ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คัมภีร์กฤตยามนตร์

    ลำดับตอนที่ #3 : เจ้าชายสองพี่น้องจากเมืองลับแล (แก้ไขแล้ว)

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 52


    เอาล่ะ  วันนี้พอแค่นี้ก่อน

    ฤๅษีอังคตกล่าวอย่างอารี  ลูกศิษย์ทำความเคารพอาจารย์อย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง  กรรณาภรณ์  ปิ่นสุวรรณ รัตนมณี ชวนกันคุยฟุ้งถึงวิชาที่ได้ร่ำเรียน  อมรสิงห์เดินไปฟังไปอย่างมิได้ใส่ใจนัก    ดวงตาทอดมองไปยังไพรสัณฑ์ที่ทอดไกลสุดสายตา  ใจนึกถึงเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มิได้อยู่ร่วมด้วย

    วันนี้ท่านตาฝึกพวกเราหนักกว่าทุกวันนะ  ว่าอย่างนั้นไหม?” เสียงปิ่นสุวรรณบ่นเรื่อยเปื่อย ไม่รู้ว่าป่านนี้จันทรรัตน์ฝึกวิชาไปถึงไหนแล้ว

    เขาทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้

    นั่นสินะ  ช่วงนี้จันทรรัตน์ไม่อยู่  ข้าจึงมิได้ยินเสียงแว้ดๆของนางกับปิ่นสุวรรณ ป่าแถบนี้เงียบสงบลงเยอะเลย ว่าไหม?

    ถูกของเจ้า  ในโลกนี้คงไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำกับปิ่นสุวรรณได้เท่านางอีกแล้ว

    รัตนมณีช่วยผสมโรง ผู้ถูกนินทาหันกลับมาโวยวายใส่

    อย่ามามองข้าอย่างนี้สิ  ข้ากับนางทะเลาะกัน  ก็ต้องบอกผิดทั้งสองฝ่ายมิใช่รึไง?

    แต่เท่าที่พวกเราเห็น  มีแต่เจ้านั้นแหละที่เป็นฝ่ายยั่วโมโหนางก่อน

    กรรณาภรณ์เอ่ยตรงๆ  อมรสิงห์พยักหน้าเห็นด้วย  อีกฝ่ายแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้วยความคึกคะนอง  ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดนิสัยช่างแกล้งยียวนกวนโทสะของนางก็ยังคงแก้ไม่หาย

    เดินมาถึงมุมสงบใต้ร่มไทรซึ่งห้อมล้อมไปด้วยไพรพฤกษาน้อยใหญ่เป็นบริวารอันเป็นถิ่นที่จับจองไว้นับแต่วันแรกที่เข้ามาในสำนัก  หลังจากฝึกวิชาศาสตราวุธแล้วพวกเขามักจะมาบำเพ็ญเพียรเพื่อฝึกฝนจิตใจอยู่ที่นี้เสมอ  หากแต่พักหลังมานี้เหลือเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี้  ส่วนจันทรรัตน์นั้นต้องแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง  เพื่อมิให้มีสิ่งใดรบกวนอันจะเป็นอุปสรรคในการฝึกวิชาของนางตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์  แต่ละเดือนมีเพียงสองวันเท่านั้นที่นางจะได้กลับมาอยู่ร่วมกับพวกเขา  นี้ผ่านมาหลายวันแล้วเขายังมิเห็นวี่แววของนางกับเจษฎาที่ไปด้วยแม้แต่น้อย

     แล้วศิษย์พี่จะกลับมาด้วยหรือเปล่านะ?

    กรรณาภรณ์ถามอย่างไม่แน่ใจ  ด้วยเจษฎานั้นมักชอบปลีกวิเวกอยู่ตัวคนเดียวเสียมากกว่าการอยู่ร่วมสรวลเสเฮฮากับพวกนาง  แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้นเขาก็ยังมีความรับผิดชอบมากพอที่จะทำถึงสองหน้าที่พร้อมกันได้

    จะว่าไปศิษย์พี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ

    รัตนมณีเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานสดใส  เห็นได้ชัดว่านางสิ้นความกินแหนงแคลงใจแล้ว  สายตาของนางยามนี้มีแต่เคารพเทิดทูนในศิษย์พี่แทบจะยอมเชื่อฟังทุกอย่างก็ว่าได้ 

    อ๋อ เหรออออ... ?

    อมรสิงห์ถามพลางหรี่ตามองอย่างกังขา   ก็พวกนางมิใช่รึที่เคยสงสัยศิษย์พี่อย่างออกหน้า  ไม่ไว้ใจถึงขนาดตามสะกดรอยทุกอิริยาบถอยู่นานนับเดือน  แต่พอมิพบพิรุธใดก็กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือหันมาชื่นชมเสียอย่างนั้น  ขึ้นชื่อว่าสตรีนี้ช่างเป็นสิ่งที่เข้าใจยากเสียจริง

    อย่ากังวลเกินเหตุไปหน่อยเล้ย  คิดว่าศิษย์พี่เป็นใครกัน?  จันทรรัตน์ก็อีก  อย่างพวกเขาไม่มีใครทำอันตรายได้หรอก

    ปิ่นสุวรรณฉีกยิ้ม  เชื่อว่าทั้งสองแข็งแกร่งพอ  ไม่มีทางตกเป็นเหยื่อให้ตัวอันตรายที่ไหนเข้ามาเหยียบได้ง่ายๆ  มีแต่พวกที่เข้ามายุ่มย่ามเท่านั้นแหละที่หาเรื่องใส่ตัว 

    นั่นสินะ  ป่านนี้คงกำลังฝึกวิชากันอยู่กระมัง  พูดก็พูดเถอะ  ตั้งแต่คบหากันมาศิษย์พี่ก็เป็นคนเงียบๆ  มิค่อยช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว   จันทรรัตน์ก็เป็นพวกเดียวกันกับเขานั้นแหละ  ต่างฝ่ายต่างไม่พูด   ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด  เพราะเหตุนี้จึงเข้ากันได้ดียิ่งกว่าใคร

    รัตนมณีกล่าวด้วยใจเป็นกลาง  

    บางทีอดีตของพวกเขาอาจอ้างว้างโดดเดี่ยวเหมือนกันก็เป็นได้

    อมรสิงห์เปรียบเปรย  เขายังจดจำอดีตของเพื่อนสาวได้ดี

    จันทรรัตน์นั้นมีพลังบางอย่างติดตัวมาแต่กำเนิด  ทำให้นางสามารถล่วงรู้เหตุการณ์อันใกล้และยังอาจสามารถล่วงรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดแม้เพียงปลายนิ้วสัมผัส  แม้นว่านางจะไม่เคยใช้พลังนั้นโดยเจตนาก็ตาม  แต่มิตรสหายล้วนประหวั่นพรั่นพรึงในพลังอันเหลือล้นนั้น  ต่างพากันตั้งแง่เดียดฉันท์นางราวกับนางมิใช่พวกพ้อง  ไม่ว่าไปแห่งหนใดล้วนมีแต่สายตาที่มองมาด้วยความหวาดหวั่นปนริษยาที่นางเหนือกว่า  มีเพียงพวกเขาที่ยอมรับนางเป็นเพื่อนอย่างเต็มใจ  หาได้ใส่ใจว่านางเป็นใครมาแต่ไหน  หรือน่ารังเกียจแต่ประการใดเลย

    เจษฎาก็คงเป็นดุจเดียวกัน 

    ศิษย์พี่กับจันทรรัตน์มีหลายสิ่งที่เหมือนกัน  ข้าสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรก  พลังของศิษย์พี่มีมากเกินกว่าเราเห็นมากมายนัก  แล้วไหนจะรูปร่างหน้าตา  เหมือนกันราวกับพี่น้องกันก็ว่าได้

    ข้าก็คิดเช่นนั้น กรรณาภรณ์เอ่ย  แววตาของนางเปี่ยมด้วยความเห็นใจ พวกเขาคงเคยประสบทุกข์จากความอิจฉาริษยามาก่อน  จิตใจจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง

    กรรณาภรณ์นึกถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง  เจษฎาเป็นชายหนุ่มรูปงาม สุขุม  เยือกเย็น  แต่แฝงความอ่อนโยน  เข้มแข็ง  และมีความเป็นผู้นำ  ส่วนจันทรรัตน์นั้นก็งดงามไม่น้อย  ทั้งสองมีความเหมือนกันอย่างน่าประหลาด  อีกทั้งนางยังเห็นความผูกพันราวกับมีสายใยบางเชื่อมทั้งสองไว้อย่างลึกซึ้งเกินกว่าจะพรรณนาเป็นถ้อยคำได้ 

    ....ศิษย์พี่ทั้งรักทั้งเอ็นดูนางที่สุด  ไม่มีทางปล่อยให้ใครมาทำร้ายนางอยู่แล้ว  บางที่ศิษย์พี่อาจชอบนางก็เป็นได้... 

    คิดเช่นนั้นแล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจ  หากเป็นนั้นจริงก็ถือว่าเป็นโชคดีของเพื่อนรักที่จะได้พบกับผู้ที่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องนางได้   และรักนางปานดวงใจ  นางใคร่จะได้เห็นเพื่อนผู้อาภัพคนนี้ได้มีความสุขเสียที  หลังจากต้องทนทุกข์กับความอิจฉาริษยามาตลอด  นางเดินล่วงหน้าไปด้วยความสบายใจ  โดยมิทันสังเกตเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเพื่อนรักอีกคนหนึ่ง

    รัตนมณี  เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?

    อมรสิงห์ถามด้วยความสงสัย  นางเงียบลงทุกครั้งที่พูดถึงศิษย์พี่และจันทรรัตน์  แต่เมื่อนางรู้ตัวจะกลับยิ้มให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เขาจึงมิอาจรู้ได้ว่านางคิดอย่างไรกับเจษฎากันแน่  

    เจ้าคิดเหมือนข้าไหมว่าพวกเขาเหมาะสมกันมาก

    ใช่ แล้วไง?           

    เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่ชอบนางมากหรือเปล่า

    คงชอบกระมัง

    เขาตอบซื่อๆ  นางกล่าวต่อไปว่า

    ถ้าจันทรรัตน์มีคนดีอย่างศิษย์พี่คอยดูแล  นางคงจะมีความสุขมากเป็นแน่

    นี้เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่

    นางสบสายตาไม่ไว้วางใจของเพื่อนรักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  พลางกล่าวอย่างชื่นบาน

    ข้าก็จะช่วยให้พวกเขาสมหวังนะสิ

    หา?


                

    อีกด้านหนึ่งของป่า  บุรุษสองคนกำลังเดินผ่านธารน้ำอันไหลเชี่ยว  โขดหินที่พวกเขาใช้เหยียบข้ามนั้นก็มีตะไคร่น้ำเกาะจนแทบจะมองไม่เห็นเนื้อหินทั้งสองใช้เวลาพอสมควรจึงก้าวถึงฝั่งตรงข้าม  จากนั้นจึงนั่งพักใต้ร่มไม้ใหญ่  กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยมาตามลมช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้มาก    ชายคนหนึ่งสะบัดชายผ้าคลุมล้มตัวลงนั่ง   อีกคนยืนพิงต้นไม้ชมทัศนียภาพอันงดงามของไพรสัณฑ์   ชายที่นั่งอยู่ถามว่า

    เจ้าไม่เหนื่อยบ้างรึไง   สุธรรมจินดา

              อีกฝ่ายส่ายหน้า   ปลดดาบทั้งปลอกซึ่งเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของตนออก

              ไม่ละเจ้าพี่   ข้าหายเหนื่อยแล้ว  ป่าหิมพานต์นี้สวยงามกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก 

              ชายคนพี่ยิ้มบางๆ   คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาเที่ยวที่นี่ก่อนกลับบ้านเมือง

    ของตน  นับแต่จากบ้านเมืองไปเล่าเรียนที่เมืองตักกศิลาก็นานนับสองปีแล้ว  ต่อจากนั้นก็ใช้เวลาท่องเที่ยวไปตามนครอื่น   ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีเยี่ยงม้าป่าที่ออกผจญภัยไปในทุ่งกว้าง  ไร้ซึ่งความวิตกกังวลใดใด 

                น่าเสียดาย  ป่าสวยๆเช่นนี้น่าจะได้เห็นสิ่งน่ารื่นรมย์มากกว่านี้สักหน่อย  ตั้งแต่เข้ามาที่นี้ยังมิเห็นสิ่งชวนพิสมัยเลยสักอย่าง

                ชายหนุ่มผู้น้องเปรยขึ้นมา   ในสายตาของเขาหวังจะได้เห็นสิ่งแปลกตาอันเป็นที่เลื่องลือบ้างสักครั้งก็ยังดี 

                เจ้าหวังอยากเห็นสิ่งใดอีกเล่า  ผ่านมาหลายต่อหลายเมืองก็ได้ยลโฉมสาวสวยของเมืองนั้นๆเป็นขวัญตาอยู่แล้ว  เท่านั้นยังไม่หนำใจอีกรึ?

                เขาถามอย่างสนเท่ห์   อีกฝ่ายจุปากพลางส่ายหน้า

                ไม่เหมือนกันหรอก  หญิงสาวชาวเมืองจะมาเทียบกับสาวชาวฟ้าได้อย่างไร?  แล้วอีกอย่าง  ข้าเชื่อว่าดอกไม้ที่นำมาปลูกย่อมสู้ดอกไม้ป่ามิได้  ความงามความหอมหวานมันต่างกัน  สุธรรมจินดาเอ่ยเยี่ยงผู้ช่ำชอง  ...หรือองค์ชายสุริยมณีอยากค้านว่า  สาวงามที่เคยชายตามองเราสองพี่น้องมาตลอดทาง  มีนางใดต้องตาต้องใจท่านบ้างสักคนเล่า

                เขากระทุ้งศอก  เพียงจ้องตาก็เดาได้ไม่ยากนัก

    สุริยมณีและสุธรรมจินดารูปงามไม่ด้อยไปกว่ากัน  แม้นว่าต้องเดินทางตลอดเวลา  หากมิวายที่พวกเขาจะได้มีโอกาสยลโฉมสะคราญ  ทันที่พวกนางชายตามองมาทางพวกเขา  ก็มักเจอสุธรรมจินดาโปรยเสน่ห์เข้าใส่จนแทบหลอมละลายเสียทุกนางไป  นี้หากมิติดว่าพวกเขาเข้าไปในฐานะบัณฑิตผู้ยากไร้แล้วละก็  คงอีกนานกว่าจะสลัดพวกนางออกมาได้

    เหลือบมองตัวต้นเหตุ   สุธรรมจินดาหาได้เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่สักนิดเดียว  ไม่ทันไรก็เห็นบรรดานางไม้รูปร่างเย้ายวนชายตาหวานมาทางพวกเขา  พวกเขายิ้มให้อย่างมีไมตรี  พวกนางก็เหมือนหญิงสาวชาวเมืองที่หลงเสน่ห์ของชายรูปงามเข้าเต็มเปา

    กรี๊ดดดด!!!”

    บรรดานางไม้แทบจะหลอมละลายอยู่ตรงนั้น  ดูแล้วพวกนางคงเคลิบเคลิ้มหลงใหลมากกว่าที่พวกเขาคิด  สุริยมณีชักหวั่นใจ

    ดูท่าเราคงต้องรีบย้ายหนีกันอีกแหงๆ

    ทว่า...อยู่ดีๆพสุธากลับไหวสะเทือนขึ้นอย่างหาสาเหตุมิได้   ทั้งสองไหวตัวรีบกระโดดลุกขึ้นเตรียมรับสถานการณ์   ฝุ่นควันกระจายฟุ้งทั่วบริเวณ   พลันปรากฏเงาร่างของสัตว์ตัวหนึ่งกระพือปีกอยู่เหนือหัว   ตัวใหญ่มหึมา   ตั้งแต่คอจรดเท้าเป็นนก   แต่หน้าเป็นช้าง   หน้าตาดุร้าย   ส่งเสียงคำรามก้อง   พวกนางไม้ต่างหลีกลี้หนีหายด้วยความหวาดกลัว  สองพี่น้องมองดูอย่างตื่นตะลึง

              นั่นมัน....ตัวอะไรน่ะ!

              ยังมิทันกล่าวอะไรต่อไป   นกประหลาดตัวนั้นโฉบลงมา  สุริยมณีผลักร่างน้องกระเด็นออกไป   กรงเล็บแหลมคมกลับกระทืบลงบนลำตัวของเขาแทน   กรงเล็บทั้งสี่จิกลงบนหน้าท้องและบีบขย้ำ   ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด

                อั้ก!!! 

              เจ้าพี่!”

              น้องชายชักดาบของตนออกจากปลอก   พุ่งเข้าจู่โจมอย่างไม่รั้งรอ

              ฉัวะ!   

                นกประหลาดปล่อยมือออกจากร่างพี่ชาย   ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ    กระพือปีกอย่างแรงจนทั้งใบไม้และฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่ว    และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนยากจะทรงตัวอยู่    เขาพยายามแบกพี่ชายซึ่งบาดเจ็บสาหัสเข้าไปหลบในปลอดภัย    ส่วนตนเองกลับรอคอยหาโอกาสที่จะจัดการนกยักษ์    ขณะที่จ้องมองเขาสังเกตเห็นช่องว่างกลางลำตัวยามที่มันมัวแต่กระพือปีก    เขาจึงคว้าดาบเล่มเดิมเขวี้ยงเข้าใส่กลางลำตัวของนกยักษ์  

                ฉึก!

    เคร้ง....ดาบเก่าร่วงตกลงที่พื้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้    โดยที่มิมีโลหิตแม้แต่หยดเดียวเปื้อนดาบแม้แต่น้อย   ปลายดาบที่ทิ่มเข้าที่อกของมันทำได้เพียงสะกิดแค่ปลายขนเท่านั้น   หนำซ้ำยังทำให้มันรู้ตำแหน่งที่เขาซ่อนตัวอยู่เสียอีก   มันส่งเสียงเกรี้ยวกราดแล้วพุ่งตรงมายังที่ที่เขาหลบอยู่    เขาสบสายตาดุร้าย   ใจสะท้านด้วยความหวาดกลัว

    หยุดนะ นกหัสดิน

    เสียงหนึ่งดังออกมาจากเบื้องหลัง  เมื่อเหลือบตามองพลันเห็นร่างบางระหงของหญิงสาวนางหนึ่ง  นัยน์ตาสีเขียวจัดของนางจ้องเขม็งอยู่ที่นกร้าย  สบตาแดงก่ำราวเปลวอัคคีด้วยความโกรธจัดอย่างไม่หวั่นเกรง 

    เหนือขึ้นไปบนปลายยอดไม้ใหญ่ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีในชุดคลุมสีเขียวสด  มือโบกพัดอย่างสุขุม  แต่สายตาคมดุจนกเหยี่ยวจับจ้องอยู่ที่นางและสัตว์ร้ายที่นางเรียกว่านกหัสดินอย่างระแวดระวัง 

    เพียงชั่วอึดใจนกร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธจากการบุกรุกถึงถิ่นฐาน  กลับสงบลงอย่างว่าง่าย  ร่างสูงบนต้นไม้จึงค่อยเก็บพัดอย่างคลายใจ   ก่อนแฝงตัวหายเข้าไปในเงามืดอย่างเงียบเชียบดุจเงา

    สุธรรมจินดาหันมองนางและนกหัสดินสลับกัน  นัยน์ตาของนางกลับเป็นสีนิลเยี่ยงคนปรกติ   ก้มลงดูอาการของสุริยมณี 

                พี่ชายท่านนี้อาการไม่ค่อยดี   หากไม่รีบพาตัวไปรักษาอาจทนพิษบาดแผลไม่ไหว

    นางกล่าวด้วยความเป็นห่วง  

    เมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาเพ่งพิศใบหน้างามอย่างลืมตัว  ไม่ว่านางเป็นใครแต่เขาพอจักดูออกว่านางมิได้มีเจตนาร้าย   กล่าววิงวอนว่า

              ถ้าอย่างไร   เจ้าจักกรุณาช่วยพวกเราอีกสักครั้งได้ฤๅไม่

     

    ...................

     

      อาศรมของอมรสิงห์    ร่างคนเจ็บนอนยู่บนฟูกผ้าฝ้ายขาวสะอาด    ร่างกายพันด้วยผ้าพันแผลกว่าค่อนตัว    เสื้อผ้าเปื้อนโลหิตถูกแขวนไว้บนราวด้วยไม่สามารถปะชุนให้เหมือนใหม่ได้อีก    มีเพียงเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สวมอยู่และผ้าคลุมไหล่   น้องชายของเขานั่งสนทนากับฤๅษีหน้าอาศรมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก

              องค์ชายรองมิต้องทรงเป็นกังวล... ฤๅษีอังคตกล่าวปลอบใจ   พระเชษฐาของท่านมิทรงเป็นอะไรมาก   อีกไม่นานก็จักหายประชวร

              หากมิได้ท่านตาและพวกเขาช่วยไว้    ข้ากับพี่ชายก็คงไม่รอด

              นักสิทธิ์ส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวว่า

              เรื่องเพียงเท่านี้หากมิมีน้ำใจช่วยเหลือ    แล้วเรื่องใหญ่ในวันหน้าจักทำเยี่ยงไร    ขอท่านอย่าได้คิดมากไปเลย

              บรรดาลูกศิษย์ของอังคตฤๅษีเดินเรียงออกมานั่งด้วย    ส่วนฤๅษีกลับเดินเข้าไปในกุฏิ   ปล่อยให้พวกเขาพูดคุยกันเอง   อมรสิงห์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้เขามากที่สุดถามขึ้น

              ท่านมาจากที่ใดกัน    รู้หรือไม่ว่าป่านี้มิใช่ป่าที่มนุษย์ธรรมดาจักเข้ามาได้ง่ายๆ

    ข้ารู้    แต่ข้ามิเคยคิดว่าจักมีสัตว์ร้ายน่ากลัวถึงเพียงนี้...

              เจษฎากล่าวตำหนิว่า

              ท่านประมาทเกินไป    ขึ้นชื่อว่า...ป่า...ก็ควรระแวดระวังให้มาก    นับว่าท่านยังโชคดีที่จันทรรัตน์ไปพบเข้า    ไม่เช่นนั้นคงต้องกลายเป็นอาหารมื้อพิเศษของเจ้านกหัสดินนั่นแน่

              เขาหวนคิดถึงตอนที่นางมีดวงเนตรสีเขียวจัด    นัยน์ตาของนางตอนนั้นราวกับมีพลังมากมายที่สามารถบังคับจิตใจของนกร้ายนั้นได้    เผลอๆพลังของนางอาจร้ายกาจยิ่งกว่าที่เห็น   

    นางเรียนวิชาอะไรมา   ข้าเห็นนางสะกดนกหัสดินได้กับตา

    อมรสิงห์เห็นนางเบือนหน้าหนีมิใคร่ตอบคำถาม  เขาเข้าใจว่านางคงไม่อยากให้เจ้าชายผู้นี้หวาดระแวงในตัวนาง   จึงตอบคำถามแทน

    นั่นเป็นวิชาพลังจิตอย่างหนึ่ง    สามารถสะกดใจให้ทำตามที่ตนต้องการได้    เรื่องเพลงสัประยุทธ์นั้นนางสู้พวกเราไม่ได้ก็จริง   แต่พลังจิตของนางแข็งกล้ากว่าเรามาก

    สุธรรมจินดาพอจะเข้าใจ    ด้วยได้เห็นแล้วว่าวิชาของนางแก่กล้าเพียงใด   พลันเขาสะดุดตากับสองคนที่นั่งกับเขา   เจษฎากับจันทรรัตน์หน้าตาเหมือนกันราวกับเป็นพิมพ์เดียว   ถามเจษฎาอีกว่า

    จันทรรัตน์นางเป็นน้องสาวท่านรึ    ข้าเพิ่งเคยเห็นพี่น้องหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้เป็นครั้งแรก

    เจษฎาตอบกลับมาอย่างมิค่อยใส่ใจ

    มิได้  นางเป็นศิษย์น้องของข้า   เพียงแต่ข้ารักนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง

              อมรสิงห์ถามต่ออีกว่า

              ท่านมาจากเมืองอะไรกัน   ข้าไม่ยักเคยเห็นลักษณะการแต่งกายเยี่ยงท่าน

              เขามองดูชุดที่เจ้าชายน้อยผู้นี้สวมใส่   เสื้อสีขาวขลิบทอง    ผ้าคลุมไหล่สีขาว   กางเกงเป็นผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองระยับ   คาดด้วยเข็มขัดทอง  

    นครชนินทราลัย

                ศิษย์ในสำนักพากันขมวดคิ้ว 

                มันอยู่ที่ใดกัน?

                อ๋อ!  เมืองของข้าอยู่ไกลมาก    ถึงบอกไปพวกท่านก็คงไม่รู้จักหรอก

       

    สุธรรมจินดาตอบกลับมาอย่างขอไปที    เจษฎารู้สึกเคลือบแคลงในคำกล่าวของเจ้าชายองค์นี้ที่ดูราวกับตั้งใจปกปิด  แต่เรื่องนี้ช่างมันก่อน  ที่น่าเป็นห่วงคือคนเจ็บที่นอนอยู่ที่นี้ต่างหาก

              เอาอย่างนี้ดีไหม   อีกไม่นานพี่ท่านก็จักหายดีแล้ว   แล้วข้าจักไปส่งพวกท่านที่ชมพูทวีปในทันที

                สุธรรมจินดาฟังแล้วส่ายหน้า   พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

              ไม่   ท่านพี่เพิ่งหายดี   หากจะพากันออกไปทั้งสภาพเยี่ยงนี้คงไม่ไหวเป็นแน่   ข้าจึงอยากเรียนวิชาต่างๆจากท่านนักพรตก่อน

              ท่านคิดดีแล้วรึ    วิชาของท่านตามิใช่นึกยากเรียนก็เรียนได้    แล้วท่านยังต้องเสียเวลาอีกเป็นปีกว่าจักสำเร็จวิชา

              เจษฎาเตือนด้วยความหวังดี   ทว่า....เมื่อเห็นสายตาที่สุธรรมจินดามองไปที่จันทรรัตน์    มิใช่สายตาของผู้เป็นหนี้ชีวิตเพียงอย่างเดียว   หากรวมถึงสายตาหลงใหลเยี่ยงที่ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วย   เขาจึงเข้าใจในเหตุผล

     

    ...ถ้าเช่นนั้น  อย่ามาบ่นทีหลังว่าฝึกโหดก็แล้วกัน...

     

    ภายในอาศรม   ผู้นอนอยู่ค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้น   เห็นเพียงคานไม้และหลังคาคลุมด้วยใบไม้แห้ง   ข้างกายมีหญิงสาวหน้าตาดีกำลังบิดผ้าชุบน้ำในขันเงินใบเล็กๆ   นางหันกลับมามอง   แม้ไม่มีรอยยิ้มให้เห็นแต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน

              ได้สติแล้วหรือ

              เขาถามนางเบาๆ

              ที่นี่ที่ไหน?

              สำนักของฤๅษีอังคต   ข้าคือลูกศิษย์ของท่าน

              เขาลองพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ล้มกลับลงไปบนหมอนเช่นเดิม   ได้ยินเสียงนางห้ามว่า

              อยู่นิ่งๆเถอะ  ไม่ต้องลุกหรอก

     

    นางช่วยพยุงเขาขึ้นนั่งพิงหมอนอย่างระมัดระวัง   เขามองดูนางทำทุกอย่างอยู่ตรงหน้าเขา   

              ข้ามีนามว่าสุริยมณี   เรียก...มณี...ก็ได้   แล้วเจ้ามีนามว่าอะไร

              ข้า...กรรณาภรณ์  นางตอบสั้นๆ ท่านโชคดีจังนะ   เข้าป่านี้มายังมิทันไรก็ได้เจอกับสัตว์หิมพานต์อย่างนกหัสดินเข้าเสียแล้ว    ตั้งแต่พวกข้ามาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยพบเห็นอะไรเหมือนอย่างท่านเลย

              เขาฟังนางแล้วแค่นหัวเราะ   นางบอกว่าเขาโชคดี...แต่เขาโชคร้ายสิไม่ว่า...

              เจ้าคิดเยี่ยงนั้นรึ    ข้าแค่คิดว่ารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์เช่นนี้ก็บุญโขแล้ว    ข้ายังมิได้ขอบคุณผู้ช่วยชีวิตข้าเลยด้วยซ้ำ

              จันทรรัตน์...นางอยู่ข้างนอก    น้องชายของท่านจองตัวนางไว้ไม่ยอมปล่อย    เห็นว่าอยากเรียนวิชาของนาง

              นางพูดเปรยๆ   ได้ยินดังนั้นเขานึกบ่นด่าน้องชายในใจ....เจ้าน้องบ้า   พอเจอสาวๆเข้าหน่อยเป็นไม่ได้เลย...  เขาคิดโมโหที่ถูกน้องชายลืมทิ้งให้นอนเจ็บอยู่บนเตียงแต่ก็ปล่อยวางลงเสียได้    บางทีได้แยกกันอยู่คนละทางบ้างก็ไม่เลว   แถมเขายังได้เพื่อนที่คุยถูกคออย่างกรรณาภรณ์มาเพิ่มอีกคนก็ช่วยเพิ่มอรรถรสได้ไม่น้อย   นิสัยอย่างนางน่าจะคุยสนุกกว่าน้องชายจอมกวนของเขาเป็นไหนๆ   เขาหยิบดอกไม้สีเหลืองสดกลิ่นหอมแรงจากถ้วยใบน้อยที่กรรณาภรณ์เก็บเข้ามาให้เขาขึ้นมาควงเล่นพลางกล่าวว่า

              ในเมื่อน้องข้ามีคนช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว    ข้าเองก็อยากมีบ้าง....   

              ครานี้นางค่อยยิ้มออกมาบ้าง 

    ทำไม   กลัวน้อยหน้าน้องชายรึไง

              เขายิ้มตอบ   รู้สึกว่าเวลาที่นางยิ้ม   ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูสดชื่นไปเสียหมด  เขามองดูดอกไม้ในมือ   ทั้งสดสวยและอ่อนหวานเหมือนนางไม่มีผิด   เขายื่นดอกไม้ให้นางพลางว่า

              หากเจ้าจัก...กรุณา...ข้า

              นางยิ้มรับ   เขาจึงถือว่านางไม่ปฏิเสธคำขอนี้    จึงกล่าวต่อไปว่า

    งั้นข้าถือว่าเจ้ายินดีนะ

     

    แล้วข้าจักรอดูท่านโอดครวญหลังการฝึกวิชาทุกวัน

              นางเอ่ยแกมประชด   พลางลุกเดินออกไป  เขามองตามยิ้มละไม

              คงไม่มีวันนั้นหรอก

     

    เรื่องราวของทั้งสองอยู่ในสายตาของเจษฎาและอมรสิงห์ตลอดเวลา    ทั้งสองเดินออกมาจนลับสายตาคนอื่นๆแล้วจึงปรึกษากันอย่างเป็นกังวลว่า

              ปล่อยไว้อย่างนี้จักดีหรือ  พี่ใหญ่  ข้าว่าพวกนางคงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมองค์ชายสองคนนี้เป็นแน่

              ก็ไม่แน่นักหรอก  พวกนางก็มิใช่คนโฉดเขลา  เรื่องเพียงเท่านี้พวกนางน่าจะดูออก   

              เจษฎาเอ่ย   เขาเชื่อมั่นว่าเพียงแค่องค์ชายรูปงามไม่มีทาทำให้จิตใจพวกนางสั่นคลอนได้ง่ายๆ  อมรสิงห์เองก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด  แต่จากที่เห็นเมื่อครู่นี้แล้ว  เขาเองก็ชักไม่แน่ใจ  

                แต่เท่าที่ข้าเคยพบเห็น   พวกนางมิเคยอ่อนไหวง่ายดายกับวาจาของบุรุษใดถึงเพียงนี้  ข้าว่ามันชักไม่ชอบกล

                อืม

                บุตรพระพายคิดตามอย่างใคร่ครวญ  จริงอย่างที่อมรสิงห์กล่าวมา  พวกนางไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้กับผู้ใดที่เข้าใกล้  แม้กระทั่งเขาหรืออินทรก็ตาม 

    ท่านพี่คิดจะทำอย่างไรต่อไป

              ตอนนี้เราทำได้แค่จับตาดูสองคนนั้นไว้อย่าให้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากจนเกินไป    รอเพียงแต่เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้น

              จักได้ผลแน่หรือ   ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจักยอมแสดงธาตุแท้ง่ายๆ

              อมรสิงห์บอกอย่างไม่แน่ใจนัก   แต่เจษฎาคิดวางแผนไว้แล้ว

              ...อันคนดีนานดอกจึงออกตัว   ถ้าคนชั่วเขาคงเห็นเป็นไปเอง...  ฝ่ายเราเองก็มิได้แสดงตนให้เขารู้จนหมดเปลือกเหมือนกัน    ต่างฝ่ายต่างปิดบังกันอยู่อย่างนี้ก็ไม่ต่างจากรอเวลาเปิด...ไพ่ตาย...   แล้วข้าก็ไม่อยากตัดสินกันแต่เพียงเปลือกนอกด้วย

              อมรสิงห์ชักคล้อยตามพี่ชาย   เขาเองก็ใคร่รู้ว่าเจ้าชายสององค์นี้มีจุดประสงค์อะไรที่เข้ามาในป่านี้   เวลาเท่านั้นที่จักทำหน้าที่แทนพวกเขา....












    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×