ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ทาสร้ายในเรือนรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : ครั้นเมื่อได้พบหน้า

    • อัปเดตล่าสุด 26 ก.ค. 65


    "อิน" เด็กหนุ่มวัย 18 ปี กำลังขุดลอกร่องน้ำในสวนอย่างขมักเขม้น หลายครั้งหลายคราที่อินนึกโกรธเคืองผู้เป็นบิดา ที่ทำให้ตนนั้นเกิดมาเป็นทาสเขา ตัวเองเป็นทาสแล้วก็ช่างเถิดอย่างไรเสียก็ยังมีโอกาสได้ไถ่ถอน แต่เขานั้นเกิดมาเป็นทาสในเรือนเบี้ย ต่อให้ตายไปก็ยังต้องตายไปในฐานะทาส ไม่มีโอกาสแม้แต่จะไถ่ถอนตนเอง แม้โกรธบิดา แต่มิอาจเคืองมารดาได้ ในอดีตไม่รู้ว่าบิดาตนนั้นทำคุณอะไรไว้ใหญ่หลวงนักหนา นายทาสนั้นก็ช่างประเสริฐตอบแทนคุณด้วยการมอบทาสสาวในเรือนให้เป็นรางวัล ทาสหนุ่มชมเชยรางวัลอยู่เพียงไม่กี่เดือนก็ทอดทิ้ง เหตุเพราะตั้งท้องไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อีก มารดาตนต้องอุ้มท้องพลางทำงานตอบแทนคุณเศษอาหารและที่ซุกหัวนอน ถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีที่มีอยู่น้อยนิดไม่เว้นวัน พลันตนเกิดมาได้ไม่นาน บิดาผู้ต่ำช้าก็ตายไปเพราะโรคระบาด น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาเป็นเพียงเด็กน้อยไร้เดียงสา ไม่เช่นนั้นคงเป็นเรื่องน่ายินดี ที่คนเช่นนั้นได้รับกรรมที่ตนก่อ แต่ว่าชีวิตคนเป็นทาสนั้นก็ไม่ต่างจากสิ่งของ น้องชายของนายทาสนั้นถูกตาต้องใจมารดาตน สุดท้ายก็ต้องตกเป็นเมียเขาอย่างไม่เต็มใจ แต่เป็นน้องชายของเจ้านายแล้วอย่างไร สุดท้ายก็เป็นเพียงเมียบ่าว มีหน้าที่แค่สนองตัญหาในเรือนนอนเพียงเท่านั้น ไม่นานนักก็เบื่อหน่าย สุดท้ายก็ถูกทิ้งขว้างไม่ต่างจากเดิม ถูกเหยียบย่ำจากคนที่บอกว่าตนนั้นสูงส่ง หนำซ้ำยังถูกเหยียดหยามจากคนที่ต่ำต้อยเช่นเดียวกัน เรื่องเล่าจากปากทาสในเรือน ตนนั้นจำฝังใจมาตั้งแต่เด็กจนโต โกรธแค้นบิดาก็ส่วนหนึ่ง แต่ยิ่งกว่าคือนายทาสผู้ให้ที่คุ้มหัว ความเคียดแค้นส่งต่อไปถึงเจ้านายทุกคนในเรือนด้วย นายทาสของตนสูงส่งยิ่ง ได้รับการสรรเสริญว่าเป็นข้าหลวงผู้ภักดี ความเมตตาแผ่ไปถึงยังไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ผู้คนล้วนนับหน้าถือตา ไม่ว่าจะเป็นบุตรหรือภรรยาล้วนได้รับความนับถือ เบื้องหน้าสูงส่ง แต่เบื้องหลังกลับเน่าเฟะจนเด็กหนุ่มรู้สึกสะอิดสะเอียน อยากจะอาเจียนออกมาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืน ทนฝืนรับใช้ผู้เป็นนาย หากตัวคนเดียวแล้วนั้น เขาอาจใช้จอบเสียบในมือสังหารคนในบ้านแก้แค้นเสียนานแล้ว แต่ตอนนี้นั้นไม่อาจทำ เพราะกลัวความผิดตนจะส่งผลถึงผู้เป็นมารดา เด็กหนุ่มได้เพียงเก็บความคับแค้นใจ แม้ตายไปก็ไม่อาจยกโทษ หากชาตินี้แก้แค้นไม่ได้ ชาติหน้าก็จะตามไปเอาคืนความต่ำช้าของคนสูงส่งพวกนี้ จงอย่าได้อยู่อย่างสงบสุข

    มือหยาบกร้านเพราะตรากตรำทำงานหนักมาตั้งแต่วัยเยาว์ กำด้ามจอบในมือแน่นจนเห็นเส้นเลือดนูนขึ้นตามท่อนแขน ความคับแค้นใจประทุอยู่ภายในคล้ายมีใครเอาไฟมาสุมไว้กลางอก ดวงตาคมจ้องเขม็ง ขอบตาแดง แววดาคับแค้นฉายแววออกมาอย่างปิดไม่มิด ยามเมื่อตนนั้นจ้องมองไปยังศาลาริมน้ำกลางสวน เจ้าพระยามหาเสนา กำลังปลาบปลื้มกับการกลับมาของหมื่นทัดบุตรชาย หลังจากการปกป้องพระนครที่หัวเมืองทางใต้ ช่างน่ายินดีนักแม้อายุมากกว่าตนเพียง 4 ปี แต่กลับได้เป็นหัวหมื่นตั้งแต่อายุเพียง 22 วาสนาคนมันช่างแตกต่าง

    ไม่รู้ว่าอินนั้นจ้องมองไปบนศาลานานเท่าไหร่ รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ใบหน้าคมคายนั้นหันมาทางตน เด็กหนุ่มจึงได้ก้มหน้าทำงานต่อ

    "ว่าอย่างไรเล่าพ่อทัด เจ้าจักกลับมาอยู่ที่เรือนนี้หรือไม่" คุณหญิงพิศพูดขึ้น ขณะนั่งคุยกับหมื่นทัดลูกชายและเจ้าพระยาหมาเสนาสามีตน

    "ลูกอยากอยู่ที่เรือนเล็กขอรับ"

    "แต่เรือนเล็กนั้นอยู่ตั้งท้ายสวน รอบเรือนรึก็รกนัก"

    "มิเป็นไรดอกขอรับ ลูกอยู่กลางสนามรบมาแรมปี อยากจะพักผ่อนเงียบๆเสียหน่อย"

    "แต่แม่......" คุณหญิงยังพูดไม่จบ ผู้เป็นสามีก็เอ่ยขัดขึ้นก่อน ความดื้อดึงของลูกชายตนนั้นรู้ดี

    "เอาเถอะแม่พิศ" เจ้าพระยามหาเสนาบอกกับภรรยาก่อนหันไปพูดกับลูกชายตน

    "เจ้าอยากอยู่ที่ใดก็อยู่เถิด ประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปทำความสะอาดไว้ เจ้าก็เอาบ่าวไปด้วยสักคนสองคน"

    "ลูกขอคนเดียวก็พอขอรับ" หมื่นทัดว่า ตนนั้นเกลียดความวุ่นวายเป็นที่สุด

    "เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า อยากได้คนไหนก็เลือกเอาเถิด" เจ้าพระยามหาเสนาว่าอย่างไม่ใสใจนัก

    "ขอบพระคุณขอรับ" หมื่นทัดยกมือไหว้ขอบคุณผู้เป็นบิดา สามคนพ่อแม่ลูกพูดคุยกันอีกนิดหน่อย ก่อนหมื่นทัดจะแยกตัวออกมา

    หมื่นทัดในชุดโจงกระเบนสีน้ำเงิน เสื้อแขนยาวสีเขียวอ่อน มีผ้าสีเขียวขี้ม้าผูกไว้ตรงเอว เรือนผมสีดำขลับ ใบหน้าคมคาย ผิวสีแทน รูปร่างสูงโปร่ง กำลังก้าวไปตามทางเดินในสวน แต่ละก้าวดูสง่างามและมั่นคง สมกับเป็นทหารกล้า บรรดาทาสสาวในเรือนต่างหันมามอง หวังว่าอาจถูกตาต้องใจหมื่นหนุ่ม แม้ได้เป็นเพียงเมียทาสก็ยังนับว่าเป็นวาสนา แต่ว่าพ่อหมื่นนั้นหาได้สนใจไม่ หมื่นทัดเดินตรงไปยังข้างร่องน้ำ ที่มีทาสจำนวนหนึ่งกำลังช่วยกันขุดลอกอยู่

    "ทำกะไรอยู่เล่า" หลังจากยืนมองอยู่นาน หมื่นทัดตัดสินใจถามคำถามที่ดูช่างโง่เขลาออกไปเพื่อเริ่มต้นบทสนทนา

    "ลอกคูขอรับ" ทาสหนุ่มหันมาตอบอย่างไม่ใสใจ แล้วกลับไปทำงานต่อ พลันคิดในใจว่า ลูกเจ้านายนี่สูงส่งเสียจริง แม้แต่ลอกคูยังดูไม่ออก ตาคมจ้องมองอีกฝ่ายที่หันหลังให้ตน เอาแต่ก้มหน้าทำงาน แล้วจึงเอ่ยถามขึ้น

    "อืม ตอนที่ข้าอยู่บนศาลา ข้าเห็นเอ็งมองข้า มีกะไรรึ" หมื่นทัศเห็นอีกฝ่ายชงักไปก็ลอบยิ้มออกมาเล็กน้อย

    "บ่าวไม่ได้มองขอรับ" ทาสคนนั้นหยุดมือ แต่ยังคงหันหลังให้ผู้เป็นนาย หมื่นทัดเห็นก็ยังคงพูดต่อ

    "จะไม่มองได้อย่างไร ก็ข้าเห็นอยู่" เมื่อเห็นว่าเจ้านายยังถามต่อ ในใจทาสหนุ่มนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมาเล็กน้อย

    "บ่าวไม่ได้มองจริงๆขอรับ" ตอบไปเช่นนั้น แต่มือที่กำด้ามจอบกลับเกร็งขึ้นมาจนอีกคนยังมองเห็น

    "เอ็งไม่ยอมรับก็ช่างเถิด" เมื่อเห็นว่าอีกคนไม่ยอมรับ หมื่นทัดก็เลิกสนใจ และเปลี่ยนไปถามชื่อแทน "ว่าแต่เอ็งชื่ออะไร"

    "อินขอรับ" เมื่อได้ยินชื่ออีกคนคิ้วเรียวก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย คล้ายกับกำลังสงสัย

    "เอ็งหันหน้ามานี่สิ" อินหันมาตามคำสั่ง แต่ใบหน้านั้นกลับก้มลง ไม่ยอมเงยขึ้นมามอง หมื่นทัศมองคนตรงหน้า เห็นเพียงผมสีน้ำตาลเข้ม และสายสิญจน์ที่มีตะกรุดห้อยคออยู่ สายตาของหมื่นทัศจับจ้องอยู่ตรงสายสิญจน์เส้นนั้น ก่อนพูดขึ้น

    "อืม เช่นนั้นช่วยอะไรข้าสักหน่อยได้หรือไม่เล่า"

    "หมื่นท่านมีอะไรให้บ่าวรับใช้ขอรับ" อินว่า ในใจกลับคิดว่าตอนนั้นมีสิทธิที่จะไม่ช่วยด้วยหรือ

    "เอ็งไปล้างเนื้อล้างตัว แลไปอยู่ที่เรือนเล็กท้ายสวน ข้าจะให้เอ็งไปคอยอยู่รับใช้ข้าที่เรือน" หมื่นทัดว่าสายตายังคงจับจ้องไปยังตะกรุดที่ห้อยคอ แม้วาจาดูเรียบนิ่ง แต่ทว่ามุมปากกลับยกยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง

    "รับใช้หรือขอรับ" อินเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยแววตาตกใจปนสงสัย หมื่นทัดเมื่อได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายก็นิ่งไปชั่วขณะ ใบหน้าอ่อนหวานราวสตรี แต่แววตากลับดูเย่อหยิ่ง และดุดัน แม้ผิวกายที่ไหม้แดดก็ยังไม่สามารถปกปิดความไร้ที่ติของบุรุษตรงหน้าได้ เหมือนว่าถูกความงามของบุรุษเล่นงาน หมื่นทัดจ้องมองอินอยู่นาน จนคนเป็นบ่าวนั้นรู้สึกกระอักกระอ่วน

    "หมื่นท่านขอรับ" ราวกับถูกปลุกให้ได้สติ หมื่นทัดที่ได้ยินเสียงเรียก ก็แสร้งเป็นกระแอมกระไออยู่ทีหนึ่ง

    "อะแฮ่ม.. เอ็งก็วางมือเถิด ให้บ่าวคนอื่นมาทำแทน ข้ามิใคร่ชอบกลิ่นดินกลิ่นโคลนเท่าไรนัก"

    "ขอรับ" ว่าจบหมื่นทัดก็เดินจากไป ปล่อยให้อินนั้นสงสัยกับท่าทีราวกับคนถูกผีเข้าเสียอย่างนั้น

    หมื่นทัดเมื่อรับอาหารเย็นที่เรือนใหญ่เสร็จแล้ว เห็นว่าเวลาใกล้จะย่ำค่ำเต็มทีจึงขอตัวออกมา ในขณะเดินไปที่เรือนเล็ก ความคิดในสมองของท่านหมื่นผู้นี้ก็ตีกันจนยุ่งเหยิงไปหมด คราแรกที่ไปจากเรือนนี้ เพราะตนนั้นมีใจชอบพอบ่าวในเรือน แต่เพราะบ่าวผู้นั้นเป็นชายเช่นกัน ในใจรู้สึกผิดบาปนัก อีกทั้งยังไม่สมควร จึงตัดสินใจอาสาไปออกรบ สุดท้ายกลับมาเพราะคิดว่าตอนนั้นยังเยาว์วัย ตนอาจชอบพออีกคนในฐานะสหาย ครั้นตอนนี้ได้เจอหน้ากันอีกครา ใครจะรู้เล่าว่าบุรุษที่เคยต้องใจในวัยเยาว์ จะเป็นผู้เดียวกับบุรุษที่ต้องตาในตอนนี้ เมื่อลองตรองดูคำว่าสหายนั้นก็หาได้ใกล้เคียงไม่ ใจตนนั้นอยากได้อีกคนเป็นคู่ครองแน่แท้ แต่จะเป็นไปได้เช่นไร บุรุษแลบุรุษนั้นเป็นสิ่งไม่ควรอย่างยิ่ง ใจหนึ่งรู้ว่าไม่ถูกต้อง อีกใจกลับเรียกร้องอยากอยู่ใกล้ แม้รู้อีกคนนั้นเกลียดชังตนและบิดามากเพียงใด แต่ก็มิอาจหักห้ามความรู้สึกที่ถลำลึกนี้ไปได้ เป็นทหารกล้าแล้วอย่างไร เก่งกาจในสนามรบเพียงใด แต่ในสนามรักนี้ดูเหมือนจะยากเกินไปหน่อยกระมัง

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    นักเขียนปิดการแสดงความคิดเห็น
    ×