คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ตอนที่ 7 : ใยนึกกลัวหวาดเกรง.... ยิ้มสู้!!
“อะไรกันคือ ความแตกต่างระหว่างความกล้า กับความบ้า?” คุณพอจะบอกได้ไหม? ผมพอจะได้มีโอกาสครุ่นคิดถึงคำตอบอยู่สักพักเหมือนกัน ย้อนไปเมื่อสักสองถึงสามเดือนที่แล้ว ผมบังเอิญเดินไปเจอหนังสือขาดๆ เล่มนึงที่หน้าปกนั้นเต็มไปด้วยรอยเปื้อนสีน้ำตาลแดงจนมองไม่เห็นชื่อเรื่องและชื่อผู้แต่ง และสิ่งที่สะกิดใจผมก็คือความคิดที่ว่า – เฮ้! บางทีสีน้ำตาลเขรอะๆ นี่มันอาจจะเป็นรอยเลอะของเลือดที่แห้งแล้วก็เป็นได้ เหมือนกับหนังเรื่อง “หน้าปกสีน้ำตาลเข้ม” ที่เนื้อเรื่องเกี่ยวกับหนังสือต้องสาปอะไรทำนองนั้น- แน่นอนว่าหนังสือเล่มนั้นจริงๆแล้วไม่ได้มีเนื้อหาอะไรน่ากลัวหรอก ความจริงเนื้อหามันก็เป็นนิยายรักเลี่ยนๆที่เห็นทั่วไปตามร้านหนังสือนั่นเหละ แต่เผอิญว่าตรงกลางของเล่ม มีกระดาษเก่าๆ ที่แทบจะสลายเป็นฝุ่นเมื่อจับ มาคั่นไว้พอดิบพอดี มันเขียนอะไรบางอย่าง และตัวอักษรที่ถูกตวัดแบบแปลกๆ ด้วยปากกาหมึกสีดำ ก็คือประโยคที่ผมขึ้นต้นไปข้างบนนั่นแหละ
พอลองมาคิดดู ผมก็ว่าจริงเหมือนกันนะ อะไรล่ะคือความแตกต่าง คุณจะรู้ได้ยังไงว่า ผู้ชายที่วิ่งเข้าไปในตึกไฟไหม้ เพื่อช่วยเด็กผู้หญิงสี่ขวบ เป็นคนที่มีความกล้า หรือเป็นไอ้บ้าที่ไม่รู้ว่ามันอันตรายและโง่มากแค่ไหนที่จะเสี่ยงทำแบบนั้น หรือเราจะคิดยังไงกับผู้หญิงที่เป็นฝ่ายคุกเข่าขอแต่งงานผู้ชายกลางถนนล่ะ เธอบ้าหรือเปล่า หรือเป็นเพราะเธอกล้าที่จะเป็นฝ่ายแสดงความรัก โดยไม่รอแต่ที่จะรับอย่างเดียว แล้วถ้าหากผมยกตัวอย่างว่า หากคุณเจอกับฆาตกรโรคจิต ที่เพิ่งจะฆ่าคนไปอย่างน้อยๆเท่าที่รู้ก็สิบกว่าศพ เอาแน่ๆ ก็สิบสองศพ แล้วถ้าเกิดคุณฮึดสู้กับมันขึ้นมา คุณกระโจนเข้าไปเตะต่อยกับมัน แบบนี้คุณคิดว่าเป็นความกล้า หรือเป็นความงี่เง่าตามแบบฉบับหนังสยองขวัญที่มันมีให้เห็นบ่อยๆกันแน่?
แต่อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องของความกล้าเลย เอาแค่พื้นฐานสัญชาติญาณของมนุษย์กันดีกว่า ระหว่าง สู้หรือหนี ถ้าหากมีชายคนนึงที่ใส่หน้ากากทำจากหนังที่เหมือนเนื้อมนุษย์มาก และกรีดตรงปากเป็นเส้นโค้งเหมือนรอยยิ้ม ถือมีดคมเล่มยาว หัวเราะเหมือนคนโรคจิต แถมกำลังเดินมาหาผมในความมืดอยู่ละก็ คงไม่ต้องสงสัยเลยว่าผมจะเลือก
“หนีเร็ว!!” ผมคิดว่าผมพูดคำนี้ออกไป แต่ในความจริงแล้วไม่มีเสียงใดออกจากปากผมเลย ถึงอย่างนั้นเนธานที่นั่งก็ข้างๆ ก็พร้อมใจคลานออกมาจากใต้โต๊ะ และวิ่งหนีไปสักที่ในความมืด เนธานดึงมือผมแรงมากจนรู้สึกเหมือนแขนจะขาด แต่นั่นก็เป็นคนเขากลัว ผมก็ก็กลัว ในระหว่างที่วิ่งไปชนกับตู้ที โต๊ะที ผมก็รู้สึกเหมือนแผ่นดินกำลังไหว ตึกกำลังโคลงเคลง ที่จริงแล้วมันเป็นเสียงหัวใจเต้นรัว และร่างกายผมต่างหาก ที่สั่งจนควบคุมไม่ได้
“วิ่งเร็วๆ!” เนธานเร่งเสียงดัง เหมือนเขาจะหันกลับไปดูข้างหลัง และเห็นอะไรบางอย่างที่วิ่งตามมากระชั้นชิด เลยวิ่งเร็วขึ้น แต่ผมไม่หันกลับไปมองหรอก นี่คือสิ่งสุดท้ายที่คุณจะทำหากโดนฆาตกรไล่ล่า จำไว้เลยนะ หากกำลังหนีฆาตกรอยู่ ห้ามหันหลังกลับไปดูเด็ดขาด มันเป็นเหมือนการตีตราไว้เลยว่า “ไอ้นี่ไม่รอดแน่” เพราะพอคุณหันหลังกลับไปดูแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือ
“อ๊ะ!!” เนธานร้องเสียงดัง ตามด้วยเสียงโครมใหญ่ๆ ในขณะที่ผมซึ่งวิ่งไปได้สักพักถึงจะรู้ว่าเขาล้มลง ผมลังเลนิดๆ แล้วจึงหยุดวิ่ง ผมคิดว่าตัวเองน่าจะใกล้ถึงประตูออกแล้วเชียว อย่างไรก็ตามสายตาที่เริ่มจะปรับให้ชินกับความมืดก็พอบอกได้ว่าสิ่งที่ไล่ตามเรามานั้นหายไปแล้ว คุณอาจจะคิดว่าค่อยโล่งอก แต่เชื่อเถอะ การรู้ว่ามันวิ่งอยู่ช้างหลังเรา ยังดีกว่าการที่เราไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนเลย ในห้องมืดๆนี่
“เนธาน!” ผมตะโกนเรียกเขา แต่ไม่เต็มเสียงเพราะกลัวรอยยิ้มจะได้ยิน ถึงแม้อันที่จริงมันก็ได้ยินอยู่ดีนั่นล่ะ
“แมต!” เสียงสั้นๆของเนธานลอยกลับมา ทำให้ผมพอจะคลำทางไปหาเขาได้ “ฉันอยู่ตรงนี้”
ผมก้าวเท้าสั้นๆ แต่เร่วรีบด้วยความระแวดระวัง พยายามมองหากเนธานที่ล้มอยู่จุดไหนสักแห่ง แต่มันไม่ง่ายเลย ให้ตายสิ! ทำไมเราไม่เปิดไฟนะ แต่คิดอีกที ถ้าเปิดไป “มัน” ก็คงจะเดินมาหาพร้อมกับมอบแผลเป็นของขวัญแน่แท้ ผมมองซ้ายและขวา พยายามเพ่งมองไปในความมืด พลางคิดว่าฆาตกรพวกนี่ทำไมถึงชอบเล่นมุกเดิมๆ อย่างไฟดับ ไฟดับแล้วมันสนุกตรงไหน จะฆ่าคนแบบโรคจิตทั้งที ก็ต้องเปิดไฟสว่างๆให้มันได้เห็นตอนฆ่า ทั้งตับ ไต ไส้ พุงไปเลยสิ ว่าแล้วผมก็แทบจะเขกหัวตัวเองกับความคิดที่มาผิดเวลา
ผมสะดุดนิดนึงเพราะได้ยินเสียงของอะไรบางอย่าง ขยับอยู่ใกล้ๆ จะเป็นเนธานหรือเปล่า เพราะถ้าไม่ใช่ ก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หลังจากคลำไปในความมืดได้สักพัก ในที่สุดผมก็ยืนนิ่ง ผมหาเนธานไม่เจอ เขาเงียบไปเลย การที่จู่ๆก็เงียบไปเนี่ย ยิ่งทำให้ผมกลัวเข้าไปใหญ่ มันเงียบมากๆ… เงียบไปจริงๆ แม้แต่เสียงแมลงตัวเล็กๆ ก็ไม่มี แล้วก็หนาวมากๆด้วย
ผมจิกชายเสื้อตัวเองแน่น มองไปสองรอบข้างก็ไม่เห็นอะไร รู้สึกเหมือนเป็นกระต่ายตัวน้อยที่หลงมาอยู่ในถ้ำสิงโตยักษ์ ที่ชอบฆ่าโดยการจิกเล็บลงบนเนื้อกระต่ายที่ละชั้น ไม่รู้ว่ารอยยิ้มจะกระโจนเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้ เสียงหัวเราะนั่นก้องอยู่ในหูตลอด จนผมแทบจะไม่แน่ใจว่ามันกำลังหัวเราะอยู่ตรงหลังหูผมจริงๆ หรือแค่หลอนไปเอง ได้โปรด ขอให้ผมหายตัวได้ด้วยเถอะ ผมอยากจะลืมตาอีกทีแล้วก็ตื่นมาอยู่บนเตียงที่อพาร์ตเม้นเลย แต่พอลืมตา ผมกลับผมว่าตัวเองกำลังเล่นซ่อนแอบกับปิศาจร้ายอยู่ต่างหาก
ผมเริ่มก้าวเท้าอีกครั้ง แต่เป็นก้าวที่เชื่องช้า และลังเล ไม่รู้จะไปทางไหน ห้องสมุดอาจไม่ได้กว้างขนาดนั้น แต่ผมเดาว่าผมคงจะเดินวนอยู่ในห้องนี้ครบสิบรอบแล้วแน่ๆ ทีละก้าว… ทีละก้าว… ทุกๆ ก้าวแฝงไปด้วยความกลัว ผมเหมือนจะเห็นใคร หรืออะไรยืนอยู่ตรงนั้น แต่ก็เริ่มเห็นไปทั่วจนรู้ว่าตัวเองกำลังหลอน บางทีถ้าหาเนธานไม่พบละก็ จะดีกว่าถ้าไม่ต้องรู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอะไรไปแล้วยัง ซึ่งผมหวังว่าเขาจะยังโอเค
ครืด…. ครืด….
เสียงเหมือนของมีคม ที่ลากผ่านผิวเนื้อไม้ดังอยู่ใกล้ๆ ผมชะงัก แล้วมาหาที่มาของเสียง มันฟังดูใกล้มากๆ มันอยู่ตรงไหน จะใช่เงาลางๆ ที่อยู่ตรงนั้นหรือเปล่า หรือว่าเป็นร่างดำๆที่อยู่ใกลออกไปตรงนุ้นกันแน่ หรือว่ามันจะอยู่….. ข้างหน้าผม
“อ๊ะ…..!!”
มือแข็งๆคู่นึงจับขาผมแน่น จากนั้นรู้สึกเหมือนมีใครเอามือมาปิดปากจนหายใจไม่ออก ผมพยายามดิ้นสุดแรง กระชากมือนั่นออกไป แต่แล้วก็มีมืออีกสองสามคู่ที่ช่วยกันพันตัวผมจนดิ้นไม่หลุด แล้วก็ดึงให้ผมล้มลงไปกองกับพื้น ผมยังพยายามขยับตัว แต่เมื่อเพ่งมองไปดีๆ จึงสงบลง
“พวกเธอ..” ผมกระซิบ สามสาวนางพญานั่นเอง ผมลืมไปเลย พวกเธอกำลังนั่งจับกลุ่ม ซ่อนตัวอยู่ตรงหลืบตู้หนังสือนี่ ทั้งหมดส่งสัญญาณให้ผมเงียบๆ แล้วเข้าไปนั่งรวมกลุ่มกับพวกเธอ
“เราต้องหาทางออกไป” ใครบางคนที่นั่งอยู่ใกล้ผมที่สุดกระซิบ ผมเดาจากเสียงที่ได้ยิน น่าจะเป็นเมแกน “เนธานก็อยู่กับเราด้วย” เมแกนเสริม เขานั่งอยู่กับเราด้วยจริงๆ แม้จะมองอะไรไม่เห็นมาก แต่ผมก็แน่ใจว่าเนธานยังสบายดี ในที่สุดเราก็มารวมกันพร้อมหน้า ผมรีบเสนอให้เราวิ่งหนีออกไปจากห้องสมุดนี่เสียที
“อย่าหวังเลย…” เชย์กล่าว เธอดูสั่นนิดๆ “ตอนที่ไฟดับ พวกเราเป็นกลุ่มแรกที่รีบวิ่งไปที่ประตู แต่มันล็อก… มันเปิดไม่ออก ใครบางคนใช้แม่กุญแจล็อกจากด้านนอก”
เมื่อผมได้ยินก็แทบจะเอาหัวโขกตู้หนังสือ เนธานเสริมอีกว่า “ป้าบรรณารักษ์คนนั้น ออกจากห้องนี้ไปเป็นชั่วโมงแล้ว ปกติเธอจะทิ้งแม่กุญแจไว้ที่ชั้นบนสุดของตู้หนังสือตู้แรก พอพวกเราเสร็จธุระก็จะเป็นคนปิดล็อกห้องนี้เอง ดังนั้น ตอนนี้เธอก็คงจะคิดว่าพวกเรากลับบ้านไปแล้ว คงไม่มีใครรู้หรอกว่าเรายังอยู่ที่นี่น่ะ…”
“งั้นเราก็ติดเเหง็กอยู่ในนี้?”
“คง…. ใช่” เนธานรับเสียงอ่อยๆ
“แล้ว…. เธอมีแผนหรือเปล่าล่ะ แมต?” โซอี้ถาม …. นี่เธอถามผมเหรอ ผมเนี่ยนะ? ถ้ามี แผนเดียวที่จะไม่ถูกมันฆ่าก็คือชิงกัดลิ้นตายไปก่อนก็คงหมดเรื่อง
“นายไม่มี… แต่ฉันมี” เมแกนกล่าว
“เยี่ยม !..... รีบบอกมาเลย เมแกน” ผมและอีกสามคนรอฟังอย่างตั้งใจ
“แผนของเราก็คือ….” เมแกนสูดลมหายใจนิดๆ ราวกับว่ากำลังจะพูดอะไรที่ยิ่งใหญ่ออกมา…….
“สู้กับมันไง!”
“หา? อะไรนะ? นี่เธอบ้าไปแล้วเหรอ เสียสติรึยังไง” ผมเหี่ยวตัวลงเหมือนคนหมดแรง แผนกัดลิ้นของผมฟังดูเข้าท่ากว่าตั้งเยอะ อย่างแรกก็คือมันมีมีด ส่วนพวกเราไม่มี มันมองเห็นในความมืดมากกว่าเราอย่างชัดเจน ส่วนพวกเรา แค่ใครเป็นใครก็มองไม่ออก แล้วเราจะสู้ยังไง?
“ฉันไม่ได้บ้า!.... นายคิดว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างความบ้า กับความกล้ากันล่ะ!?” เมแกนยืนยันด้วยวลีอันสุดแสนจะคุ้นหู ซึ่งผมได้เกริ่นไปแล้วเมื่อต้นบท ซึ่งถ้าถามผม ผมคิดว่าเธอบ้า รอยยิ้มมันเป็นคน หรือผี หรือปิศาจ หรืออาจจะเป็นหุ่นยนต์ก็ได้ ใครจะไปรู้ “ฉันไม่เอาด้วยแน่ๆ” จึงเป็นคำเดียวที่ผมตอบเธอ
“โอ๊ย ให้ตายสิ แมต นายไม่เคยดูหนังสยองขวัญหรือยังไง?”เมแกนเริ่มวีน และผมเพิ่งค้นพบว่าเธอมีความสามารถวีนในตอนกระซิบได้ด้วย “ในหนังน่ะ มีแต่พวกเหยื่อโง่ๆ ที่เอาแต่วิ่งหนีฆาตกรทั้งเรื่อง นึกภาพสิ ฆาตกรคนเดียว แต่เหยื่อมีเป็นกลุ่ม ตอนวิ่ง ก็ดันวิ่งด้วยกัน ทำไมไม่หัดฉุกคิดซะบ้างว่าเรามีจำนวนคนมากกว่า ทำไมเราไปไม่รุมเขกกะโหลกไอ้บ้านั่นซะ? ”
โอเค… การพูดว่า ผมไม่เคยดูหนังสยองขวัญนี่ เป็นคำดูถูกที่ชั่วร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ยินมาเลยในชีวิต ได้สิ! ได้ จะแผนแบบไหนจัดมาเลย เรื่องฆาตกรน่ะ ผมเชี่ยวชาญอยู่แล้ว เกียรติศักดิ์ศรีของเจ้าแห่งหนังสยองขวัญจะมาหยามกันไม่ได้ง่ายๆหรอกนะ! คิดจบผมก็พยักหน้าครั้งนึงให้เมแกน
“เอาล่ะ พวกฉันก็เอาด้วย” โซอี้กล่าว ส่วนเนธานที่เงียบอยู่ก็คงต้องเห็นด้วยแม้จะไม่อยากก็ตาม “แต่เราต้องประเมินสถานการณ์ก่อนนะเมแกน ความได้เปรียบของฆาตกร คือ อาวุธ ความมืด พละกำลัง ทักษะในการไล่ล่า ทักษะการฆ่า ความวิปริต ความน่ากลัว แล้วก็เสียงหัวเราะนั่นด้วย” พอฟังโซอี้พูด ผมยิ่งรู้สึกหมดกำลังใจยังไงไม่รู้ “ส่วนความได้เปรียบของเราก็มีแค่…..”
“ความได้เปรียบของเราก็คือ…” เมแกนชิงพูด
“ความได้เปรียบของเราก็คือ เรามี โซอี้ สาวไฮเทคผู้พกอุปกรณ์ดีๆมาตั้งเยอะ
มีเชย์ สาวใสสุดนางเอก แต่จอมพลัง เป็นเจ้าแห่งคาราเต้
มีเนธาน ประธานนักเรียนสมองสุดฉลาดล้ำ ปราชญ์เปรื่องไปซะทุกเรื่อง
แล้วก็มีฉัน สาวสุดเริ่ด ผู้พร้อมที่จะปกป้องของแบรนด์เนมที่ฉันใส่มาในคืนนี้ แล้วก็พร้อมที่จะล้างแค้นให้ลิปติกชาแนล สีแดงเลือดนกฮัมมิ่งเบิร์ด รุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่น ที่กลายเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายให้กับไอ้บ้านั่นด้วย!....
ส่วนนาย เอ่อ นายก็เป็น… เหยื่อล่อชั้นดี!”
“เฮ้! หมายความว่ายังไงกัน? เหยื่อล่อน่ะ?
”เอาล่ะ คราวนี้ใครมีความคิดอะไรดีๆ บ้าง” เมแกนถาม… แต่ทุกคนก็เงียบ ต่างคนต่างครุ่นคิด ผมเองก็เช่นกัน ผมคิดว่ามีความคิดดีๆ อยู่อันนึงนะ “นี่ๆ… รอยยิ้ม ใช้แสงไฟจากโทรศัพท์เพื่อหาตำแหน่งของพวกเรา ดังนั้นถึงได้โทรหาใครไม่ได้ใช่ไหม เพราะถ้าเราใช้โทรไปหาใคร มันก็รู้ทันที แล้วมันก็จะวิ่งมาฆ่าเรา แล้ว…. ถ้าเราลองใช้แสงโทรศัพท์หลอกมันดูล่ะ..”
“เยี่ยมมาก แมต! ดีล่ะ งั้นนายก็จะต้องเป็นเหยื่อล่อถือโทรศัพท์ซะ” เมแกนกล่าว แต่ผมแทบจะตบปากตัวเองทันที ไม่น่าพูดออกไปเลยเรา
“ส่วนฉันมีกระดุมดักฟัง และตัวรับสัญญาณแบบเดียวกับที่แมตใช้ มากพอทีพวกเราทุกคนจะใช้เป็นวิทยุสื่อสารถึงกันได้” ว่าแล้วโซอี้ก็แจกเม็ดกระดุมเครื่องดักฟังให้กับทุกคน พร้อมกับที่เสียบหูอันเล็กๆ มาด้วย
“เดี๋ยวนะ… เครื่องดักฟังอะไร แล้วแมตใช้ของแบบนี้เมื่อไหร่?” เนธานถามด้วยความสงสัย ซวยล่ะสิ “เอ่อ… คือ ฉันประดิษฐ์ไว้เล่นๆ กันในกลุ่มน่ะ ไม่มีอะไรหรอก เอ้า นี่… แมต กระดุมของเธอ” โซอี้แกล้งกลบเกลื่อนราวกับว่าเพิ่งจะให้กระดุมผมมา แม้ว่าอันที่จริงผมจะติดมันมาตลอดทั้งคืนแล้วก็ตาม
“เนธาน นายเข้าห้องสมุดทุกคืน พอจะรู้ไหมว่าตอนนี้เราอยู่จุดไหนของห้องสมุด” เมแกนถาม เนธานพยักหน้า เขากล่าวว่าตอนนี้เราอยู่ประมาณกลางๆห้อง น่าจะอยู่ตรงหลืบระหว่างตู้หนังสือที่สิบห้า กับสิบหกเห็นจะได้ “งั้นนายพอจะรู้ทางเดินไปเปิดไฟที่เคาน์เตอร์บรรณารักษ์ใช่ไหม?”
“คิดว่าได้นะ..”
“เยี่ยม!... งั้นแผนของเราเป็นแบบนี้นะ แมต นายเป็นเหยื่อล่อ ไปเปิดไฟโทรศัพท์ซะ ระหว่างที่ฆาตกรไปหานาย เนธานก็จะต้องไปเปิดไฟห้องสมุด โดยฉันจะให้เชย์ใช้ทักษะต่อสู้ คุ้มกันเขาให้ดี ระหว่างนั้นทุกคนก็สื่อสารผ่านกระดุมนี่ ส่วนฉันกับโซอี้จะเตรียมตัวจัดการกับมันเมื่อไฟในห้องติดแล้ว…. โอเคนะ!”
“เดี๋ยวสิ! ไหงต้องเป็นฉันล่ะ? แล้วทำไมถึงไม่ให้เชย์มาคุ้มกันฉัน แทนที่จะเป็นเนธานล่ะ? ฆาตกรมันจะวิ่งมาหาฉันไม่ใช่รึยังไง?” ผมท้วงจนเกือบจะหลุดเสียงดัง ดีที่คุมเสียงเอาไว้ได้ “ก็ฉันเห็นนายมีทักษะในการวิ่งหนีฆาตกรดีนี่ เมื่อกี้ก็ดิ้นซะจนพวกเราแทบจะหมดแรง” เมแกนเหมือนจะแอบจิกผมหน่อยๆ “ ไม่เอาน่า แมต! ไม่เคยดูในหนังสยองขวัญหรือยังไง ฆาตกรพวกนี้มันก็มาแนวเดิมๆ ทั้งนั้นเหละ เดี๋ยวพอออกไปได้ฉันคงต้องเช่ามาให้นายดูสักเรื่องแล้ว..”
“ได้! …………เจอกัน!” ผมฮึดสู้ สูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด พยักหน้าเป็นสัญญาณให้ทุกคน ทุกคนเองก็ทำใจสักพักจนพร้อม เราติดหูฟังไว้ พร้อมที่จะสื่อสาร เนธานและเชย์กำลังมองหาเส้นทางที่จะไปเคาน์เตอร์ โซอี้เช็คความเรียบร้อยของอุปกรณ์ เมแกนยื่นโทรศัพท์ให้ผม พร้อมที่จะถีบผมออกไป
“ทุกคน…. พร้อมนะ” ผมถาม ไม่มีเสียงตอบ แต่ผมรู้ดีว่าพวกเขาพร้อม ทุกคนตั้งท่า ผมเพ่งมองออกไปในความมืด จากนั้นก็… “ไปได้!!!....”
เมแกนถีบผมออกมาจริงๆ เนธานกับเชย์คลานออกไปในความมืด ผมวิ่งออกมาเพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองอยู่ตรงกลางห้อง แล้วผมก็มองดูโทรศัพท์บนมือ มือผมสั่นระริก หัวใจเต้นรัว เหมือนมันจะระเบิดให้ได้ ผมไม่รู้ว่าความกล้า กับความบ้าแตกต่างกันอย่างไร แต่ไม่แน่ ทั้งสองอย่างอาจจะมาด้วยกัน คนจะกล้าก็ต้องบ้าด้วย ต้องบ้าพอที่จะเสี่ยงกับความตาย ต้องบ้าพอที่จะเสี่ยงจะเรื่องร้ายๆ ดังนั้นบางครั้ง เราจำเป็นต้องมีความบ้าอยู่ในตัว ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เราก็อาจจะไม่อยู่รอดเป็นมนุษย์ในที่สุด….
“แมต…. ตอนนี้ล่ะ เปิดไฟมือถือเลย” โซอี้พูดผ่านกระดุม
“ได้…” ผมค่อยๆ กดลงไปบนปุ่ม แล้วแสงก็สว่างวาบ ราวกับว่าเป็นแสงสุดท้ายของชีวิตที่กำลังจะดับลง ผมกลั้นหายใจด้วยความกลัวที่ปนอยู่ ค่อยๆ ยื่นมือออกไปข้างหน้า แล้วส่ายมันไปมา เพื่อดูว่ามันจะเข้ามาทางไหน ผมลุ้นด้วยความระทึก ปิดปากแน่น เบิกตากว้าง สอดส่องไปรอบๆ มันอยู่ไหน? อยู่ไหนกันแน่?
“เชย์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง” โซอี้ถาม
“ฉันกับเนธานกำลังคลำทางอยู่ เราไม่แน่ใจว่า…. จะใช่ทางนี้หรือเปล่า แล้วก็เราเหมือนจะได้ยินเสียงด้วย” เชย์ตอบ เสียงของพวกเขาที่ผ่านทางหูฟัง ดูจะไม่ค่อยดีนัก ผมหวังว่าพวกเขาจะเจอทางที่ถูก “แมต แล้วนายล่ะ?” โซอี้กลับมาถามผม
“ฉัน เอ่อ… ไม่ค่อยเห็นอะไรเลย แสงนี่ไม่สว่างพอที่จะส่องให้เห็นทั้งห้อง” อันที่จริง ผมมองเห็นได้แค่มือของตัวเองด้วยซ้ำ หรือว่ามันจะไปแล้วนะ? ดูเหมือนว่ามันจะเงียบจนไม่รู้ว่ามีใครอยู่แถวนี้จริงหรือเปล่า…
“…..ฉันคิดว่า …. ฉันเห็นบางอย่าง นะทุกคน ใช่ไหม เมแกน” โซ้อี้ถามเมแกนที่อยู่ข้างๆ เมแกนส่งเสียงอืมเล็กๆ เหมือนกับว่าเธอง่วนกับอะไรสักอย่าง แล้วทุกคนก็เริ่มเสียวสันหลังวาบ “ฉันไม่แน่ใจว่าทิศที่ฉันเห็นอยู่ด้านไหน ที่แน่ๆ น่าจะอยู่ใกล้ตำแหน่งของใครสักคน ไม่แมต ก็เนธานกับเชย์”
“นี่ฉันรู้สึกไปเอง หรือว่าฉันได้ยิน…. เสียงหัวเราะ?” เนธานถาม “อย่าบอกนะว่า…..”
“ไม่นะ เชย์ คุ้มกันเขาไว้ เนธาน วิ่งให้เร็วเลย!!” โซอี้กล่าวด้วยน้ำเสียงตระหนก ผมพยายามส่องไฟเพื่อหาตำแหน่งพวกเขา แต่ก็มองอะไรไม่เห็น รู้แต่ว่าพวกเขาเริ่มวิ่งแล้ว ผมยืนนิ่ง รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป
“ฉัน…. ฉันยังได้ยินเสียงหัวเราะนั่นอยู่!!” เชย์บอก “ใช่..” โซอี้ตอบรับ “ฉันก็ยังได้ยิน!...”
“ไม่!.... ไม่ใช่ ฉันคิดว่าเสียงที่ได้ยินมันไม่ได้มาจากทางฉัน” เนธานพูด “มันเหมือนฉันได้ยินมันผ่านหูฝังมากกว่า! มันดังมาจากเครื่องดักฟังของคนอื่น ไม่ใช่ของเรา!! “
“ฉันกับเมแกน เรายังโอเคอยู่ ตรงนี้ไม่มีใคร ฉันเช็คดูแล้ว…”
“งั้นก็หมายความว่า….” ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เหมือนกับใครบางคนได้ควักหัวใจผมออกไปแล้วจริงๆ ตัวแข็งทื่อ ไม่อยากแม้แต่จะขยับ แต่มือที่ถือไฟอยู่ก็ค่อยๆเคลื่อนไป… เคลื่อนไปดูที่ข้างหลัง และ….
ใบหน้าของมัน อยู่ห่างผมไม่ถึงคืบ ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่พ่นรดใบหน้าผม ใบหน้านั่น!! รอยยิ้มอันแสนอำมหิต และเสียงหัวเราะ มันอยู่ข้างหลังผมตลอดเวลา….
ผมร้องเสียงดัง และหันหลังกลับ แต่อยู่ใกล้ไป!! มันจับตัวผม และทุ่มลงไปกับโต๊ะอย่างแรง โทรศัพท์ผมกระเด็นจากมือ ผมสั่นด้วยความเจ็บปวด และความมึนงงที่เกิดขึ้นในหัว จากนั้นมันก็กดผมลงไปกับพื้นอีก ผมพยายามดิ้น แต่เจ้ารอยยิ้มทวีเสียงหัวเราะ แล้วมันก็ใช้มือข้างนึงบีบคอผมไว้ให้ติดกับพื้น และมืออีกข้าง ถือมีดเล่มยาว มันค่อยๆใช้ปลายแหลมลากลงบนผิวหน้าของผม ราวกับกำลังพินิจพิเคราะห์ แก้มผมเริ่มรู้สึกเจ็บแปล๊บ และเลือดไหลลงพื้นไม้
“แมต!!! นายอยู่ไหน!!” โซอี้ตะโกนเสียงดัง แต่ผมกลับตอบไม่ได้ เพียงแค่ครางเบาๆ เท่านั้น
มันค่อยๆเลื่อนมีดลงมาถึงคอ แล้วกดมีดลงเบาๆ แล้วค่อยๆเพิ่มน้ำหนัก คล้ายกับจะดูว่าต้องกดมีดแรงขนาดไหน คอถึงจะทะลุ แม้สองมือของผมจะพยายามจิกลงบนมือของมันตลอด แต่มันกลับยิ่งหัวเราะดังกว่าเดิม เหมือนกำลังจะบอกว่ามันบอกความเจ็บปวด ทันใดนั้น เรื่องเล่าของรอยยิ้มก็ผุดขึ้นมาในหัว
“มันจะตัดแขนของเธอ! มันจะตัดขาของเธอ! ใช้มือนั่นควักลูกตาของเธอซะ แล้วใช้มีดหั่นไปมา มันจะนับ หนึ่งชิ้น.. สองชิ้น… แล้วร้อง ฮ่า.. ฮ่า… ฮ่า…!!”
“แกเป็นใคร!” ผมเลิกใช้เล็บจิกแขน แล้วใช้มือสองข้างกดลงไปบนใบหน้าของมัน กดลงไปตรงรอยยิ้มนั้น แล้วกดลงไปบนรอยกรีดที่เหมือนเป็นตำแหน่งของตา มันนุ่มมือมาก มันบีบคอผมแรง ผมจึงกดลงให้แรงขึ้นไปอีก มันหัวเราะหนักขึ้นเรื่อยๆ แต่เริ่มที่จะผ่อนแรงบนคอ จากนั้นมันก็ผงะถอยออกไป มันจับที่ตาของตัวเองด้วยความเจ็บปวด แต่มันหัวเราะ ราวกับว่าเสียงหัวเราะ คือเสียงร้องแห่งความเจ็บปวดของมัน!
ผมได้โอกาส ผมจึงรีบยันตัวลุกขึ้นด้วยความทุกลักทุเล จากนั้นก็วิ่งไปในความมืด วิ่งสุดชีวิต พร้อมกับเสียงหัวเราะของมันที่ไล่หลังมาอย่างน่าขนลุก ผมวิ่งเร็วขึ้นอีก แต่ดูเหมือนไม่ได้อยู่ห่างเลย หนำซ้ำเสียงหัวเราะนั้นยังดังอยู่ข้างหูผม จนกระทั่งชนเข้าอย่างจังกับวัตถุแบนราบ… ผมล้มลงและรู้ว่ามันไม่ใช่วัตถุ มันคือหน้าต่าง โชคดีที่ผมไม่ได้ชนแรงพอที่หน้าต่างจะแตก ไม่งั้นคงได้ดิ่งลงจากชั้นสองไปกองอยู่ตรงพุ่มไม้ ถ้าแย่กว่านั้นคือหัวโหม่งชนคอนกรีตเละ
ผมลุกขึ้นในที่สุด เอาหลังชนหน้าต่าง แสงจันทร์อันน้อยนิดส่องผ่านกระจกใส แต่กลับไม่ได้ช่วยให้อะไรสว่างขึ้นเลย มีแต่จะทำให้ฆาตกรมองเห็นผม…. และตอนนี้มันก็วิ่งมา พร้อมกับมีดอันนั้น พร้อมกับรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ ผมจึงหลับตาลง…
ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เป็นเพราะแสบตาจากไฟดวงใหญ่ในห้องสมุดสว่างพรึ่บในครั้งเดียวกัน ทุกอย่างสว่างจ้า แสบจนน้ำตาไหล พอเริ่มปรับการมองเห็นได้แล้ว ผมก็เห็นเจ้ารอยยิ้มที่กำลังงุนงงอยู่
“ตอนนี้เเหละ!! จัดการมันเลย!!!!” เมแกนตะโกนเสียงดัง เธอกับโซอี้มาพร้อมรถเข็นสำหรับใส่หนังสือ บนนั้นเต็มไปด้วยหนังสือที่หนาและหนักพอๆ กับก้อนหิน พอจะเอาไปใช้หนุนแทนหมอนได้ “ปาให้สุดแรงเลยโซอี้!”
ทั้งคู่ปาหนังสือเล่มใหญ่แบบไม่ยั้ง หลายเล่มโดนเข้าที่หัวของมันอย่างจัง รอยยิ้มตั้งหลักไม่ทัน มันพยายามปัดป้องตัวเองจากกองหนังสือที่บินเข้ามา แต่ไม่ได้ผล เมแกนคงจะขนหนังสือพวกนี้มาเต็มรถเข็น เป็นความคิดที่เยี่ยมมาก! “เอาให้แรงกว่านี้อีก!” คราวนี้เมแกนหยิบหนังสือเล่มที่ใหญ่ที่สุด ใหญ่จนต้องให้โซอี้ช่วยถือ ทั้งคู่ชูมันไว้เหนือหัว จากนั้น ก็โยนมันเข้ามา รอยยิ้มผู้โชคร้ายโดนหนังสือเล่มนั้นเข้าอย่างจัง มันล้มลงและมีดก็กระเด็นจากมือ
“แมต! จับตัวมันไว้! เร็ว!” ผมกระโจนเข้าไปจับตัวมัน แต่มันดิ้นแรงมาก มันศอกเข้าที่หน้าผมทีนึง แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับจับตัวผมยันเข้ากับกำแพง แล้วยกตัวผมสูงจนไม่ได้เตะพื้น ผมหายใจไม่ออก!
“ออกไปเดี๋ยวนี้นะ ไอ้วิปริต!!!” เชย์วิ่งมาด้วยความเร็วจนน่ากลัว พร้อมกับตั้งท่า เงื้อหมัดขึ้น แล้วก็รัวหมัดใส่รอยยิ้มมันกระเด็นไปข้างๆ จากนั้น เนธาน โซอี้ และ เมแกน ก็วิ่งมาถึงพวกเรา ทุกคนพร้อมใจกันจับมันขึ้นมา รอยยิ้มยังคงยิ้ม อันที่จริงคงจะเป็นเพียงหน้ากากเท่านั้นที่ยิ้ม
“เอาล่ะ…. ขอดูโฉมหน้าที่แท้จริงของแกหน่อยเถอะ! ไอ้รอยยิ้ม!” เมแกนเอื้อมมือ พยายามจะกระชากหน้ากากนั่นออก ทันใดนั้นเองที่มันก็ทำในสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด มันเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็โขกหัวตัวเองกับกระจก
เสียงดังปึ๊ก ปึ๊ก กระทบเป็นจังหวะ ทุกคนงุงงกับการกระทำนั่น มัน โขกแล้ว โขกอีกอย่างแรง จากกระจกใส ก็เริ่มเกิดเส้นร้าว แตกออกไปเรื่อยๆเหมือนใยแมงมุม
“มันจะทำอะไร?!” เชย์พูดขึ้น
รอยยิ้มหัวเราะร่าส่งท้าย จากนั้นมันก็โขกหัวตัวเองครั้งสุดท้าย กระจกหน้าต่างแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เสียง"เพล้ง" ใหญ่ๆ ดังก้อง กระจกใสกระเด็นออกเป็นชิ้นเล็กๆเหมือนน้ำเเข็งที่สลายตัวลง พวกเราถูกคนตกใจ และพากันหลบเศษกระจกที่แตก มีบางชิ้นบาดเข้าที่ผิวแขน ท่ามกลางจังหวะที่ทุกคนไม่ตั้งตัวนั่นเอง....
“จะ…ทำอะไรน่ะ!” เนธานตะโกนเสียงดัง เจ้ารอยยิ้ม มันเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว และใช้มือทั้งสองข้างรัดตัวเขาแน่น! จากนั้นก็ลากเขาไป เนธานพยายามดิ้น แต่พละกำลังของมันมีมากเหลือเกิน เมื่อมันถึงกระจกที่เพิ่งแตก หน้ากากอำมหิตก็ค่อยๆดันตัวเองออกไปจากหน้าต่าง
“ไม่!!! “
ผมพยายามลุกขึ้นเพื่อไปช่วยเขา แต่ทว่า.. วินาทีที่ผมไปถึงหน้าต่าง ทั้งคู่ก็ตกลงไปพร้อมกัน ราวกับจู่ก็หายวับไป แต่ในความจริงพวกเขาตกลงไปเบื้องล่าง ผมได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างกระทบกับผนังปูน….
“เนธาน!! “ ผมชะเง้อลงไปดู สามสาวเองก็รีบลุกเข้ามาดูด้วย ภาพที่เห็นก็คือ เนธานนอนนิ่งอยู่บนพุ่มไม้…. เลือดเขาไหล… กิ่งไม้นั่นกำลังทิ่มแทงตัวเขา หัวเขาเหมือนเพิ่งจะกระเเทกกับของเเข็ง ส่วนรอยยิ้ม.. มันหายไป… มันไม่อยู่แล้ว!! มันหายไปไหนกัน!!
“พระเจ้าช่วย เนธาน! เรียกรถพยาบาลเร็ว!” เชย์อุทาน “ส่วนฉันจะโทรเรียกตำรวจ!”
---------------------------------------------------------
ผมได้แต่มองเนธานที่กำลังสำลักเป็นเลือดออกมากลางพุ่มไม้ โซอี้เป็นคนโทรเรียกรถพยาบาล และไม่ช้า… ในที่สุดไฟสีขาวแดงก็เข้ามาจากทางถนนหน้าโรงเรียน รถพยาบาลเข้ามาพร้อมกับหิ้วตัวเนธานลงเปล เขากำลังอาการหนักได้ยินเสียงพยาบาลคนนึงพูดว่า “เขาเสียเลือดมากไป”….โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรม ทั้งคู่ตกลงไปพร้อมกัน เนธานอาจกำลังจะตาย แต่ไอ้รอยยิ้มดันรอด แล้วตอนนี้มันก็ลอยนวลไปแล้วด้วย!
คืนนี้เป็นคืนแห่งฝันร้าย….
แต่คุณคงรู้ ฝันร้ายไม่เคยรู้จักพอ… มันจะมาหาคุณเสมอ
และไม่มีวันที่คุณจะหยุดฝันร้าย.. จนกว่าคุณจะตาย…
-------------------------------------------------------------
ติดตามตอนต่อไป
ความคิดเห็น