ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Dark Tales นิทานก่อนตาย

    ลำดับตอนที่ #9 : กักบริเวณชั่วโมงที่ 2 :: อย่าไว้ใจหนูน้อยหมวกแดง

    • อัปเดตล่าสุด 19 ส.ค. 55



              คุณคงเคยได้ยินสำนวน “หนีเสือ ปะจระเข้” ตามที่ผมเข้าใจ มันหมายความว่า หนีภัยอันตรายอย่างหนึ่ง มาเจอกับภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่ง  ผมเองก็ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับสำนวนนี้บ่อยๆ อย่างเช่นตอนที่ผมกำลังวิ่งหนีจากเหล่าทาสไร้สมองของเกล มาเจอกับเจนเซ่นที่เพิ่งจะแข่งกีฬาชนะ ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ผมก็ต้องกลายเป็นตุ๊กตาโดนอัดฉลองเนื่องในโอกาสที่เขาชนะเลิศแข่งขันบาสเก็ตบอล
     
            สำหรับสถานการณ์ตอนนี้ก็พูดได้ว่าเป็นการ “หนีเสือ ปะจระเข้” เช่นกัน ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ หนีจากแม่มด มาเจอเหล่าเพื่อนๆผู้ซึ่งถูกสั่งให้หมายหัวผมเอาไว้? คุณว่าผมควรจะเลือกไปทางไหนดี?
     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


    “นี่หมายความว่าไง?” เสียงของเรสซ์ดังผ่านกระจกเข้ามาในห้องลับ
     
         “หมายความว่าเราต้อง....ฆ่า....ฟิตซ์   ภายในสิบนาที ถ้าไม่อย่างนั้น พ่อแม่ของพวกเราก็จะ.....” ลีออนทำท่าเหมือนมีคำพูดจุกอยู่ที่ลำคอ ผมพยายามดูสีหน้าของเขา เขาคิดอะไรอยู่?
     
              “ไม่!... ไม่มีทาง แม่มดจะให้เราฆ่ากันเองไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ไม่มีใครรอด! เธอไม่ยอมปล่อยพ่อแม่เราง่ายๆแน่!” ลิลลี่พูด
     
              “ยังไงก็ตาม เราต้องหาเขาให้เจอก่อน” แม้แต่เจนเซ่นยังมีท่าทีกระวนกระวาย แล้วที่บอกให้ตามผมให้เจอนี่... เขาจะทำอะไรผมกันเมื่อเขาเจอแล้ว?
     


    จะออกไปดีไหม?
     


              ผมยืนลังเลอยู่หน้าประตู จริงอยู่ที่ว่าแม่มดเอาพ่อกับแม่พวกเขาเป็นตัวประกัน แต่พวกเขาจะฆ่าเพื่อนได้ลงคอเชียวหรือ?...   มาคิดอีกที ระหว่างคนในครอบครัวอันเป็นที่รัก กับเพื่อนไม่เอาไหนอย่างผม เป็นใคร ก็ต้องเลือกครอบครัวไว้ก่อนอยู่แล้ว!... ถ้าผมออกไปตอนนี้ ก็มีสิทธิที่พวกเขาจะรีบกรูเข้ามาบีบคอผม แต่ถ้าผมเอาแต่ซ่อนตัวจนเวลาหมด พ่อแม่ของพวกเขาก็จะตาย!... ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเขาต้องแค้นผม แล้วกลับมาฆ่าผมอยู่ดี... ผมไม่มีทางเลือก ผมต้องทำในสิ่งที่เพื่อนต้องทำ นั่นก็คือ “การไว้ใจ” ผมต้องออกไป! เอาล่ะนะ!!.... 
     



    แอ๊ดดดด......
     
              เสียงประตูค่อยๆแง้มออกดังขึ้น ทำให้พวกเขาสะดุ้งอย่างแรงก่อนจะรีบถอยห่างจากประตู ต่างคนต่างตกใจและคอยจ้องมองสิ่งที่จะออกมา แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าเป็นผม สีหน้าพวกเขากลับซีดขาวเป็นทวีคูณ..
     
    “ฟิตซ์!!... นาย... เอ่อ” ลีออนท่าทางละล่ำละลักเหมือนพูดไม่ถูก
     
               ความกดดันก่อตัวขึ้นในห้องอย่างเห็นได้ชัด ทุกคนพยายามซ่อนโทรศัพท์และข้อความของตัวเองไว้ข้างหลัง
     
            “เยี่ยมไปเลย! นายยังปลอดภัย!! คือเอ่อ เรากำลัง... สำรวจตึกอยู่น่ะ นายรีบมากับพวกเราสิ”   เจนเซ่นพยายามแสร้งทำเป็นดีใจจนออกนอกหน้าไปหน่อย ในขณะที่คนอื่นมองดูนาฬิกาติดผนังเป็นระยะๆ ผ่านไปแล้วสองนาที! เหลือแค่แปดนาทีเท่านั้น!... แบบนี้ยิ่งกดดันพวกเขามากยิ่งขึ้น ทุกอย่างเงียบเสียจนเหมือนผมจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้นไปมาอย่างเร็ว
     
         “ฉัน..... พลาดอะไรไปหรือเปล่า?” ผมถาม.. ทุกคนพยายามส่ายหน้า บรรยากาศตอนนี้เป็นอะไรที่ไม่น่าไว้ใจสุดๆ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะไว้ใจพวกเขา ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็ ทุกคนคงจะต้องเป็นนักแสดงที่แสดงตามบทได้แข็งที่อมากๆ
     
        ถ้าถามผมตอนนี้ละก็ เจนเซ่นคือคนที่ไม่น่าไว้ใจมากที่สุด เพราะเขาพยายามกลบเกลื่อนทุกอย่าง แถมตอนนี้ยังจ้องหน้าผมด้วยสายตาอำมหิต แบบเดียวกับที่เขาทำตอนเขาจะแกล้งผมเปี๊ยบเลย!...
     
        “ยังไงก็ตาม... ในเมื่อเราเจอฟิตซ์แล้ว ฉันจะแบ่งกลุ่มพวกเราให้ไปสำรวจตึกสองกลุ่ม... กลุ่มแรก ลีออน ลิลลี่ และเรสซ์ พวกเธอไปสำรวจชั้น 2 ส่วนนาย...มากับฉัน เราจะไปสำรวจชั้นนี้ให้ทั่ว ตกลงตามนี้นะ!...”
     
              ไม่มีทาง!! ไปกับนายเนี่ยนะ? ฉันตายหยังเขียดแหงๆ! นี่ไม่คิดเลยเหรอว่าแผนนายมันดูชัดเจนเกินไปหน่อยน่ะ? ผมรีบปฏิเสธเขาทันควันแล้วบอกขอไปกับลีออนดีกว่า.... ตอนแรกเขาอ้างว่าคนอ่อนแออย่างผมต้องไปกับคนที่พึ่งพาได้อย่างเขาสิ!... แต่ลิลลี่ก็ช่วยผมโดยการบอกให้เจนเซ่นมาปกป้องพวกผู้หญิงดีกว่า พวกผู้ชายเขาดูแลตัวเองกันได้ เขาจึงเออออ ยอมอย่างไม่เต็มใจ
     
              “ถ้าอย่างนั้น พวกนายก็ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”  เจนเซ่นมองผมไม่วางตาแม้กระทั้งตอนที่เขาเดินออกจากห้องไปแล้วก็ตาม ความรู้สึกร้อนรุ่มปะทุอยู่ในอก... ผมจะทำยังไงดี? เหลืออีกแค่เจ็ดนาทีเท่านั่นเอง!!...
     
        “เราลองไปดูที่ประตูทางเข้าตึกอีกทีดีไหม? เราอาจจะหาวิธีงัดมันออกก็ได้นะ?!” ผมเสนอ ลีออนพยักหน้าเบาๆ ก่อนเราจะออกจากห้องเรียนไป... ระหว่างเดินผมมองดูไปรอบๆ โรงเรียนในตอนกลางคืนช่างเงียบสงัดและน่าขนลุก!... เงียบเสียจนกระทั้งผมได้ยินเสียงฝีเท้าตนเองดังก้องไปทั่ว นอกจากนั้นก็ยังมีเสียง....
     

    เสียงอะไรน่ะ?
     
              เป็นเสียงที่แปลก คล้ายกับเสียงเครื่องจักรกำลังทำงาน?.... พอมาคิดให้ดีๆแล้ว ผมได้ยินเสียงนี้ตั้งแต่ตอนที่โดนกักบริเวณแล้ว ทุกครั้งที่เราเงียบ ผมก็จะเริ่มได้ยินเสียง เพียงแต่เสียงครั้งนี้ดังกว่าครั้งก่อนหน่อยนึง เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องแปลกๆที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้
     
              เราเดินมาถึงประตูตึกเรียน ซึ่งเป็นประตูกระจกแบบผลักบานใหญ่มากตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า ดูแล้วเหมือนจะผลักออกมาอย่างง่ายดาย แต่มันล็อค แถมกระจกนี่ก็ยังเป็นกระจกกันกระสุนอีก! สังเกตได้จากร่องรอยของการพยายามเอาของมาทุบกระจก แต่ไร้ผล พวกเจนเซ่นคงเคยลองไปแล้ว.... มองผมหน้าลีออนที่กำลังทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ผมรู้สึกเบาใจลง เพราะทุกครั้งที่เขาทำท่าแบบนี้ เขามักจะคิดหาทางออกให้เราได้เสมอ ผมยืนรอเขาอยู่สักพักก่อนจะมองนาฬิกาลูกตุ้มอันใหญ่ที่ตั้งอยู่ข้างทางเดิน เหลือเวลาอีกแค่ห้านาที.... ผมขอภาวนาอย่าให้เจนเซ่นแอบลงมาดักซุ่มฆ่าผมก่อนที่จะหมดเวลาด้วยเถอะ!!
     


    "ฉันคิดออกแล้ว!!"
     
               ลีออนโพล่งขึ้นมา เยี่ยม! ถ้าเขาทำท่าแบบนี้ละก็ เรามีทางออกดีๆชัวร์! ลีออนรีบบอกให้ผมตามเขาไปด้วยท่าทางเร่งรีบ เราทั้งคู่วิ่งผ่านห้องโถง ผ่านห้องเรียน ล็อกเกอร์ ห้องน้ำ ห้องพักครู ท้ายที่สุดก็มาหยุดอยู่หน้าห้องเรียนห้องหนึ่ง... ผมหอบอย่างรุนแรงด้วยความเหนื่อย.. เมื่อกี๊ไม่รู้ผมตาฝาดไปเอง หรือผมเห็นหน้าเจนเซ่นแอบอยู่ตรงบันไดแวบๆ... ขอให้อย่าใช่เขาเลย!...
     

     
    “ห้องแล็ป”
     


    ผมอ่านป้ายที่ติดอยู่หน้าห้อง “ห้องแล็ป” เหรอ? เราจะมาที่นี่ทำไม?
     
              ลีออนหยิบอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋า ในความมืดผมเห็นว่ามันคือกุญแจ.. นี่ทำไมเขาถึงได้มีกุญเจห้องแล็ปล่ะ?
     
              “ฉัน... ชอบมาทดลองอะไรหลายอย่างในห้องนี้นอกเวลาเรียนบ่อยๆนะ ครูเลยให้กุญแจมา” เขาอธิบายระหว่างไขกุญเจเข้าห้อง      อ๋อ... สิทธิพิเศษของเด็กเรียนอัจฉริยะสินะ...   
     
               เขารีบเปิดประตูดังปังก่อนจะวิ่งเข้าไปเปิดไฟ ทั่วทั้งห้องสว่างพรึ่บ เผยให้เห็นห้องเรียนที่มีโต๊ะใหญ่ๆ เรียงกันหกถึงเจ็ดโต๊ะสองแถว แต่ละโต๊ะมีอ่างล้างมืออยู่ในตัว ผมจำได้ว่าเวลาปกติ เราจะเอาอุปกรณ์ทดลอง และสารเคมีต่างๆออกมาจากตู้ซึ่งตั้งอยู่ตรงมุมห้อง และจำได้ด้วยว่าครูผู้สอนวิชาเคมีโหดขนาดไหน เขาไม่ยอมให้เด็กเเตะสารเคมีใดๆทั้งสิ้น ถ้าไม่ถึงเวลาสอบจริงๆ เวลาเรียนปกติเขาแค่ทำให้นักเรียนดูอย่างเดียว ด้วยเหตุนั้นเกรดวิชาเคมีของนักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยดี ยกเว้นเกรดของพวกนักเรียนหลังห้อง(ซึ่งไม่ใช่ผม)
     
              ลีออนใช้กุญแจไขตู้ที่เก็บสารเคมีออกมา ในขณะเดียวกัน ผมล็อกประตูห้องเพื่อความปลอดภัยอย่างหวาดระแวง
     


    เหลืออีกแค่สองนาทีเท่านั้น....
     


              ในที่สุดลีออนก็เจอสิ่งที่เขาหา เขาหยิบกระปุกซึ่งใส่สารบางอย่างออกมาหกถึงเจ็ดกระปุก เขารีบนำมันมาวางบนโต๊ะก่อนจะนับเพื่อความแน่ใจ ผมถามเขาว่านั่นคืออะไร แม้ตาจะเห็นป้ายฉลากที่คิดอยู่แล้วก็ตาม
     
    กรดซัลฟิวริก
     

    ผมมองของเหลวสีใสก่อนจะคิดอยู่พักนึง
     
              “อ๋อ เข้าใจแล้ว!! นายจะเอากรดนี่มาละลายประตูเหล็กหรือไม่ก็กระจกอะไรประมาณนั้นใช่หรือเปล่า”    ผมถาม   แหม สมแล้วที่เขาเป็นอัจฉริยะ ถ้าเอากรดนี่ไปราดประตูหลายๆกระปุกละก็ มันต้องมีกร่อนกันบ้างเหละน่า หรือประตูอาจจะใหญ่ไป ถ้าเอาไปละลายหน้าต่างละก็....
     
    “เปล่าหรอก” ลีออนปฏิเสธ เขาหยิบกรดซัลฟิวริกขึ้นมาให้ผมดูขวดนึง “ต่อให้เราเอากรดนี่ไปละลายประตูหรือหน้าต่างยังไง มันก็ไม่มีทางละลายหรอก เพราะมวลมันเยอะ สิ่งที่ฉันจะเอาไปละลายนะ มันง่ายกว่ามากเลยทีเดียว”
     
    “อะไรล่ะ?” ผมเอียงคอถามด้วยความสงสัย
     
     
     
     





    “นายไง….” 
     
             "หือ..." ผมมองหน้าลีออน.... พยายามทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อกี้ อะไรนะ?!... ผมเหรอ... เขาจะเอากรดมาละลายผมทำไ.......   โอ.... ไม่นะ!!  พระเจ้า!!!! ซวยแล้วไง!!!!
     
              สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป จากที่เคยเย็นชาและไม่แสดงอารมณ์ ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความมืดมนและอำมหิต ท่าทางเขาเปลี่ยนไปโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว สัญชาตญาณบอกให้ผมรีบหลบ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เขาขว้างกระปุกที่อยู่ในมือใส่ผม แต่เขาพลาด กระปุกกระเด็นไปโดนโต๊ะทดลอง เสียงกรดที่ระเบิดออกมากัดกร่อนไม้ดัง ฉี่........ เหมือนเสียงตอนที่คุณกำลังทอดไข่ เพียงแต่คราวนี้ผมกำลังจะเป็นไข่ฟองนั้นเอง  น่าขนลุก!  ผมมองเขา
     
              “นายต้องตาย!! เหลืออีกแค่นาทีเดียวเท่านั่น!!” ลีออนขว้างกรดอีกกระปุกอย่างบ้าคลั่ง! กระปุกนั้นเฉียดหัวผมไปนิดเดียว แต่เศษน้ำกรดที่กระเด็นโดนผิวหนังเพียงหยดเดียวก็ทำให้ผมรู้สึกแสบร้อนราวกับโดนไฟลวก นี่มันไม่มีเหตุผลเลย อยู่ๆทำไมเขาถึงได้เปลี่ยนไปแบบกะทันกันอย่างนี้? เหมือนตอนของเกล.. จู่ๆเธอก็บ้าคลั่งขึ้นมา... หรือนี่เป็นคำสาปของแม่มด?
     
               “ลี... ลีออน เดี๋ยวก่อนสิ!! ...ใจเย็...”  ไม่ทันที่ผมจะพูดจบเขาก็ขว้างกระปุกต่อมาอีกครั้ง ผมรีบคลานเข้าไปหลบหลังโต๊ะทดลอง คราวนี้น้ำกรดกระจายมาโดนแขนเสื้อผมจนเป็นรู มันทะลุลงมาโดนแผลที่แม่มดแทงในห้องสมุดด้วย ผมกรีดร้องเสียงดัง พยามหลบจากโต๊ะนึงไปอีกโต๊ะนึง
     
    “ได้โปรด!! รีบๆตายเถอะ เพื่อพ่อกับแม่!!” เสียงทุ้มตวาดดัง ท่าทางเดินของลีออนดูแปลกไป เขาขว้างมันมาอีกกระปุกตอนที่ผมรีบย้ายไปหลบตรงโต๊ะอีกแถว เขาเสียสติไปแล้ว!!  ตอนนี้ผมอยู่ห่างจากประตูเพียงไม่กี่คืบ ทำยังไงดี?!!... จะวิ่งออกไปเลยดีไหม?
     



    “ฟิตซ์!!! นายเป็นอะไร!!”
     
              เสียงของใครบางคนดังมาจากนอกห้อง!.... เจนเซ่น!! เขากำลังทุบประตูอย่างแรง เขามาช่วยผมเหรอ?!!

    “ฟิตซ์! เปิดประตูสิ!!” 
     
              ผมรีบวิ่งออกไปยังประตู มือเอื้อมไปหมายจะปลดล็อค แต่ลีออนขว้างกรดมาอีกอันโดนประตูห้องเต็มๆ น้ำกรดกระเด็นมาโดนผมอีกครั้ง โชคดีที่ไม่โดนใบหน้า
     

    “เจนเซ่น!! เหลืออีกแค่ยี่สิบวิแล้ว!! นายหยุดอยู่ตรงนั้นเหละ!! ฉันจะช่วยพ่อกับแม่!!”
     

    "ไม่!!!"  ผมร้อง “ได้โปรด หยุดเถอะ!!” หัวใจกำลังสั่นระรัว ขาทั้งสองข้างรีบวิ่งไปปลดล็อกอย่างรวดเร็ว ก่อนที่อีกขวดจะมาโดนผมอีกครั้ง
     
              เจนเซ่นกระแทกประตูเข้ามาอย่างแรง! ผมได้โอกาสจึงรีบกระโดดเข้าไปผลักให้เขาออกจากประตูจนเราทั้งคู่ล้มลง น้ำกรดลอยผ่านออกจากประตูไปโดนผนัง...

              “ปิดประตู!” เจนเซ่นตะโกน เราทั้งคู่รีบลุกขึ้นไปปิดบานประตูอย่างรวดเร็ว เราปิดมันลงเพียงเสี้ยววินาทีเดียวก่อนที่ขาของลีออนจะก้าวออกมาจากห้อง เขาพยายามดันออกมาพร้อมกับตะโกนเสียงดัง ฟังไม่ได้ศัพท์ เขากรีดร้องดังขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ผมกับเจนเซ่นใช้หลังดันประตูอยู่นานก่อนเสียงของลีออนจะเงียบลง แต่เราก็ยังดันอยู่อย่างนั้น นานมากทีเดียว เราเลยเวลาที่แม่มดกำหนดแล้ว!! ผมยังไม่ตาย... นั่นหมายความว่า.... ไม่... 
     


    “บอกแล้ว...ว่าให้มากับฉันตั้งแต่แรก...”
     
              ผมมองหน้าเจนเซ่น สีหน้าเขาดูนิ่งสงบ เหมือนคิดอะไรอยู่... เขาช่วยชีวิตผม... ตอนแรกผมคิดว่าเขาจะฆ่าผมด้วยซ้ำ นี่ทำให้ผมหวนคิดถึงข้อความที่แม่มดส่ง... หนูน้อยหมวกแดง... ผมรู้ว่าคุณต้องเคยฟังนิทานคลาสสิกเรื่องนี้แน่ ท้ายที่สุด ข้อคิดที่เราได้จากนิทานเรื่องนี้คือ อย่าไว้ใจใคร... เหมือนหนูน้อยหมวกแดงที่พยายามไม่ไว้ใจหมาป่าตอนที่มันหลอกล่อเธอด้วยวิธีต่างๆนาๆ... เหมือนผมที่ต้องระวังตัวให้มากกว่านี้ตอนที่สังเกตว่าลีออนมีอาการแปลกๆไปตั้งแต่สิบนาทีก่อน...
     

    “พวกนาย... โอเคมั้ย!!?” เรสซ์กับลิลลี่วิ่งลงมา “พวกเราได้ยินเสียงร้องน่ะ!”
     
    “เจ้าบ้า ลีออนเกิดคลั่งขึ้นมาน่ะสิ!” เจนเซ่นอธิบาย
     
    “แล้วลีออนโอเคไหม?” ลิลลี่ถาม
     
              “ไม่รู้เหมือนกัน....” ผมเงียบ พยายามฟังเสียงข้างใน ดูเหมือนลีออนจะสงบลงแล้ว บางทีน้ำกรดของเขาอาจหมดแล้ว อย่างไรก็ตามผมกับเจนเซ่นมองหน้ากันแล้วตัดสินใจที่จะเปิดประตู ผมผายมือเป็นสัญญาณบอกให้ลิลลี่กับเรสซ์หลีกไป เราค่อยๆแง้มประตูออก แสงไฟในห้องสาดส่องออกมาทำให้ผมแสบตาแปปนึงก่อนที่สายตาจะเริ่มปรับโฟกัสให้ชัด เผยให้เห็นร่างของลีออนนอนอยู่...
     
    ร่างของลีออน...
     
              เปื้อนไปด้วยเลือดและเศษเนื้อที่เปื่อยหลุดลุ่ยออกมา เขาโดนน้ำกรด...และที่ปากเขา.... มีมีดทำครัวเล่มยาวปักทะลุไปถึงหลังคอ... แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือผ้าคลุมสีแดง ใครบางคนนำฮู๊ดสีแดงมาสวมให้เขา คล้ายกับ “หนูน้อยหมวกแดง....”  โลหิตสีแดงผสมไปกับน้ำกรดกระจายไปทั่วพื้น ไม่ช้าเสียงโทรศัพท์ก็สั่นเตือน ข้อความใหม่ถูกส่ง!....
     
              ลิลลี่กับเรสซ์กรีดร้องและเบือนหน้าไปทางอื่น ส่วนผมกับเจนเซ่นมองดูข้อความที่เพิ่งได้รับ..
     


    อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจคน
    หนูน้อยหมวกแดงผู้น่าสงสาร
    ความฉลาดก็ไม่อาจช่วยให้เขารู้ได้เลย
    ว่าใครกันแน่ที่เป็นหมาป่าตัวจริง...
    ฉันไงจ๊ะ!!  ฮิๆ  
     
    ป.ล. ถึงเจ้าหนูคนนั้นจะไม่ตาย แต่คนนี้ก็พอทดแทนได้
    แม่มดใจดีคนนี้จึงอนุโลมให้ พ่อแม่เธอยังคงปลอดภัย(แค่ตอนนี้)
    ฉันเปิดประตูตึกให้แล้ว รีบๆออกไปซะนะจ๊ะ จุ๊บๆ!
    รัก -จากหมาป่าแสนสวย

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -
    ติดตามตอนต่อไป





    KiT Ta
    ขอขอบคุณธีมสวยๆจากคุณ
    THE'KITTA .ด้วยครับ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×