ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #9 : ตอนที่ 8 : ยิ้มก่อนไปงานศพ

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 56


     

     


     


     

     


     













     





    เมื่อพูดถึงส่วนประกอบของโลกใบนี้

    คนเราก็ต้องนึกถึง ผืนดิน มหาสมุทร ท้องฟ้า ภูเขาไฟอะไรเทือกนั้นเหละ

    จริงไหม?


              ลึกๆ ผมคิดว่า ช่างหน้าแปลกที่ส่วนประกอบซึ่งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงเหล่านี้ กลับอยู่ร่วมกัน เกื้อกูลกันได้  แต่เดี๋ยว! หยุดก่อน ผมไม่ได้คิดจะอารัมภบทย่อหน้านี้ด้วยปรัชญา วิทยาศาสตร์ วิชาการกันหรอกนะ นั่นมันน่าเบื่อเกินไป อันที่จริงแล้ว ผมกำลังคิดอยู่ต่างหาก ว่า เหตุใดส่วนประกอบที่แสนสมบูรณ์แบบเหล่านี้จึงสร้างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า “มนุษย์” ขึ้นมาต่างหาก

     

              และถ้าคุณยังคงไม่เข้าใจ ผมก็ขอลองให้คุณหลับตาลง นึกภาพ ผืนดินกว้างใหญ่ มหาสมุทรอันลึกล้ำ ท้องฟ้าที่โอบอุ้มทุกอย่าง ภูเขาไฟที่เผาผลาญทุกอย่าง  จู่ๆวันนึงทั้งหมดก็หันมาจับกลุ่มคุยกัน พวกเขาคุยกันออกรส  แล้วผืนดินน้องคนเล็ก ก็เสนอว่า  “นี่ๆ  ฉันว่าเรามีอยู่แค่นี้มันน่าเบื่อจะตาย ว่ามั้ย?  ทำไมเราไม่มาลองสร้างอะไรสนุกๆ ดูล่ะ? อย่างเช่นสิ่งมีชีวิตที่มีสองขาสองแขน สิบนิ้ว สองตา สองหู และหนึ่งปากยังไงล่ะ!!

     

    “แต่มันยังไม่พอ” มหาสมุทรพี่คนกลางขัด “ก็แค่เดินได้ ส่งเสียงได้ มันจะสนุกได้ยังไง?”

     

              “งั้นเราก็สร้างให้สิ่งนี้มีสมองสิ” ท้องฟ้าพี่คนโตสุดกล่าว “ให้มันคุยกันได้ สื่อสารได้ ให้มันฉลาดพอที่จะสร้างบ้าน ทำอาหาร จุดไฟ ล่าสัตว์ ประดิษฐ์เฟซบุ๊ค สร้างไอโฟน ไอพ็อด และรู้จักการทำหนังสยองขวัญด้วยเราจะเรียกสิ่งนี้ว่ามนุษย์!”   จากนั้นสามพี่น้องก็พยักหน้าเห็นด้วยให้กันและกัน แต่ทว่า…  ภูเขาไฟซึ่งเป็นเด็กข้างบ้าน และนิสัยไม่ดีมากๆ ก็เข้ามาแย้งสามพี่น้อง “อะไรก๊านนนน แค่นั้นน่ะเหรอ ที่พวกนายเรียกว่าสนุก?.... เอาแบบนี้สิ เราก็สร้างให้มีหนึ่งในพวกนั้นมีนิสัยเจ๋งๆเป็นไง อย่างเช่นชอบฆ่ากันเอง ชอบเห็นคนอื่นเจ็บปวด ชอบเลือด ชอบมีด ชอบชำเหละ ชอบเห็นเด็กสิบขวบโดนแย่งไอติม และชอบหัวเราะด้วย  อ้อ ใช่แล้วล่ะ  ฉันจะเรียกสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ว่า ฆาตกรโรคจิต เป็นไง?

     

     

    และนี้ก็คงเป็นต้นกำเนิดของ รอยยิ้ม

     

     

    --------------------------------------------------------------

    “แมต….!” เสียงเรียกสั้นๆ ดังผ่านประตูไม้มา แทรกเจาะเข้าไปในภวังค์จนผมตื่น

     

              ใช้เวลาสองสามนาที กว่าที่ผมจะเริ่มคุมสติที่ล่องลอยอยู่กับความขี้เซาของตัวเองในตอนเช้าได้ เฮนรี่ยังคงเคาะประตูปลุกผมอยู่ ดูท่าทางจากเสียง เขาเองก็เพิ่งจะตื่นเหมือนกัน

     

              “วันนี้เธอบอกให้ฉันช่วยปลุกไม่ใช่หรือไง? ต้องไปเอ่อ  ร่วมงานศพไม่ใช่เหรอ?” เฮนรี่ช่วยเตือนความจำ  จริงด้วยสินะ.. ลืมเสียสนิท วันนี้มีงานสำคัญ ช่างเป็นงานที่ผมอยากจะไปอะไรเช่นนี้ เอาล่ะ ผมเดาว่าพวกคุณเองก็คงจะเคยร่วมงานศพหลายต่อหลายครั้งแล้วเหมือนกันล่ะสิ? แน่ล่ะ มนุษย์ทุกคนเกิดมาต้องตาย คนเราบนโลก ตายกันทุกวันและวินาที การตายจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติ งานศพก็เช่นกัน  แต่เชื่อผมเถอะ ถ้าหากว่างานศพนั้น เป็นงานศพของคนที่คุณได้รู้เห็นความสยดสยองที่เหล่าผู้จากไปต้องพานพบก่อนตายแล้ว การนอนอยู่ในบ้านอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

     

              แต่ไม่มีเวลาคิดนานหรอก ผมรีบบังคับให้ตัวเองลุกจากเตียง ยืดเส้นยืดสาย แล้วเตรียมพร้อมที่จะอาบน้ำ ทำไมชีวิตของผมถึงไม่เคยได้ตื่นเช้าด้วยความรู้สึกที่ว่า “อานี่ช่างเป็นเช้าที่แสนสดใส เมื่อคืนหลับเต็มอิ่มดีจัง” เลยนะ?  อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ใช่เพราะผมเพิ่งจะสังเกตเห็นนาฬิกาปลุกซึ่งตั้งติดโต๊ะข้างเตียง บอกเวลาว่านี่มันเพิ่งจะตีห้าเองเท่านั้น ผมก็คงจะเตลิดเปิดเปิงรีบจนหัวฟาดพื้นห้องน้ำไปแล้ว  เชื่อเขาเลยจริงๆ งานเริ่มตอนสิบโมงเช้าต่างหาก ว่าแล้ว ผมก็ล้มตัวลงบนเตียงต่อ แล้วหยิบรีโมทขึ้นเปิดทีวีจอใหญ่อย่างไม่เร่งรีบ ไม่นานภาพก็ค่อยๆปรากฏ เป็นรายการข่าวยามเช้านั่นเอง….

     

              “ผ่านมา 3 วันแล้ว สำหรับคดีสะเทือนขวัญซึ่งช็อคผู้คนไปทั่วทั้งประเทศ เมื่อภายในเมืองใหญ่ที่สงบสุขแห่งนี้ กลับมีการฆาตกรรมหมู่ของเด็กมัธยมเกิดขึ้น 13 รายด้วยกันภายในเวลาเพียงสองสัปดาห์ ที่หน้ากลัวยิ่งกว่าคือเด็กทุกคนล้วนอายุเท่ากัน และที่สำคัญเรียนอยู่ในสถาบันชื่อดังแห่งเดียวกัน เหตุการณ์นี้ทำให้ชาวเมืองอกสั่นขวัญแขวนจนถึงขั้นยอดจองตั๋วรถไฟและเครื่องบินเต็มทุกรอบ แม้แต่ชานเมืองก็เต็มไปด้วยการจราจรที่ติดขัดของเหล่าผู้คนที่ต้องการจะย้ายออกไปชั่วคราว….

     

              ผมมองดูข่าวเช้าด้วยความครุ่นคิด ถึงแม้ว่าการกระทำของชาวเมืองจะดูเป็นกระต่ายตื่นตูมอยู่บ้าง แต่ผมก็ไม่แปลกใจเลย ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็ นี่คงจะเป็นหนังประเภทฟอร์มยักษ์ทุนใหญ่น่าดู เพราะแม้แต่หนังระดับตำนานอย่างศุกร์สิบสาม หรือนิ้วเขมือบ ก็ยังไม่เคยฆ่าคนติดต่อกันเป็นสิบกว่าคนภายในหนึ่งภาค แต่นี่เอ๊ะ เดี๋ยวสิ อย่างน้อยถ้านับเจ้าก๊อตซีล่าที่เหยียบคนตายเป็นว่าเล่น มันก็ยังชนะรอยยิ้มนี่นา  เยี่ยมเลย

              “เหตุการณ์นี้ดูท่าทางจะตึงเครียดมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อทีมข่าวได้ข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือว่า ฆาตกรได้ถูกยืนยันจาก ปากของผู้รอดชีวิตว่าเป็นคนๆ เดียวกัน และตำรวจยังไม่มีทีท่าจะสืบหาร่องรอยที่พอจะช่วยได้เลย”  เมื่อจบประโยคที่นักข่าวสาวพูด ผมก็แอบได้ยินเสียงเฮนรี่สบถออกมาจากห้องรับแขกของเขา ซึ่งก็ไม่แปลกหรอก ข้อมูลพวกนี้น่ะเป็นความลับ งั้นสำนวนที่ว่า “ตำรวจเก่งในเรื่องค้นหาความลับของคนอื่น แต่ห่วยแตกในเรื่องเก็บความลับของตัวเอง” ก็คงจะเป็นความจริง เอาล่ะ ก่อนที่เสียงบ่นของเฮนรี่จะรบกวนไปมากกว่านี้ ผมก็เร่งเสียงโทรทัศน์ให้ดังขึ้นอีกหน่อยแล้วกัน

     

              “จากคำแถลงการณ์เมื่อคืนวาน กำลังมีการติดต่อประสานงานกับหน่วยงานใหญ่ อย่างเช่น FBI ให้ส่งเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญฝีมือดีมาใขคดีในครั้งนี้ ซึ่งก็คาดว่าจะใช้เวลาอีกหนึ่งสัปดาห์ แต่ในระหว่างนี้เมืองแบล็กวู๊ดก็คงจะไม่มีอะไรแตกต่างกับเมืองร้าง ปริศนาดำมืดครั้งนี้กำลังจะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ ไม่ว่าเราจะจับคนร้ายได้หรือไม่ คดีสะเทือนขวัญครั้งนี้จะติดอยู่ในหัวของผู้คนไปอีกนานทีเดียวค่ะ……

     

              ผมถอนหายใจแล้วเปลี่ยนช่อง แม้จะเป็นสารคดีเกี่ยวกับหมีขั้วโลกเหนืออันแสนหน้าเบื่อ ก็ยังดีกว่าข่าวที่คอยทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น  

     

              อ้อ สำหรับคนที่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากคืนนั้น อย่างแรกก่อนเลยคือเนธานที่ตกลงไปกำลังอยู่ในอาการโคม่า เขานอนไม่ได้สติอยู่ที่โรงพยาบาล พ่อแม่ของเขาแทบจะยกเลิกตารางงานทุกอย่างในคืนแรก จนกระทั่งคืนที่สองผมอาสาเฝ้าเขา ส่วนเมื่อคืนก่อน โชคดีหน่อยที่อเล็ก และคริสเตียนว่างพร้อมกัน ทั้งคู่จึงค้างคืนที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการของเนธาน  ส่วนผมและสามสาวก็ต้องอ่วมกับการสอบปากคำอย่างหนักของตำรวจหมีพูห์ และผองเพื่อนผู้สอบปากคำจอมโหด ไม่รู้ว่าผมมีมีกรรมอะไรกับพวกตำรวจหรือเปล่า

     

              ผมถอนหายใจพลางวาดตัวบนเตียงนอนอย่างที่ชอบทำ สามวันที่ผ่านมาผมได้แต่นอนกลิ้งเกลือกทำใจอยู่ในห้องนี้ ราวกับว่ามันเป็นที่หลบภัยน้อยๆ  คุณรู้ไหม นับตั้งแต่โรงเรียนมัธยมแบล็ควู๊ดถูกสั่งให้ปิดการเรียนการสอนชั่วคราวแบบไม่มีกำหนด ผมก็มีเวลามากขึ้นในการสนุกกับหนังสยองขวัญที่ตัวเองต้องพลาดไปจากการที่มัวแต่วุ่นวายกับเรื่องพวกนั้น ประกอบกับผมไม่อยากจะคิดอะไรให้มันปวดหัว  เมื่อวานผมจึงถามเฮนรี่ว่ามีร้านเช่าดีวีดีในละแวกนี้บ้างหรือเปล่า และเฮนรี่ก็ได้บอกลายแทงขุมทรัพย์อันแสนมีค่าว่ามีอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมถนนนี่เอง เชื่อไหมล่ะ!!? แค่เดินกระโดดลัลล้าสองสามครั้งก็ถึงแล้ว! ที่นั่นน่ะ เต็มไปด้วยหนังสยองขวัญระดับตำนาน หายาก จนไปถึงระดับห่วยแตก แต่ก็พอฆ่าเวลาได้ ซึ่งผมก็ได้หนังสยองขวัญกองใหญ่มาตั้งไว้ดูแบบมาราธอนเลยทีเดียว

     งั้นคุณคงจะไม่ว่าอะไร ถ้าผมจะดูอีกสักเรื่องนึงเป็นการฆ่าเวลา  ผมเลือกเรื่องนี้ก็แล้วกัน “กระดาษทิษชู่อาฆาต”….

     

    - - - - - - -  - - - - -  - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - 



    ผมดูจบแล้ว

             หลังจากใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงในการเพลิดเพลินการดูหนัง ที่เกี่ยวกับฆาตกรอัจฉริยะ ซึ่งใช้กระดาษทิชชู่เป็นอาวุธสังหารปาดคอคน ผมก็รู้สึกตื่นเต็มที่ ร่างกายพร้อมที่จะพาตัวเองไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วอาบน้ำเสียที ข้อดีอย่างนึงของการมีห้องน้ำส่วนตัวคือ ผมสามารถเล่นเป็นนางเอกที่กำลังอาบน้ำอยู่ แล้วจู่ๆ ก็มีฆาตกรเข้ามา จากนั้นก็กรีดร้องเสียงดั….  เดี๋ยวนะ เมื่อกี้ผมบอกคุณเรื่องสิ่งที่ผมชอบทำในห้องน้ำเหรอ?... เปล่าๆ ไม่หรอก ผมล้อเล่นน่ะ ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นในห้องน้ำหรอก ลืมๆ ไปเหอะนะ

     

              พูดถึงห้องน้ำ รู้ไหมว่าผมค่อนข้างแปลกใจ เพราะครั้งแรกที่ผมเข้ามาก็พบว่าในห้องน้ำ ยังมีของจำพวกกุ๊กกิ๊กบางอย่างที่พวกเด็กผู้หญิงใช้กันหลงเหลืออยู่ อย่างเช่นกิ๊บติดผมลายดอกกุหลาบ ไหนจะหวีสีชมพูหวานแหวว แอบมีตุ๊กตากระต่าย(ที่ฝุ่นจับแล้ว) นอนอยู่ตรงมุมอ่าง แล้วถ้าดูให้ดีก็จะพบพวกครีมอาบผิวยี่ห้อดังที่ผู้หญิงชอบใช้กันด้วย  ซึ่งมันคงไม่มีปัญหา ถ้าเฮนรี่บอกว่าคนที่เคยอยู่ที่นี่มีแต่เขาคนเดียว….  เปล่า ผมไม่ได้จะบอกว่าเขาเป็นพวกอีแอบอะไรแบบนั้นหรอกนะ เขาก็แมนดี แค่บ้างานไปหน่อย ตอนที่ผมถามเขา เขาก็เองก็ยังงงๆ เหมือนกัน ดังนั้นผมก็พยายามจะไม่ทำให้มันเป็น “อีกหนึ่งปริศนาสยองขวัญที่ไขไม่ออก แห่งห้อง 1900” หรอก ผมมีเรื่องปวดหัวมากพอแล้ว

     

              เฮนรี่ให้ผมยืมสูทตัวนึงซึ่งมันเก่าเก็บมาก เขาใส่มันตอนยังเด็ก(แหงล่ะ คนตัวเล็กอย่างผม คงไม่มีสิทธ์จะใส่เเตะสูทของผู้ใหญ่หรอก) สูทเป็นสีดำสนิท ตัดกับเสื้อในสีน้ำตาลเข้ม เขาดูจะหวงสูทพอสมควร คล้ายกับว่ามีความหลังฝังใจอะไรกับสูทนี่ ซึ่งคิดอีกที ไม่มีใครจะมาเก็บสูทตัวที่เล็กจนใส่ไม่ได้แล้วไว้หรอก ถ้ามันไม่มีอะไรพิเศษจริงๆ  ถ้าให้เดา เขาอาจจะใส่ตอนไปเดทกับสาวเป็นครั้งแรกล่ะมั้ง

     

    “แมต!”  เฮนรี่เรียกผมอีกครั้ง ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผมแต่งตัวเสร็จแล้ว

     

              ผมเปิดประตูห้องนอน สู่ห้องนั่งเล่นที่เต็มไปด้วยเอกสารเยอะแยะอีกเช่นเคย ไว้กลับมาจากงาน ผมค่อยเก็บให้ก็แล้วกัน แต่น่าแปลก เพราะวันนี้เฮนรี่เองก็แต่งตัวมาซะเต็มยศด้วยผมหมายถึงเขาสวมสูทเรียบร้อยนะ เพราะปกติเขาจะชอบใส่เสื้อยับๆ ติดต่อกันหลายๆ วัน ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะถอดเสื้อให้ผมช่วยรีดให้ด้วยซ้ำ

     

    “เพื่อนเธอคงมาหาล่ะมั้ง” เฮนรี่กล่าวขณะที่เขาแนบตัวกับประตู มองผู้มาเยือนผ่านทางตาแมว

    “เพื่อน?....” ผมทวนคำ ใคร? เพื่อนไหน? ผมไม่เคยบอกที่อยู่กับใครเลยนอกจากโอ ให้ตายสิ

              “ฉันเปิดประตูล่ะนะ!....” เฮนรี่ปลดล็อคกลอนแล้วค่อยๆ เลื่อนบานประตูไม้ พร้อมกับโฉมหน้าของเหล่าผู้มาเยือนทั้งสามคน และเหล่าผู้มาเยือนสามคนนี้ก็แต่งตัวมาราวกับกำลังจะออกไปเดินแบบด้วยคอนเซ็ป”ชุดสีดำในงานศพที่เริ่ดที่สุด” ผมค่อยๆ มองไล่พวกเธอที่ละคน เมแกน เชย์ และโซอี้ กำลังยืนยิ้มราวกับนางงามจักรวาลที่หน้าประตู เฮนรี่ดูจะอึ้งไปเลย เขามองดูพวกเธอทีละคน แล้วหันกลับมามองผม ราวกับจะถามว่า “สาวสวยพวกนี้เป็นเพื่อนเธอแน่หรือ?”

     

              “สวัสดีค่ะคุณ  อ๊ะ“ เมแกนคือผู้ที่กล่าวทักทายคนแรกก่อนจะชะงักไป “คุณคือ…. เอ่อ ไม่สิ  คือพวกเราจะมาหาแมตน่ะค่ะ” เมื่อสามสายปรายตามองมาเห็นผมวิ่งกำลังยืนอยู่ข้างหลังเขา พวกเธอก็โบกมือทักทายตามประสานางงามรักเด็กเบาๆ  เฮนรี่เห็นดังนั้นก็เปิดทางให้สามสาวเดินเข้ามา 

     

              “เฮ้…. ไง” ผมทำเป็นยิ้มแย้มทักทายพวกเธอ ก่อนที่จะดึงสามสาวเข้ามาใกล้แล้วกระซิบเบาๆ “ไหนว่าค่อยเจอกันที่โบสถ์ไง? มาที่ห้องฉันทำไม?”

     

              “ก็แหมเราไม่นึกว่าถนนมันจะโล่งขนาดนี้นี่นา” โซอี้ปั้นหน้าเซ็ง “อุตส่าห์เผื่อเวลารถติดไว้ตั้งชั่วโมงครึ่ง ที่ไหนได้ อย่างกับเมืองร้าง เหลือเวลาตั้งเยอะ แล้วจำได้ตึกของเธอก็อยู่แถวนี้พอดี ฉันก็เลยกะจะมาดูว่าเธอเตรียมตัวเสร็จแล้วยังน่ะ”

     

              “เอาเหอะฉันเตรียมตัวเสร็จแล้ว” ผมส่งสายตาเป็นสัญญาณให้พวกเธอออกไปรอข้างนอกซะจะดีกว่า “รอฉันเก็บของนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวจะตามไป”   พูดจบ ผมก็มองสามสาว แต่ดูเหมือน พวกเธอจะไม่ฟังอะไรเล้ย ต่างคนต่างแยกย่ายไปสำรวจของในห้อง ราวกับเป็นกลุ่มนักสืบ ซึ่งนั่นยิ่งทำให้เฮนรี่สับสนเข้าไปใหญ่ ส่วนผมก็กุมขมับเพราะเริ่มปวดหัวตะหงิดๆ

     

               “นี่ พวกเรา!.....  ดูรูปนี้สิ” เชย์กวักมือเรียกคนอื่นๆ มากที่แผงของรูปภาพแขวนผนังซึ่งเฮนรี่ชอบเอามาใส่กรอบแล้วติดไว้ตรงผนังเหนือชั้นตู้เตี้ยๆเต็มไปหมด รูปส่วนใหญ่จะคล้ายเป็นวิวัฒนาการตั้งแต่เขายังเด็ก ยันจบมหาลัย เต็มไปด้วยรูปแสดงผลงานดีๆ ที่เขาทำไว้สมัยก่อน ส่วนรูปที่เชย์เรียกให้คนอื่นมาดู ก็คือรูปที่เฮนรี่กำลังชูถ้วยอะไรสักอย่าง พร้อมกับกลุ่มเพื่อนๆ ที่พากันเฮโลยกตัวเขาขึ้นราวกับเป็นราชา

     

              “นี่มันรูปสมัยที่โรงเรียนแบล็ควู๊ดได้ถ้วยรางวัลชนะเลิศการแข่งขันบาสเก็ตบอลระดับเขตครั้งแรกเลยนี่นา!!” โซอี้อธิบายอย่างตื่นเต้น “ว่ากันว่า การแข่งขันครั้งนั้น ถือเป็นตำนานที่ทำให้โรงเรียนเราได้เชิดหน้าชูตาขึ้นมาบ้าง แล้วยิ่งคู่แข่งก็เคยเป็นแชมป์ระดับประเทศมาก่อน ใครๆ ก็พากันเรียกผู้เล่นคนที่พลิกสถานการณ์คราวนั้นได้ว่า “หมาป่าสีดำ” เป็นที่มาของสัญลักษณ์ประจำโรงเรียนเรานั่นเอง”  โซอี้พูดจบ เราทั้งสี่ก็หันขวับไปที่เฮนรี่ ชายผู้ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่า จะเคย”เจ๋ง”ขนาดนั้นมาก่อน  เฮนรี่แค่เกาหัวเฉยๆ แล้วกล่าวถ่อมตัวประมาณว่า เรื่องมันนานมาแล้ว คราวนั้นฉันแค่โชคดีอะไรประมาณนั้น ผมคิดว่าเขาเขินนะ ดูหน้าแดงหน่อยๆ แม้ปกติหน้าเขาจะโทรมจนดูอะไรไม่ออกเลยก็เถอะ เขาก็เลยหาทางเปลี่ยนเรื่องพูดแก้เขิน โดยการพูดขึ้นว่า

              “เอ้อ…. ว่าแต่ แมต เพื่อนๆ เธอนี่สวยกันทั้งนั้นเลยนะ ตอนเปิดประตูให้ ฉันนึกว่ามีนางแบบที่ไหนมาหาเสียอีก” เฮนรี่กล่าวชมสามสาว พวกเธอยิ้มตอบ “แหมการชอบผู้ชายแบบเธอคงจะดีแบบนี้นี่เอง สามารถมีเพื่อนผู้หญิงสวยๆได้อย่างใกล้ชิด รู้งี้สมัยเรียนฉันโกหกว่าชอบผู้ชายบ้างก็ดีนะ ฮะๆ” เฮนรี่หัวเราะ…. แต่ผมไม่…. สามสาวหันควับ ผมจึงเงียบ.. บ้าจริง ผมเปล่าชอบผู้ชายนะ แต่จะบอกความจริงตอนนี้ก็ไม่ได้ ซวยจริงๆ เลย!

     

    “กะแล้วเชียว..” เมแกนกล่าวเบาๆ

     

              ผมถลึงตาใส่เฮนรี่ด้วยความอาฆาต ดูเหมือนเขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรอย่างยิ่งจริงๆ เลยออกมา เขายิ้มแหยๆ ราวกับเด็กสิบขวบที่เพิ่งถูกแม่จับได้ว่าแอบกินช็อกโกแลตรสหวานพิเศษ

     

              “เอ่อว่าแต่ ห้องของนอนของแมตอยู่ไหนคะ?” เมแกนถามโดยพยายามทำเสียงใสให้เหมือนนางเอกละคร เฮนรี่จึงผายมือไปยังประตูห้องนอนผม และอีกครั้งที่เขาเผลอบอกสิ่งที่ไม่ควรกับสามสาวไป เพราะพวกเธอต่างพากันกรูเข้าไปในห้องนอนผมอย่างรวดเร็ว ผมส่งเสียงตะโกนห้าม แต่คุณคงรู้ พวกเธอทำตัวคล้ายกับเจ้าของตึก ที่แอบมาค้นห้องของผู้เช่าตอนดึกๆ ว่ามีหนังสือโป๊ซ่อนไว้หรือเปล่า

     

              ผมส่งกระแสจิตอาฆาตให้เฮนรี่ครั้งสุดท้ายก่อนจะเข้าไปในห้องนอน ไว้ผมจะจัดการกับเขาทีหลัง แต่ก่อนนั้นต้องพยายามกล่อมให้พวกเธอออกไป

     

              “หวาวหรูเท่าห้องฉันเลย มีครบทุกอย่าง ทีวี โฮมเทียร์เตอร์ คอมพิวเตอร์ เครื่องเสียง” เมแกนล้มตัวลงไปนอนบนเตียงของผม “ขาดอย่างเดียว…. คือรสนิยม”    ผมเริ่มจะยอมแพ้แม่พวกนี้เสียแล้ว เหนื่อยเกินกว่าจะห้ามอะไรอีก  “จ้าจ้าตามสบาย ให้เหมือนเป็นห้องของพวกเธอเลยนะ!” ผมประชด

     

            “นี่มันอะไรเนี่ย?” เชย์หยิบกองแผ่นซีดีหนังสยองขวัญขึ้นมาดูอย่างพินิจพิเคราะห์ “เธอชอบหนังแนวนี้เหรอ?”

              “นี่!.... ห้ามเเตะต้องอันนั้นเด็ดขาดเลยนะ เมแกน เธอลงจากเตียงฉันได้แล้วโซอี้ อย่ายุ่งกับคอมของฉันสิโอ๊ย ให้ตายเหอะ นี่พ่อแม่พวกเธอไม่ว่ารึไง ที่ลูกสาวชอบเข้ามายุ่มย่ามในห้องนอนของผู้ชายแบบนี้น่ะ?”

     

              “ไม่ว่าหรอก” เมแกนตอบหน้าตาเฉย “ถ้ามันเป็นห้องของผู้ชายที่ชอบผู้ชาย”   แล้วเมแกนก็ยิ้ม ผมชะงักลง อยากจะเถียง แต่ก็ไม่รู้จะเถียงยังไง ราวกับมีอะไรอุดตันอยู่ตรงคอ และผมอยากจะเอามันออกจริงๆ

     

              “นี่!... นายมีแฟนแล้วยังล่ะ  รู้รึเปล่าว่ารุ่นพี่คนที่อยู่ชมรมฟุตบอลคนนั้นก็ชอบผู้ชายเหมือนกันนะ เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้” เชย์แนะนำอย่างจริงใจ แต่สำหรับผมแล้วมันยิ่งฟังดูประชด

     

              “แล้วว่าแต่ไปไงมาไง ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่าเธอจะอาศัยอยู่กับ เฮนรี่ เดฟ มิลเลอร์ในตำนานคนนั้นน่ะ พวกเธอเป็นอะไรกันเหรอ เป็นญาติ ลูกพี่ลูกน้อง หรือว่า……” โซอี้ยักคิ้วหลิ่วตา เชย์กับเมแกนก็ยิ้มเหมือนกับรู้ว่าโซอี้หมายถึงอะไร ซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าเธอหมายถึงอะไร แต่ช่างเหอะ

     

    “เอาเป็นว่า ถ้าเธออยากจะมานั่งเล่นในห้องนี้ ฉันมีกฎอยู่สามข้อ

    ข้อแรก ห้าม!... และห้าม แตะต้องของอะไรทั้งสิ้น เฮ้ เมแกน อย่างยุ่งกับหมอนข้างของฉันนะ!

    ข้อสอง ในห้องนี้  ฉันถูกเสมอ!

    ข้อสาม ถ้าไม่เข้าใจ กลับไปดูข้อหนึ่งใหม่อีกครั้ง!

     

              “ค่า…..” ทั้งสามตอบรับ แล้วไปรวมตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างว่าง่าย ผมถอนหายใจด้วยความโล่งอกในที่สุด พยายามจูนสติให้กลับมาอีกครั้ง รู้ไหม ไม่บ่อยนักหรอกที่จะมีคนเข้ามายุ่มย่ามในห้องนอนของผม “เว้นตอนที่ตำรวจเข้ามาสำรวจจุดเกิดเหตุครั้งนั้นน่ะนะ)

     

               “เมื่อวาน.. คุณแม่ของฉันโทรมาจากต่างประเทศ” โซอี้ปรับโทนเสียงของตัวเองจนดูเคร่งเครียดขึ้นอย่างชัดเจน “แม่พยายามบังคับให้ฉันย้ายที่เรียนซะ ตั้งแต่เรื่องคืนนั้น …. แม่ฉันโมโหมาก บอกว่าจะฟ้องให้หมดทุกคนเลย ใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ฉันยืนยันที่จะยังขออยู่ต่อ ฉันอ้างไปว่าการย้ายที่เรียนในขณะที่จิตใจยังคงไม่ปกติ จะทำให้เกิดผลเสีย….  จริงๆแล้วฉันยังไม่อยากไปจากเมืองนี้ฉันอยากค้นหาความจริงต่อ….

              “โธ่เอ้ยเธอจะบ้าหรือไง อยู่ที่นี่ก็มีแต่อันตราย พวกตำรวจยังหาตัว รอยยิ้มไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอมีโอกาสแล้วก็ไม่ควรจะเอาตัวเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก” ผมบอก…. ใช่ ไม่มีใครควรจะอยู่ในเมืองนี้ต่อด้วยซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราสี่คน เพราะทุกย่างก้าว ไม่ว่าจะตามตรอกแคบๆ หรือมุมมืดๆตามถนน รอยยิ้มออกมา พร้อมกับเชือดคอคุณด้วยเสียงหัวเราะแหลมๆนั่นอีกก็เป็นได้

     

              “อันที่จริงพ่อของฉันเองก็เสนอให้ฉันย้าย”เมแกนกล่าวต่อ “แต่ฉันไม่ยอม พ่อก็เลยหาพวกบอดี้การ์ดมาตามติดฉันทุกฝีก้าว นี่โชคดีที่ฉันแอบติดสินบนพวกบอดี้การ์ดสมองทึ่มพวกนั้น ไม่ให้ตามฉันมาวันนี้ ไม่งั้นฉันคงไม่เป็นอันร่วมไว้อาลัยในงานศพแน่ๆ” เธอเอนตัวลงกับโซฟาแล้วทำหน้าหงิกราวกับเบาะที่เธอนั่นนั้นแข็งกระด้าง “แล้วเธอล่ะเชย์”

     

              “ฉันถูกกักบริเวณไม่ให้ออกไปไหนอีกเป็นเดือน“ เชย์ทำท่าเหมือนน้ำตาซึมออกมานิดๆ “พ่อแม่ต่อว่าที่ฉันแอบหนีไปอยู่ที่ห้องสมุดตอนดึกๆไม่พอ ยังหาเรื่องให้พวกท่านเดือนร้อนใจอีกพ่อแม่ฉันน่ะนะ เกลียดที่จะต้องยุ่งเกี่ยวกับพวกตำรวจที่สุด  ตอนนี้พวกเขาไม่แม้แต่มองหน้าฉันด้วยซ้ำ”

     

              “ให้ตายสิ…  นี่เป็นช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตของฉันเลย..” โซอี้คอตก ก่อนจะเอาไอพ็อดของเธอขึ้นมา แล้วเสียบหูฟังเข้าเพื่อฟังเพลง เมแกนลูบกระเป๋าหลุยส์ของเธอย่างทนุถนอม ส่วนเชย์ก็ม้วนผมสีแดงของเธอเล่น ความเงียบก่อตัวขึ้นไปพักใหญ่ จู่ๆ บรรยากาศโศกเศร้าก็โหมพัดมาจากที่ไหนก็ไม่รู้

     

              “บางทีฉันก็คิดว่า….  ถ้าไม่ใช่เพราะเราดึงดันที่จะสืบเรื่องนี้ต่อ บางทีก็อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น” เชย์โอบไหล่เมแกนที่กำลังตัดพ้อ “อย่างน้อยๆ อาจจะมีคนเจ็บน้อยกว่า อย่างน้อยแมตก็ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วยังจะเนธานอีก

     

              ให้ตายสิ…. พวกผู้หญิงนี่มันยังไงกัน เมื่อกี้เพิ่งจะร่าเริงอยู่แท้ๆ ตอนนี้กลับทำท่าจะเปิดศาลาคนเศร้าเสียแล้ว ผมพยายามจะปลอบใจเมแกน “ไม่เอาน่า…. ฉันช่วยพวกเธออย่างสมัครใจนะ” ผมกล่าวไปแม้จะรู้ว่าความจริงไม่ใช่แบบนั้น

     

             “พูดถึงเนธาน….”โซอี้ถอดหูฟังของเธอออก “ครั้งล่าสุดที่ฉันไปเยี่ยม ก็เจอพวกคริสเตียนกับอเล็กซ์เฝ้าอยู่…. อันที่จริง คงจะเรียกว่าเฝ้าไม่ได้ ขนาดบ่ายแล้ว สองคนนั้นก็ยังหลับคาเก้าอี้อยู่เลย ปลุกยังไงก็ไม่ตื่น เหมือนกับ…  โดนวางยานอนหลับอย่างนั้นเหละนะ ฉันก็เลยแค่วางดอกไม้ไว้แล้วออกมา” โซอี้พยายามเล่าเหมือนเป็นเรื่องตลก แต่ผมฟังแล้วกลับรู้สึกหวาดเสียวในใจยังไงชอบกล


              “นี่…. “ ผมกล่าวขึ้นบ้าง “คิดว่าแปลกไหมที่คืนนั่นน่ะ ตอนที่พวกเราต้อนมันจนมุม จนเกือบจะถอดหน้ากากมันออกได้แล้วเชียว

     

    “ใช่มันดึงเนธานลงไป” เชย์หันมองหน้าต่างห้องผม “เหมือนกับว่ามันจงใจจงใจที่จะเลือกเนธานลงไป” 

     

    “เป็นเพราะเขารู้ยังไงล่ะ“ เมแกนบอก “ความลับของรอยยิ้มน่ะ”

     

              สิ้นเสียงเมแกน ลมก็โหมพัดเข้ามาอีกครั้ง จนม่านปลิวไสวๆ ฟาดไปมา ผมลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ก่อนจะพบว่าฟ้ามืดลง กลุ่มก้อนเมฆสีดำค่อยๆเข้ามาแทนที่ว่างข้างบน ตามด้วยหยดน้ำเม็ดเล็ดๆ ที่ค่อยๆสาดลงมา เสียงดัง “ซ่า……” กลับยิ่งสะกดให้ทุกอย่างเงียบขึ้น

     

             “อะไรคือความลับของรอยยิ้มกันแน่ผมพึมพำทั้งๆ ที่ยังคงมองหน้าต่าง เมแกนและสาวๆมายืนข้างหลังผมเมื่อไหร่ไม่รู้ แต่เราสี่คนกลับมองสิ่งเดียวกัน มันคือบรรยากาศสีดำที่คล้ายเป็นลางร้าย หรืออาจเป็นเพียงวิธีไว้อาลัยของท้องฟ้าสำหรับงานศพที่ใกล้เข้ามา

     

    “ฉันกลัว

     

              ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงของใครกันแน่ หรืออาจจะไม่ใช่เสียงของใครเลย แต่ผมก็อดพยักหน้าตามไปด้วยไม่ได้

     

             “เรายังอยากรู้ความลับนั่นอีกหรือเปล่าล่ะ?  หรือควรจะปล่อยมันไป?”เมแกนมองหน้าแต่ละคน “ฉันเข้าใจนะว่าทุกคนรู้สึกยังไง ฉันเองก็ยังคงกลัวเหมือนกัน และฉันจะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าเราเลือกที่จะอยู่เฉยๆ เพื่อความปลอดภัยของพวกเราเอง”

     

             “แล้ว…. เรื่องของเอ็มมิลี่ล่ะ?  เรื่องที่เอ็มหายไปในคืนนั้น เธอจะยอมปล่อยมันไปเหรอ? จะยอมให้ทุกคนลืมมันไปเหรอ?” เชย์ตั้งคำถามที่สร้างความอึดอัดใจกับทุกคน แม้นั่นจะเป็นคำถามที่ทั้งสามสาวต่างคิดไม่ตกเหมือนกันก็ตาม

     

              “เธอควรจะปล่อยมันไป” ผมบอก “เรื่องบางเรื่อง เราก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง  ฉันเข้าใจที่พวกเธอยังคงสงสัยเกี่ยวกับเพื่อนของเธอ แต่นี่มันไม่ใช่แค่เรื่องของเพื่อนเธอคนเดียวแล้ว มันเกี่ยวกับพวกเราทุกคน เกี่ยวกับคนบริสุทธิ์อีกมากมายที่อาจต้องเสี่ยง ถ้าพวกเราไปกระตุกหนวดของมันเข้า

     

              “เธอไม่เข้าใจ  แมต“ โซอี้ละสายตาจากก้อนเมฆสีดำ “นี่ไม่ใช่หนังสยองขวัญนะ เอ็มไม่ใช่แค่ตัวละครที่ผู้เขียนบท เขียนขึ้นให้เป็นเหยื่อถูกฆาตกรฆ่าปาดคอเหมือนตุ๊กตาไร้ชีวิต เอ็มไม่ใช่แค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่จู่ๆ ก็หายตัวไปเอ็มคือคนที่คุยกับพวกเราทุกวันที่ร้านกาแฟ เอ็มก็คนที่ชวนเราไปปาร์ตี้ชุดนอนทุกคืนวันศุกร์ เอ็มคือคนที่แอบพาพวกเราหนีเที่ยวเป็นครั้งแรก เอ็มเป็นเพื่อนที่รวมพวกเราเข้าด้วยกัน คือคนที่พวกเราพากันเซอร์ไพรส์วันเกิดให้ คือคนที่คอยช่วยเธอเลือกเสื้อเวลาจะไปเดทกับหนุ่มๆ  เอ็มคือคนนั้น“ โซอี้กลับไปนั่งลงบนโซฟา เชย์และเมแกนต่างก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน แบบเดียวกับท้องฟ้าในเวลานี้ ความมืดบนก้อนเมฆคือความเศร้า สายฝนที่พรั่งพรูคือน้ำตา และสายฟ้าที่ฟาดไปมาคือจุดตัดของความฉงนและสงสัย  เราต่างคนต่างเงียบจนน่าอึดอัด

     

              “แมต…. ฉันขอเข้าห้องน้ำหน่อยนะ” เมแกนขัดความเงียบขึ้นในที่สุด ผมพยักหน้าให้เธอเบาๆ ก่อนที่เมแกนจะเดินเข้าไป นาฬิกาลูกตุ้มโบราณเรือนใหญ่ซึ่งตั้งตระหง่านตรงมุมห้องส่งเสียงปนจังหวะของฝนราวกับกำลังบรรเลงเพลงงานศพ เหลือเวลาอีกสามสิบนาทีเราน่าจะออกจากห้องกันได้แล้ว

     

    “แมต!....” เมแกนเรียกผมจากห้องน้ำ เสียงของเธอทุ้มและสะท้อนก้อง “เข้ามาในนี้หน่อยสิ”

     

    “เอ่อ…. ไม่มีทาง!” ผมปฎิเสธ อยู่ๆจะให้เข้าไปห้องน้ำกับผู้หญิงได้ยังไง

     

             “ให้ตายสิฉันไม่ใช่ผู้ชายนะ นายไม่เห็นต้องอายเลย เชย์กับโซอี้ก็เข้ามาด้วยสิ”…. ในที่สุด เราสามคนก็เปิดประตูห้องน้ำเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมแกนซึ่งวางอุปกรณ์แต่งหน้าแบรนด์เนมของเธอเต็มอ่างล้างหน้าผมไปหมด กำลังเธอของสิ่งหนึ่ง

     

    มันคือกิ๊บติดผมลายดอกกุหลาบปริศนานั่นเอง

     

             “นายไปได้ของพวกนี้มาจากไหนเหรอ?” เมแกนชูมันให้ผมดู ผมจึงรับแก้ตัวเป็นพัลวัน “เอ่อไม่ใช่นะ  ฉันไม่ได้มีรสนิยมใช้ของพวกนี้หรอก คือมันอยู่ในห้องนี้ตั้งแต่แรก ก่อนฉันย้ายเข้ามาอีกน่ะฉันไม่ใช่พวกรักสวยรักงามอะไรแบบนั้นหรอก”

     

    “ฉันรู้ว่ามันไม่ใช่ของเธอ เมแกนจ้องกิ๊บนั่นไม่วางตา “มันเป็นของฉัน….

     

    “อะไรนะ?” ผมเอียงคอ “มันจะเป็นของเธอไปได้ยังไง ในเมื่อเธอไม่เคยเข้าห้องนี้มาก่อน?”

     

              “แต่ฉันจำรอยขีดที่ได้มาเพราะเผลอทำตกได้ แล้วเธอจะว่ายังไงเรื่องตัวอักษรนี้?” เมแกนชี้ให้ผมดูลายสลักด้วยสีเล็กๆ ที่เขียนเป็นตัวอักษรยึกยือว่า “เมแกน” ตรงกลีบกุหลายพลาสติกที่ยื่นออกมา ซึ่งนั่นยิ่งทำให้ผมงุนงงเข้าไปใหญ่

     

              “เฮ้ หวีสีชมพูอันนั้นก็ของฉันนี่นา” โซอี้ตรงเข้าไปหยิบหวีที่ผมยัดเก็บตรงตระกร้าเล็กๆหน้ากระจก “นี่ไง ลายเอเรียล เงือกน้อยที่ฉันใช้มาตั้งแต่อายุสิบสี่ ฉันคิดว่าให้คนอื่นไปแล้วเสียอีก

     

              “แม็กกี้!!” เชย์อุทานเสียงดังเป็นชื่อคน แต่อันที่จริงแล้วเธอไม่ได้หมายถึงคน เธอหมายถึงตุ๊กตากระต่ายที่ฝุ่นจับตัวนั้นต่างหาก“ตุ๊กตาของฉัน!!”  เชย์หยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่น แล้วกอดมันไว้แน่นแบบที่เธอชอบทำกับมันเสมอ

     

             “เดี๋ยวๆๆ ฉันงงไปหมดแล้ว อยู่ๆของพวกนี้ ก็บังเอิญมาอยู่ในห้องน้ำของฉัน ก่อนที่ฉันจะย้ายมาอีกเหรอ?” ผมพยายามจะหาคำตอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น “แน่ใจนะว่าพวกเธอไม่เคยเข้ามาในห้องนี้มาก่อน

     

              “ฉันสาบาน! วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเราเหยียบเข้ามาในตึกนี้ นอกจากที่ฉันเคยเห็นในข่าวตอนเกิดเหตุฆาตกรรมแปดศพเอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนนะ ห้องนี้หรือเปล่าที่ฉันเห็นในหนังสือพิมพ์น่ะ!” โซอี้ และสองสาว มองไปยังหน้าต่าง แล้วพวกเธอก็เริ่มจะรู้ตัวว่ากำลังยืนอยู่ในอดีตสถานที่เกิดเหตุฆาตกรรม

     

    “อย่าเพิ่งนอกเรื่องสิ! จู่ๆสิ่งของพวกนี้ของเธอจะลอยมาตั้งอยู่ในของน้ำของฉันไม่ได้นะ!?”

     

    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน?... “ เชย์มองตุ๊กตาของเธอ

     

    “เอาแบบนี้ ครั้งล่าสุดที่พวกเธอเห็นของพวกนี้คือตอนไหน? จำได้ไหม?” ผมถาม

     

              “กิ๊บอันนี้น่ะเหรอ“เมแกนหลับตา พยายามทวนความจำ “ฉันจำได้ว่าฉันชอบกิ๊บอันนี้มาก ปกติของที่ฉันทำหล่น ต่อให้มีรอยขีดข่วนแม้แต่นิด ฉันก็ไม่เก็บไว้หรอก แต่ฉันชอบเฉดสีชมพูของกุหลาบ ก็เลยกะจะใช้ติดไว้ตลอดเวลาเลย แต่ว่า….. อ๋อ! จำได้แล้ว แต่ว่าเอ็มมิลี่เห็นกิ๊บอันนั้นแล้วชอบมัน เธอก็เลยขอของฉันไปใช้น่ะ ตอนแรกฉันก็ไม่ยอม แต่เอ็มยอมแลกมันกับสร้อยล็อกเก็ตของเธอ ฉันก็เลยให้เอ็มไป”

     

              “ของฉันก็เหมือนกัน รู้สึกว่าคืนนั้นเอ็มจะมาค้างบ้านฉัน แล้วเธอก็เผลอหยิบหวีของฉันไปใช้ พอเธอรู้ตัวว่าลืมเอามาคืน ฉันก็บอกว่าฉันไม่ใช้มันแล้ว ก็เลยยกให้เอ็มไปน่ะ” โซอี้พยักหน้าเพื่อแสดงความแน่ใจกับความทรงจำของเธอ

     

    “ตุ๊กตาตัวนี้“ เชย์เงยหน้า “ฉันก็ให้เอ็มเป็นของขวัญเหมือนกันนี่นาลืมเสียสนิทเลย”

     

    “งั้นก็แสดงว่า พวกเธอไม่ได้ทำมันหายใช่ไหม แค่ยกมันให้เพื่อนเธอหมดเลย งั้นของพวกนี้ก็แค่….

     

    แต่เดียวก่อนสิ

    งั้นก็หมายความว่า ของทุกอย่าง

    ที่ยังหลงเหลืออยู่ในห้องนี้

    ก่อนที่ผมจะย้ายมา……

     

     

    “เป็นของเอ็มมิลี่ที่หายตัวไป!!?”


    -------------------------------------------------------------
    ติดตามตอนต่อไป


     

     
     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×