ข้าก่อนแล้วค่อยคุยเรื่องสมุนไพรกันต่อก็คงจะยังไม่สายหรอกมั้ง"

    เสียงของอินทร ซึ่งกำลังหงุดหงิดเพราะเจ็บแผลโวยวายใส่คนรอบข้าง   คิริชาลจึงเพิ่งนึกขึ้นได้แล้วรีบมาดูแผลให้  เจษฎา รีบกลับไปบดยาต่อ

     

    ......................

     

    คืนนั้นแสงดาวพราวระยับบนฟากฟ้า    อินทรหลับเป็นตายด้วยความเหนื่อยและเพราะไข้จากพิษบาดแผล   คิริชาลเห็นเพื่อนหลับสนิทจึงเดินออกมานั่งคุยกับเจษฎา 

    "เพื่อนท่านเป็นอย่างไรบ้าง?"

              เจษฎา ถามพลางโยนกิ่งไม้แห้งเข้ากองไฟ

    "มีไข้นิดหน่อย  พรุ่งนี้เช้าคงหาย   ว่าแต่...ข้าขอถามอะไรหน่อยสิ"

    คิริชาล น้ำเสียงจริงจัง

    "เจ้าคงอยากจะถามเกี่ยวกับวิชาที่ใช้เมื่อกลางวันกระมัง?"

              เจษฎา เดาใจ   อีกฝ่ายพยักหน้ารับ

    "ใช่  ดูผิวเผินมันก็เป็นวิชาที่ไม่ว่าใครที่มีอิทธิฤทธิ์ก็สามารถทำได้  แต่การควบคุมธรรมชาติมันไม่ใช่เรื่องง่าย  และผู้ที่จะควบคุมมันได้ก็มีแต่เทพชั้นผู้ใหญ่ผู้ที่ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อมวลมนุษย์เท่านั้น  ถึงข้าและอินทร จะมีวิชาและมีฤทธิ์อยู่บ้าง  แต่ก็เป็นเพียงสิ่งที่...เทพเบื้องล่าง...พอจะบรรลุได้เท่านั้น  นอกนั้นแล้วล้วนขึ้นอยู่กับเทพชั้นสูงและพรหมลิขิตทั้งสิ้น  ดังนั้นต่อให้ข้าและอินทรจักพยายามขนาดไหน  ก็เป็นได้แค่ผู้ดูแลป่าหิมพานต์เท่านั้น"

              คิริชาล พูดจบก็หันมามองเจษฎาอีกรอบ

    "นี้เจ้ากำลังคิดว่าข้า...เป็น...." เจษฎา อ่านความคิดของ คิริชาล ได้ทะลุปรุโปร่งว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่  คิริชาลพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ

    "ท่านเป็น...วายุเทพ...ที่ข้ากล่าวถึงใช่หรือไม่"

    "...."

    "ตอบมาสิ  ไม่ต้องเป็นกังวลหรอก  มีแต่ข้าและ อินทร เท่านั้นที่จะรู้เรื่องนี้  เราแค่อยากฟังเหตุผลของท่าน"

              คิริชาลคาดคั้น   เจษฎาถอนหายใจและส่ายหน้า

    "ข้าไม่ได้เป็นเทพอย่างที่ท่านเข้าใจหรอก   ถ้าจะเรียกให้ถูกก็คือเป็นเชื้อสายของเทพมากกว่า  แต่ก็ช่างมันเถอะนะ  มันไม่ได้สำคัญอะไรหรอก"

    "อย่าหาว่าข้าเซ้าซี้ท่านเลย  ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น   ไยท่านจึงไม่บอกพวกเรามาตามตรงเล่า  แล้วท่านมาที่นี้เพราะอะไร  คงไม่ได้แค่มาพบคนคนนั้นอย่างที่บอกไว้ใช่ไหม

    "พูดไปก็เหมือนโอ้อวด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน  ข้ามันก็แค่สายเลือดก้อนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยคนอื่นที่มิใช่ญาติ    ด้วยนิสัยของข้าเยี่ยงนี้จึงมิค่อยมีเพื่อน   หลังจากนั้นก็เจอกับอสูรกลุ่มหนึ่ง...มันเล่นงานด้วยวิธีสกปรกจนต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้   ส่วนคำถามที่ว่าข้ามาที่นี่ทำไมนั้น....เหตุเพราะข้าสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องขึ้น  ซึ่งบางทีข้าอาจจะคิดไปเองก็ได้  แต่ถึงข้าไม่มาที่นี่ข้าก็ไม่มีที่ไปที่ไหนอีกแล้ว  ที่นี่คือบ้านเกิดและเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับข้าในยามนี้   เฮ้อ....  นึกแล้วสมเพชตัวเอง   หากข้ามีฤทธิ์เดชมากมายเยี่ยงบรรพบุรุษของข้า   ข้าก็คงแก้ไขปัญหานี้ได้เองโดยไม่ต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากอย่างนี้หรอก"

    เจษฎาระบายความรู้สึกออกมาราวกับอัดอั้นตันใจมานาน   คิริชาลนั่งฟังเขาตั้งแต่ต้นจนจบ   รู้สึกได้ว่าเขามิใช่คนจิตใจเย็นชาดุจน้ำแข็งอย่างที่คาดไว้ตอนแรก   ภายใต้ใบหน้าสงบนิ่งกลับแฝงความอ้างว้างไว้ด้วย   และหากเขาไม่ยึดถือคุณธรรมแล้วคงต้องถือโอกาสนี้เอาคืนอินทรที่หาเรื่องทำร้ายเขาในตอนแรก    คนเยี่ยงนี้ฤๅจักมีเขี้ยวเล็บทำร้ายคนได้  

       "ถ้าเช่นนั้น  ขอถามอีกสักข้อ   ท่านเรียนรู้วิชาการแพทย์มาจากไหนกัน  จากที่ฟังท่านบรรยายสรรพคุณสมุนไพรอย่างละเอียดแล้ว   ความรู้ด้านนี้ของท่านก็มิใช่ชั่ว   หาได้เป็นรองวิทยายุทธ์ของท่านแม้แต่น้อย"

    อีกฝ่ายได้ฟังแล้วยิ้มบาง  ราวกับที่กล่าวมานี้เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เขาภาคภูมิใจ 

                "หากมิใช่เพราะ  พระมารดาของข้าเป็นเทพธิดาแห่งการรักษาแล้วละก็  ข้าก็คงไม่รู้เรื่องพวกนี้ได้หรอก"

    เขาฟังพลางครุ่นคิด   ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง   มิน่าเล่า  คนฉลาดหลักแหลมเยี่ยงนี้หาได้ยากนัก  และเป็นธรรมดาที่คนประเภทนี้มักไร้มิตรสหายด้วยสติปัญญาที่เหนือกว่าผู้อื่น  

    "แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป"

    "ท่านยาคะฤๅษีแนะนำให้ข้ามาพึ่งพาท่าน อังคตฤๅษี   ซึ่งท่านกำลังพำนักอยู่ในป่านี้"

    "หวังว่าท่านฤๅษีคงจะช่วยท่านได้"

    "ข้าก็หวังไว้เช่นนั้น"

    "ถ้ามีอะไรให้ข้าช่วยก็บอกได้นะ  หากข้าพอจะทำอะไรได้ข้าจะช่วยเต็มที่" คิริชาล กล่าวอย่างจริงใจ

    "ขอบคุณท่านมาก" เจษฎาตอบรับอย่างยินดี

    ทั้ง คิริชาล และ เจษฎา ต่างนั่งคุยกันต่อจนดึก  โดยไม่รู้ตัวว่าอินทรกำลังเงี่ยหูฟังในสิ่งที่พวกเขาคุยกัน  หาใช่หลับสนิทไปแล้วอย่างที่พวกเขาคิด...

    อินทรฟังไปก็เดาเรื่องตามไป  พอจักจับต้นชนปลายได้    แต่แล้วคำสอนของ วันทนดาบส ผู้เป็นอาจารย์พลันแล่นเข้ามาในห้วงความคิด

    "เจ้าจงจำคำสอนของข้าไว้  เจ้านาย...ของเจ้าคือเชื้อสายแห่งเทพผู้ยิ่งใหญ่   เป็นผู้มากด้วยความแข็งแกร่งทั้งทางยุทธ์และทางใจ   เมื่อพบเขาเมื่อใด   เจ้าจงนอบน้อมเป็นข้ารับใช้ของเขาผู้นั้น   ดวงชะตาของเจ้าถูกลิขิตไว้แล้ว  จงทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุดอย่าให้อาจารย์ต้องผิดหวัง"

              อินทร คิดแล้วหันกลับมามองตัวเอง....เป็นดังที่ วันทนดาบส ว่าไว้ไม่มีผิด 

    "อินทรเอ๋ย   ไยเจ้าจึงใจร้อนเยี่ยงนี้    หากพลั้งเผลอฆ่ากันตายขึ้นมาจริงๆมิแย่รึ"

              อินทร นึกตำหนิตนเองที่มัวแต่ถือทิฏฐิ   คิดแต่จักเอาชนะ  จนเกือบทำร้ายผู้อื่น   เฝ้าย้ำเตือนตนเองว่าจักมิให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีกเป็นเด็ดขาด   แล้วจึงผลอยหลับไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

    ทั้งสามตื่นแต่เช้าตรู่และเก็บสัมภาระเตรียมตัวเดินทางต่อ  พลันสายตาเหลือบไปเห็น อินทร เดินเข้ามา

    "ตื่นเร็วดีนี่    บาดแผลเป็นอย่างไรบ้าง?" เจษฎา ทักโดยมิได้หันมอง  มือทั้งสองยังคงง่วนอยู่กับการเก็บของ

    "ดีขึ้นมากแล้ว  แล้วนี่จะรีบไปแต่เวลานี้เชียวหรือ?"

    "ใช่  เพราะข้าไม่รู้ว่า อังคตฤๅษี พำนักอยู่ที่ไหน  ถ้าไม่รีบตามหาเดี๋ยวจะต้องค้างอ้างแรมให้เสียเวลาอีก"

    "ข้าจะช่วยนำทางให้เอง"

    "อะไรนะ?"

    "เพื่อเป็นการตอบแทนที่เจ้าช่วยรักษาข้า  ข้าจะช่วยนำทางเจ้าไปหาท่านฤๅษี   และมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้าจะพูดกับเจ้าด้วย"

    "เรื่องอะไร?"

    "ไว้บอกเมื่อถึงพระอาศรมของท่านฤๅษีแล้ว" อินทร รวบรัดตัดความและเดินออกไป  สวนทางกับ คิริชาล ซึ่งเดินเข้ามาทีหลัง

    "เขาพูดอะไรกับเจ้าหรือ?"

              คิริชาล ถาม  บัดนี้ทั้งเขาและเจษฎาเป็นเพื่อนสนิทกันไปเรียบร้อยแล้ว

    "เขาจะช่วยนำทางให้ข้าไปพบอังคตฤๅษีนะสิ" เจษฎาตอบตามตรง

    "ไม่น่าเชื่อ"

              คิริชาล มองตามหลังเพื่อนรักไปด้วยความประหลาดใจ    ทั้งสองมองหน้ากันต่างฝ่ายต่างไม่เข้าใจ   แต่ก็มิได้คัดค้านความต้องการของเพื่อนพวกเขาใช้เวลาเพียงค่อนวันเดินทางจนถึงพระอาศรมของ อังคตฤๅษี โดยการนำทางของอินทร   พระอังคตฤาษี ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดของ เจษฎา แล้วจึงแสดงความเห็น

    "เอาเถอะ  ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว  ข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง  แต่ในระหว่างนี้ยังไม่มีโอกาสที่เหมาะสม  ข้าว่าข้าหางานให้เจ้าทำไปก่อนดีกว่า  ฟังจากที่ อินทร กับ คิริชาล เล่าด้วยแล้ว   เจ้าเองก็เป็นคนมีวิชาความรู้   เจ้าน่าจะเป็นผู้ดูแลป่าหิมพานต์เหมือนกับพวกเขาด้วย   ตอนกลางวันเจ้าก็ไปทำงานกับพวกอินทร  ตอนเย็นเจ้าก็มาช่วยข้าจัดเรียงตำรา   งานสองอย่างนี้เจ้าทำไหวไหม?"

    "ไหวขอรับ"

    เจษฎายอมรับอย่างง่ายดาย   ในยามนี้คงไม่มีหนทางอื่นที่จะดีไปกว่าเงื่อนไขของฤๅษีอังคตอีกแล้ว 

    "ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงตามนี้  ว่าแต่เจ้ามีอาวุธประจำตัวหรือเปล่า  คนที่จะทำหน้าที่ดูแลป่าหิมพานต์จะต้องมีอาวุธประจำตัวทุกคนนะ"

    ผู้ถูกถามนิ่งไปชั่วครู่หนึ่ง  แล้วจึงแบมือออกตรงหน้า อังคตฤๅษี   เพียงพริบตาเดียวอาวุธก็ปรากฏขึ้นบนมือ  ต่อหน้าทุกคนที่นั่งมองอย่างสนใจ   บนมือขวาคือพัด...อนันตวายุ...แต่บนมือซ้ายกลับเป็น...ตรีศูล...

    "อืมม..." อังคตฤๅษี เอื้อมมือไปหยิบอาวุธบนมือขออง เจษฎา ขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์

    "ตรีศูล!  เทพอาวุธของ องค์อิศรา" คิริชาล และ อินทร อุทานพร้อมกัน

    "เจ้าได้มันมาจากไหน?" อังคตฤๅษี หันมาถามเจ้าของอาวุธ  ซึ่งกำลังนั่งมองท่านด้วยสีหน้าเรียบเฉย

    "พระพาย...ท่านพ่อทรงประทานให้ข้าเมื่อนานมาแล้วขอรับ"

    "มีผู้ใดรู้เรื่องนี้อีกบ้าง?"

    "นอกจากพวกเราในตอนนี้  ไม่มีผู้ใดล่วงรู้"

    "ดีแล้ว  คนอื่นรู้มากไปก็เท่านั้น" อังคตฤๅษี กล่าว "ตรีศูลนี้ดูท่าจะเป็นของสำคัญมาก   หากไม่จำเป็นจงอย่าใช้มัน   ใช้แต่พัดก็พอ   คราวนี้ก็จบเรื่องแล้ว...

    "ยังไม่จบขอรับ"

              อินทร ขัดขึ้นกะทันหัน  แล้วพูดกับ เจษฎา

    "โปรดรับข้าเป็นข้ารับใช้ด้วย" อินทร กล่าวตรงไปตรงมา   ซ้ำยังคำนับให้อีก  ทำเอาผู้ถูกคำนับกึ่งงงกึ่งตกใจจนวางตัวไม่ถูก  คิริชาล เองก็งงกับอาการของเพื่อน  แต่ อังคตฤๅษี กลับมีสีหน้ายิ้มแย้มตามปกติ  "โปรดรับข้าเป็นข้ารับใช้ของท่านด้วย" อินทร ย้ำประโยคเดิม  

              "งงอะไร?  รับเขาไว้สิ" 

              ฤๅษีอังคตกล่าวเป็นเชิงสั่ง   แต่อีกฝ่ายกลับลังเล

    "แต่ว่า...." 

    "แต่อะไรอีก   จนถึงตอนนี้ยังดูเขาไม่ออกอีกหรือ" อังคตฤๅษีถาม "ถ้าเขาไม่เต็มใจจริง  เขาจะกล้าพูดต่อหน้าเพื่อน  ต่อหน้าข้าเช่นนี้หรือ   วันทนดาบสสหายข้าฝากฝังเขาไว้กับข้าเรื่องคำทำนายนั่น   หากข้าไม่ทำตามสัญญา   ข้าจักมีหน้าบวชเป็นฤษีต่อไปได้อย่างไร  เจ้าเองก็เช่นกัน   ถ้าอินทรกับข้ามิเห็นว่าเจ้ามีคุณสมบัติตามคำทำนายนั่น   อินทรก็คงไม่ยอมอ่อนน้อมด้วย   และข้าก็คงไม่สนับสนุนเจ้า"

    เจษฎา มองหน้าอังคตฤๅษีทีมองหน้าอินทรอีกที    เห็นอินทรยังคงจ้องหน้าตนอยู่ด้วยสีหน้าจริงจัง  คนอย่างนี้หากปฏิเสธซ้ำมีหรือจะยอม   สุดท้ายจึงตัดสินใจ

    "ตกลง   ข้าขอรับเจ้าเป็นข้ารับใช้ของข้า"
    อินทร จึงสาบานตนต่อหน้าผู้ทรงศีล

              "ข้าเองก็ขอเป็นทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านไปจนตลอดชีวิต"

    "เท่านี้ก็เรียบร้อยเสียที"

              อังคตฤๅษี กล่าวปิดพิธี   อินทรและคิริชาลจึงลากลับไปทำหน้าที่ของตนต่อ  และเจษฎาเองก็ต้องทำหน้าที่ทั้งสองอย่าพร้อมกัน  กลางวันเขาต้องทำหน้าที่ดูแลป่าหิมพานต์  ตอนกลางคืนก็ต้องทำหน้าที่จำเรียงตำราให้ อังคตฤๅษี  เนื่องจากต้องทำหน้าที่นี้...จึงทำให้เขามีโอกาสได้ศึกษาตำราโบราณต่างๆ  ยังผลให้เขามีความรู้ความสามารถมากขึ้นเป็นเท่าทวี  จากที่มีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศอยู่แล้วเป็นทุนเดิม....

     

    เวลาล่วงเข้ายามบ่ายแล้ว   อินทรยังคงนอนคิดอะไรต่อมิอะไรเรื่อยเปื่อย   จนกระทั่งคิริชาลเอ่ยเตือนเวลา  

    "บ่ายแล้วพวกเรายังไม่ได้เริ่มทำงานอะไรกันเลย  มีหวังโดนดุอีกแหงๆ  เจ้าไม่กลัวบ้างรุยังไง"

    "ไม่เห็นต้องกังวล  ก็มันไม่มีปัญหาอะไรจริงๆนี่นา"

              อินทร กล่าวอย่างไม่สนใจ

    "ข้าว่าเจ้าน่าจะกลับไปช่วยเจษฎาดูแลศิษย์น้องดีไหม?"

    "อย่าเลย  มีหวังข้าได้ตีเด็กตาย  ข้าไม่ได้ใจเย็นเหมือนนายท่าน"

    อินทร พูดกลั้วหัวเราะ

    "ถ้าเช่นนั้น  เราก็ควรแยกย้ายกันไปทำงานต่อสักที"

    คิริชาล สรุป   อย่างน้อยก็ยังดีกว่ามานอนเอกเขนกว่างงานกันอยู่อย่างนี้

    "เอาไงเอากัน"

    อินทร ลุกแล้วแยกออกไป  คิริชาล เองก็แยกไปอีกทางหนึ่งเช่นกัน  ลับหลังที่ทั้งสองไปแล้วเกิดมีแรงดันมหาศาลอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาจากท้องทะเล  ตามด้วยร่างของนาคสีเขียวมรกตตัวหนึ่งพุ่งขึ้นมา   นาคตนนั้นพุ่งตัวมาเกยอยู่บนชายหาด   แล้วกลับกลายร่างเป็นชายหนุ่มรูปงาม   สวมชุดเช่นราชนิกุลชั้นสูงสีเขียวมรกต  ตัดด้วยสีทองอร่ามของอาภรณ์ทั้งที่หน้าอก  แขน  และข้อเท้า  ร่างกายแข็งแรงกำยำ  นาคตนนั้นหันรีหันขวางอย่างระมัดระวัง

    "เฮ้อ...ไปกันเสียที  ข้าอุตส่าห์รอตั้งนาน  ถ้าไม่รีบกลับละก็มีหวังโดนเสด็จปู่กับเสด็จพ่อรุมเทศนาหูชาแน่  ว่าแต่จะไปเที่ยวทางไหนก่อนดีเอ่ย เขาคิดตัดสินใจ  ตามคนนั้นไปก็แล้วกัน"


    คิดแล้วเขาก็เหาะตาม อินทร ไปห่างๆ  โดยไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว

     

    ...................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×