คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : เจ้าชายสองพี่น้องจากเมืองลับแล (แก้ไขแล้ว)
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
ฤๅษีอังคตกล่าวอย่างอารี ลูกศิษย์ทำความเคารพอาจารย์อย่างนอบน้อมก่อนจะหันหลังเดินไปอีกทาง กรรณาภรณ์ ปิ่นสุวรรณ รัตนมณี ชวนกันคุยฟุ้งถึงวิชาที่ได้ร่ำเรียน อมรสิงห์เดินไปฟังไปอย่างมิได้ใส่ใจนัก ดวงตาทอดมองไปยังไพรสัณฑ์ที่ทอดไกลสุดสายตา ใจนึกถึงเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มิได้อยู่ร่วมด้วย
“วันนี้ท่านตาฝึกพวกเราหนักกว่าทุกวันนะ ว่าอย่างนั้นไหม?” เสียงปิ่นสุวรรณบ่นเรื่อยเปื่อย “ไม่รู้ว่าป่านนี้จันทรรัตน์ฝึกวิชาไปถึงไหนแล้ว”
เขาทำท่าเหมือนนึกขึ้นได้
“นั่นสินะ ช่วงนี้จันทรรัตน์ไม่อยู่ ข้าจึงมิได้ยินเสียงแว้ดๆของนางกับปิ่นสุวรรณ ป่าแถบนี้เงียบสงบลงเยอะเลย ว่าไหม?”
“ถูกของเจ้า ในโลกนี้คงไม่มีใครกล้าต่อปากต่อคำกับปิ่นสุวรรณได้เท่านางอีกแล้ว”
รัตนมณีช่วยผสมโรง ผู้ถูกนินทาหันกลับมาโวยวายใส่
“อย่ามามองข้าอย่างนี้สิ ข้ากับนางทะเลาะกัน ก็ต้องบอกผิดทั้งสองฝ่ายมิใช่รึไง?”
“แต่เท่าที่พวกเราเห็น มีแต่เจ้านั้นแหละที่เป็นฝ่ายยั่วโมโหนางก่อน”
กรรณาภรณ์เอ่ยตรงๆ อมรสิงห์พยักหน้าเห็นด้วย อีกฝ่ายแลบลิ้นปลิ้นตาใส่ด้วยความคึกคะนอง ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าใดนิสัยช่างแกล้งยียวนกวนโทสะของนางก็ยังคงแก้ไม่หาย
เดินมาถึงมุมสงบใต้ร่มไทรซึ่งห้อมล้อมไปด้วยไพรพฤกษาน้อยใหญ่เป็นบริวารอันเป็นถิ่นที่จับจองไว้นับแต่วันแรกที่เข้ามาในสำนัก หลังจากฝึกวิชาศาสตราวุธแล้วพวกเขามักจะมาบำเพ็ญเพียรเพื่อฝึกฝนจิตใจอยู่ที่นี้เสมอ หากแต่พักหลังมานี้เหลือเพียงพวกเขาสี่คนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่นี้ ส่วนจันทรรัตน์นั้นต้องแยกตัวออกไปอยู่ตามลำพัง เพื่อมิให้มีสิ่งใดรบกวนอันจะเป็นอุปสรรคในการฝึกวิชาของนางตามคำสั่งของผู้เป็นอาจารย์ แต่ละเดือนมีเพียงสองวันเท่านั้นที่นางจะได้กลับมาอยู่ร่วมกับพวกเขา นี้ผ่านมาหลายวันแล้วเขายังมิเห็นวี่แววของนางกับเจษฎาที่ไปด้วยแม้แต่น้อย
“แล้วศิษย์พี่จะกลับมาด้วยหรือเปล่านะ?”
กรรณาภรณ์ถามอย่างไม่แน่ใจ ด้วยเจษฎานั้นมักชอบปลีกวิเวกอยู่ตัวคนเดียวเสียมากกว่าการอยู่ร่วมสรวลเสเฮฮากับพวกนาง แต่ถึงแม้เป็นเช่นนั้นเขาก็ยังมีความรับผิดชอบมากพอที่จะทำถึงสองหน้าที่พร้อมกันได้
“จะว่าไปศิษย์พี่ก็เป็นคนดีเหมือนกันนะ”
รัตนมณีเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานสดใส เห็นได้ชัดว่านางสิ้นความกินแหนงแคลงใจแล้ว สายตาของนางยามนี้มีแต่เคารพเทิดทูนในศิษย์พี่แทบจะยอมเชื่อฟังทุกอย่างก็ว่าได้
“อ๋อ เหรออออ... ?”
อมรสิงห์ถามพลางหรี่ตามองอย่างกังขา ก็พวกนางมิใช่รึที่เคยสงสัยศิษย์พี่อย่างออกหน้า ไม่ไว้ใจถึงขนาดตามสะกดรอยทุกอิริยาบถอยู่นานนับเดือน แต่พอมิพบพิรุธใดก็กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือหันมาชื่นชมเสียอย่างนั้น ขึ้นชื่อว่าสตรีนี้ช่างเป็นสิ่งที่เข้าใจยากเสียจริง
“อย่ากังวลเกินเหตุไปหน่อยเล้ย คิดว่าศิษย์พี่เป็นใครกัน? จันทรรัตน์ก็อีก อย่างพวกเขาไม่มีใครทำอันตรายได้หรอก”
ปิ่นสุวรรณฉีกยิ้ม เชื่อว่าทั้งสองแข็งแกร่งพอ ไม่มีทางตกเป็นเหยื่อให้ตัวอันตรายที่ไหนเข้ามาเหยียบได้ง่ายๆ มีแต่พวกที่เข้ามายุ่มย่ามเท่านั้นแหละที่หาเรื่องใส่ตัว
“นั่นสินะ ป่านนี้คงกำลังฝึกวิชากันอยู่กระมัง พูดก็พูดเถอะ ตั้งแต่คบหากันมาศิษย์พี่ก็เป็นคนเงียบๆ มิค่อยช่างพูดมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว จันทรรัตน์ก็เป็นพวกเดียวกันกับเขานั้นแหละ ต่างฝ่ายต่างไม่พูด ตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เพราะเหตุนี้จึงเข้ากันได้ดียิ่งกว่าใคร”
รัตนมณีกล่าวด้วยใจเป็นกลาง
“บางทีอดีตของพวกเขาอาจอ้างว้างโดดเดี่ยวเหมือนกันก็เป็นได้”
อมรสิงห์เปรียบเปรย เขายังจดจำอดีตของเพื่อนสาวได้ดี
จันทรรัตน์นั้นมีพลังบางอย่างติดตัวมาแต่กำเนิด ทำให้นางสามารถล่วงรู้เหตุการณ์อันใกล้และยังอาจสามารถล่วงรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดแม้เพียงปลายนิ้วสัมผัส แม้นว่านางจะไม่เคยใช้พลังนั้นโดยเจตนาก็ตาม แต่มิตรสหายล้วนประหวั่นพรั่นพรึงในพลังอันเหลือล้นนั้น ต่างพากันตั้งแง่เดียดฉันท์นางราวกับนางมิใช่พวกพ้อง ไม่ว่าไปแห่งหนใดล้วนมีแต่สายตาที่มองมาด้วยความหวาดหวั่นปนริษยาที่นางเหนือกว่า มีเพียงพวกเขาที่ยอมรับนางเป็นเพื่อนอย่างเต็มใจ หาได้ใส่ใจว่านางเป็นใครมาแต่ไหน หรือน่ารังเกียจแต่ประการใดเลย
เจษฎาก็คงเป็นดุจเดียวกัน
“ศิษย์พี่กับจันทรรัตน์มีหลายสิ่งที่เหมือนกัน ข้าสัมผัสได้ตั้งแต่วันแรก พลังของศิษย์พี่มีมากเกินกว่าเราเห็นมากมายนัก แล้วไหนจะรูปร่างหน้าตา เหมือนกันราวกับพี่น้องกันก็ว่าได้”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” กรรณาภรณ์เอ่ย แววตาของนางเปี่ยมด้วยความเห็นใจ “พวกเขาคงเคยประสบทุกข์จากความอิจฉาริษยามาก่อน จิตใจจึงเต็มไปด้วยความหวาดระแวง”
กรรณาภรณ์นึกถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง เจษฎาเป็นชายหนุ่มรูปงาม สุขุม เยือกเย็น แต่แฝงความอ่อนโยน เข้มแข็ง และมีความเป็นผู้นำ ส่วนจันทรรัตน์นั้นก็งดงามไม่น้อย ทั้งสองมีความเหมือนกันอย่างน่าประหลาด อีกทั้งนางยังเห็นความผูกพันราวกับมีสายใยบางเชื่อมทั้งสองไว้อย่างลึกซึ้งเกินกว่าจะพรรณนาเป็นถ้อยคำได้
....ศิษย์พี่ทั้งรักทั้งเอ็นดูนางที่สุด ไม่มีทางปล่อยให้ใครมาทำร้ายนางอยู่แล้ว บางที่ศิษย์พี่อาจชอบนางก็เป็นได้...
คิดเช่นนั้นแล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจ หากเป็นนั้นจริงก็ถือว่าเป็นโชคดีของเพื่อนรักที่จะได้พบกับผู้ที่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องนางได้ และรักนางปานดวงใจ นางใคร่จะได้เห็นเพื่อนผู้อาภัพคนนี้ได้มีความสุขเสียที หลังจากต้องทนทุกข์กับความอิจฉาริษยามาตลอด นางเดินล่วงหน้าไปด้วยความสบายใจ โดยมิทันสังเกตเห็นใบหน้าที่เปลี่ยนไปของเพื่อนรักอีกคนหนึ่ง
“รัตนมณี เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่หรือ?”
อมรสิงห์ถามด้วยความสงสัย นางเงียบลงทุกครั้งที่พูดถึงศิษย์พี่และจันทรรัตน์ แต่เมื่อนางรู้ตัวจะกลับยิ้มให้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงมิอาจรู้ได้ว่านางคิดอย่างไรกับเจษฎากันแน่
“เจ้าคิดเหมือนข้าไหมว่าพวกเขาเหมาะสมกันมาก”
“ใช่ แล้วไง?”
“เจ้าคิดว่าพี่ใหญ่ชอบนางมากหรือเปล่า”
“คงชอบกระมัง”
เขาตอบซื่อๆ นางกล่าวต่อไปว่า
“ถ้าจันทรรัตน์มีคนดีอย่างศิษย์พี่คอยดูแล นางคงจะมีความสุขมากเป็นแน่”
“นี้เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่”
นางสบสายตาไม่ไว้วางใจของเพื่อนรักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พลางกล่าวอย่างชื่นบาน
“ข้าก็จะช่วยให้พวกเขาสมหวังนะสิ”
“หา?”
อีกด้านหนึ่งของป่า บุรุษสองคนกำลังเดินผ่านธารน้ำอันไหลเชี่ยว โขดหินที่พวกเขาใช้เหยียบข้ามนั้นก็มีตะไคร่น้ำเกาะจนแทบจะมองไม่เห็นเนื้อหินทั้งสองใช้เวลาพอสมควรจึงก้าวถึงฝั่งตรงข้าม จากนั้นจึงนั่งพักใต้ร่มไม้ใหญ่ กลิ่นหอมของดอกไม้ป่าโชยมาตามลมช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้มาก ชายคนหนึ่งสะบัดชายผ้าคลุมล้มตัวลงนั่ง อีกคนยืนพิงต้นไม้ชมทัศนียภาพอันงดงามของไพรสัณฑ์ ชายที่นั่งอยู่ถามว่า
“เจ้าไม่เหนื่อยบ้างรึไง สุธรรมจินดา”
อีกฝ่ายส่ายหน้า ปลดดาบทั้งปลอกซึ่งเป็นอาวุธเพียงหนึ่งเดียวของตนออก
“ไม่ละเจ้าพี่ ข้าหายเหนื่อยแล้ว ป่าหิมพานต์นี้สวยงามกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”
ชายคนพี่ยิ้มบางๆ คิดไม่ผิดที่ตัดสินใจมาเที่ยวที่นี่ก่อนกลับบ้านเมือง
ของตน นับแต่จากบ้านเมืองไปเล่าเรียนที่เมืองตักกศิลาก็นานนับสองปีแล้ว ต่อจากนั้นก็ใช้เวลาท่องเที่ยวไปตามนครอื่น ใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรีเยี่ยงม้าป่าที่ออกผจญภัยไปในทุ่งกว้าง ไร้ซึ่งความวิตกกังวลใดใด
“น่าเสียดาย ป่าสวยๆเช่นนี้น่าจะได้เห็นสิ่งน่ารื่นรมย์มากกว่านี้สักหน่อย ตั้งแต่เข้ามาที่นี้ยังมิเห็นสิ่งชวนพิสมัยเลยสักอย่าง”
ชายหนุ่มผู้น้องเปรยขึ้นมา ในสายตาของเขาหวังจะได้เห็นสิ่งแปลกตาอันเป็นที่เลื่องลือบ้างสักครั้งก็ยังดี
“เจ้าหวังอยากเห็นสิ่งใดอีกเล่า ผ่านมาหลายต่อหลายเมืองก็ได้ยลโฉมสาวสวยของเมืองนั้นๆเป็นขวัญตาอยู่แล้ว เท่านั้นยังไม่หนำใจอีกรึ?”
เขาถามอย่างสนเท่ห์ อีกฝ่ายจุปากพลางส่ายหน้า
“ไม่เหมือนกันหรอก หญิงสาวชาวเมืองจะมาเทียบกับสาวชาวฟ้าได้อย่างไร? แล้วอีกอย่าง ข้าเชื่อว่าดอกไม้ที่นำมาปลูกย่อมสู้ดอกไม้ป่ามิได้ ความงามความหอมหวานมันต่างกัน” สุธรรมจินดาเอ่ยเยี่ยงผู้ช่ำชอง “...หรือองค์ชายสุริยมณีอยากค้านว่า สาวงามที่เคยชายตามองเราสองพี่น้องมาตลอดทาง มีนางใดต้องตาต้องใจท่านบ้างสักคนเล่า”
เขากระทุ้งศอก เพียงจ้องตาก็เดาได้ไม่ยากนัก
สุริยมณีและสุธรรมจินดารูปงามไม่ด้อยไปกว่ากัน แม้นว่าต้องเดินทางตลอดเวลา หากมิวายที่พวกเขาจะได้มีโอกาสยลโฉมสะคราญ ทันที่พวกนางชายตามองมาทางพวกเขา ก็มักเจอสุธรรมจินดาโปรยเสน่ห์เข้าใส่จนแทบหลอมละลายเสียทุกนางไป นี้หากมิติดว่าพวกเขาเข้าไปในฐานะบัณฑิตผู้ยากไร้แล้วละก็ คงอีกนานกว่าจะสลัดพวกนางออกมาได้
เหลือบมองตัวต้นเหตุ สุธรรมจินดาหาได้เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่สักนิดเดียว ไม่ทันไรก็เห็นบรรดานางไม้รูปร่างเย้ายวนชายตาหวานมาทางพวกเขา พวกเขายิ้มให้อย่างมีไมตรี พวกนางก็เหมือนหญิงสาวชาวเมืองที่หลงเสน่ห์ของชายรูปงามเข้าเต็มเปา
“กรี๊ดดดด!!!”
บรรดานางไม้แทบจะหลอมละลายอยู่ตรงนั้น ดูแล้วพวกนางคงเคลิบเคลิ้มหลงใหลมากกว่าที่พวกเขาคิด สุริยมณีชักหวั่นใจ
“ดูท่าเราคงต้องรีบย้ายหนีกันอีกแหงๆ”
ทว่า...อยู่ดีๆพสุธากลับไหวสะเทือนขึ้นอย่างหาสาเหตุมิได้ ทั้งสองไหวตัวรีบกระโดดลุกขึ้นเตรียมรับสถานการณ์ ฝุ่นควันกระจายฟุ้งทั่วบริเวณ พลันปรากฏเงาร่างของสัตว์ตัวหนึ่งกระพือปีกอยู่เหนือหัว ตัวใหญ่มหึมา ตั้งแต่คอจรดเท้าเป็นนก แต่หน้าเป็นช้าง หน้าตาดุร้าย ส่งเสียงคำรามก้อง พวกนางไม้ต่างหลีกลี้หนีหายด้วยความหวาดกลัว สองพี่น้องมองดูอย่างตื่นตะลึง
“นั่นมัน....ตัวอะไรน่ะ!”
ยังมิทันกล่าวอะไรต่อไป นกประหลาดตัวนั้นโฉบลงมา สุริยมณีผลักร่างน้องกระเด็นออกไป กรงเล็บแหลมคมกลับกระทืบลงบนลำตัวของเขาแทน กรงเล็บทั้งสี่จิกลงบนหน้าท้องและบีบขย้ำ ดวงตาทั้งคู่เบิกกว้างด้วยความเจ็บปวด
“อั้ก!!!”
“เจ้าพี่!”
น้องชายชักดาบของตนออกจากปลอก พุ่งเข้าจู่โจมอย่างไม่รั้งรอ
ฉัวะ!
นกประหลาดปล่อยมือออกจากร่างพี่ชาย ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธ กระพือปีกอย่างแรงจนทั้งใบไม้และฝุ่นดินคละคลุ้งไปทั่ว และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆจนยากจะทรงตัวอยู่ เขาพยายามแบกพี่ชายซึ่งบาดเจ็บสาหัสเข้าไปหลบในปลอดภัย ส่วนตนเองกลับรอคอยหาโอกาสที่จะจัดการนกยักษ์ ขณะที่จ้องมองเขาสังเกตเห็นช่องว่างกลางลำตัวยามที่มันมัวแต่กระพือปีก เขาจึงคว้าดาบเล่มเดิมเขวี้ยงเข้าใส่กลางลำตัวของนกยักษ์
ฉึก!
เคร้ง....ดาบเก่าร่วงตกลงที่พื้นอย่างไม่น่าเป็นไปได้ โดยที่มิมีโลหิตแม้แต่หยดเดียวเปื้อนดาบแม้แต่น้อย ปลายดาบที่ทิ่มเข้าที่อกของมันทำได้เพียงสะกิดแค่ปลายขนเท่านั้น หนำซ้ำยังทำให้มันรู้ตำแหน่งที่เขาซ่อนตัวอยู่เสียอีก มันส่งเสียงเกรี้ยวกราดแล้วพุ่งตรงมายังที่ที่เขาหลบอยู่ เขาสบสายตาดุร้าย ใจสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“หยุดนะ นกหัสดิน”
เสียงหนึ่งดังออกมาจากเบื้องหลัง เมื่อเหลือบตามองพลันเห็นร่างบางระหงของหญิงสาวนางหนึ่ง นัยน์ตาสีเขียวจัดของนางจ้องเขม็งอยู่ที่นกร้าย สบตาแดงก่ำราวเปลวอัคคีด้วยความโกรธจัดอย่างไม่หวั่นเกรง
เหนือขึ้นไปบนปลายยอดไม้ใหญ่ปรากฏชายหนุ่มร่างสูงหน้าตาดีในชุดคลุมสีเขียวสด มือโบกพัดอย่างสุขุม แต่สายตาคมดุจนกเหยี่ยวจับจ้องอยู่ที่นางและสัตว์ร้ายที่นางเรียกว่านกหัสดินอย่างระแวดระวัง
เพียงชั่วอึดใจนกร้ายที่กำลังคลุ้มคลั่งด้วยความโกรธจากการบุกรุกถึงถิ่นฐาน กลับสงบลงอย่างว่าง่าย ร่างสูงบนต้นไม้จึงค่อยเก็บพัดอย่างคลายใจ ก่อนแฝงตัวหายเข้าไปในเงามืดอย่างเงียบเชียบดุจเงา
สุธรรมจินดาหันมองนางและนกหัสดินสลับกัน นัยน์ตาของนางกลับเป็นสีนิลเยี่ยงคนปรกติ ก้มลงดูอาการของสุริยมณี
“พี่ชายท่านนี้อาการไม่ค่อยดี หากไม่รีบพาตัวไปรักษาอาจทนพิษบาดแผลไม่ไหว”
นางกล่าวด้วยความเป็นห่วง
เมื่อมีโอกาสได้ใกล้ชิดเขาเพ่งพิศใบหน้างามอย่างลืมตัว ไม่ว่านางเป็นใครแต่เขาพอจักดูออกว่านางมิได้มีเจตนาร้าย กล่าววิงวอนว่า
“ถ้าอย่างไร เจ้าจักกรุณาช่วยพวกเราอีกสักครั้งได้ฤๅไม่”
...................
ณ อาศรมของอมรสิงห์ ร่างคนเจ็บนอนยู่บนฟูกผ้าฝ้ายขาวสะอาด ร่างกายพันด้วยผ้าพันแผลกว่าค่อนตัว เสื้อผ้าเปื้อนโลหิตถูกแขวนไว้บนราวด้วยไม่สามารถปะชุนให้เหมือนใหม่ได้อีก มีเพียงเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สวมอยู่และผ้าคลุมไหล่ น้องชายของเขานั่งสนทนากับฤๅษีหน้าอาศรมด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“องค์ชายรองมิต้องทรงเป็นกังวล...” ฤๅษีอังคตกล่าวปลอบใจ “พระเชษฐาของท่านมิทรงเป็นอะไรมาก อีกไม่นานก็จักหายประชวร”
“หากมิได้ท่านตาและพวกเขาช่วยไว้ ข้ากับพี่ชายก็คงไม่รอด”
นักสิทธิ์ส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวว่า
“เรื่องเพียงเท่านี้หากมิมีน้ำใจช่วยเหลือ แล้วเรื่องใหญ่ในวันหน้าจักทำเยี่ยงไร ขอท่านอย่าได้คิดมากไปเลย”
บรรดาลูกศิษย์ของอังคตฤๅษีเดินเรียงออกมานั่งด้วย ส่วนฤๅษีกลับเดินเข้าไปในกุฏิ ปล่อยให้พวกเขาพูดคุยกันเอง อมรสิงห์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้เขามากที่สุดถามขึ้น
“ท่านมาจากที่ใดกัน รู้หรือไม่ว่าป่านี้มิใช่ป่าที่มนุษย์ธรรมดาจักเข้ามาได้ง่ายๆ”
“ข้ารู้ แต่ข้ามิเคยคิดว่าจักมีสัตว์ร้ายน่ากลัวถึงเพียงนี้...”
เจษฎากล่าวตำหนิว่า
“ท่านประมาทเกินไป ขึ้นชื่อว่า...ป่า...ก็ควรระแวดระวังให้มาก นับว่าท่านยังโชคดีที่จันทรรัตน์ไปพบเข้า ไม่เช่นนั้นคงต้องกลายเป็นอาหารมื้อพิเศษของเจ้านกหัสดินนั่นแน่”
เขาหวนคิดถึงตอนที่นางมีดวงเนตรสีเขียวจัด นัยน์ตาของนางตอนนั้นราวกับมีพลังมากมายที่สามารถบังคับจิตใจของนกร้ายนั้นได้ เผลอๆพลังของนางอาจร้ายกาจยิ่งกว่าที่เห็น
“นางเรียนวิชาอะไรมา ข้าเห็นนางสะกดนกหัสดินได้กับตา”
อมรสิงห์เห็นนางเบือนหน้าหนีมิใคร่ตอบคำถาม เขาเข้าใจว่านางคงไม่อยากให้เจ้าชายผู้นี้หวาดระแวงในตัวนาง จึงตอบคำถามแทน
“นั่นเป็นวิชาพลังจิตอย่างหนึ่ง สามารถสะกดใจให้ทำตามที่ตนต้องการได้ เรื่องเพลงสัประยุทธ์นั้นนางสู้พวกเราไม่ได้ก็จริง แต่พลังจิตของนางแข็งกล้ากว่าเรามาก”
สุธรรมจินดาพอจะเข้าใจ ด้วยได้เห็นแล้วว่าวิชาของนางแก่กล้าเพียงใด พลันเขาสะดุดตากับสองคนที่นั่งกับเขา เจษฎากับจันทรรัตน์หน้าตาเหมือนกันราวกับเป็นพิมพ์เดียว ถามเจษฎาอีกว่า
“จันทรรัตน์นางเป็นน้องสาวท่านรึ ข้าเพิ่งเคยเห็นพี่น้องหน้าตาเหมือนกันขนาดนี้เป็นครั้งแรก”
เจษฎาตอบกลับมาอย่างมิค่อยใส่ใจ
“มิได้ นางเป็นศิษย์น้องของข้า เพียงแต่ข้ารักนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่ง”
อมรสิงห์ถามต่ออีกว่า
“ท่านมาจากเมืองอะไรกัน ข้าไม่ยักเคยเห็นลักษณะการแต่งกายเยี่ยงท่าน”
เขามองดูชุดที่เจ้าชายน้อยผู้นี้สวมใส่ เสื้อสีขาวขลิบทอง ผ้าคลุมไหล่สีขาว กางเกงเป็นผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองระยับ คาดด้วยเข็มขัดทอง
“นครชนินทราลัย”
ศิษย์ในสำนักพากันขมวดคิ้ว
“มันอยู่ที่ใดกัน?”
“อ๋อ! เมืองของข้าอยู่ไกลมาก ถึงบอกไปพวกท่านก็คงไม่รู้จักหรอก”
สุธรรมจินดาตอบกลับมาอย่างขอไปที เจษฎารู้สึกเคลือบแคลงในคำกล่าวของเจ้าชายองค์นี้ที่ดูราวกับตั้งใจปกปิด แต่เรื่องนี้ช่างมันก่อน ที่น่าเป็นห่วงคือคนเจ็บที่นอนอยู่ที่นี้ต่างหาก
“เอาอย่างนี้ดีไหม อีกไม่นานพี่ท่านก็จักหายดีแล้ว แล้วข้าจักไปส่งพวกท่านที่ชมพูทวีปในทันที”
สุธรรมจินดาฟังแล้วส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ไม่ ท่านพี่เพิ่งหายดี หากจะพากันออกไปทั้งสภาพเยี่ยงนี้คงไม่ไหวเป็นแน่ ข้าจึงอยากเรียนวิชาต่างๆจากท่านนักพรตก่อน”
“ท่านคิดดีแล้วรึ วิชาของท่านตามิใช่นึกยากเรียนก็เรียนได้ แล้วท่านยังต้องเสียเวลาอีกเป็นปีกว่าจักสำเร็จวิชา”
เจษฎาเตือนด้วยความหวังดี ทว่า....เมื่อเห็นสายตาที่สุธรรมจินดามองไปที่จันทรรัตน์ มิใช่สายตาของผู้เป็นหนี้ชีวิตเพียงอย่างเดียว หากรวมถึงสายตาหลงใหลเยี่ยงที่ชายหนุ่มมองหญิงสาวด้วย เขาจึงเข้าใจในเหตุผล
...ถ้าเช่นนั้น อย่ามาบ่นทีหลังว่าฝึกโหดก็แล้วกัน...
ภายในอาศรม ผู้นอนอยู่ค่อยๆเผยอเปลือกตาขึ้น เห็นเพียงคานไม้และหลังคาคลุมด้วยใบไม้แห้ง ข้างกายมีหญิงสาวหน้าตาดีกำลังบิดผ้าชุบน้ำในขันเงินใบเล็กๆ นางหันกลับมามอง แม้ไม่มีรอยยิ้มให้เห็นแต่เขากลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน
“ได้สติแล้วหรือ”
เขาถามนางเบาๆ
“ที่นี่ที่ไหน?”
“สำนักของฤๅษีอังคต ข้าคือลูกศิษย์ของท่าน”
เขาลองพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแต่ก็ล้มกลับลงไปบนหมอนเช่นเดิม ได้ยินเสียงนางห้ามว่า
“อยู่นิ่งๆเถอะ ไม่ต้องลุกหรอก”
นางช่วยพยุงเขาขึ้นนั่งพิงหมอนอย่างระมัดระวัง เขามองดูนางทำทุกอย่างอยู่ตรงหน้าเขา
“ข้ามีนามว่าสุริยมณี เรียก...มณี...ก็ได้ แล้วเจ้ามีนามว่าอะไร”
“ข้า...กรรณาภรณ์” นางตอบสั้นๆ “ท่านโชคดีจังนะ เข้าป่านี้มายังมิทันไรก็ได้เจอกับสัตว์หิมพานต์อย่างนกหัสดินเข้าเสียแล้ว ตั้งแต่พวกข้ามาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยพบเห็นอะไรเหมือนอย่างท่านเลย”
เขาฟังนางแล้วแค่นหัวเราะ นางบอกว่าเขาโชคดี...แต่เขาโชคร้ายสิไม่ว่า...
“เจ้าคิดเยี่ยงนั้นรึ ข้าแค่คิดว่ารอดตายมาได้อย่างปาฏิหาริย์เช่นนี้ก็บุญโขแล้ว ข้ายังมิได้ขอบคุณผู้ช่วยชีวิตข้าเลยด้วยซ้ำ”
“จันทรรัตน์...นางอยู่ข้างนอก น้องชายของท่านจองตัวนางไว้ไม่ยอมปล่อย เห็นว่าอยากเรียนวิชาของนาง”
นางพูดเปรยๆ ได้ยินดังนั้นเขานึกบ่นด่าน้องชายในใจ....เจ้าน้องบ้า พอเจอสาวๆเข้าหน่อยเป็นไม่ได้เลย... เขาคิดโมโหที่ถูกน้องชายลืมทิ้งให้นอนเจ็บอยู่บนเตียงแต่ก็ปล่อยวางลงเสียได้ บางทีได้แยกกันอยู่คนละทางบ้างก็ไม่เลว แถมเขายังได้เพื่อนที่คุยถูกคออย่างกรรณาภรณ์มาเพิ่มอีกคนก็ช่วยเพิ่มอรรถรสได้ไม่น้อย นิสัยอย่างนางน่าจะคุยสนุกกว่าน้องชายจอมกวนของเขาเป็นไหนๆ เขาหยิบดอกไม้สีเหลืองสดกลิ่นหอมแรงจากถ้วยใบน้อยที่กรรณาภรณ์เก็บเข้ามาให้เขาขึ้นมาควงเล่นพลางกล่าวว่า
“ในเมื่อน้องข้ามีคนช่วยดูแลอย่างใกล้ชิดแล้ว ข้าเองก็อยากมีบ้าง....”
ครานี้นางค่อยยิ้มออกมาบ้าง
“ทำไม กลัวน้อยหน้าน้องชายรึไง”
เขายิ้มตอบ รู้สึกว่าเวลาที่นางยิ้ม ทุกสิ่งทุกอย่างก็ดูสดชื่นไปเสียหมด เขามองดูดอกไม้ในมือ ทั้งสดสวยและอ่อนหวานเหมือนนางไม่มีผิด เขายื่นดอกไม้ให้นางพลางว่า
“หากเจ้าจัก...กรุณา...ข้า”
นางยิ้มรับ เขาจึงถือว่านางไม่ปฏิเสธคำขอนี้ จึงกล่าวต่อไปว่า
“งั้นข้าถือว่าเจ้ายินดีนะ”
“แล้วข้าจักรอดูท่านโอดครวญหลังการฝึกวิชาทุกวัน”
นางเอ่ยแกมประชด พลางลุกเดินออกไป เขามองตามยิ้มละไม
“คงไม่มีวันนั้นหรอก”
เรื่องราวของทั้งสองอยู่ในสายตาของเจษฎาและอมรสิงห์ตลอดเวลา ทั้งสองเดินออกมาจนลับสายตาคนอื่นๆแล้วจึงปรึกษากันอย่างเป็นกังวลว่า
“ปล่อยไว้อย่างนี้จักดีหรือ พี่ใหญ่ ข้าว่าพวกนางคงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมองค์ชายสองคนนี้เป็นแน่”
“ก็ไม่แน่นักหรอก พวกนางก็มิใช่คนโฉดเขลา เรื่องเพียงเท่านี้พวกนางน่าจะดูออก”
เจษฎาเอ่ย เขาเชื่อมั่นว่าเพียงแค่องค์ชายรูปงามไม่มีทาทำให้จิตใจพวกนางสั่นคลอนได้ง่ายๆ อมรสิงห์เองก็เชื่อเช่นนั้นมาตลอด แต่จากที่เห็นเมื่อครู่นี้แล้ว เขาเองก็ชักไม่แน่ใจ
“แต่เท่าที่ข้าเคยพบเห็น พวกนางมิเคยอ่อนไหวง่ายดายกับวาจาของบุรุษใดถึงเพียงนี้ ข้าว่ามันชักไม่ชอบกล”
“อืม”
บุตรพระพายคิดตามอย่างใคร่ครวญ จริงอย่างที่อมรสิงห์กล่าวมา พวกนางไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้กับผู้ใดที่เข้าใกล้ แม้กระทั่งเขาหรืออินทรก็ตาม
“ท่านพี่คิดจะทำอย่างไรต่อไป”
“ตอนนี้เราทำได้แค่จับตาดูสองคนนั้นไว้อย่าให้มีโอกาสใกล้ชิดกันมากจนเกินไป รอเพียงแต่เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์เท่านั้น”
“จักได้ผลแน่หรือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจักยอมแสดงธาตุแท้ง่ายๆ”
อมรสิงห์บอกอย่างไม่แน่ใจนัก แต่เจษฎาคิดวางแผนไว้แล้ว
“...อันคนดีนานดอกจึงออกตัว ถ้าคนชั่วเขาคงเห็นเป็นไปเอง... ฝ่ายเราเองก็มิได้แสดงตนให้เขารู้จนหมดเปลือกเหมือนกัน ต่างฝ่ายต่างปิดบังกันอยู่อย่างนี้ก็ไม่ต่างจากรอเวลาเปิด...ไพ่ตาย... แล้วข้าก็ไม่อยากตัดสินกันแต่เพียงเปลือกนอกด้วย”
อมรสิงห์ชักคล้อยตามพี่ชาย เขาเองก็ใคร่รู้ว่าเจ้าชายสององค์นี้มีจุดประสงค์อะไรที่เข้ามาในป่านี้ เวลาเท่านั้นที่จักทำหน้าที่แทนพวกเขา....
ความคิดเห็น