ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คัมภีร์กฤตยามนตร์

    ลำดับตอนที่ #6 : ความลับในอุทยาน อสูรบุกแดนสวรรค์ (แก้ไขแล้ว)

    • อัปเดตล่าสุด 17 ก.ค. 52


      เขาไกรลาสอันเป็นสถานที่จัดพิธีคัดเลือกผู้ดูแลคัมภีร์กฤตยามนตร์   เหล่าเทพบุตร  เทพธิดา  และชาวฟ้าทั้งหลายต่างเดินสวนกันขวักไขว่   บ้างก็เหาะ   บ้างก็พูดคุยปราศรัยกัน  ใช่ว่าจะมีเพียงเหล่าเทพเท่านั้นที่มาร่วมพิธีใหญ่นี้

     

    โอ้โห!  คนเยอะมากเลยนะนี่   นอกจากเทพแล้วยังมีตัวประหลาดอีกตั้งหลายตัวแน่ะ

     

    สุธรรมจินดาอุทานอย่างตื่นเต้น   แต่ด้วยความที่ปากไม่ดี   คำพูดของเขาทำเอา  ครุฑ  นาค  คนธรรพ์  วิทยาธร  กินนร  และอื่นๆ  ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตามแต่ที่อยู่ในบริเวณนั้นหันมามอง    สายตาของพวกเขาฉายแววไม่พอใจอย่างมาก    สุริยมณี เห็นท่าไม่ดีจึงรีบลากตัวออกไปก่อนที่จะถูกรุมสหบาทาจากเจ้าถิ่น

     

    จะบ้าเหรอ?   สงสัยอะไรก็พูดกันเบาๆก็ได้   เกือบไปแล้วเห็นไหม?

     

    สุริยมณี ดุน้องชายยกใหญ่เมื่อพ้นสายตาใครต่อใครแล้ว   สุธรรมจินดาเถียงกลับทันควัน

     

    ถึงถามเจ้าพี่  เจ้าพี่ก็คงไม่รู้เหมือนกันกับข้านั่นแหละ

     

    ก็ถามพวกศิษย์พี่ เจษฎา เขาก็ได้

     

    เอ้อ!  จริงสิ   แล้วพวกเขาไปไหนแล้วล่ะ? 

     

    สุธรรมจินดา เพิ่งนึกได้   กวาดตามองหาพวกเพื่อนๆ

     

    พวกเขารีบโกยหนีตั้งแต่เจ้าพูดจบประโยคแรกแล้ว    แล้วนี่ไปไหนกันแล้วก็ไม่รู้?

     

    สุริยมณี มองหาอีกทางหนึ่ง   แล้วก็เจอในที่สุด

     

    นั่นไง!  ว่าแต่พวกเขาคุยกับใครอยู่น่ะ

     

    สุธรรมจินดาชี้ไปที่วิมานสีขาวที่ส่องแสงสว่างเรืองรอง   เห็นพวกเจษฎากำลังพูดคุยอยู่กับองค์หนึ่งด้วยท่าทีสนิทสนม   รัตนมณีหันมาโบกมือเรียกพวกเขา

     

    รีบตามพวกเขาไปดีกว่า

     

    สุริยมณีวิ่งนำ  ปล่อยให้สุธรรมจินดาวิ่งตามหลัง

     

    เทพบุตรองค์นั้นยิ้มให้ทั้งสองอย่างใจดี    แล้วหันไปพูดกับจันทรรัตน์

     

    มนุษย์สองคนนี้นะหรือที่ลูกพูดถึง

     

    ใช่แล้วเพคะ   นี้คนพี่ชื่อสุริยมณี    ส่วนคนน้องชื่อสุธรรมจินดา

     

    นางหันไปกล่าวกับชายหนุ่มรูปงามสองคนที่เพิ่งมาถึงทีหลัง

     

    สุริยมณี  สุธรรมจินดา  ท่านนี้คือวิพุธเทพบุตร   เสด็จพ่อของข้า

     

    ทั้งสองทำความเคารพอย่างนอบน้อม   วิพุธเทพบุตร มองพวกเขาอย่างพิจารณา 

     

    งามทั้งรูปสมบัติและคุณสมบัติอย่างนี้   ถ้าจะรับไว้เป็นเขยสักคนก็ไม่มีปัญหาหรอก   แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็อยู่คนละภพกัน    หากรักกันจริงปัญหามันก็มีมากอย่างที่เจษฎา เล่ามา

     

    วิพุธเทพบุตร คิดหนัก   ชักเป็นห่วงเรื่องอนาคตของธิดาบุญธรรม   เขาไม่เคยคิดถึงเรื่องคู่ครองให้นางมาก่อนเลย   หนึ่งเพราะว่านางมิเคยสนใจในเรื่องนี้   สองเพราะเขาตั้งใจไว้ว่าจักให้นางช่วยงานเขาในหอคัมภีร์สวรรค์ต่อไปก่อนสักระยะ   แต่ดูเหมือนว่านางคงจะหนีดวงชะตาเรื่อง...คู่ครอง...นี้ไม่พ้น   

     

    เสด็จพ่อ  เป็นอะไรไปเพคะ

     

    เสียงหวานๆของธิดาบุญธรรมปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์   เขารีบสลัดเรื่องนี้ออกจากความคิดไปก่อน  แล้วหาทางเปลี่ยนเรื่องสนทนา

     

    เปล่าๆ....ไม่มีอะไรหรอกลูก   เอ้อ...แล้วนาคที่เล่าให้ฟังไปไหนเสียล่ะ

     

    อ้าว!?   เมื่อกี้ยังยืนอยู่ตรงนี้อยู่เลย   หายไปไหนแล้วนะ 

     

    รัตนมณี  บอก  ไม่นึกว่า วิรุฬหนาคา จักไวปานลิงลมขนาดนี้    ทั้งหมดพากันเหลียวมองหา วิรุฬหนาคา กันยกใหญ่

     

    นั่นใช่หรือเปล่า  ที่ยืนรวมกลุ่มอยู่นั่นน่ะ กรรณาภรณ์ ชี้ไปที่คนกลุ่มหนึ่ง 

     

    ทุกคนมองตาม   ดูจากการแต่งกายและท่าทางแล้วก็ดูคล้ายกับ วิรุฬหนาคา มาก   ต่างกันก็แค่ วิรุฬนาคา ดูปราดเปรียวกว่ามากนัก   พวกเขาเหล่านั้นดูเหมือนกำลังมองหาใครอยู่เหมือนกัน

     

    ดูเหมือนจะเป็นญาติของ วิรุฬหนาคา นะ ปิ่นสุวรรณออกความเห็น

     

    พวกเขาพากันมองนาคกลุ่มนั้นอย่างสนใจ   จะด้วยสัญชาติญาณหรือมีอะไรดลใจก็ไม่อาจทราบ   จู่ๆนาคกลุ่มนั้นก็หันมามองพวกเขาเป็นตาเดียวกันพร้อมๆกัน    ทำเอาพวกเขาตกใจผงะ  แกล้งทำเป็นหันไปมองทางอื่นๆกันคนละทาง  แต่ไม่ทัน....เพราะนาคกลุ่มนั้นเข้าถึงตัวเร็วกว่าที่พวกเขาคิด   นาครุ่นใหญ่ตนเดียวในกลุ่มพูดกับพวกเขาอย่างเป็นการเป็นงาน

     

    ขออภัย  ไม่ทราบว่า วิรุฬหนาคา ลูกข้ามากับพวกท่านรึไม่

     

    เอ้อ.....คือ.....มาแล้ว   ไปไหนแล้วก็ไม่รู้.... 

     

    อินทร ตอบ   คนอื่นๆพยักหน้าสนับสนุน   แต่ดูเหมือนนาคตนนั้นจักไม่ค่อยเชื่อนัก   เขาหันมองไปมาพลางพูดว่า

     

    แต่ข้าเชื่อว่าเขายังไปได้ไม่ไกล    น่าจะยังอยู่แถวๆนี้แหละ

     

    นาคหนุ่มน้อยตนหนึ่งซึ่งดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับ วิรุฬหนาคา ซึ่งยืนอยู่ข้างๆพูดกับเขาว่า

     

    เสด็จพี่ วิรุฬหนาคา คงไม่อยู่จริงๆนะพระเจ้าข้า  เสด็จพ่อ   ลูกว่าเราอย่าไปคาดคั้นพวกเขาเลย

     

    ไม่ต้องมาแก้แทนพี่เจ้าเลยนะ  ปิลันทนาคา  เจ้าเองก็รู้ว่า วิรุฬหนาคา พี่เจ้ากะล่อนขนาดไหน    นี้คงเห็นพวกเราสิท่า   จึงรีบหนี   แต่ไม่พ้นเงื้อมมือพ่อไปได้หรอกนาคผู้เป็นพ่อบ่นอย่างหัวเสีย  เป็นพี่คนโตแท้ๆ   แต่กลับไม่เป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องเลย   แล้วนี้จะเป็นผู้ปกครองที่ดีได้อย่างไร....

     

    ในขณะที่พญานาคากำลังพร่ำบ่นเรื่องนิสัยของโอรสของตนเองอยู่นั้น   ปิลันทนาคาก็หันมาพูดคุยกับพวกเขา

     

    ขอโทษด้วยนะพวกท่าน   เสด็จพ่อท่านเป็นคนเข้มงวด   เสด็จพี่เลยทนไม่ค่อยได้   ข้ามีนามว่าปิลันทนาคา   เป็นน้องแท้ๆของวิรุฬหนาคา   ที่ยืนบ่นอยูนี้คือไวทยนาคราช  เสด็จพ่อของข้าเอง.....

     

    เจษฎาเริ่มพิจารณาปิลันท์นาคาตั้งแต่แรกเริ่มรู้จัก   ....ปิลันทนาคา และวิรุฬหนาคา มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกันมากก็จริง   แต่ต่างกันที่ใบหน้าของ ปิลันท์นาคา ดูอ่อนเยาว์กว่า   และยังดูเรียบร้อยกว่ามาก   ทั้งการพูดจาก็ดูเอาการเอางาน   นิสัยจริงจังเหมือนพ่อไม่มีผิด   แล้ววิรุฬหนาคาล่ะ.....ได้นิสัยช่างพูด   ขี้เล่น   ขี้สงสัย   แถมยังกะล่อนขนาดนี้มาจากใครกันหนอ....   เขาคิด  แต่เก็บเอาไว้ไม่กล้าเปิดเผยออกมา

     

    ส่วนสองคนนั้นก็คือ  พระพี่นาง วิชญาวดี  และ  ชลธิชา  พระขนิษฐาของข้าอง 

     

    ทั้งสองนางที่ปิลันทนาคากล่าวถึงอยู่ข้างหลังเขานั้นเอง  พวกนางออกมาแสดงตัวทำความรู้จักกับพวกเขา   ความงามของพวกนางไม่เป็นรองเทพธิดาบนสวรรค์เลย   ด้วยหน้าตาที่เกลี้ยงเกลาหมดจด   ผิวพรรณขาวนวลเนียน   รูปร่างอรชรบอบบาง    ทำเอาเหล่าเทพบุตรที่อยู่บริเวณนั้นจ้องจนตาค้าง  เจษฎาเองก็จ้องมองพวกนางเช่นกัน   แต่ด้วยคนละเหตุผลกับเหล่าเทพบุตร  

     

    เขาจ้องมองพวกนางเงียบๆโดยระวังตัวมิให้เป็นที่สังเกต   ....องค์หญิงแห่งวงศ์นาคราช....งดงามจริงๆ   แต่ดูจากกิริยาท่าทางแล้วนิสัยคงจะแตกต่างกันอยู่บ้าง   คนนั้นน่าจะเป็นพี่    ท่าทางร่าเริงแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา    ส่วนคนน้องกิริยาแช่มช้อย  นิ่มนวล  แต่ดูท่าทางแล้วน่าจะอัธยาศัยดีทั้งคู่    คงเข้ากันได้ดีกับฝ่ายของเราละนะ....

     

    พวกท่านคือสหายของ วิรุฬหนาคา น้องเราใช่หรือไม่?

     

    วิชญาวดีเปิดฉากถามขึ้นก่อน  รัตนมณี ตอบว่า

     

    ใช่แล้วล่ะ

     

    ขอโทษด้วยจริงนะ   เขาก็เป็นอย่างนี้มานานแล้ว    ชอบหนีออกมาเที่ยวข้างนอกอยู่เรื่อยๆ   คงไม่เป็นการรบกวนมากเกินไปใช่ไหม?

     

    ไม่หรอก วิรุฬนาคา เขาอัธยาศัยดี   ว่าแต่เจ้าเป็นพี่สาวเขาจริงๆหรือ?   หน้าตาไม่เหมือนเขาเลย    

     

    เปล่า   เราเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา   เสด็จพ่อของเรา  หิรัณยนาคราช  เป็นลุงของ วิรุฬนาคา   แต่พวกเราสี่คนเติบโตมาด้วยกัน   ก็เลยไปไหนไปด้วยกันตลอด

     

    วิชญาวดี กับ รัตนมณี นั้นเข้ากันได้อย่างรวดเร็ว   ทั้งที่เพิ่งจะได้รู้จักกัน   ราวกับว่าพวกนางมีสายใยบางอย่างซึ่งเชื่อมต่อกันอยู่

     

    วิชญาวดี นี่พูดเก่งนะ    เหมือน วิรุฬห์นาคา ไม่มีผิด

     

    สุธรรมจินดาแอบกระซิบกับอมรสิงห์   อีกฝ่ายพยักหน้าเห็นด้วย

     

    นั่นสิ   แต่ทำไมอีกนางถึงได้เงียบเป็นเป่าสากอย่างนี้ล่ะ? 

     

    อมรสิงห์เอ่ยถึงชลธิชา  ที่จนป่านนี้ก็ยังไม่เอ่ยปากพูดคุยกับใครเลย

     

    จริงไหม  สุริยมณี?  อ้าว...เฮ้ย!?  สุริยมณี    ไปอยู่ตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไร  กรรณาภรณ์!” 

     

    อมรสิงห์หันมาอีกที   สุริยมณี ที่ยืนอยู่ข้างตนเมื่อครู่ก็ไปยืนอยู่ข้างๆเพื่อนตนเองเสียแล้ว   สุริยมณี เจ้าเล่ห์กว่าที่ อมรสิงห์และเจษฎา คาดไว้มากนัก

     

    โปรดฟังทางนี้   ผู้ที่จะมาทดสอบคัดเลือกเป็นผู้ถือคัมภีร์ให้ไปรวมตัวกันที่หอคัมภีร์สวรรค์    เราจะเริ่มการทดสอบในไม่ช้านี้....

     

    เสียงประกาศของ เทพมาตุลี ดังแว่วมา    เจษฎาและปิลันทนาคาจึงนึกขึ้นได้

     

    ตายละ!  ลืมเวลาเสียสนิท  ข้าไปก่อนนะ  เจษฎาพูดพลางวิ่งนำไปก่อนปิลันทนาคาวิ่งตามไปแต่กลับหยุดชะงัก

     

    เป็นอะไรไปหรือปิลันทนาคา วิชญาวดีถามน้องชาย

     

    แล้วเสด็จพี่วิรุฬหนาคา เล่าพระเจ้าข้า ปิลันท์นาคา นึกเป็นห่วงพี่ชาย

     

    ไม่ต้องห่วงรายนั้นหรอก  เขาเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว  เจ้ารีบไปเถอะ

     

    วิชญาวดี ตอบแทนคนที่ไม่อยู่เสร็จสรรพ   ทั้งที่จริงนางเองก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะบังเอิญไปเจอกับพวกวิหคหรือไม่

     

    ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันไปก่อนนะพระเจ้าข้า  ปิลันทนาคา รีบวิ่งออกไป 

     

    ข้าว่าพวกเราน่าจะเข้าไปรอข้างในกันดีกว่า   ส่วน วิรุฬหนาคา อีกเดี๋ยวก็คงจะมาเอง  เชิญท่านไวทยนาราชและพระราชธิดาทั้งสองด้วย วิพุธเทพบุตร ชวนทั้งหมดเข้าไปนั่งพักในวิมานทิพย์ของตน  

     

    คงต้องขอรบกวนท่านแล้ว

     

    ไวทยนาคราช ไม่ปฏิเสธน้ำใจของอีกฝ่าย 

     

    ..........................

     

    ทางด้าน วิรุฬหนาคา  เมื่อหลบพ้นสายตาของไวทยนาคราชและพี่น้องได้แล้ว   เขาก็เตร็ดเตร่ไปตามทางจนกระทั่งล่วงเข้าเขตต้องห้ามโดยไม่รู้ตัว

     

    กลิ่นอะไรน่ะ   หอมจัง    

     

    วิรุฬหนาคา ล่องลอยตามกลิ่นหอมประหลาดไปเรื่อยๆ   จนไปพบกับต้นไม้ต้นหนึ่ง   ยืนต้นเด่นเป็นสง่าท่ามกลางทุ่งดอกไม้บาน    ซึ่งดูรูปร่างคล้าย ฉัตร อันเป็นสัญลักษณ์ของมหาจักรพรรดิ    ที่สำคัญคือ  ดอกไม้สีแดงบนต้นที่แม้จะยังหุบอยู่ก็ยังส่งกลิ่นหอมไปได้รอบอาณาบริเวณ    แม้จะมีจะมีมวลดอกไม้หอมสวยงามมากมายรายล้อมก็ไม่อาจกลบกลิ่นหอมของดอกไม้นี้ได้    วิรุฬหนาคา ตั้งใจจะเข้าไปดูใกล้ๆ    ทันทีที่คิดจะเข้าไป   พลันได้เห็นอีกสิ่งหนึ่งที่สะดุดใจยิ่งกว่า  

     

    สาวน้อยหน้าหวานในชุดเครื่องทรงสีชมพูอ่อนนางหนึ่ง   เดินมาจากอีกมุมหนึ่งของอุทยาน    วิรุฬนาคา จ้องนางตะลึงตะไล

     

    นางเป็นใครกัน   ท่าทางจะหลงเข้ามาเหมือนเราสินะ     ดีละ....อย่างนี้ต้องเข้ามาเจรจาผูกไมตรีเข้าไว้   

     

    วิรุฬหนาคา เบนเข็มเปลี่ยนทิศจากไม้หอมไปยังหญิงงามแทน    ยังไม่ทันไรเสียงของเทพองค์หนึ่งก็ตวาดดังขึ้นมาว่า

     

    พวกเจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้   นี่คือเขตต้องห้ามนะ   รีบออกไปซะ

     

    ทั้งวิรุฬหนาคาและหญิงสาวสะดุ้งพร้อมกัน   วิรุฬหนาคา ตั้งสติได้ก่อน   ตั้งคำถามย้อนกลับ

     

    แล้วเจ้าเข้ามาทำอะไรในนี้ล่ะไหนบอกว่าเป็นเขตต้องห้ามไม่ใช่หรือ

     

    หากเหมือนเป็นการ  ...แกว่งเท้าหาเสี้ยน .....ฝีปากของเทพองค์นั้นคมกริบและเปี่ยมด้วยเหตุผล

     

    ก็ข้าเป็นผู้ดูแลสวนนี้ทำไมจะเข้าไม่ได้   แล้วพวกเจ้าล่ะเป็นใคร   รู้ว่าผิดแล้วยังจะย้อนอีก    รีบออกไปซะ

     

    วิรุฬหนาคา หมดทางเถียง   จึงหันหลังกลับทางเดิม    แต่ก็ไม่ลืมชวนหญิงสาวที่ถูกไล่ออกมาพร้อมกันมาด้วย 

     

    รีบไปกันเถอะนะ   เดี๋ยวถูกไล่อีก

     

    นางเดินตามเขามาอย่างว่าง่าย    เมื่อออกมาพ้นเขตอุทยานสวรรค์แล้วเขาจึงเริ่มผูกไมตรีกับนางตามที่ตั้งใจไว้

     

    ข้ามีนามว่า  วิรุฬหนาคา   แล้วเจ้ามีนามว่าอะไรหรือ

     

    นางอ้าปากจะตอบ   อีกเสียงหนึ่งก็ดังแทรกเข้ามา

     

    พระธิดา.....พระธิดาเพคะ    อยู่ไหนเพคะ   พระธิดา

     

    ข้าอยู่นี่ นางตอบรับเสียงนั้นแล้วรีบจากไป   ทิ้งให้ วิรุฬหนาคา มองตามอย่างเสียดาย

     

    โธ่!  อะไรกัน    เพิ่งเริ่มเท่านั้นเอง   ยังไม่ทันไปถึงไหนเลย  เฮ้อ....ไม่เป็นไร    กลับไปสมทบกับพวกอมรสิงห์ดีกว่า 

     

    คิดแล้วจึงเหาะกลับไปยังวิมานของ วิพุธเทพบุตร    ลับหลังเขาไป  พลันมีเงาของบางสิ่งบางอย่างวูบผ่านไปอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ

     

    ภายในวิมานของ วิพุธเทพบุตร    พวก อมรสิงห์ รวมทั้ง อินทร  และ นาคทั้งสามจากนครบาดาลกำลังนั่งรอฟังผลจากการทดสอบในพิธีครั้งนี้    ภายในวิมานของ วิพุธเทพบุตร เต็มไปด้วยตู้หนังสือที่เก็บตำรับตำรามากมายจนเต็มตู้สมกับเป็นวิมานของผู้ดูแลหอคัมภีร์สวรรค์    จันทรรัตน์ นั้นหยิบเอาหนังสือเป็นตั้งออกมานั่งอ่านฆ่าเวลารอได้อย่างไม่มีปัญหา    ในขณะที่เพื่อนๆของนางกำลังสนุกกับการพูดคุยกับ วิชญาวดี และ ชลธิชา มากกว่าการอ่านหนังสือเล่มหนาในตู้     ไวทยนาคราช เองก็กำลังสนทนากับ วิพุธเทพบุตร อย่างออกรส  

     

    ที่แท้พวกเขาก็เป็นเทพนี้เอง   รวมทั้ง อินทร ด้วยหรือ? ไวทยนาคราช  ถาม  วิพุธเทพบุตร เมื่อทรงทราบประวัติของพวก อมรสิงห์ และ เจษฎา 

     

    ใช่แล้วล่ะ  ท่าน ไวทยนาคราช   แต่ อินทร เขาเป็น ...กึ่งเทพกึงมนุษย์... น่ะ

     

    หน้าตาเขาดูจริงจังนะ   เหมือนเจ้านายเขาไม่มีผิด    ข้าชักถูชะตากับเจ้าเสียแล้วสิ อินทร    แล้ว เจษฎา นายของเจ้าเขาเป็นคนอย่างไร?   ถึงขนาดทำให้เจ้ายอมรับได้   แสดงว่าเขาต้องเป็นคนดีมากแน่ๆใช่ไหม? ไวทยนาคราช หันไปพูดกับ อินทร   แล้วเลยถามถึง เจษฎา ด้วย

     

    นายท่านเป็นเจ้านายที่ดีมากพระเจ้าข้า    เสียอย่างเดียว....ดุ ไปหน่อย อินทร ตอบซื่อๆ

     

    ไวทยนาคราช ทรงพระสรวลชอบพระทัยในความซื่อตรงของอินทร   ทั้งยังทรงรู้สึกเอ็นดู อินทร มากขึ้น

     

    ฮ่าๆๆ   อย่างนั้นรึ   แต่ดูท่าทางแล้วเจ้าเองก็ไม่มีปัญหาเรื่องนิสัยของ เจษฎา อยู่แล้วจริงไหม?

     

    พระเจ้าข้า

     

    เฮ้อ...นี่ถ้าข้าได้เจ้ามาเป็นลูกแทน วิรุฬหนาคา ลูกข้าคงจะดีไม่น้อยเลย  ท่าทางเจ้าว่าง่ายกว่า วิรุฬหนาคาตั้งเยอะ.....

     

    ฮัดเช้ย!”

     

    เสียงจามของใครบางคนดังแว่วมาจากข้างๆวิมาน   อมรสิงห์ลุกออกไปดู ก็พบกับ....

     

    อ้าว!  วิรุฬนาคา   นี้เจาหายไปไหนมา?   พวกเราเป็นห่วงเจ้าแทบแย่    รีบเข้ามาก่อนสิ   ท่าน ไวทยนาคราช ก็ทรงรออยู่ที่นี่ด้วย

     

    ว่าอย่างไรนะ!?   เสด็จพ่อยังอยู่?   ตายละสิทีนี้

     

    วิรุฬหนาคา ตกใจมาก   พลันได้ยินเสียงคุ้นหูตวาดดังออกมา  

     

    วิรุฬหนาคา   เข้ามานี่ซิ น้ำเสียงออกคำสั่งเช่นนี้....จะเป็นใครไปได้

     

    นาคน้อยสะดุ้งโหยง   จะเข้าไปหาก็กลัว   จะหนีอีกก็ไม่กล้า   หลังจากคิดทบทวนหลายตลบแล้ว    เห็นว่าถ้าเข้าไปน่าจะดีกว่า   จึงเดินตามอมรสิงห์ เข้าไปแต่โดยดี   แต่ถึงกระนั้นความกล้าก็ยังแพ้ความเกรงอยู่วันยังค่ำ   

     

    เจ้าจะหลบไปถึงไหน?   ไม่อายพวกเพื่อนๆเขาหรือ? ไวทยนาคราช ตรัสถาม   เมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นพระโอรสองค์โตเข้ามาแล้วไปนั่งอยู่ข้างหลัง วิชญาวดี แทนที่จะเข้ามานั่งข้างหน้าพระองค์   แม้พระสุรเสียงจะฟังดูปกติดี    แต่ วิรุฬหนาคา ก็ฉลาดพอที่จะเดาใจพ่อของตนเองได้

     

    หามิได้พระเจ้าข้าเสด็จพ่อ    แต่หม่อมฉันเห็นว่าหากเข้าใกล้เสด็จพ่อในยามนี้    เห็นทีจะไม่ปลอดภัย  วิรุฬหนาคา สารภาพ    

     

    ไม่ว่าจะยามนี้หรือยามไหน   เจ้าก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี   คนเราถ้ากล้าทำผิดก็ต้องกล้ารับสิ    เจ้าเป็น...ลูกกษัตริย์...ใช่ไหม 

     

    ไวทยนาคราช ทรงร้ายกาจมาก   ทรงตั้งคำถามจี้แทงใจดะพระโอรสเข้าเต็มเปา   

     

    วิรุฬหนาคา สำนึกได้ถึงคำว่า...ขัตติยมานะ...   รีบลุกออกมานั่งสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าพระพักตร์

     

    ครานี้พ่อจะยังไม่เอาโทษ    แต่หากมีคราหลังอีกละก็..... ไวทยนาคราช ทรงละเว้นคำนั้นไป   แต่วิรุฬหนาคาพยักหน้าอย่าเข้าใจในความหมาย   และกลับไปนั่งอยู่ข้างหลัง วิชญาวดี ดังเดิม   

     

    นางเห็นช่นนี้จึงอดกระเซ้าพระอนุชามิได้

     

    เจ้านี้ดวงแข็งจริงนะ   เอ....หรือว่าเป็นเพราะมาทันถูกนินทาเมื่อกี้นี้

     

    โธ่!  พระพี่นาง   ข้ากลัวจริงๆนะ   นี้เสด็จพ่อตรัสจริงฤๅตรัสเล่นก็ไม่รู้

     

    วิรุฬนาคา ชักรู้สึกหนาวๆร้อนๆ    ยิ่งเห็นสายพระเนตรดุของ ไวทยนาคราช มองมาทางตนอย่างไม่ละวาง  ก็ยิ่งอยากจะออกไปจากที่นี้โดยเร็วที่สุด

     

    ออกไปเที่ยวกันดีกว่า  พระพี่นาง   เมื่อครู่นี้ข้าไปเห็นอุทยานมา   สวยงามมากเลย   ไปนะ  นะๆๆ

     

    หา!  นี้เตลิดไปถึง อุทยานสวรรค์ เชียวหรือ?

     

    วิพุธเทพบุตร อุทานราวอย่างตกใจ   ทั้ง รัตนมณี และ จันทรรัตน์ หันมองเขาเป็นตาเดียว 

     

    ทำไมล่ะ?  ที่นั่นมีอะไรพิเศษหรือ?   เจ้าเทพที่เฝ้าสวนนั้นก็ทำราวกับข้าจะเข้าไป ขโมย ของ

     

    รัตนมณี จึงอธิบายให้ฟัง

    ก็เพราะว่ามีนะสิ    และผู้ที่จะเข้าไปได้จะต้องได้รับพระราชานุญาติจากพระอินทร์เท่านั้น   ไม่ว่าจะเป็นเทพบุตร หรือเทพธิดาก็ตาม

     

    ที่นั่นมีอะไรล่ะ

     

    ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งยุให้วิรุฬหนาคาสนใจมากขึ้น

     

    ก็ต้น....

     

    รัตนมณี เกือบจะหลุดปากบอกไปแล้ว  แต่ วิพุธเทพบุตร ห้ามไว้  และนางก็ยั้งปากทัน

     

    ต้นอะไรเหรอ   ข้าก็เห็นแต่ต้นไม้ใหญ่แค่ต้นเดียว   รูปร่างเหมือนฉัตร   ดอกสีแดงสวย   ส่งกลิ่นหอมไกล   แล้วก็......

     

    หา!  นี้เจ้าไปเห็นมาแล้วเรอะ

     

    วิพุธเทพบุตร ยิ่งตกใจใหญ่

     

    จันทรรัตน์ ซึ่งพอจะเข้าใจนิสัยของเจ้านาคจอมซนแล้ว   จึงจำต้องยอมเล่าเรื่องให้ฟัง   เพราะหากยังขืนปิดไว้    คราต่อไปเขาอาจจะมิใช่แค่เข้าไปชมดอกไม้เฉยๆ    แต่เขาอาจจะพิสูจน์หาคำตอบด้วยตนเองเลยก็เป็นได้    ซึ่งแทนที่จะปล่อยให้เรื่องเลยเถิดเช่นนั้น   สู้เล่าให้ฟัง....ยุติปัญหานี้ในวันนี้เสียเลยดีกว่า

     

    นั่นคือ  ต้นปาริชาต  เป็นต้นไม้ที่เกิดจาก...การกวนกระเษียรสมุทร....เมื่อครั้งก่อนไตรดายุคเพียงไม่กี่พันปี   ร้อยปีจึงจะบานครั้งหนึ่ง    ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปได้ไกลถึงแปดแสนวา   มีสรรพคุณวิเศษช่วยให้สามารถรำลึกความทรงจำได้

     

    แต่ทำไมข้าจึงไม่สามารถรำลึกอะไรเลย   แล้วกลิ่นดอกปาริชาตก็หอมฟุ้งอยู่แค่ในอุทยานสวรรค์เท่านั้น

     

    อาจเป็นเพราะดอกปาริชาตยังไม่ทันบาน   จึงส่งผลแค่ทำให้ผู้ได้กลิ่นรู้สึกเคลิ้มไปเท่านั้น

     

    เล่าเพียงเท่านี้ วิรุฬหนาคา จึงถึงบางอ้อ

     

    ดูจากท่าทางแล้ว   พวกเจ้าเองก็อยากจะเห็นบ้างใช่ไหม? อมรสิงห์ถามวิชญาวดีและ ชลธิชาเหมือนรู้เท่าทัน   กุลสตรีเยี่ยงพวกนางย่อมชอบดอกไม้อยู่แล้ว   ก็แม้แต่เพื่อนสาวห้าวๆทั้งสี่นางของเขายังชอบเลย   โดยเฉพาะสาวหวานอย่างรัตนมณี

     

    เจ้าพาข้าไปดูบ้างสิ  จันทรรัตน์  รัตนมณี 

     

    วิชญาวดี  ออดอ้อน   รัตนมณี ทำท่าจะเออออตาม   แต่ทว่า....อีกคนนั้นกลับ

     

    ดูเหมือนว่า.....จะต้องพักเรื่องนี้ไว้ก่อน จันทรรัตน์ พูด   สายตาของนางมองออกไปนอกหน้าต่าง

     

    ทำไมล่ะ วิญาวดี และ ชลธิชา ถามพร้อมกัน   ออกจะสงสัยที่จู่ๆนางก็เปลี่ยนเรื่อง

     

    ตูมๆๆๆๆ!!!!

     

    เสียงของการต่อสู้ที่ดังมาจากทางหอคัมภีร์สวรรค์คือสิ่งแทนคำตอบที่ได้รับ   ทุกคนรีบวิ่งออกไปดู   เห็นอสูรกลุ่มหนึ่งดูเหมือนกำลังสู้ไปถอยหนีไป   ตามเทพจำนวนหยิบมือพร้อมกับผู้ที่มาร่วมทดสอบในพิธีตามรุกมาติดๆ

     

    พวกอสูรเข้ามาในงานนี้ได้อย่างไร

     

    ไวทยนาคราช พระทัยระคนสงสัย   แต่ก่อนจะทรงเข้าไปเข้าไปช่วย    ใครบางคนก็คิดนำหน้าพระองค์ไปแล้ว   

     

    พวกเราไปถามให้เองพระเจ้าข้า

     

    อมรสิงห์วิ่งนำออกไป   ตามด้วยสุริยมณี   สุธรรมจินดา  อินทร   วิรุฬหนาคา   กรรณาภรณ์  รัตนมณี  ปิ่นสุวรรณ  และ จันทรรัตน์ 

     

    เดี๋ยวก่อน!   จันทรรัตน์  เจ้าไม่ต้อง....โธ่ถัง!  ห้ามไม่ทันแล้ว.... วิพุธเทพบุตร มัวแต่คิดหาคำตอบเรื่อง ...ยักษ์...   จนลืมห้ามลูกสาวตัวเองที่ไม่มีวิชาการรบเลย    คิดได้อีกทีนางวิ่งก็ตามเพื่อนๆไปเสียแล้ว

     

    ไวทยนาคราช ทรงมองตามไป   ....เด็กๆพวกนี้เคยร่ำเรียนวิชามาจากท่านนักพรตแล้ว   น่าจักมีฝีมือพอตัว   อีกทั้งหากตามไปทางนี้ก็ไม่มีใครดูแล    เราปักหลักรอให้ความช่วยเหลืออยู่ที่วิมานของ วิพุธเทพบุตร พร้อมกับหลานทั้งสองดีกว่า....

     

    ทางด้านที่เกิดเหตุ    เจษฎา และ ปิลันทนาคากำลังตกอยู่ในวงล้อมของอสูรกลุ่มหนึ่ง  

     

    เจ้าไหวไหม

     

    เจษฎา ถามอีกฝ่าย ขณะที่ใช้   พัดอนันตวายุ  อาวุธเพียงหนึ่งเดียวของตนรับมือกับกระบี่ของอสูรตนหนึ่งอยู่

     

    ไหวอยู่แล้ว  พี่ชาย   ว่าแต่ว่า....เจ้าอสูรกระจอกพวกนี้เป็นสมุนของผู้ใดกัน

     

    เจษฎา แทงอสูรตนหนึ่งล้มลง

     

    ข้าเองก็ไม่รู้    แต่ที่แน่ๆ.....พวกมันยังอ่อนหัดเกินไป   เป็นไปไม่ได้เลยว่าจะถูกส่งมาเพื่อทำลายพิธีใหญ่เฉกเช่นนี้ 

     

    ทั้งสองยังคงสังหารพวกอสูรไปเรื่อยๆ   เทวดาที่มาช่วยส่วนหนึ่งได้รับบาดเจ็บกันระนาว   ที่ยังคงสู้ต่อได้ก็มีแต่พวกเขาสองคนและผู้ที่มาร่วมทดสอบด้วยอีกสาม....รวมเป็นห้าคนเท่านั้น   แต่การที่ยอดฝีมือทั้งห้ารับมือกับเหล่าอสูรเพียงหยิบมือเดียวนับว่าง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ

     

    พวกท่านคิดว่าอย่างไร....กับอสูรพวกนี้

     

    หญิงสาวหน้าตาสะสวย  รูปร่างผอมบางดูปราดเปรียว  หนึ่งในผู้เข้ามาเข้าพิธีคัดเลือกคุยกับ ปิลันทนาคา     ระหว่างที่พูดมือของนางตวัด...บ่วงทอง....ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอาวุธคู่กายของนางไปโดนอสูรสามตนที่กระโจนเข้าใส่      ทันทีที่บ่วงทองถูกร่าง   พวกอสูรก็กระเด็นไปไกลประดุจว่าตัวเบาเฉกเช่นปุยนุ่น   

     

    ราวกับว่าพวกมันมาเพื่อถ่วงเวลาไว้     มิเช่นนั้นแล้ว....มีหรือจะยอมถอยโดยง่าย

     

    แสดงว่าสิ่งที่พวกมันต้องการมิได้มีแค่ทำลายงานพิธีสินะ

     

    ชายหนุ่มหน้ามนผู้ซึ่งใช้....บ่วงเงิน....เป็นอาวุธสรุปความ   เขาเองก็มีฝีมือไม่ด้อยไปกว่าเจ้าของบ่วงทอง    เพียงแต่เขาต้องคอยรอรับพวกอสูรที่นางส่งมาและคอยช่วยตลบหลังให้   ดังนั้น...พวกอสูรที่ถูกบ่วงทองปัดกระเด็นมาจึงมักถูกบ่วงเงินเสียบแทงจากด้านหลัง  หรือไม่ก็ถูกส่งต่อไปให้  เจษฎา และ ปิลันทนาคา ช่วยสมทบตลอด  

     

    รีบจัดการไอ้พวกนี้ให้เสร็จดีกว่า   แล้วจึงค่อยมาคิดเรื่องนี้กันต่อ

     

    ชายหนุ่มหน้าตาอ่อนเยาว์กว่าเพื่อนเอ่ยปากเตือน   แต่ถ้าสังเกตดูให้ดีจะเห็นว่าเขาจัดการกับพวกอสูรได้มากกว่าและรวดเร็วกว่าคนอื่นๆ     เพียงแค่เขามองจ้องเพ่งสมาธิไปที่พวกอสูรและกระทืบเท้า....ไฟก็ลุกพรึบขึ้นจากปลายเท้าของพวกอสูรทุกตนและลุกลามอย่างรวดเร็วโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยต่างๆให้เสียเวลา    แต่ทว่าไฟของเขากลับแผ่รังสีไอเย็นราวน้ำแข็งแทนที่จะร้อนดังไฟทั่วไป...ทำให้พวกอสูรแข็งคาที่...ไม่ทันรู้สึกอะไรก่อนตาย    ดังนั้น   กริชที่เขาเหน็บพกติดตัวตลอดจึงไม่จำเป็นต้องออกโรงเลย

     

    ทั้งห้าคนรีบจัดการกับอสูรจำนวนสุดท้ายและวิ่งกลับเข้าไปในหอคัมภีร์    พบอสูรอีกจำนวนหนึ่งตายเกลื่อนพื้น   เลือดสาดกระจายไปทั่ว    พลันเห็นพวก อมรสิงห์ เดินผ่านศพพวกมันเข้ามาหา  

     

    ไม่นึกเลยว่าหน่วยรบป้องกันภัยบนสวรรค์จะแย่ขนาดนี้ หญิงสาวเจ้าของบ่วงทองบ่น

     

    นี้เจ้าเข้ามาทำไม  จันทรรัตน์  

     

    เจษฎา เอ่ยปากถามทันทีที่เห็นว่า...นาง...ตามมาด้วย   

     

    ไม่เป็นไรหรอกน่าพี่ใหญ่    ข้าใช้วิชาของข้าคอยช่วยพวกเพื่อนๆได้    สุธรรมจินดาก็คอยคุ้มครองข้าตลอด

     

    นางตอบน้ำเสียงจริงจัง    หากนางหันไปมองสักนิดจะเห็นว่าคนที่นางเอ่ยถึงเป็นเชิงชื่นชมเมื่อกี้นี้.....มีสีหน้าปลาบปลื้มเพียงใด

     

    แล้วคัมภีร์ล่ะ   ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า

     

    เจ้าของบ่วงเงินถาม    เขาสังหรณ์ใจว่าพวกอสูรที่เพิ่งถูกสังหารเมื่อครู่นี้จะเกี่ยวข้องกับคัมภีร์ฝ่ายเทพ

     

    ยังอยู่ดี   แปลกมาก.....พวกเราเข้ามาทีหลังตั้งนาน   ไม่มีร่องรอยถูกรื้อค้นเลย    ปกติดีทุกอย่าง....ยกเว้นเจ้าอสูรพวกนี้

     

    อมรสิงห์ตอบ   พลางชี้ปลายบ่วงมฤคราชลงบนร่างไร้ลมหายใจของอสูรตรงหน้าเขา


    พวกเจ้าฆ่ามันอย่างนั้นหรือ 
    เจ้าของวิชาไฟน้ำแข็งถาม     

    ใช่....แต่ก็แค่ส่วนหนึ่ง    อีกส่วนหนึ่งตายก่อนหน้านี้แล้ว    คงถูกพวกเทพฆ่าตายไปก่อน ปิ่นสุวรรณ ตอบ    

     

    แต่ว่า....ในเมื่อพวกมันไม่ต้องการคัมภีร์   แล้วพวกมันต้องการอะไร

     

    เขาครุ่นคิดหาคำตอบ    ปิ่นสุวรรณ มองเขาราวกับคุ้นหน้า     แล้วนางก็นึกออก...เอ่ยนามเขาออกมาว่า

     

    โภไคยอสูร!!!” 

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×