คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : เพื่อนใหม่ (แก้ไขแล้ว)
ก่อนหน้านั้น
“นี่ จันทรรัตน์”
กรรณาภรณ์ถามเสียงยาน อีกฝ่ายหันมองทำหน้าเหรอหรา
“หือ?”
“เจ้าเป็นอะไร ลุกลี้ลุกลนทั้งวัน”
นางนิ่งคิดหาคำตอบดีๆ เกรงว่าหากตอบไม่คิดคงโดนหาว่าประสาทหลอน
“คือ...ข้าแค่สังหรณ์ว่ามีใครมาดักรอพวกราอยู่ เจ้าคิดเหมือนข้าหรือเปล่า?”
ไม่จำเป็นต้องถามอะไรอีก เพียงเห็นหน้าก็รู้แล้วว่าไม่เชื่อ
“ช่างเถอะๆ ข้าคงคิดมากไปเองเหมือนเคยนั่นแหละ”
กรรณาภรณ์มองหน้าเพื่อนอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จากที่คบหากันมานานนางรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้มิเคยพูดเท็จ แต่พลังอำนาจบางอย่างในตัวเพื่อนนั้นมันช่างดูลึกลับชวนให้หวาดผวาอยู่เรื่อย เพราะจันทรรัตน์ราวกับล่วงรู้ความเคลื่อนไหวของทุกคนทุกฝีก้าว ทั้งยังอาจล่วงรู้ถึงความคิดของคนทุกผู้เพียงแค่สัมผัส ด้วยเหตุนี้จึงมิมีเทพบุตรหรือเทพธิดาองค์ใดอยากเข้าใกล้นาง มีแต่พวกตนเท่านั้นที่ยอมคบหาด้วย
“เจ้ารู้สึกได้ตั้งแต่เมื่อไร”
“เมื่อไม่นานมานี้เอง ข้าสัมผัสพลังแปลกๆนี้ได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
“อาจเป็นของพวกวิทยาธรกระมัง ได้ยินว่าเจ้าพวกนี้อาศัยอยู่แถบนี้เป็นฝูง”
นางกล่าวด้วยวาจาแกมดูหมิ่น เป็นที่รู้กันดีว่าขึ้นชื่อว่าวิทยาธรนั้นเป็นพวกชอบ...ลักลอบ...ไว้ใจมิได้สักตน ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าเทวดาบางพวกที่แม้นกำเนิดมาดีแต่ก็ยังชอบทำตัวเป็นพาลหาเรื่องพวกอสูรเยี่ยงบรรดาเพื่อนเก่าของนาง
“แต่ข้าว่าไม่ใช่ กะแค่วิทยาธรไม่น่ามีพลังมากถึงเพียงนี้ ข้าว่าน่าจะเป็น...”
นางหยุดเมื่อบังเอิญหางตาเหลือบไปเห็นเงาของใครบางคน วิ่งผ่านหลังเพื่อนของนาง ไวกว่าความคิดนางรีบดึงเพื่อนออกมาและใช้พลังสร้างเกราะกางเขตแดนตามความเคยชิน
“อะไรของเจ้าน่ะ”
กรรณาภรณ์ถามอย่างไม่เข้าใจเมื่อเห็นสายตาเพื่อนเขม้นมองไปยังจุดหนึ่งราวกับมีอันตรายหนักหนา นางจุปากพลางตั้งสมาธิเพื่อจับความเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม
“มันจะเผยตัวออกมาแล้ว”
นางกระซิบบอก กรรณาภรณ์พยักหน้าอย่างเข้าใจในความหมาย นิ้วเรียวหยิบศรและคันธนูออกมา เตรียมขึ้นสายอย่างระมัดระวัง หลังต้นไม้ใหญ่ร่างอสูรรูปร่างกำยำตนหนึ่งเผยตัวออกมา ในมือทั้งสองว่างเปล่ามิพกอาวุธใดๆ แต่สายตาเหี้ยมเกรียมราวกับโกรธกันมาแต่ชาติปางไหน
“เจ้าเป็นใคร ต้องการอะไร”
จันทรรัตน์ถามพยายามข่มความหวาดกลัว ด้วยรู้สึกว่าอสูรตนนี้ไม่ธรรมดาเลย กรรณาภรณ์มองอสูรตั้งแต่หัวจรดเท้า ลักษณะเช่นนี้คงมิใช่อสูรเร่ร่อนไร้สกุล แต่ก็หาเหตุผลที่จะทำร้ายพวกนางมิได้
“ดูท่าเจ้าคงได้รับคำสั่งให้มายุ่งเกี่ยวกับพวกเรากระมัง”
อสูรตนนั้นมิตอบความ แต่นางเดาว่าไม่ผิดจากที่คิด
“แต่เสียใจด้วยนะ พวกเรามาตายที่นี้ด้วยน้ำมือเจ้ามิได้หรอก”
อสูรมองพวกนางด้วยสายตาเย็นชา ดวงตาสีแดงจัดเพ่งมองไปที่เป้าหมายที่ดูอ่อนแอที่สุดอย่างจันทรรัตน์ และพวกนางก็ฉลาดพอที่จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
“เจ้ารออยู่ในนี้นะ ข้าจะเบนเป้าหมายของมันออกไป”
“หา! นี้เจ้าคิดจะ...”
“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า ด้วยศรไฟกัลป์ที่เสด็จพ่อประทานให้ข้ามานี้ เจ้ายักษ์นั่นทนได้ไม่นานหรอก เจ้าเองก็ช่วยกางเขตแดนให้ข้ามากๆหน่อยแล้วกัน”
นางรอจังหวะอย่างรอบคอบ ก่อนวิ่งออกไปทางอื่นและยิงศรใส่อย่างรวดเร็ว ศรพุ่งตรงที่เป้าหมายแม่นยำเหมือนจับว่าง แต่กลับเบนออกและกลับหลังมาสู่มือเจ้าของ
“อ้าว!!”
“เฮ้ย!! ไหงเป็นงี้ล่ะ”
พวกนางมองอย่างตื่นตกใจ ศรวิเศษอย่างศรไฟกัลป์ไม่น่ามีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้ กรรณาภรณ์ลองใหม่อีกครั้ง ศรพุ่งตรงที่เป้าหมายอีกครั้ง แต่กลับมีเพลิงโหมขึ้นรอบตัวอสูรราวกับเป็นเกราะกำบัง ศรพุ่งชนเต็มแรงแต่กลับไม่สะดุ้งสะเทือน กลับเป็นศรเล่มเดิมเสียอีกที่หวนกลับมาหาเจ้าของ
“อะไรกันเนี่ย ของเก๊หรือเปล่ายะ”
“ข้าว่าเจ้าอาจใส่พลังไม่พอก็เป็นได้นะ หรือไม่จิตของเจ้าอาจไม่แข็งพอที่จะใช้มัน”
“ก็อาจเป็นได้”
นางคิดพลางเหนี่ยวศรออกไปใหม่ ครานี้นางตั้งสมาธิจดจ่ออยู่ที่อสูรไม่วอกแวกไปที่อื่น แต่ด้วยความจิตสำนึกละอายที่มิเคยคิดสังหารผู้ใด ทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงต้องถูกปองร้าย จิตจึงรวมพลังได้ไม่มากพอ จันทรรัตน์มองเพื่อนอย่างเป็นห่วง รู้ดีว่าเพื่อนรักคงไม่สามารถทำได้ด้วยนางไม่มีจิตสังหารรุนแรงเยี่ยงศัตรูที่กำลังเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้ ธนูพุ่งตรงสู่เป้าหมายก็จริง แต่พลังก็ถูกฝ่ายตรงข้ามสลายไปจนหมดสิ้น และเมื่อเห็นพวกนางเริ่มหมดกำลังจาดการต่อสู้ก็เตรียมจู่โจมบ้าง วงแหวนไฟหลายวงปรากฏขึ้นคล้องต่อกันหลายต่อหลายวง นี้คงคิดเผาพวกนางทั้งเป็น!
ทางด้านชายหนุ่มที่กำลังเก็บฟืนอยู่อีกฟากหนึ่ง
ตูมมมม! โครม ๆๆๆๆๆ
เขาหันไปมองทางทิศนั้นอย่างแปลกใจ ด้วยทิศนั้นเป็นทางที่เพื่อนทั้งสองของเขาแยกออกไป แม้ว่าอยู่ห่างจากกันมากก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังที่รุนแรงจากการสู้รบ
“หรือว่าจักเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น” เขารำพึงกับตัวเอง
แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแทบจะในทันทีที่เห็นแสงสว่างวูบวาบเหมือนแสงไฟและดูท่าแสงจะสว่างขึ้นเรื่อยๆราวกับไฟไหม้ ใจนึกเป็นห่วงสองนางที่อยู่เฝ้าโยง
“เฮ้ย! ไม่ได้การแล้ว”
เขารีบทิ้งฟืนทั้งหมดแล้วย้อนกลับไปยังทิศทางเดิมทันที
ณ จุดเดิมรัตนมณีและปิ่นสุวรรณเดินไปเดินมาอย่างกระวนกระวายใจ เมื่อเห็นเพื่อนอีกคนวิ่งมาจึงเริ่มรู้สึกใจชื้นขึ้น ปิ่นสุวรรณกระโจนเข้าคว้าคอเสื้อของเขาแล้วตะโกนใส่ด้วยความโมโห
“ทำไมเพิ่งโผล่หัวมาเอาป่านนี้ วิ่งไม่เป็นรึไง หา! ไอ้อมรสิงห์”
เขาแกะมือของนางออกจากคอเสื้อแล้วหันไปถามเพื่อนอีกคนซึ่งดูท่าจะคุยกันง่ายกว่า
“ทางนี้ปลอดภัยใช่ไหม แล้วกรรณาภรณ์กับจันทรรัตน์เล่า”
รัตนมณีชี้ไปที่ยังทิศที่เกิดเรื่อง แต่พอทั้งสามหันไปมองพร้อมกันก็ยิ่งตกใจมากขึ้นกว่าเดิม เมื่อเห็นกลุ่มเพลิงขนาดใหญ่ยักษ์ และมีแสงสีขาวขนาดเล็กสองสายพุ่งตามกันออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ป่าแถบนั้นจะถูกเผาเป็นจุณ
“ไม่ได้การแล้ว รีบตามไปเร็ว”
ทั้งสามคนต่างวิ่งไปทางที่แสงสีขาวสองสายพุ่งออกไป
...........
ฝ่ายจันทรรัตน์ในขณะที่อยู่ในสถานการณ์คับขันชนิดเป็นตายเท่ากันนั้นนางเหลือบเห็นหน้าผู้ที่ช่วยชีวิตนางไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้นสะดุดใจนาง โดยเฉพาะดวงตาคมราวนกเหยี่ยว ราวกับว่านางเคยเห็นดวงตาคู่นี้ที่ไหนสักแห่ง
ชายหนุ่มอุ้มนางมาได้สักระยะ ก็วางนางลงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เขายิ้มอ่อนโยนและปลอบใจ
“เจ้าไม่ต้องกลัว เจ้ายักษ์อันธพาลนั่นตามมาทำร้ายเจ้าไม่ได้แน่ ส่วนเพื่อนของเจ้านั้น เดี๋ยวเพื่อนของข้าจะพามาส่งให้”
กล่าวเสร็จเขาก็มองนางอย่างพิจารณา....นางหน้าตาออกจะสะสวย แต่รูปร่างอรชรอย่างพวกนางไม่น่าจะมีเรื่องกับเจ้ายักษ์นั้นได้เลยนี่นา.... จากนั้นจึงแนะนำตัวเอง
“ข้าชื่อเจษฎา เป็นผู้ดูแลป่าหิมพานต์ทางทิศเหนือนี้ แล้วเจ้าล่ะ”
นางมองดูอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ผู้ที่มาช่วยเป็นชายหนุ่มรูปงาม รูปร่างสูง อายุก็ไม่น่าจะห่างจากพวกนางมากนัก ไว้ผมยาวลงมาถึงกลางหลัง ใช้ผ้าขาวมัดไว้ดูเรียบร้อย สวมชุดคลุมสีเขียวใบไม้ทับชุดสีขาวบางเบา สง่าราศีของเขาดูจับตายิ่งกว่าพวกเทพบุตรบนสวรรค์ที่นางเคยพบเจอ แม้นว่ายังนึกไม่ออกว่าเคยเจอกันที่ไหนแต่นางเชื่อมั่นในความรู้สึกของตนว่าคนผู้นี้ไว้ใจได้ จึงยอมเล่าหมดเปลือก
“ข้าชื่อ จันทรรัตน์ เป็นศิษย์ของพระทหะฤๅษี นอกจากกรรณาภรณ์แล้วยังมีอีกตั้งสามคน ป่านนี้พวกนั้นคงเป็นห่วงกันแย่แล้ว”
“แล้วนั่นใช่พวกเพื่อนๆของเจ้าหรือเปล่า”
เจษฎาชี้ไปยังคนชายหญิงที่กำลังวิ่งตรงเข้ามา นางร้องเรียกด้วยความดีใจ
“อมรสิงห์ รัตนมณี ปิ่นสุวรรณ”
เมื่อทั้งสามวิ่งมาถึงกลับพร้อมใจกันยิงคำถามใส่นางทันที
“จันทรรัตน์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“แล้วกรรณาภรณ์ล่ะ นางหลงทางกับเจ้าหรือ แล้วเขาเป็นใครกัน”
“ข้าปลอดภัยดี นี้คือผู้มีพระคุณของข้า ส่วนกรรณาภรณ์เดี๋ยวคงตามมาสมทบ” จันทรรัตน์ เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกเพื่อนๆของนางฟัง “ทั้งหมดก็อย่างที่เล่าฟังนั่นแหละ”
ชายหนุ่มมองหน้าผู้พิทักษ์ซึ่งพบกันโดยบังเอิญ รู้สึกถูกชะตากับพี่ชายผู้นี้ยิ่งนัก กล่าวว่า
“หากไม่ได้ท่านเจษฎาช่วยไว้ พวกนางคงต้องแย่แน่ พวกเราขอบคุณท่านจริงๆ”
“ไม่เป็นไรหรอก” เจษฎาตอบ สายตาสังเกตเห็นแหวนทองที่ห้อยอยู่ที่คอของอมรสิงห์ “ท่านห้อยแหวนอะไรไว้หรือ ข้าว่ามันสวยดีน่ะ”
“อ้อ แหวนนี้คือแหวนประจำตัวของข้าเอง ตั้งแต่ข้าเกิดมามันก็อยู่กับข้าแล้ว”
ฟ้าวววว
..
ชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเหาะมาทางที่ที่พวกเขายืนคุยกันอยู่ ลักษณะการแต่งตัวของเขาเหมือนเจษฎา ในอ้อมแขนของเขาอุ้มกรรณาภรณ์มาด้วย แต่ท่าทางของนางดูไม่เต็มใจนัก
“มาแล้วๆ” เขาร้องบอก พลางวางร่างของหญิงสาวลงถึงพื้นอย่างนิ่มนวล และหันมาทำความเคารพเจษฎา “ข้าเกลี้ยกล่อมนางอยู่ตั้งนาน กว่านางจะยอมเชื่อใจ ยอมให้ข้าพามาส่ง ส่วนเจ้ายักษ์นั่นมันหนีไปได้ขอรับ” เขารายงานผลชัดถ้อยชัดคำ
“ปล่อยมันไปเถอะ” เจษฎา พูดกับเขาอย่างเป็นกันเอง และแนะนำเขาให้อีกฝ่ายรู้จัก “นี้คืออินทร เป็นเพื่อนของข้าอย่างที่บอกไปแล้ว” กล่าวเสร็จจึงหันไปมอง กรรณาภรณ์ที่กำลังยืนมองเขาอย่างสงสัยไม่ไว้ใจ จันทรรัตน์จึงรีบแนะนำรู้จัก
“กรรณาภรณ์ นี้คือท่าน เจษฎา พวกเขาช่วยชีวิตเราไว้ไง”
“เอ่อ....ขอบคุณท่านกับผู้ช่วยของท่านมาก”
กรรณาภรณ์พูด แต่ยังคงมีท่าทีระแวงอยู่
“อืม”
เขาตอบรับพลางพิจารณาหนุ่มสาวทั้งห้าทีละคน แต่ละคนท่าทางฝีมือไม่เลวกันทั้งนั้น อมรสิงห์รูปร่างสง่างาม ดูองอาจราวกับพญาไกรสร แต่กิริยาอ่อนน้อม ไม่ถือตัว น่าคบหาเป็นมิตร ปิ่นสุวรรณ ท่าทางห้าวหาญ ไม่กลัวใคร ดูจากแววตาก็รู้ว่าเป็นคนหัวแข็ง รัตนมณีดูนิ่มนวลอ่อนหวาน เรียบร้อยกว่าเพื่อน แต่ท่าทางฉลาดพอตัว จันทรรัตน์ดูผิวเผินเหมือนเป็นคนนิ่งๆ ไม่เอาเรื่องใคร แต่ถ้าโกรธขึ้นมาคงโหมแรงยิ่งกว่าพายุใหญ่ ส่วน กรรณาภรณ์ ท่าทางเป็นคนเอาเรื่อง ไม่ไว้ใจใครง่ายๆก็จริง แต่นางไม่ใช่คนเสแสร้ง เพียงแค่นางตรงแข็งเกินไป ทั้งห้าคนนี้คงไม่ใช่ชาวป่าอย่างที่บอกไว้เป็นแน่ แต่ถึงถามต่อคงไม่ได้อะไรขึ้นมา ไหนๆพวกเขาก็หลงทางมาแล้วก็พาไปหาพระอาจารย์เสียเลย อาจจะได้เรื่องได้ราวมากขึ้น
หนุ่มสาวทั้งห้าต่างมองหน้ากัน ต่างสงสัยว่าเหตุใดเจษฎาจึงเอาแต่จ้องหน้าพวกตนไม่ วางตา ทั้งอินทรก็ทำราวกับอาการของเจ้านายเป็นเรื่องปกติ ปิ่นสุวรรณทนไม่ไหวกับท่าทีเช่นนี้จึงโพล่งคำถามออกมา
“หน้าพวกเรามีอะไรติดอยู่หรือ?”
เจษฎา เพิ่งรู้สึกตัวว่าจ้องมากไปแล้ว จึงรีบกลบเกลื่อน
“เอ้อ! เปล่า ไม่หรอก แล้วนี่พวกเจ้าจะไปไหนกันหรือ”
“นครสาเกต หากท่านรู้ทางก็ช่วยบอกพวกเราหน่อยเถอะ รอนแรมกันมาหลายวันแล้วก็ยังไม่ถึงเสียที” อมรสิงห์ ขอร้อง
“ไม่แปลก นครสาเกตถึงแม้จะเป็นเมืองมนุษย์ แต่เจ้าเมืองท่านเป็นผู้ชำนาญเรื่องเวทย์มนตร์คาถา ทั้งยังสรรหาเหล่าจอมเวทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านคำสาปโบราณมารับราชการมากมาย และให้พวกเขาเหล่านี้ใช้ความรู้ความสามารถของพวกเขาสร้างเกราะป้องกันนครขึ้นมาหลายต่อหลายชั้น การที่จะตามหานครนี้พบจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ที่สำคัญที่สุดคือหลายคนต้องมาหลงทางจนตายในป่านี้เพราะตามหานครสาเกตไม่พบ และพวกเจ้าอาจเป็นหนึ่งในผู้คนเหล่านั้นหากยังเดินหลงวนเวียนอยู่อย่างนี้”
เจษฎาสาธยายเรื่องนครสาเกตอย่างเชี่ยวชาญ ชัดเจน พวกเขานั่งนิ่งฟังอย่างสนใจ รัตนมณี เริ่มถามต่อว่า
“แล้วกว่าจะเดินทางถึงนครสาเกต ต้องใช้เวลาอีกนานไหม”
“ข้าบอกไปแล้วพวกเจ้าอาจไม่เชื่อ ความจริงพวกเจ้าเดินทางผ่านเลยนครสาเกตมาหลายสิบวันแล้ว เพราะเหตุนี้อย่างไร ข้าถึงบอกว่าพวกเจ้าอาจต้องมาตายในป่านี้”
“หา! ไม่จริงน่า” พวกเขาแทบไม่เชื่อหูตนเอง ....อุตส่าห์เดินทางมาตั้งหลายวันกลับกลายเป็นว่าเดินเลยมาตั้งไกลแล้วรึนี่....
“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกันดี สารของพระอาจารย์ก็ยังไม่ได้ส่งให้ทางนครสาเกตเลย” อมรสิงห์ร้อนใจ เพราะนี้มิใช่ความผิดพลาดเล็กน้อยแน่หากเนื้อความในสารเป็นเรื่องสำคัญ
“แล้วต้องส่งให้ใครล่ะ บางทีพวกเราอาจรู้จัก”
เจษฎาอาสาจะช่วย อมรสิงห์จึงบอกชื่อไปตามตรง ไม่มีอะไรต้องเสียอีกแล้วนี่
“พระอังคตฤๅษีน่ะ”
“อ๋อ!!”
เสียงของอินทรอุทานขึ้นมาทำให้พวกเขาหันมองเป็นตาเดียวกัน ฝ่าย เจษฎาเองก็มองพวกอมรสิงห์อย่างสงสัยระคนสนใจ ปิ่นสุวรรณหันมาถามอินทรใช้ดวงตาสีดำคมคู่สวยจ้องจับพิรุธของอีกฝ่าย จนอินทรพูดไม่ออก
“มีอะไร? ท่านรู้จักพระอังคตฤๅษีอย่างนั้นหรือ?”
“พระอาจารย์ของข้าเอง”
เจษฎา ตอบแทน ทุกคนในที่นั้นหันกลับมามองเจษฎาแทน คราวนี้ไม่ใช่แค่สวรรค์ที่เล่นตลกกับพวกเขา แม้แต่เจษฎาและอินทรก็ยังร่วมเล่นด้วย เจษฎาลุกขึ้นและเดินนำพวกเขาเข้าไปในเส้นทางหนึ่ง
“ตามข้ามาสิ ข้าจักพาไปพบท่านตา”
............
พระสุริยะลับเหลี่ยมยุคนธร ความมืดโรยตัวลงทุกขณะ การเดินทางในป่ายามรัตติกาลเป็นอันตรายยิ่งนัก แม้นว่าไม่เจอสัตว์ร้ายก็อาจหลงทางในป่าได้ ยิ่งเดินมาไกลมากขึ้นเท่าไรกิ่งไม้ใบไม้ก็ยิ่งหนาตามากขึ้นเท่านั้น จนกระทั่งทุกคนเห็นแสงไฟส่องผ่านมาจากทางโค้งเบื้องหน้าที่ถูกต้นไม้ใหญ่บังเส้นทางไว้ เจษฎาพาทุกคนเดินตรงเข้าไป
เบื้องหลังต้นไม้นั้น มีกุฏิหลังหนึ่ง หน้ากุฏิมีกองไฟกองเล็กหากแต่แสงของไฟกลับสว่างไสวทั้งทั่วบริเวณกุฏิราวกับจะต้อนรับผู้มาเยือน มีชายชราหนวดเครายาวแต่เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน นุ่งห่มคากรองอย่างนักพรต นั่งขัดสมาธิบนพื้นดินหันหน้าเข้ากองอัคคี เจษฎาเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา และก้มลงกราบอย่างอ่อนน้อม ฉะนั้นชายชราผู้นี้จักเป็นใครไปมิได้นอกจาก
“พระอังคตฤๅษี”
เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว หกคนที่เหลือจึงพากันเดินเข้าไปและก้มลงกราบบ้าง พระฤาษีลืมตาขึ้นอย่างช้าๆมองทุกคนที่อยู่ตรงหน้า
“เจ้าพาใครมา?” ฤๅษีอังคตถามด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ
“ศิษย์ของพระทหะฤๅษี มีสารมาถึงท่านตาขอรับ”
เจษฎา หันมาพยักหน้าให้ อมรสิงห์ นำสารออกมายื่นให้ อังคตฤๅษี ท่านคลี่สารออกอ่านดูสักครู่หนึ่ง แล้วถามอมรสิงห์
“ท่านทหะฤๅษีกล่าวอะไรเพิ่มเติมมาอีกหรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าไปพักผ่อนกันเสียก่อน เดี๋ยวตาจะเนรมิตอาศรมให้ เจษฎา ดูแลพวกเขาด้วยนะ”
“ขอรับท่านตา”
เจษฎาตอบรับ อังคตฤๅษี ก็ลุกเดินออกไป เจษฎาหันกลับมาพูดกับพวกเขา
“เอาละ พวกเราก็ไปจัดข้าวของเถอะ เดี๋ยวข้าจะดูแลเรื่องเครื่องใช้ต่างๆให้”
กรรณาภรณ์ถามด้วยความสงสัย
“แล้วท่านเจษฎาไม่ต้องกลับไปดูแลป่าต่อหรือ?”
เขาตอบกลับมาอย่างอารมณ์ดีว่า
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวให้ อินทร ดูแลแทนก็ได้”
อินทรรับอาสาแข็งขัน
“แน่นอน ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะทำหน้าที่แทนเอง”
“ฝากด้วยนะอินทร ส่วนพวกเราก็ไปที่อาศรมกันเถอะ รีบนอนแต่หัวค่ำพรุ่งนี้จะได้มีแรงฝึกกัน”
“ฝึกอะไร?” อมรสิงห์งงกับคำพูดของเจษฎา
“ก็ฝึกวิชาไง ตาม...ศิษย์พี่...มาได้แล้ว”
“เมื่อกี้นี้ไม่เห็นท่านตาพูดเรื่องฝึกวิชาสักคำ” ปิ่นสุวรรณแย้ง “แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านตาหมายความอย่างที่ท่านพูด?”
“เดี๋ยวถึงอาศรมแล้ว ข้าจะเฉลยให้ฟัง” เจษฎาพูดแล้วเดินนำออกไป
ปิ่นสุวรรณ หันมากระซิบกระซาบกับเพื่อนๆอย่างแคลงใจ
“ข้าว่าท่านเจษฎาเหมือนมีอะไรปิดบังพวกเราอยู่”
รัตนมณีก็สงสัยไม่แพ้กัน
“ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน เขาทำตัวลึกลับชอบกล ตั้งแต่คราวที่มาช่วย0yomiจันทรรัตน์กับ กรรณาภรณ์ แล้ว”
“ข้าว่าท่านเจษฎา ไม่น่าจะใช่คนแบบนั้น เท่าที่สนทนากันมา เขาก็เป็นคนอัธยาศัยดี ตรงไปตรงมา น่านับถือดีออก” อมรสิงห์ ไม่ค่อยสนับสนุนความคิดของพวกนางสองคนนัก แต่ก็ไม่ปฏิเสธที่รัตนมณีบอกว่าเจษฎาดูเป็นคนลึกลับ
จันทรรัตน์แย้งขึ้นบ้างว่า
“ข้าเองก็เห็นด้วย เพราะถ้าเขาเป็นคนเลวจริงคงไม่ช่วยเหลือพวกเราแน่ พวกเจ้าอย่าเพิ่งไปปรักปรำเขาเลย เขาอาจมีเหตุผลแต่ยังไม่บอกเราตรงๆก็ได้”
กรรณาภรณ์ ตัดสินอย่างเป็นกลาง
“เอาเป็นว่าพวกเราตามเขาไปที่อาศรมเลยดีกว่า จะได้ฟังเรื่องจริงที่เขาเฉลย”
“กรรณาภรณ์พูดถูก แต่ข้าว่าพวกเราควรรีบไปเขาที่อาศรมเลยดีกว่า เดี๋ยวแทนที่เราจะได้สงสัยเขา เขาจะได้สงสัยเราแทน”
ปิ่นสุวรรณเดินนำเพื่อนๆไปที่อาศรม อมรสิงห์ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจในนิสัยเอาแต่ใจของพวกนางแล้วเดินตามเข้าไป
เจษฎารอพวกเขาอยู่ในอาศรม ระหว่างที่รอเขาก็นั่งอ่านตำราของตนไปพลางๆ ทันทีที่จัดเสร็จก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
แอ๊ดดด
.
ประตูถูกเปิดออก ผู้ถูกถามเดินเข้ามาประจันน้ากับเขา ผมที่ถูกเกล้าไว้เมื่อครู่นี้ถูกปล่อยสยายคลุมแผ่นหลัง เครื่องแต่งกายและอาภรณ์ที่สวมใส่มาตลอดเปลี่ยนเป็นชุดผ้าไหมสีขาวสะอาดตา หน้าตาของพวกนางเคยมอมแมมเพราะการพเนจรตามป่าเขามาเป็นเวลาหลายเดือนก็จริงอยู่ แต่เมื่อพวกนางได้ชำระล้างมลทินออกจากร่างกายแล้ว พวกนางก็ไม่ต่างกับอัญมณีเลอค่าที่ถูกขัดสีจนขึ้นเงา แผ่รัศมีความงามของตน เจษฎา มองพวกนางราวกับถูกสะกดด้วยความงามตรงหน้า เมื่อรู้สึกตัวจึงพูดจาด้วยตามปกติ
“แล้วอมรสิงห์ล่ะ?”
“เขาอาบทีหลังเราจึงมาช้า” กรรณาภรณ์ตอบ พวกนางพากันนั่งลงบนพื้น เจษฎาจึงเดินไปนั่งอยู่ด้านตรงข้าม
“เมื่อกี้นี้ท่านจ้องพวกเราทำไมหรือ?” ปิ่นสุวรรณ ถามอย่างไม่เกรงใจเหมือนเคยและดูเหมือนนางจะเตรียมเรื่องใหม่ๆมายียวนให้เขาปวดหัวเล่นโดยเฉพาะ
เจษฎา เองก็ดูนิสัยของนางออกมาแต่แรก กอปรกับนางเป็นคนขวานผ่าซาก ไม่เกรงที่จักพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกมาตรงๆ จึงทำให้เขารู้สึกว่าไม่เป็นการยากนักที่จะรับมือกับนาง
“มองคนด้วยกันมันผิดเหรอ?” เจษฎาเริ่มจะยียวนเหมือนนางบ้าง
“ไม่ผิดหรอก แต่ไยต้องมอง?” ปิ่นสุวรรณ รู้ตัวว่าโดนย้อนรอย แต่ก็ยังเป็นต่อ
แอ๊ดดด.....
“....เพราะชายหนุ่มมองหญิงสาวเป็นเรื่องธรรมดานะสิ”
ทุกคนหันไปมองต้นเสียง เห็นเป็นอมรสิงห์เปิดประตูเข้ามาและเดินเข้ามานั่งร่วมวงด้วย เขาพูดต่อ
“และข้าเองก็เป็นชายหนุ่มอีกคนในกลุ่มนี้เหมือนกัน” สายตาเขาเหลือบมองเพื่อนๆที่ต่างก็กำลังมองมาที่ตนอย่างงๆ “อ้าว ทำไมมองข้าอย่างนั้นล่ะ” เขาถามกลับ เริ่มจะงงบ้าง
“แล้วเจ้ายุ่งอะไรด้วย?” รัตนมณีและปิ่นสุวรรณถามเป็นเสียงเดียวกัน นึกขัดใจที่เขาเข้ามาขัด
“....” อมรสิงห์นะจังงังไปเมื่อเห็นสายตาบ่งบอกว่าไม่พอใจตน
“อ้าว? เป็นอะไรไป อมรสิงห์” จันทรรัตน์สังสัยในอาการของเพื่อน
“แล้ว....พวกเจ้าไม่คุยกันต่อหรือ?”
“เจ้าสรุปเรื่องให้ตั้งแต่เดินเข้ามาแล้วนี่” รัตนมณีตอบประชด
“....”
อมรสิงห์มองอย่างไม่เข้าใจอารมณ์ของเพื่อนว่าจะมาไม้ไหน....เป็นอะไรกันไปหมดเนี่ย ก่อนหน้านี้ยังดีๆอยู่เลย.... กรรณาภรณ์ เห็น เขาหน้าเสียจึงรีบตัดบท
“เอาเถอะไหนๆก็มากันครบแล้ว ท่านก็เล่าเรื่องนั้นให้พวกเราฟังเสียทีสิ”
เจษฎาซึ่งรอดูอยู่นานแล้วจึงเริ่มเรื่อง
“ถ้าเช่นนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง ความจริงท่านตาท่านรู้เรื่องที่พวกเจ้าจะมาล่วงหน้าแล้ว จึงรีบออกจากนครมาคอยรับพวกเจ้า....”
จันทรรัตน์ ถามขึ้นว่า
“แล้วท่านตารู้ได้อย่างไร ท่านเข้าฌาณหรือ”
“ไม่ใช่หรอก เพราะท่านทหะฤๅษีรอบคอบ ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึงท่านได้ส่งสารฉบับหนึ่งมาถึงท่านตา ว่า...ขอฝากลูกศิษย์ทั้งห้าให้ท่านช่วยอบรมสั่งสอนสืบต่อ.... ท่านตาท่านรู้ดีว่าขืนปล่อยเดินมากันเองคงไม่ได้เจอกันเป็นแน่ อย่างที่ข้าเล่าให้ฟังไปแล้วว่านครสาเกตเป็นอย่างไร ท่านตาจึงมาดักรอเจ้าอยู่กลางป่านี้ แล้วก็เป็นจริงตามคาด เพราะพวกเจ้าหลงทาง”
กรรณาภรณ์ ค่อยจับต้นชนปลายได้
“ถ้าเช่นนั้น ก็แสดงว่าการการที่ท่านมาช่วยเราจากเจ้ายักษ์นั่นก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญสินะ”
“ก็ไมเชิงนักหรอก แต่เป็นเพราะว่าข้าถูกสั่งให้มาดูแลป่านี้แต่แรกแล้ว เพียงแต่ข้าดูแลอยู่ทางทิศเหนือ ข้าเองก็ยังแปลกใจว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงไปมีเรื่อกับเจ้ายักษ์แปลกหน้านั้นได้”
“ถามข้าแล้วข้าจะไปถามใคร ในเมื่อมาถึงมันก็มาดักเล่นงานพวกข้าแล้ว”
“พวกเจ้าแน่ใจนะว่าไม่เคยสร้างศัตรูไว้ที่ไหน”
“อ้าวๆ พูดอย่างนี้ก็สวยสิ หาว่าพวกเราเป็นคนเลวเรอะ”
ปิ่นสุวรรณตั้งท่าจะหาเรื่องชกต่อย จนพวกเพื่อนๆของนางต้องช่วยกันจับแข้งจับขาไว้ก่อนที่เจษฎาจะโดนเล่นงานเข้า เจษฎาพิจารณาพวกเขาอย่างสุขุม เชื่อว่าพวกนางคงไม่โกหกเขาแน่ แต่เหตุไฉนพวกเขาจึงถูกเล่นงานอย่างไม่มีเหตุผลเล่า
“เอาล่ะ ข้าเชื่อแล้วว่าพวกเจ้าไม่รู้เรื่อง แต่ข้าเองก็มิเคยพบเห็นอสูรตนนั้นมาก่อนเช่นกัน แล้วจะให้ข้าทำอย่างไร ในเมื่อเราต่างฝ่ายต่างไม่เคยรู้จักอสูรตนนั้นเลย”
“เรื่องนั้น...”
พวกเขาก็หาคำตอบไม่ได้เช่นกัน จันทรรัตน์กล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า
“ข้าไม่ได้เข้าข้างตัวเองนะ แต่ข้ารู้สึกว่าอสูรตนนั้นมีเป้าหมายที่ข้ากับกรรณาภรณ์ เพราะมันตามเรามาตั้งนานแต่เพิ่งโผล่หัวออกมาตอนที่เราแยกย้ายกัน แล้วท่าทางของมันเหมือนทำตามคำสั่งมากกว่ามีความแค้นส่วนตัว”
“นั่นสิ ไม่ข้าก็จันทรรัตน์ที่มันหมายตาไว้ แต่จะด้วยเหตุผลอะไรข้าก็สูดรู้”
เจษฎาพยักหน้าเข้าใจ คิดว่าหลังจากนี้คงต้องสืบหาอสูรตนนั้นให้ได้ มิฉะนั้นแล้วอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยขึ้นอีก รัตนมณีถามขึ้นว่า
“ข้าขอถามอีกเพียงสองข้อ หนึ่ง ท่านเป็นใครกันแน่ และสอง ท่านมีอะไรเกี่ยวข้องกับนครสาเกต”
“หนึ่ง ข้าคือเชื้อสายแห่งพระพาย และเป็นผู้พิทักษ์ป่านี้ตามรับสั่งของท้าวสักกะ และสอง ข้าเคยอยู่ที่นครสาเกตด้วยเหตุผลบางประการ แต่ตอนนี้ข้าไม่มีพันธะใดกับที่แห่งนั้นอีกแล้ว มีข้อสงสัยอะไรอีกไหม”
“มี” รัตนมณีตอบด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “ข้าต้องการมากกว่าที่ท่านเพิ่งตอบไป”
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอถามเจ้าบ้าง ว่าพวกเจ้าเป็นเทพแต่ไยจึงลงมาเถลไถลอยู่ข้างล่างกัน”
“ท่านรู้?”
นางมองคนตรงหน้าอย่างตื่นตะลึง
“ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ข้าดูออกแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้าเองก็ไม่ธรรมดาเหมือนกัน” เจษฎาพูดเหมือนจะเยาะเย้ย “เทพอย่างพวกเจ้าลงมาเดินดินได้ แล้วไยข้าจะเข้าไปอยู่รวมกับมนุษย์บ้างมิได้”
“แต่เรามาเพื่อฝึกวิชาเท่านั้น แต่ท่านมีเหตุผลอะไร”
“พวกเจ้ารู้ไปก็เท่านั้น มันไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้าเลย”
“ในฐานะศิษย์ร่วมสำนัก ท่านควรเปิดเผยให้พวกเราฟังบ้าง”
“แต่ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าของเรื่อง ข้าก็มีสิทธิ์เลือกที่จะตอบคำถามตามความเหมาะสม แล้วข้าก็เชื่อว่าต่อให้จิตใจของเจ้ากว้างใหญ่ปานมหาสมุทรขนาดไหน เจ้าคงไม่ยอมเปิดเผยเล่าเรื่องส่วนตัวให้ผู้อื่นฟังสุ่มสี่สุ่มห้าหรอก จริงไหม?”
นางสะอึกกับคำพูดของเขา เริ่มรู้สึกตัวว่าการกระทำของตนเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นจนเกินขอบเขต จึงจำต้องยอมหยุดทั้งที่ยังไม่หายสงสัย จากการสนทนาของทั้งคู่ จันทรรัตน์กับอมรสิงห์เห็นตรงกันแล้วว่าเจษฎาฉลาดอย่างหาตัวจับยาก คนฉลาดเช่นนี้น่าพรั่นพรึงกว่าศัตรูที่เก่งฉกาจเป็นไหนๆ
“เอาเป็นว่าข้ากลับก่อนดีกว่า รุ่งเช้าเราต้องไหว้ครูกันก่อน”
กรรณาภรณ์ ตั้งท่าจะดับไฟที่เชิงเทียนตรงมุมห้อง เจษฎาลุกขึ้นเปิดประตูเดินออกไปแต่ชะงักตัวกะทันหัน หันกลับมามองในห้องอีกรอบ
“เดี๋ยว! อมรสิงห์ เจ้าต้องมานอนที่อาศรมเดียวกันกับข้าสิ นอนกับสตรีได้อย่างไรกัน ลุกมาเดี๋ยวนี้”
“ไม่เห็นเป็นไร พวกเราเคยนอนด้วยกันมาแต่เล็กจนโต ข้าไม่คิดเล็กคิดน้อยกับพวกนางหรอก”
อมรสิงห์ง่วงเต็มที ไม่ยอมลุกจากที่นอน เจษฎาเรียกหลายครั้งเห็นว่าไม่ลุกแน่จึงเดินเข้าไปหาถึงที่ กรรณาภรณ์ยังมิทันดับไฟนั่งมองอยู่ไม่ไกลนัก สงสัยว่าเจษฎาจะทำอะไรกันแน่ เจษฎา ยืนมองอมรสิงห์ อยู่ชั่วอึดใจก็เริ่มแผลงอิทธิฤทธิ์ โดยการท่องมนต์แล้วเป่าใส่ผู้ที่นอนอยู่ตรงหน้า แล้วภาพที่ทุกคนในห้องเห็นก็คือ อมรสิงห์สะดุ้งตื่นละกระวีกระวาดขนที่นอนวิ่งออกจากห้องไปราวกับถูกมนตร์สะกด ตามด้วยเจษฎาที่ยิ้มเจ้าเล่ห์และเดินตามออกไปโดยมีคำพูดประโยคสุดท้ายทิ้งไว้
“แล้วเจอกัน น้องสาว เดี๋ยวศิษย์พี่ต้องปลากเจ้าน้องชายขี้เซานั่นกลับไปที่อาศรมก่อนที่เขาจะหลงทางอีกรอบ”
ความคิดเห็น