คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 8 :: จอมโจรนางฟ้าแมนทั้งแท่ง
“มันคืออะไร? อะไรคือผู้ใช้บัค?” ผมถาม ยังคงรู้สึกวิงเวียนจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เหมือนมีใครสักคนเอาระฆังมาครอบหัวแล้วรุมตีให้เกิดเสียงก้องเป็นสิบๆ ครั้ง ผมแทบจะเห็นดาวเวียนอยู่รอบหัวเลยด้วยซ้ำ
“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ?” หญิงสาวถาม เอียงหน้าไปด้านหนึ่ง เหมือนกำลังคิดว่าจะไว้ใจผมดีหรือไม่
“มันคืออะไรล่ะ?” ผมถามซ้ำ ต้องการคำตอบอย่างเร่งด่วน นี่ไม่ใช่เรื่องปกติ ไม่เคยมีเรื่องบ้าๆ แบบนี้อยู่ในเรื่องที่พ่อเคยเล่า ต่อให้เป็นโลกออนไลน์ การหายตัวจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งดูจะเป็นของแปลก ผมรู้ว่าการหายตัวก็คงเหมือนเวทมนตร์หรือพลังจากโทเทมอะไรทำนองนั้น แต่พลังพวกนี้มักจะอิงจากธาตุที่คนนั้นสังกัดเช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า และอีกมากมาย การหายตัวดูจะไม่ใช่พลังที่สังกัดอยู่ในธาตุไหนเลย
“เจ้าบอกว่าเจ้าเพิ่งมาถึงโลกแห่งนี้ใช่หรือเปล่า?” ผมพยักหน้า ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจึงเอาแต่ถามแทนที่จะตอบผม
“นี่เป็นเรื่องปกติเหรอ? เคยมีคนทำแบบฉันได้ใช่ไหม?” ผมนึกย้อน สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อครู่ มันเหมือนผมแตกกระจายเป็นข้อมูล แล้วจากนั้นก็มาโผล่ ณ อีกจุดหนึ่ง ไม่น่าจะใช่แค่การเดินทะลุสิ่งของหรืออะไรแบบนั้น มันเหมือนผมหายตัวมาอยู่ตรงนี้เลยมากกว่า
หญิงสาวกลับไปครุ่นคิดอะไรบางอย่างอีกครั้ง ดูท่าจะคิดหนักเลยทีเดียว ในขณะที่นักโทษอีกสองคนพากันถกเถียงอยู่ว่าผมหายตัวออกมาได้อย่างไร คนนึงบอกเป็นความสามารถของโทเทมผมแน่ๆ อีกคนบอกว่าผมก็แค่สะเดาะกลอนเก่งเท่านั้น ลมพัดหวีดหวิวเวียนขึ้นมาตามบันไดเรื่อยๆ จนมาสุดที่ชั้นบน ผมรู้สึกได้ถึงแรงลมนั่น เป็นหลักฐานว่าผมยังมีชีวิต
“เอาล่ะ” เธอเอ่ยขึ้นในที่สุด “เจ้าคงเพิ่งถูกพวกยูนิตี้จับตัวมา แล้วถูกบังคับให้เข้ามายังโลกแห่งนี้ใช่ไหม เจ้าเพิ่งมาถึงที่โลกออนไลน์งั้นใช่ไหม? ตอบข้ามาให้ชัดเจน”
ผมจะอ้าปากตอบแต่แล้วก็หยุด ผมประมวลคำถามของเธอใหม่ เธอกำลังถามว่าผมถูกพวกยูนิตี้จับให้ใส่หมวกโพรงกระต่ายหรือเปล่า? ซึ่งคำตอบคือไม่ ผมเป็นไวรัสที่ถูกส่งมาทำลายโลกนี้ต่างหาก แต่ผมควรจะบอกเธอเหรอ? ไม่ใช่เรื่องดีแน่ถ้าผมเปิดเผยทุกอย่างให้เธอรู้ แต่ดูเหมือนเธอจะเป็นคนที่รู้อะไรดีๆ หลายอย่าง อาจมีบางอย่างที่ช่วยผมได้ ผมตัดสินใจว่าจะบอกความจริงแค่ครึ่งเดียว แค่เรื่องที่ผมเพิ่งมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก ผมเล่าให้เธอฟัง และเธอก็ตั้งใจ
“ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ” หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ กับตัวเอง ในขณะที่นักโทษอีกสองคนเริ่มเกิดอาการสับสน พวกเขาไม่เข้าใจว่าเราพูดเรื่องอะไรกัน โดยเฉพาะเรื่องที่เราพูดว่า ‘ถูกส่งมาจากอีกโลก’ ทำให้ผมนึกถึงตัวเองตอนที่พ่อเล่าเรื่องโลกออนไลน์ให้ฟังครั้งแรก อย่างเดียวที่ผมคิดอยู่ตลอดในตอนนั้นคือพ่อเล่านิทานได้เก่งดี แต่หมกมุ่นกับมันมากไปหน่อยจนเพี้ยน หลงคิดว่าโลกมหัศจรรย์มีอยู่จริง แล้วดูสิ ตอนนี้ใครกันแน่ที่กลายเป็นไอ้เพี้ยน
“เข้ามาใกล้ๆ ซิ” เธอกล่าวสั้นๆ มองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง ผมเดินไปหาแล้วโน้มหัวเข้าใกล้ลูกกรง หญิงสาวเริ่มกระซิบราวกับว่ามันสำคัญมาก “มีเวลาไม่มาก แต่มีเรื่องที่เจ้าต้องรู้อยู่สองเรื่อง เรื่องแรก มีน้อยคนนักในโลกออนไลน์ที่ยังคงจำได้ว่าโลกแห่งความจริงมีตัวตน พวกยูนิตี้ดัดแปลงความทรงจำของทุกคน มีเพียงบางคนเท่านั้นที่มีภูมิต้านทาน ยังคงจำทุกเรื่องได้อยู่ หนึ่งในนั้นคือข้า และเจ้า”
“หมายความว่ายังไง ดัดแปลงความทรงจำ? เธอหมายถึง…”
“อย่าเพิ่งใจร้อนไป ฟังที่ข้าจะพูดให้จบก่อน” เธอเตือน เอานิ้วชี้เตะริมฝีปาก แอบเหลือบมองไปที่นักโทษอีกสองคนซึ่งกำลังเขย่งเท้ามองดูเราอย่างสนใจใคร่รู้ “เรื่องที่สอง สิ่งที่เจ้าเพิ่งทำไป มันไม่ปกติ มันโคตรจะไม่ใช่สิ่งปกติ! ข้าเคยเห็นสภาพแบบนั้นมาก่อน เราเรียกคนแบบพวกเจ้าว่า ‘กลิชเชอร์’ หรือ ‘ผู้ใช้บัค’ บนโลกนี้เคยมีผู้ใช้บัคเพียงหกคน และหกคนนั้นทำงานให้พวกชั่วที่กำลังครอบครองโลกของเราอยู่ แล้วตอนนี้เจ้าก็เป็นคนที่เจ็ด ฉะนั้นจงบอกข้ามา เจ้าคิดจะเป็นหนึ่งในพวกที่อยากครอบครองโลกใบนี้หรือไม่?”
“ไม่” ผมตอบตามความเป็นจริง น้ำเสียงหนักแน่น ผมไม่ได้จะครอบครอง ผมจะทำลายต่างหาก
“งั้นก็ดี ข้าจะถือว่าเราอยู่ทีมเดียวกัน” เธอพยักหน้าให้ก่อนจะเสริมว่า “แค่ตอนนี้เท่านั้นหรอกนะ”
“แล้วจะเป็นยังไง? ไอ้ ‘ผู้ใช้บัค’ น่ะ ฉันหมายถึง… ฉันจะตายมั้ย? มันมีผลข้างเคียงอะไรที่ฉันต้องเป็นห่วงหรือเปล่า?” ผมเอามือคลำตามตัวอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้มีร่างกายส่วนไหนที่รวมตัวกันผิดที่ผิดทาง อย่างเช่นรูสะดือไปอยู่ที่แขน หรือนิ้วเท้ามาอยู่บนหัว ที่แน่ๆ ผมไม่อยากให้รักแร้ไปอยู่ใกล้จมูก มันโหดร้ายเกินไป
“เท่าที่ข้ารู้ ผู้ใช้บัคจะไม่สามารถใช้สกิลหรือมีโทเทมเหมือนคนปกติทั่วไป โอกาสที่ใครสักคนจะกลายเป็นผู้ใช้บัคมีเป็นหนึ่งในสิบล้าน ไม่สิ… ร้อยล้านเลยด้วยซ้ำ มันเกิดจากความผิดปกติของระบบ ที่บังเอิญทำให้บางคนที่เข้ามาในโลกนี้ครั้งแรกสามารถใช้พลังอะไรบางอย่างที่อยู่เหนือระบบหรือกฎระเบียบทั่วไปได้ และต่อให้ไม่มีสกิลหรือโทเทม พลังบัคอย่างเดียวก็มากพอที่จะครอบครองโลกนี้ทั้งใบ แบบที่พวกผู้ใช้บัคทั้งหกกำลังทำอยู่ตอนนี้… เพราะพลังนั่นคือการมีอภิสิทธิ์ควบคุมระบบบางอย่างของเกมได้”
“ว้าว” ผมเผลออุทาน ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือกังวลมากกว่ากัน “เธอหมายถึง มีอีกหกคนที่หายตัวแบบฉันได้งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่” เธอปฎิเสธพลางจิกตาใส่พวกนักโทษทั้งสองเป็นสัญญาณบอกให้พวกนั้นอย่าเข้ามาสอดรู้ “ผู้ใช้บัคจะมีความสามารถที่ต่างกันออกไป แต่เท่าที่ข้าบอกได้ หนึ่งในนั้นมีความสามารถในการควบคุมความทรงจำของคนในเกม และนั่นคือสาเหตุที่ทุกคนลืมทุกอย่างเกี่ยวกับโลกแห่งความจริงจนหมด ส่วนใครก็ตามที่มีภูมิต้านทาน จะโดนสั่งเก็บไม่เหลือ”
“ว้าว” ผมร้องเบาๆ อีกรอบ พยายามจะสรรหาคำพูดที่อธิบายความรู้สึกแต่แล้วก็ต้องยอมแพ้ คุณรู้ไหมว่าชีวิตมนุษย์มีเรื่องผิดปกติอยู่หลายอย่าง การโดนสอยโดยหมาป่าในเมืองร้างถือเป็นเรื่องปกติ การที่มีพ่อกับแม่เป็นอัจฉริยะถือเป็นเรื่องปกติ การที่โลกถูกยึดก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่การที่คุณหายตัวได้ในโลกออนไลน์ไม่ถือเป็นเรื่องปกติเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าคุณเป็นคนเดียวที่ทำเช่นนั้นได้
“ว้าวพอหรือยังล่ะ เจ้าเตี้ย เพราะข้าไม่อยากเสียเวลามาเล่าเรื่องประวัติศาสตร์ชวนง่วงให้เจ้าฟังทั้งคืนหรอกนะ รู้ไหมว่าคุกส่วนใหญ่จะมีการตรวจตราความเรียบร้อยของนักโทษทุกๆ สองชั่วโมง ฉะนั้น ถ้าเจ้าไม่รีบ…”
“โอเค เข้าใจแล้ว ฉันพร้อมแล้ว เธอจะช่วยพาฉันหนีใช่ไหม?” ผมยืดหลังตรง สูดลมหายใจเข้าลึก ทำตัวให้ดูพร้อมมากที่สุด
“ไม่ๆ ไม่ใช่ ข้าไม่ได้จะช่วยเจ้า เจ้าต่างหากที่ต้องช่วยข้า” เธอพูดพร้อมสอดนิ้วชี้ลอดออกมานอกลูกกรง ชี้ตรงมายังผม
“เดี๋ยว ฉันเนี่ยนะ? ยังไง?” ผมเลิกคิ้วด้วยความฉงน
“เดี๋ยวเจ้าก็รู้เอง” หญิงสาวแฝงน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ แอบอมยิ้มอยู่ลึกๆ “แต่ตอนนี้ เจ้าช่วยหลีกออกไปก่อน”
ผมยืนงง
“เอ้า จะยืนนิ่งทำไมอีกล่ะ เจ้าเตี้ย รีบถอยไป” เธอโบกมือไล่ให้ผมขยับตัว ผมก้าวไปข้างๆ นึกสงสัยว่าเธอจะทำอะไร แต่ดูเหมือนเธอยังไม่พอใจ เอาแต่บอกให้ผมถอยไปอีกเรื่อยๆ จนหลังติดกำแพง เมื่อเห็นว่ามีพื้นที่ว่างหน้าห้องขังมากพอแล้วเธอก็พยักหน้าให้ผมเบาๆ ทำท่าล้วงอะไรบางอย่างจากกระเป๋ากางเกง ผมชะเง้อหน้าพยายามมองด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“จงดูให้ดีๆ แล้วเรียนรู้ไว้ซะ เดี๋ยวข้าจะแสดงให้เจ้าเห็น ว่า ‘ของจริง’ น่ะ มันเป็นยังไง” เธอกล่าว ดูท่าทางภูมิใจนำเสนอสิ่งที่อยู่ในมือทั้งสองข้างเต็มที่ ผมหรี่ตามอง ข้างหนึ่งเธอถืออะไรบางอย่าง ลักษณะกลม เล็ก ทอประกายแวววาวเมื่อต้องแสงจากคบเพลิง มันคือเหรียญสีทอง ทองของแท้เลยด้วย ส่วน มืออีกข้างกำสิ่งที่น่าจะเป็นแค่ยอดกิ่งไม้ธรรมดาเท่านั้น เล็กเกือบจะเท่าสิ่งที่คนสมัยก่อนเรียกว่าไม้จิ้มฟัน
“นี่คือโทเทมของข้า เปล่าโอ้อวดนะ แต่มันทรงพลังและมีชื่อเสียงมากเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่โทเทมธาตุพฤกษา ข้าอนุมานว่าเจ้าคงยังไม่เคยเห็นว่าโทเทมทำงานอย่างไรใช่ไหม?”
“ก็ไม่เชิง” ผมยักไหล่ตอบ อันที่จริงผมค่อนข้างจะจำพลังของโทเทมฝังใจเข้าเส้นเลือดเลยล่ะ ทั้งอันที่เกือบฆ่าผม และอันที่พรากชีวิตทุกคนที่ผมรักไปเมื่อไม่นานมานี้
หญิงสาวใช้นิ้วโป้งถูเหรียญทองของตัวเองเบาๆ หนึ่งครั้ง จากนั้นมันก็ส่องสว่างเรืองแสงเป็นสีเขียว เป็นแสงที่ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกโอบรัดด้วยเถาวัลย์ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมได้กลิ่นของป่า กลิ่นสากๆ ของใบไม้และเปลือกไม้ เธอยื่นยอดกิ่งไม้ในมือเข้าหาประตู จากนั้นสิ่งอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น กิ่งไม้นั่นเปลี่ยนรูปอย่างรวดเร็ว มันโตขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น ก้านไม้แห้งๆ ยืดยาวออก ใหญ่จนแทบจะเทียบเท่ากับท่อนซุง หญิงสาวปล่อยมือออกจากมันอย่างรวดเร็ว จากซ่อนซุงก็โตขึ้นไปอีกกลายเป็นต้นไม้ ความใหญ่ของมันอัดเข้าประตูเหล็กจนกระทั่งหลุดออกทั้งบาน ต้นไม้ต้นนั้นค่อยๆ ออกกิ่งก้านสาขา ใบไม้เขียวชอุ่มโผล่มาจากปลายลำต้น แล้วออกผลเป็นลูกกลมๆ แอปเปิ้ลสีแดงสดห้อยต่องแต่งลงมาจากก้าน
นี่มันอะไร! จากก้านไม้เล็กๆ กลายเป็นต้นแอปเปิ้ลดันประตูออกมา เป็นไปได้ยังไง?
ผมยืนอ้าปากค้าง เบิกตาโพลง เธอพอใจที่ได้เห็นท่าทางที่ทั้งอึ้งและทึ่งของผม ค่อยๆ ก้าวข้ามต้นไม้ของตัวเองออกมาจากห้องขังอย่างง่ายดาย นักโทษอีกสองคนส่งเสียงโวยวายด้วยความตกใจเป็นการใหญ่ หญิงสาวก้มลงไปเด็ดแอปเปิ้ลจากต้นไม้ต้นนั้นขึ้นมา กัดให้ดูคำนึงแล้วยักคิ้วใส่ผม ชักสีหน้าประมาณว่า ‘เป็นยังไงล่ะ’
“ซักลูกมั้ย?” เธอถาม เด็ดแอปเปิ้ลอีกผลยื่นให้ ผมพยักหน้า ยังคงอยู่ในสภาพตะลึงไม่หาย แต่ก็รับมันมาแล้วลองกินดูเพราะแอบหิว รสชาติเหมือนแอปเปิ้ลจริงๆ ไม่ใช่สิ… มันคือแอปเปิ้ลจริงๆ เลย! ผมชักสงสัยแล้วว่าโลกนี้ยังมีโทเทมแบบไหนอีก พลังพวกนี้มันหลุดโลกชะมัด
“จะเอายังไงต่อ?” ผมถาม
“จะกินให้หมดก็ได้นะ แต่ต้องกินไปแล้ววิ่งไปด้วย เมื่อครู่เสียงคงดังพอดู ป่านนี้พวกทหารคงแห่กันมาเป็นขบวนแล้ว เจ้าดูท่าจะสู้ไม่เป็นสินะ งั้นก็หลบอยู่ข้างหลังข้าไว้ มาเร็วเข้า เดี๋ยวนี้!” เธอเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว กระชากแขนผมให้รีบตามเธอไป อันที่จริงผมก็เรียนรู้วิธีการชกต่อยมาบ้าง ผมสู้เป็นอยู่แล้วล่ะ แต่คงไม่กล้าไปเทียบกับคนที่อยู่โลกนี้มาก่อนผมหรอก ไม่รู้ว่าจะยังมีพวกที่ทำอะไรบ้าๆ แบบเมื่อครู่ได้อีกกี่คน
“เดี๋ยวก่อนสิแม่นาง!” นักโทษชายตัวเล็กส่งเสียงทันทีที่เราเดินผ่านห้องขังของเขา “เจ้าต้องช่วยข้าด้วยสิ ถ้าเจ้าไม่ช่วย ข้าจะตะโกนเรียกให้พวกทหารรู้ตำแหน่งของพวกเจ้า! นี่ข้าไม่ได้ขู่นะ! ”
“จัดไป” หญิงสาวล้วงกระเป๋าหยิบกิ่งไม้มาอีกยอด ยื่นใส่ประตูห้องขังของชายตัวเล็ก โดยไม่ทันตั้งตัว กิ่งไม้ยืดออกกลายเป็นต้นแอปเปิ้ลดันเอาทั้งประตูและร่างของชายตัวเล็กพุ่งอัดเข้ากับกำแพงจนเกิดรอยร้าว ผมนึกย้อนที่เธอบอกว่าจะอัดเขาติดกับกำแพงภายในสิบนาที แล้วก็เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ผมชักกังวลแล้วว่าผมกำลังร่วมมืออยู่กับใคร
“ไปเดี๋ยวนี้!” ผมถูกกระชากแขนอีกครั้ง เราทั้งคู่มุ่งตรงสลับขาถี่ๆ ก้าวลงขั้นบันไดอย่างเร่งรีบแต่ระมัดระวัง ในแต่ละชั้นที่เราผ่าน เกิดส่งเสียงฮือฮาของนักโทษ เหมือนกับว่าเราเป็นพวกแรกที่แหกคุกของที่นี่ได้ แต่ไม่มีเวลาให้สนใจอะไรมาก เพราะพวกทหารเองก็เริ่มตะโกนเตือนคนอื่นๆ เรื่องที่อาจมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในห้องคุมขัง เราเวียนบันไดลงมาจนถึงประมาณชั้นที่หกก็จ๊ะเอ๋เข้ากับกลุ่มทหารเกราะเหล็กถือหอกหมู่นึงพอดี
“หยุดนะ!!” พวกเขากระชากเสียงตวาดก้อง ผมชูมือเปล่าๆ สองข้างขึ้นเหนือหัวเป็นสัญญาณว่ายอมจำนน ก่อนจะสังเกตว่าหญิงสาวคนนั้นหายตัวไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมยืนอยู่ตรงนี้เพียงคนเดียว ผมหันมองไปรอบ พยายามหาว่าเธอหายตัวไปไหน ทหารกำลังชี้ปลายหอกเข้าหา ในขณะที่ส่งบางคนเดินเข้ามาจะจับตัวผม
ในตอนนั้นเองที่จู่ๆ เธอก็โผล่ขึ้นมาจากข้างหลังกลุ่มทหารหมู่นั้น ออกหมัดชกเข้าใบหน้าของคนที่อยู่หลังสุดไปเต็มๆ จนหมอนั่นสลบเหมือด จากนั้นเธอก็เคลื่อนตัวอย่างว่องไวประเปรียวต่อสู้ด้วยมือเปล่าล้มทหารลงทีละคน ใช้เวลาไม่นานก่อนที่บนพื้นจะเกลื่อนไปด้วยร่างของบุรุษเกราะเหล็กที่กองไม่ได้สติอยู่ นักโทษที่อยู่ในห้องขังรอบข้างส่งเสียเชียร์อย่างฮึกเหิม หญิงสาวคำนับให้ผู้ชมเล็กน้อยราวกับเพิ่งจบการแสดงของตัวเอง
“ว้าว! นั่น… ถือว่าสุดยอดมากสำหรับผู้หญิง” ผมออกปากชม
“อ๊ะๆ” เธอยกมือขึ้นมากระดิกนิ้วชี้ “จงจำไว้ว่าข้าน่ะ แมนทั้งแท่ง”
ผมเอียงคอ กำลังจะออกความเห็น แต่หญิงสาวก็ยื่นมือมาอุดปากผมทันควัน เหมือนเธอกำลังเงี่ยหูฟังอะไรบางอย่าง ผมคิดว่าคงไม่อาจเถียงเธอได้เรื่องแมนทั้งแท่ง เธอดูเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่คุณจะพบเจอในชีวิตแต่กลับไร้จริตหญิง เดินแบบผู้ชาย พูดสำเนียงผู้ชาย บุคลิกขึงขังและทะมัดทะแมง แถมบู๊เก่งเสียด้วย
“ทางนี้” เธอเดินนำผมต่อ แต่คราวนี้เราไม่ได้ก้าวลงบันได เธอพาผมเดินลึกผ่านห้องขังต่างๆ ผมมองสภาพนักโทษรอบข้างที่ดูจะรื่นเริงเมื่อพบว่าไม่มีทหารคอยเฝ้ายาม เรามาหยุดอยู่ที่ประตูไม้บานหนึ่ง เป็นไม้โอ๊คแกะสลักบานใหญ่ที่ดูจะไม่เข้ากับบรรยากาศของห้องขังเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวคุกเข่าลงตรงหน้าประตูก่อนจะล้วงลวดเหล็กสั้นๆ ขึ้นมาจากกระเป๋า แล้วแหย่มันเข้ารูกุญแจ เธอสะเดาะกลอนพร้อมกับพูดไปพลางว่า “ดูเหมือนเราจะออกไปจากหอคอยดีๆ ไม่ได้แล้ว พวกนั้นคงดักรอเราอยู่ข้างล่างเต็มไปหมด ต้องใช้อีกทาง เราจะใช้ประตูที่เชื่อมกับข้างในปราสาทแทน แล้วหาทางออกจากตรงนั้น”
“เหมือนว่าเธอจะรู้แผนผังของปราสาทนี่ดีจังนะ เคยมาที่นี่งั้นหรือ?” ผมถาม
“ขึ้นชื่อว่าปราสาท แผนผังมันก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ แต่อันที่จริงแล้ว ข้าก็เคยแอบเข้ามาขโมยของที่นี่หลายรอบอยู่นะ”
“ขโมยของ?” ผมทวนคำ
“ใช่ อาชีพหลักของข้า…” เสียงกลอนถูกสะเดาะดัง ‘กริ๊ก’ พร้อมๆ กับคำสุดท้ายที่เธอพูด “คือจอมโจร”
“จอมโจร? หมายถึง… อาชีพที่พวกคนในโลกออนไลน์เป็นกันใช่ไหม? แบบอัศวิน นักดาบ จอมเวทย์ นักบวช อะไรทำนองนั้น” ผมถาม แต่เธอหันมายิ้มเชิงเจ้าเล่ห์ให้เป็นคำตอบ ก่อนจะค่อยๆ แง้มบานประตูออก ชะโงกหัวเข้าไปดูเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงกวักมือให้ผมตามเข้าไป ก้าวแรกเมื่อข้ามธรณีประตู ผมพบว่าเรามาโผล่อยู่ในสถานที่ซึ่งน่าจะเป็นครัว เพราะมีโต๊ะทำอาหารที่เปื้อนผงแป้งสีขาว เตาไฟใหญ่ๆ และมีวัตถุดิบมากมายถูกแขวนอยู่ไม่ว่าจะเป็นผักหรือเนื้อสัตว์ ตรงมุมห้องมีก้อนเนยแข็งกับกองมันฝรั่งตุนไว้เป็นกระบุง เล่นเอาผมหิวอีกรอบ โชคดีที่ดึกแล้วจึงไม่มีแม่ครัวคอยเฝ้า เราค่อยๆ ย่องผ่านจุดนั้นช้าๆ ระหว่างทางหญิงสาวแอบหยิบเนื้อไก่มาแบ่งส่วนโยนให้ผม เรากินเนื้อแก้หิวแต่ไม่คิดจะหยุดเคลื่อนไหว จนกระทั่งเราออกมาจากห้องครัวได้
“ข้าคิดว่าจุดหมายของเราอยู่ใกล้ๆ นี้ เราจะไปห้องเก็บสมบัติที่พวกนั้นยึดมาจากนักโทษกัน ข้าจะทวงของคืน” เธออธิบาย ผมเห็นด้วยจากใจจริง ถึงเวลาที่ผมจะได้ถือปืนอีกสักครั้ง ผมกับปืนอยู่ห่างกันนานเกินไปแล้วสำหรับช่วงเวลาแบบนี้ เรามาโผล่ที่ทางเดินโถงของปราสาท พนันได้เลยว่าผมคงต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างไปอีกหลายรอบแน่ในคืนนี้ เริ่มด้วยทางเดินก่อนเลย มันใหญ่! แน่ล่ะ ไม่ใช่แค่ใหญ่ แต่เต็มไปด้วยการตกแต่งหรูหราอลังการมากมาย ตลอดทางเดินจะมีรูปปั้นอัศวินยืนตรงถือดาบไปเรื่อยๆ จนสุด แต่ละตัวถูกคั่นด้วยกรอบรูปทองคำที่บรรจุภาพวาดอันสุดวิจิตร ส่วนใหญ่จะเป็นภาพเกี่ยวกับไฟ ทุกอย่างดูเข้ากับผนังถ่านหินสีดำเรียบได้อย่างดี
“ทางซ้าย” เธอว่า เราย่องช้ากว่าเดิมเป็นเท่าตัว เพิ่มระยะของการระวังภัย ค่อยๆ เคลื่อนไหวเลียบติดผนัง ต่างเงียบเสียงกันจนได้ยินจังหวะของลมหายใจที่ขาดห้วง หูคอยตรวจจับเสียงของใครก็ตามที่อาจผ่านมาเจอเรา ผมแปลกใจเพราะรู้ว่าเธอแทบจะไม่ทิ้งเสียงฝีเท้าในแต่ละก้าวไว้เลยด้วยซ้ำ เป็นเหมือนเงาที่เคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วและเงียบเชียบ เราเลี้ยวซ้ายขวากันอีกสองสามรอบ ผมเกือบเดินพลาดอยู่หลายครั้ง จนแล้วจนรอดเราก็มาถึงประตูบานที่น่าจะเป็นเป้าหมาย ผมแอบถอนหายใจแม้รู้ว่ายังไม่ปลอดภัยร้อยเปอร์เซ็นต์
“ห้องนี้ล่ะ” หญิงสาวกล่าว ประตูห้องที่ว่าเป็นแบบที่มีช่องเล็กๆ ติดอยู่ไว้ให้มองลอดผ่านเข้าไปได้ ข้างในห้องเต็มไปด้วยตู้เก็บของเก่าแก่มากมาย ไม่ได้รับการทำความสะอาดจนหยากไย่เกาะอยู่เต็มผนัง ผมคิดว่าอาจเป็นการจงใจ เพราะมันดูไร้ความสำคัญจนไม่น่าจะดึงดูดใจให้ใครอยากเข้าไปค้นของได้ คงไม่มีใครคิดแน่ว่าจะมีสิ่งของหรือสมบัติถูกเก็บอยู่ในห้อง แต่ถึงอย่างนั้นการลงกลอนหลายชั้นแน่นหนาก็เป็นที่ผิดสังเกตอยู่ดี “ข้างัดเข้าห้องนี้ไม่ได้ มันล็อคกุญแจแบบพิเศษเอาไว้ แล้วเผอิญข้ามีอุปกรณ์ไม่ครบเพราะส่วนหนึ่งโดนยึดเก็บเอาไว้ในห้องนั้น”
“แล้วจะทำยังไงต่อล่ะ?
“นั่นแหละคือคำถามเด็ด จะทำยังไงต่อน่ะรึ? เจ้าเท่านั้นที่ตอบได้” เธอว่า ชี้มาที่ผม
“ฉันเหรอ? ฉันเกี่ยวอะไร?”
“อยากได้ของคืนไหมล่ะ เจ้าเตี้ย? ถ้าอยากได้ คราวนี้เจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายตอบแทนบุญคุณข้าบ้างแล้ว ข้าหมดหน้าที่แล้ว ต่อไปคือเจ้าที่ต้องช่วยข้าบ้าง อย่างที่บอก ข้าเข้าห้องนั้นไม่ได้ เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ยอมพาเจ้ามาแทนที่จะเป็นชายตัวใหญ่นั่น เจ้าจะต้องทำแบบที่เจ้าทำเมื่อครู่ เจ้าจะต้องหายตัวเข้าไปปลดล็อกประตูจากข้างใน”
“อะไรนะ!” ผมร้องดัง เผลอส่งเสียงก้องไปทั่วทางเดินโดยไม่รู้ตัว หญิงสาวเอามือมาอุดปากผมอีกรอบ ส่งเสียงชู่วๆ บอกให้ผมเงียบ เรารออยู่พักหนึ่งก่อนที่เธอจะยอมเอามือออก ผมมองประตูห้องสลับกับเธอ หญิงสาวยังคงยืนยันคำพูดอย่างหนักแน่นผ่านสีหน้า ผมกระอึกกระอักไม่รู้จะอธิบายอย่างไร
“ฉันทำไมได้ มันไม่ใช่แบบนั้น ไม่ใช่ว่าอยากทำเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วมันก็เจ็บปวดมากด้วย อีกอย่าง ฉันไม่รู้วิธีว่าจะต้องทำยังไง” ผมบอก ไม่อยากให้ความหวังเธอแม้จะแอบรู้สึกผิด เธออุตส่าห์ช่วยผมเพราะคิดว่าผมจะทำแบบเมื่อกี้ได้อีก แต่ผมเปล่า ผมไม่ได้ทำอะไรเลย มันแค่เกิดขึ้นของมันเอง ผมยังจำความรู้สึกสยองพองเกล้าตอนที่เห็นตัวเองแตกเป็นส่วนๆ ได้ดี
“เคยได้ยินวลีที่ว่า ‘ไม่ลองไม่รู้’ หรือเปล่า เจ้าเตี้ย” เธอคะยั้นคะยอ บุ้ยหน้าไปทางประตู จากนั้นก็เอามือมาบิดหัวผมให้หันตะแคงไปมองข้างในห้อง “ไม่อยากได้ของของเจ้าคืนหรือ? ถ้ายังมัวแต่เสียเวลาอยู่ตรงนี้คงมีพวกยามในปราสาทมาเจอเราแน่ และข้าบอกไว้เลยว่าโทเทมธาตุพฤกษาของข้าแพ้ทางโทเทมธาตุอัคคีอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเจ้าที่อาจกลายเป็นจิ้งจกไหม้เกรียมภายในพริบตาหรอกนะ”
ผมยอมทำตามอย่างเสียไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าต้องเริ่มยังไง ตอนแรกผมลองพยายามเกร็งตัว เกร็งศีรษะ ประหนึ่งว่าจะมีพลังอะไรปล่อยออกมาจากสมอง แต่ก็ไม่ได้ผล ต่อมาผมลองทำท่าทางยกไม้ยกมือเหมือนจะปล่อยลำแสง จากนั้นก็ลองตบมือแปะๆ ดีดนิ้วทีนึง แล้วจบด้วยการพยายามท่องคำว่า ‘โอม จงหายตัว’ ซ้ำๆ แต่มันก็ยังไม่ได้ผล ผมหันไปมองหน้าเธอ อยากให้เข้าใจว่าพยายามถึงที่สุดแล้ว แต่หญิงสาวส่ายหน้าแล้ววางมือบนบ่าผม
“เจ้าต้องมีสมาธิ ลองย้อนนึกดูสิ ตอนที่เจ้าทำแบบนั้นได้ครั้งแรก เจ้ารู้สึกยังไง กำลังคิดอะไรอยู่ กำลังทำท่าอะไร” เธอแนะ
“อืม” ผมครางในลำคอ พยายามขุดคุ้ยความทรงจำ ในครั้งแรกผมจำอะไรไม่ค่อยได้เลยนอกจากความเจ็บปวด ถ้าพูดถึงเรื่องความรู้สึก ผมรู้สึกอึดอัด มีแอบแฝงความกลัวไว้ในใจลึกๆ กลัวว่าจะต้องติดอยู่ในนั้นตลอด กลัวว่าจะหาทางออกไม่ได้ กลัวว่าชีวิตผมจะจบลงตรงนั้นโดยที่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรเลย
ไม่แน่อาจจะเป็นความรู้สึกนั้น
อาจจะเป็นความรู้สึกที่อยากจะเคลื่อนไหวไปจุดใดจุดหนึ่งเป็นพิเศษ ตอนนั้นผมพยายามพังประตูออกไปแล้วทำไม่ได้ ต่อมาผมก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ ถ้าหากบัคที่ว่าตอบสนองความรู้สึกที่อยากออกจากห้องขัง ก็ไม่แน่ว่าทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องของการเพ่งความคิดในหัว ผมจำได้อีกอย่างว่าตอนนั้นผมเอาแต่เพ่งมองนอกคุกอย่างใจจดใจจ่อ บางทีผมแค่อาจจะต้องนึกภาพของสถานที่ที่อยากไปให้ชัดเจน
ผมหลับตา จินตนาการว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ยืนอยู่ตรงพื้นห้องเก็บสมบัติ ใส่ความคิดที่ว่าตัวเองอยากเข้าไปในนั้นมากขนาดไหน ยังมีของที่ผมต้องเอาคืน ผมอยากไปที่นั่น อยากไปที่นั่น อยากไปที่นั่น ผมรู้สึกปวดหัวจี๊ด แต่ปาฎิหาริย์ยังคงไม่ปรากฎ ผมยังอยู่ที่เดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ผมไม่เข้าใจ ยังมีอะไรผิดพลาดอีก?
“เดี๋ยวก่อน!” หญิงสาวโพล่งขึ้น ท่าทางตื่นตระหนก “ข้าได้ยินเสียงฝีเท้า! มีหลายฝีเท้าเสียด้วย พวกมันแห่มาแล้ว เจ้าต้องรีบ!”
สิ้นคำพูดของเธอใจผมก็หล่นวูบ รีบหลับตาเพ่งสมาธิอีกครั้ง ภาวนาให้มันได้ผล ไม่สนอีกต่อไปว่ามันจะเจ็บหรือเปล่า รู้แต่ว่าหากไม่ทำตอนนี้ เราทุกคนเสร็จแน่ และทุกอย่างจะจบทันที ผมกดดันตัวเอง เหงื่อเม็ดเป้งๆ ซึมออกจากผิวหนัง รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแตกออกเป็นชิ้นๆ… ใช่ ความรู้สึกนี้แหละ ผมกำลังสลายไป กลายเป็นอณูข้อมูล แทรกซึมในอากาศ ไม่มีรูปร่าง ไม่มีตัวตน แต่มีความคิด มีจิตใจ
ผมยืนรออยู่อย่างนั้นสักพัก ก่อนที่จะมีความคิดปักเข้าสมองว่า มันไมได้ผล ผมคิดไปเอง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เรากำลังอยู่ในวิกฤติ หญิงสาวคนนั้นโชคร้ายที่เสี่ยงกับความสามารถที่แม้แต่ผมเองก็เพิ่งจะรับรู้ไปเมื่อไม่กี่นาทีที่แล้ว… แต่นั่นก็เป็นความคิดก่อนที่ผมจะค่อยๆ เคลื่อนเปลือกตาของตัวเองขึ้น แล้วพบว่า
ผมเข้ามาอยู่ในห้องเก็บสมบัติเรียบร้อยแล้ว
ผมทำได้! ผมชูกำปั้นขึ้นเหนือหัว แสดงอาการดีใจออกนอกหน้า ผมทำได้จริงๆ ผมเข้ามาอยู่ในห้องโดยที่ผมไม่รู้ตัวเลย อาจรู้สึกเจ็บหน่อยๆ และเหนื่อยเอาเรื่องโดยไม่มีสาเหตุ แต่ไม่มีอะไรที่จะสามารถทำลายความรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่สามารถทำอะไรเหนือมนุษย์กับเขาได้บ้าง
มีเสียงเคาะประตูจากข้างหลัง ผมมองหญิงสาวผ่านช่องเล็กๆ เธอขยับปากพูดอะไรบางอย่างจากข้างนอก ก่อนจะมีเสียงดัง กริ๊ก ตามมา ประตูแง้มออกอย่าง่ายดาย เผยให้เห็นหญิงสาวที่ถือลวดเหล็กค้างอยู่ในช่องรูกุญแจ แล้วเธอก็เดินเข้ามายิ้มร่าอย่างสบายใจ ปล่อยให้ผมยืนสับสนและงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“ไหนเธอบอกว่า…”
“ข้าแค่อยากจะลองดูเท่านั้น ว่าเจ้าทำได้จริงหรือเปล่า” เธอพูดแทรกทันควัน “อย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าแค่อยากให้แน่ใจว่าข้าจะไม่เสียเวลาเปล่ากับเจ้า ความสามารถของผู้ใช้บัคคือสิ่งที่อันตรายที่สุดในโลกนี้ ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าสามารถควบคุมมันได้”
ผมตวัดตามองเธออย่างหน่ายๆ คำอธิบายช่วยให้ผมทำใจได้ในระดับหนึ่ง “แล้วเรื่องทหารล่ะ? ไหนว่าเธอได้ยินเสียง”
“บางครั้งคนเราก็ต้องการแรงกระตุ้นดีๆ เจ้าเห็นด้วยไหม?” เธอตอบเป็นคำถาม จากนั้นก็ไม่สนผมอีก รีบเดินจ้ำอ้าวไปกระชากประตูตู้เก็บของออก สองมือค้นสิ่งของมากมายที่วางอยู่ในนั้นเป็นชั้นๆ ฝุ่นตลบอบอวลลอยมาจากข้างในตู้ ผมยืดข้อแขนเป็นการคลายกล้ามเนื้อหนึ่งทีก่อนจะเริ่มหาของตัวเองบ้าง ผมเปิดตู้แล้วตู้เล่า พบเพียงแต่เสื้อผ้าเก่าๆ รองเท้าขาดๆ กระเป๋ามีรู อาวุธขึ้นสนิมที่หักทันทีเมื่อไปแตะ เจอถุงผ้าใบหนึ่งที่ใส่เหรียญทองแดงจำนวนมาก หญิงสาวเข้ามากระชากมันไปเก็บไว้เป็นของตัวเองทันที ปากพึมพำว่า ‘มีแต่ขยะทั้งนั้น อ๊ะ! ไอ้นี่พอใช้ได้ อ๊ะ! ไอ้นี่น่าจะมีประโยชน์’
ผมเปิดตู้สุดท้าย แล้วพบของที่ตัวเองตามหา เป้สีน้ำตาลใบใหญ่นอนอยู่ลึกสุด ผมคว้ามันออกมาแล้วเกือบจะทำมันหล่นเพราะลืมไปว่ามันหนักขนาดไหน ผมรีบตรวจดูจำนวนของต่างๆ ว่ายังอยู่ครบไหม แล้วเกือบจะส่งเสียงร้องอย่างโมโหเมื่อพบว่าสิ่งของหายไปเกือบครึ่ง อย่างแรกๆ คืออาหารสำเร็จรูปเหลือไว้เพียงกระป๋องเดียว ไฟเช็คก็เหลืออันเดียว (อีกสองแตกไม่เหลือชิ้นดี) ขดเชือกยังอยู่ ขวดใส่น้ำยังอยู่ ถุงนอนยับยู่ยี่ มีดพกหาย กระสุนที่ตุนไว้เหลือเพียงครึ่ง ผมหย่อนก้นลงพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่เหลือทั้งพลังกายและพลังใจ สายตาตวัดไปพบปืนไรเฟิลสุดรัก ผมรีบคว้ามันมากอดอย่างทะนุถนอม หัวใจพองโต เอาแขนลูบเช็ดรอยฝุ่นออก อย่างน้อยปืนก็ยังอยู่ในสภาพดี พอจะเป็นของปลอบใจได้
“เจอแล้ว!” หญิงสาวอุทาน น้ำเสียงบ่งบอกถึงความดีใจสุดขีด เรียกความสนใจให้ผมหันไป บนมือของเธอถืออะไรบางอย่างที่ทอประกายแสงสีรุ้ง มันสวยงามและต้องตาต้องใจแม้จะยังมองไม่เห็นชัดๆ เลยก็ตาม ผมเอ่ยปากถามว่านั่นคืออะไร แต่ได้รับคำตอบเพียงแค่ ‘ของที่เจ้าไม่อยากจะยุ่งด้วยที่สุดในโลก’ หญิงสาวรีบเก็บมันเข้ากระเป๋าทันที ดูเธอพยายามอย่างมากที่จะเบามือ ราวกับมันเป็นของสำคัญ จากนั้นก็ทำท่ายืดตัวจัดแจงสะพายย่าม
เธอหยิบของอีกสิ่งหนึ่งมาจากตู้ มันคือคันธนูและกระบอกเก็บลูกธนู เนื้อไม้ของคันธนูสง่างามเป็นพิเศษ เป็นสีเขียวใบไม้ มีลวดลายเถาวัลย์ตลอดแนว ฝังอัญมนีสีขาวไว้ตรงกึ่งกลาง ประกายระยิบระยับและดูเหมาะมือเธอเป็นพิเศษ นั่นคืออาวุธของเธอ จอมโจรที่ยิงธนูงั้นหรือ? เหมือนนิยายเรื่องโรบินฮู๊ดที่ผมเคยอ่าน เป็นโรบินฮู๊ดเวอร์ชั่นผู้หญิง
“เจ้าได้ยินไหม?!” จู่ๆ เธอก็เกร็งตัว ส่ายหัวมองไปรอบๆ ราวกับเห็นอะไรบางอย่างกำลังเข้ามาหา “เป็นเสียงฝีเท้า! คราวนี้ของจริง ข้าไม่ได้ล้อเล่น มีใครบางคนกำลังมาที่นี่! ใกล้จะถึงแล้วด้วย ต้องรีบหาที่ซ่อน เร็ว!”
ผมลนลานทำตัวไม่ถูก หญิงสาวไม่รอช้ากระชากแขนผมอีกรอบ “ในตู้! เดี๋ยวนี้!” สิ้นเสียง ผมก็รู้ตัวอีกทีตอนที่ถูกจับยัดเข้าไปในตู้เก็บของแคบๆ เป็นตู้ที่เก็บเป้ของผมเมื่อครู่ จึงมีพื้นที่เหลือเยอะ เราสองคนอัดกันอยู่ในกล่องไม้เล็กๆ ที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนไปไหนได้ หญิงสาวปิดประตูตู้ส่งท้ายพร้อมๆ กับจังหวะที่คนกลุ่มหนึ่งส่งเสียงแอะอะเดินเข้ามาในห้องพอดี
“นี่มันอะไรกัน!!” เสียงผู้ชายคนหนึ่งตวาดอย่างเกรี้ยวกราด ผมแอบสะดุ้งเพราะความเดือดดาลในเสียงร้อนรุ่มเหมือนโดนไฟแผดเผา“เกิดอะไรขึ้น! เหตุใดข้าวของจึงกระจัดกระจายทั่วพื้น มีใครบุกเข้ามาขโมยของในนี้! ”
ผมกับเธอมองลอดผ่านซอกตู้เล็กๆ ทำให้เห็นภาพข้างนอกเพียงส่วนเล็กๆ ตำแหน่งของผมดูจะเห็นชัดกว่า มีผู้ชายอยู่สามคนในห้อง สองคนแรกเป็นทหารเกราะเหล็กทั่วไปที่กำลังยืนหงอก้มหน้าให้กับชายตัวสูงเจ้าของเสียงตวาดเมื่อครู่ ชายผู้นั้นแต่งตัวแปลกกว่าคนอื่น ชุดเกราะของเขาดูสูงศักดิ์และหรูหรากว่าทหารทั่วไป มันเป็นสีดำทมิฬมันวาวน่าเกรงขาม ผ้าคลุมหลังสีแดงเพลิงลากยาวเกือบถึงพื้น มีตราเปลวไฟถักทออยู่ตรงกลาง เข็มขัดที่คาดสลักลายสวยงาม มีดาบคู่คาดไว้อยู่ที่เอวทั้งสองข้าง เป็นดาบยาวแหลม ไม่มีคม คล้ายกับมีไว้เพื่อแทงทะลุร่างคู่ต่อสู้ หน้าตาเจ้าของดาบก็น่าหวั่นเกรงพอๆ กัน เป็นชายหนุ่มอายุประมาณเกือบสามสิบ รูปร่างสูงใหญ่ ผิวคล้ำเล็กน้อย ผมสีออกแดงสั้นพอประมาณ โครงหน้าคมเข้ม ไว้หนวดเล็กๆ พอให้ดูมีอายุ ดวงตาสีแดงทับทิม เป็นสีที่ผมเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ดูรวมๆ แล้วถือว่าหน้าตาดีทีเดียว
“ต้องเป็นฝีมือของนางแน่ๆ! ข้าสังหรณ์แต่แรกแล้ว” ชายผมแดงกล่าว “ตั้งแต่ที่มีคนรายงานมาว่าจับหญิงสาวผมดำที่ใช้ธนูธาตุพฤกษาได้ ข้าก็รู้สึกตะหงิดๆ คิดอยู่แล้วว่าต้องใช่ นางคือจอมโจรที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุด”
“ท่านองครักษ์ราชันย์!” มีทหารอีกคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา หอบเหนื่อยครู่หนึ่งก่อนจะรีบยืนตรงรายงานสถานการณ์ “เราได้กระจายกำลังทหารไปทั่วเมืองแล้ว คอยสอดส่องหาหญิงสาวที่แหกคุก รวมทั้งจัดเวรยามตรวจตราในปราสาททุกจุดตามที่ท่านสั่งทุกประการ”
ชายผมแดงเพียงพยักหน้าหนึ่งครั้ง ทหารคนนั้นโค้งคำนับแล้วเดินออกไป
“นางจะต้องอยู่แถวนี้แน่… ข้าสัมผัสได้ ข้าเฝ้ารอวันที่จะได้โค่นตำนานจอมโจรอันเลื่องชื่อเสียที” เขาพึมพำ ในขณะที่เดินตรวจตราของตามตู้ ผมกลั้นหายใจด้วยความระทึก ไม่อยากจินตนาการตอนที่เขาเปิดเข้ามาเจอเราสองคนแอบอยู่ในนี้ ซึ่งเขาจะทำแน่ ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้นว่าเราจะถูกเจอตัวเมื่อไหร่
“นางร้ายกาจถึงขนาดนั้นเลยหรือท่าน?” ทหารคนหนึ่งถาม
“นางขโมยสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกนี้ไป นางครอบครองส่วนหนึ่งของอาวุธที่อาจทำลายล้างโลกของเราได้เพียงพริบตาเดียว สิ่งที่บางคนยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยนาม ‘เสี้ยวกุญแจแห่งมอรินทร์’ “ เขากล่าวเสียงสั่นผิดสังเกตุ “หากนางได้ครอบครองครบทั้งสามชิ้น ข้าไม่อาจจินตนาการได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเหตุนี้การจับตัวนางจึงสำคัญมาก พวกเจ้าน่าจะแจ้งข้าให้เร็วกว่านี้ ไม่มีทางที่คุกธรรมดาจะกักขังนางไว้ได้ แล้วดูตอนนี้สิ… เราปล่อยให้นางเข้ามาขโมยของในปราสาทอย่างสบายใจ!”
“เกือบแล้วเชียว! ทั้งๆ ที่ไม่กี่นาทีก่อน เรายึดเสี้ยวกุญแจมอรินทร์จากนางมาไว้ในห้องนี้โดยไม่รู้ตัว แล้วพอข้ามาถึง มันก็หายไป เหตุใดผู้ตรวจตราสมบัตินักโทษจึงไม่คิดแอะใจเลยเมื่อเจอสิ่งที่น่าจะดูพิเศษกว่าของอื่นๆ? ปล่อยให้นางหนีออกมาเอามันกลับไปอีกรอบได้อย่างไร!” เขากัดฟันกรอด เอ่ยด้วยน้ำเสียงคั่งแค้น
“แล้วท่านจะทำอย่างไรต่อไป ท่านองครักษ์?” ทหารข้างกายของเขาถาม
“ในฐานะองครักษ์แห่งอัคคี ข้าคงจะต้องเป็นคนบากหน้าไปรายงานเรื่องนี้ให้พระราชาทรงทราบ งานนี้ข้าคงจะโดนหนักแน่ๆ” เขาตอบ “โดยเฉพาะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเสี้ยวกุญแจมอรินทร์แบบนี้ คงจะกระตุกต่อมโมโหท่านได้มากเป็นพิเศษ ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดอาจจะมีคำสั่งประหารผู้ที่เกี่ยวข้อง แต่ข้าจะพยายามเกลี้ยกล่อมท่านไม่ให้วู่วาม”
“ข้าได้รับรายงานอีกว่ามีนักโทษอีกคนหลบหนีไปเช่นกัน เป็นชายอายุไล่เลี่ยกับนาง แต่น่าแปลกมากที่ประตูยังอยู่ในสภาพลงกลอนแน่นหนา พวกเราสงสัยว่าอาจเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด” ทหารบอก
“อย่างนางน่ะรึจะมีผู้สมรู้ร่วมคิด จอมโจรไม่มีวันทำงานร่วมกับใคร เจ้านั่นคงจะเป็นแค่เหยื่อล่อที่นางใช้เพื่อประโยชน์ในการหลบหนีนั่นล่ะ” ชายผมแดงปัดประเด็นนั้นตกไปทันที เขาเข้าใกล้ตู้ที่เราซ่อนตัวมากขึ้นทุกขณะ ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ หายใจไม่ทั่วท้อง ความกดดันก่อตัว ผมสบตากับหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ ดูเธอกำลังใช้ความคิด หรืออาจไม่คิดอะไรเลยก็เป็นได้
“เหลือตู้สุดท้าย” เขาพึมพำ ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม มองเห็นเงายืนอยู่ข้างหน้า บดบังแสงไปหมด สองมือกำลังจับด้ามประตู เขาจะต้องแปลกใจแน่ที่เห็นคนสองคำกำลังนั่งอัดกันอยู่ภายใน และผมอาจกลายเป็นคนต่อไปที่แปลกใจเมื่อพบว่าร่างของตัวเองถูกแทงเป็นรูพรุนหรือถูกเผาไหม้เกรียมเหลือแต่วิญญาณ (ในกรณีที่โปรแกรมแปลงเป็นวิญญาณหลังตายได้ล่ะก็นะ)
ประตูตู้แง้มออกช้าๆ แสงจากภายนอกส่องเข้ามา ผมเงยหน้ามองเห็นร่างของชายผมแดงที่ยืนค้ำหัวเราอยู่ตรงหน้า เป็นวินาทีที่ผมเกร็งตัวค้าง ทำอะไรไม่ถูก เราถูกเจอตัว! ผมหน้าซีดเผือดมองตาเขา เขาเองก็มองตาเรากลับเช่นกัน แล้วก็เหมือนเวลาหยุดไปชั่วครู่ ไม่มีใครทำอะไร ต่างคนต่างมองกันและกันอยู่อย่างนั้น รอให้สมองประมวลผล
“ไง!” หญิงสาวตะโกนเสียงดัง เคลื่อนตัวออกก่อนใครเพื่อน เท้าถีบเข้าที่เกราะของอัศวิน เขาหงายหลัง อาศัยจังหวะที่ทุกคนยังมึนงง บีบแขนผมแน่น กระโจนโผนตัวออกจากตู้ ผลักทหารอีกคนให้ล้มไปข้างๆ พุ่งตัวออกจากห้องเก็บของ ผมไม่ลืมที่จะกำปืนไรเฟิลของตัวเองไว้แน่น กระเป๋าเป้ก็สะพายเรียบร้อย เราวิ่งไปตามทางเดินโถงไม่สนใจเสียงแอะอะโหวกเหวกของทหาร พวกเขาตะโกนลั่น บอกพรรคพวกคนอื่น ชี้มาทางเรา พูดว่า ‘จับพวกมันเร็วเข้า!’
ผมและเธอวิ่งหนีสุดชีวิตด้วยใจระทึก ขอให้หญิงสาวรู้ว่าจะพาผมไปไหน หรืออย่างน้อยก็รู้ตัวว่าเรากำลังทำอะไรด้วยเถิด ผมเผลอหันหลังกลับแวบหนึ่ง เห็นทหารฝูงใหญ่วิ่งตามเรามาเป็นพรวน ต่างคนต่างถือทั้งหอกและดาบครบชุด ร้องเรียกให้เราหยุด แต่มาถึงขั้นนี้แล้วคงไม่สามารถหันหลังกลับได้จนกว่าจะรอด เราทั้งเลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ไปโผล่ที่นั่น ที่นี่ มั่วเป็นพัลวัน มีพวกทหารที่คอยดักรอเราอยู่เป็นระยะ แต่ด้วยความว่องไวของหญิงสาว เธอบังคับให้ผมเอี้ยวตัวหลบไปมาได้เหมือนเชิดหุ่น
“จะไปไหน!” ผมตะโกนแข่งกับทหาร เสียงนั้นหายไปกับสายลมอย่างรวดเร็ว เธอไม่ตอบ พาผมก้าวลงบันไดที่มีราวจับทำจากทองคำ เสียงกรีดร้องของคนงานในปราสาทดังขึ้นเป็นระยะๆ ทุกอย่างช่างน่าเวียนหัว มันเกิดขึ้นในเสี้ยววินาที เราวิ่งไปทั่วพระราชวังโดยที่ผมไม่รู้จุดหมาย รู้แต่ว่าหัวใจของตัวเองเต้นดังจนแทบจะระเบิด ไม่ว่าจะไปส่วนไหนก็จะเจอทหารดักรอเหมือนกันหมด เราฝ่าออกมาหกถึงเจ็ดด่านได้แล้ว แต่ยังคงวิ่งต่อไปไม่หยุด
เรารอดออกมาถึงหน้าปราสาทได้อย่างไม่น่าเชื่อ ผมจำที่นี่ได้เพราะรถขนนักโทษเคยผ่านมาครั้งหนึ่ง ผมและเธอก้าวออกจากประตูใหญ่ สู่โลกภายนอกยามใกล้รุ่ง มีกองทหารที่โก่งคันธนูรอพวกเราอยู่แล้วตรงนั้น ผมรีบกระโจนหลบฝูงลูกธนูห่าใหญ่ทันที คิดอยากจะยิงตอบโต้แต่ไม่มีเวลาเติมกระสุน
“ทางนี้!!” หญิงสาวตะโกน วิ่งไปยังส่วนที่น่าจะเป็นคอกเลี้ยงม้า แต่ผมลืมไปว่าที่นี่ไม่มีม้า
“เธอ… เธอจะทำอะไร?” ผมถาม แต่ก็ได้คำตอบทันทีเมื่อเห็นเธอกระโดดขึ้นควบหลังหมาป่าเขาแพะตัวหนึ่ง มันส่งเสียงคำรามด้วยความโมโหที่ถูกขัดจังหวะการนอนอย่างกะทันหัน แยกเขี้ยวใส่ผมราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ
“ปีนขึ้นมา เร็วๆ เข้า!” เธอยื่นมือมารับ แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงลังเล ยืนชั่งใจว่าจะไว้ใจเธอดีหรือไม่ การพิจารณาเสร็จสิ้นทันทีเมื่อหันไปเห็นฝูงทหารอาวุธครบมือแห่กันเข้ามาล้อมรอบพวกเรา ผมจับมือเธอ แล้วโดนดึงด้วยแรงมหาศาลดีดตัวขึ้นไปนั่งอยู่ข้างหลัง มือผมสัมผัสขนปุยนุ่มสีเทาของหมาป่าอย่างหวาดเกรง ถือว่าเราทั้งสองลงเรือลำเดียวกันแล้วโดยสมบูรณ์
“ข้าชื่อ แจ็ค” หญิงสาวหันมาบอกสั้นๆ ยิ้มกว้างเหมือนกำลังสนุกที่ได้เจอเรื่องท้าทาย
“อาคินทร์” ผมตอบกลับ ปากสั่นเล็กน้อย กำปืนแน่นไว้ข้างตัว
แจ็คพยักหน้า จากนั้นฟาดบังเหียนใส่หมาป่าทีนึง มันกระดกตัวขึ้นชูคอหอนเสียงดัง ก่อนที่จะโผนทะยานวิ่งผ่าฝูงทหารไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาแตกตื่นแต่ไม่ยอมแพ้ ผมเริ่มเห็นทหารกลุ่มหนึ่งขึ้นขี่หมาป่าตามเรามาติดๆ ทุกอย่างยังไม่จบ
การไล่ล่ากำลังเริ่มต้นขึ้น!
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
รูปตัวละครประจำตอนนี้
เเจ็ค
คุยกับไรท์เตอร์
สวัสดีจ้า นี่เป็นครั้งแรกที่ไรท์ตัดสินใจเพิ่มส่วนนี้เข้ามาในท้ายบท เพราะเวลาตอบเม้นปกติ ไรท์จะชอบตอบในช่องคอมเม้น ทำให้บางครั้ง บางคนก็ไม่เห็น เเบบนี้จะชัวร์กว่า จะได้เห็นกันทุกคน
ก่อนอื่นก็ขอทักทายผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านเลยนะครับ ไรท์ชื่อ สตางค์ เป็นนัก(อยาก)เขียนนิยาย ที่ปกติถนัดแนวระทึกขวัญ เลือดสาด แต่ขอลองมาเปลี่ยนแนวแต่งแฟนตาซีเป็นครั้งแรก เพราะรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนแฟนตาซีเหลือเกิน (เกี่ยว?)
เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องใหม่ ซึ่งถึงแม้ชื่อเรื่องจะมีคำว่าออนไลน์ แต่ไรท์ขอออกตัวก่อนว่ามันไม่ค่อยจะเน้นระบบเกมออนไลน์เท่าไหร่ ประมาณพวกเก็บเลเวลหรืออัพสกิลอะไรแบบนี้ ไรท์จะไม่ค่อยมี แต่จะเสริมมาให้เห็นผ่านๆ บ้างว่าชีวิตในโลกออนไลน์เป็นอย่างไร (เนื่องจากตัวเอกไม่ได้อยู่ในระบบเกม)
ขอสารภาพว่าช่วงแรกๆ ไรท์แอบท้อมากเลยนะ เพราะคอมเม้นต์ค่อนข้างน้อย ก็นึกไปว่าเราแต่งไม่สนุกหรือเปล่า แต่สุดท้ายไรท์ก็แต่งต่อไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีคนอ่านมากขึ้น คอมเมนต์มากขึ้น ตอนนี้ก็รู้สึกมีกำลังใจมากมายจ้า
สุดท้ายนี้ ไรท์ขอบอกว่า ไรท์ต้อนรับนักอ่านทุกประเภท ไม่ว่าท่านจะเป็นนักอ่านเงา หรือนักอ่านคอมเมนต์ ไรท์ก็ถือว่าท่านเป็นกำลังใจที่เพิ่มยอดคนอ่านให้ไรท์ได้หายเหนื่อยบ้าง ไรท์เข้าใจว่าบางครั้งผู้อ่านก็เล่นผ่านโทรศัพท์ไรงี้ เมนต์ไม่สะดวก หรือบางตอนก็ไม่มีอะไรจะเม้นต์ ไรท์ก็ไม่ว่ากัน ขอแค่ติดตามอยู่กับไรท์ไปจนจบ ไรท์ก็พอใจละ รักทุกคนนะเออ จุ๊บๆ
(ป.ล. แต่ถ้าคอมเมนต์บ้างก็ดีนะ // โดนตบ)
ขอบคุณท่าน Red Hood มากๆ ที่ช่วยเตือนเรื่องเพลงในหน้านิยาย ไรท์เองก็ลืมคิดไปสนิทเลย ไม่รู้จะมีนักอ่านกี่คนที่ตกใจกับเสียงเพลงจนเผลอปิดนิยายของไรท์ไปบ้างนะเนี่ย T_T แล้วก็ขอบคุณท่านอีกเช่นกัน ที่ช่วยอวยนิยายของข้าในในบอร์ดนักเขียน จนตอนนี้มีผู้อ่านที่สนใจนิยายของไรท์เยอะขึ้นมวากกก จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังจ้า >[]<
ท่าน มาแล้วจากไป ใช่ๆ ไรท์เตอร์เองก็คิดถึงช่วงเริ่มของสกายริมเหมือนกันตอนแต่ง เล่นเหมือนกันเหรอท่าน
ขอบคุณทุกท่านที่คอมเม้นต์ให้ขาพเจ้าทุกตอน อยากบอกว่าทุกคอมเม้นต์ ทำให้ข้าน้อยลงไปดีดดิ้นกรีดร้องดีใจกับพื้นอย่างบ้าคลั่งราวกับโดนน้ำร้อนลวก (เปล่าเว่อร์นะ)
ไว้เจอกันตอนหน้าครับ
XOXO จุ๊บๆ
ความคิดเห็น