คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 7 :: วัลคาเนีย เมืองหลวงแห่งอัคคี
ผมคิดว่ามีสิ่งหนึ่งที่ผมต้องทำในขณะอยู่ที่นี่ ผมต้องกล้าหาญ ผมรู้ว่าบางครั้งผมเป็นคนที่หวาดระแวงและกลัวนู่นนี่จนเกินความจำเป็น แต่คุณโทษผมไม่ได้ ผมโตมาในสถาพแวดล้อมที่หล่อหลอมให้ผมเป็นแบบนั้น ในแต่ละเดือนที่ผ่านไป สมาชิกของกลุ่มเราจะบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตอย่างน้อยหนึ่งคน และจะมีผู้รอดชีวิตคนใหม่มาร่วมกลุ่มกับเราอีกเรื่อยๆ ในโลกที่คุณจะไม่มีวันปลอดภัย ยกเว้นคุณจะต้องหลบซ่อนใต้ดิน การหวาดระแวงถือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ใช้สอยมากที่สุด
ที่แย่ที่สุดก็คือ ทุกครั้งที่สมาชิกของเราจากไป ผมมักจะเป็นคนสุดท้ายที่เห็นเขามีชีวิตอยู่ สมาชิกส่วนใหญ่จะตายเพราะชอบเผลอทำตัวซุ่มซ่ามขณะออกล่าในเมือง บางคนก็เป็นโรคที่ไม่อาจรักษาหายได้ มีบางคนที่ฆ่าตัวตายต่อหน้าผมเหมือนกัน มันโหดร้ายมากในช่วงชีวิตของเด็กคนหนึ่งที่ต้องโตมากับสิ่งเหล่านั้น ย้อนไปแปดปีก่อน ตอนที่ทุกอย่างยังสงบ จะมีใครคาดฝันบ้างล่ะ ว่าอยู่ดีๆ โลกทั้งใบที่คอยอำนวยความสะดวกสบายให้คุณตลอดเวลาจะกลายเป็นโลกที่ทำให้คุณต้องกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดไปวันๆ
คุณไม่อาจจินตนาการได้หรอกว่ามันรู้สึกยังไงที่ต้องถูกทิ้งไว้คนเดียว พร้อมกับภาระที่หนักเกินจะแบกไหว ผมตั้งคำถามตัวเองว่าผมทำแบบนี้แล้วจะได้อะไร ต่อให้ปิดระบบโลกออนไลน์ได้ ผมก็ไม่มีใครให้กลับไปหาอยู่ดี ผมถูกทิ้งแล้ว… อยู่ในสถานที่ที่ผมไม่รู้จัก ไม่อาจคาดเดาอะไรได้ มันจะง่ายกว่าหรือเปล่าถ้าผมแกล้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วใช้ชีวิตปะปนอยู่ในโลกนี้ คอยดูมนุษย์สูญสิ้นไปเพราะความผิดพลาดของตัวเอง ผมต้องรับผิดชอบชีวิตพวกเขาด้วยหรือ ทำไมต้องเป็นผมล่ะ?
ใช่… ทุกๆ สิบนาที จะมีความคิดแบบนี้วนเข้ามาในหัวผมอยู่ตลอด
ลึกลงไปแท้จริงแล้ว ผมตระหนักได้ว่ามันคือความกลัว กลัวต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ในโลกที่เราคาดเดาอะไรไม่ได้ มันมีโอกาสที่ผมจะล้มเหลว ผมไม่รู้ว่าผมทำอะไรอยู่ และไม่มีอะไรรับประกันเลยว่าผมจะทำสำเร็จ ไม่มีใครมาคอยชี้ทางให้ หรือคอยกล่าวชมเชยเมื่อคุณมาถูกทาง ผมหลงอย่างแท้จริง หลงอยู่ในจิตใจของตนเอง
ผมนึกสงสัยว่าพวกตัวเอกในนิยายเขาทำกันยังไง? เขารู้ได้ยังไงว่าพวกเขาจะทำภารกิจของตัวเองสำเร็จ เขารู้ได้ยังไงว่าในหน้าสุดท้ายของหนังสือ ทุกอย่างจะจบลงแบบมีความสุข ทำไมพวกนั้นถึงได้มั่นใจนัก ทำยังไงพวกเขาถึงยังคงความกล้าหาญไว้ได้ทั้งๆ ที่เจอเรื่องอันตรายนานับประการ ผมสงสัยว่ามันจะมีช่วงที่พวกเขามานั่งกลัวแบบผมหรือเปล่า ช่วงที่พวกเขาไม่แน่ใจว่าตัวเองทำอะไรอยู่ อาจจะมี เพียงแต่นักเขียนไม่เคยกล่าวถึง
ผมคิดว่าผมมีสัญชาตญาณนักล่าอยู่ในตัว ซึ่งนั้นคือข้อได้เปรียบอย่างเดียวที่ผมพอจะคิดออก ผมไม่มีพลังวิเศษ มีเพียงปืนสไนเปอร์ไรเฟิลที่เพิ่งจะถูกยึดไป แล้วคุณเห็นไอ้หมาป่าเขาแพะที่กำลังลากรถของผมอยู่หรือเปล่า! มันตัวใหญ่อย่างกับม้า ผมเห็นตอนที่มันกระโดดงับกินสัตว์อะไรสักอย่างที่ผ่านมาข้างทางด้วย แค่คำเดียว สัตว์ตัวนั้นก็หายเข้าไปอยู่ในปากของมันเลย! ทางเดียวที่ผมจะสู้มันได้คือต้องใช้เซนส์ทั้งหมดที่ตัวเองมี
แต่ในสถาพที่ถูกมัดมือไขว้หลังแบบนี้ แม้แต่นักล่าก็คงต้องคิดหนัก ทหารพวกนี้เป็นใครก็ไม่รู้ พวกเขาจับผมไปทำไมก็ไม่อาจทราบได้ รู้เพียงแต่ผมกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก
ในระหว่างที่ขบวนเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ภาพทิวทัศน์จากสองข้างทางก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป มันเริ่มมีต้นไม้ ซึ่งผมหมายถึงต้นไม้จริงๆ ที่มีใบเขียวชอุ่ม ไม่ใช่ต้นไม้แห้งเหี่ยวเปื้อนขี้เถ้า ผมคิดว่าเรากำลังอยู่กลางหุบเขา เพราะเมื่อเงยหน้ามองรอบๆ ผมเห็นภูผาสูงใหญ่สามสี่ลูกตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ
มันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน รถนั้นลากเราเข้าไปในป่าลึกที่มองไม่เห็นแม้แต่ดวงอาทิตย์ ผมจมปลักอยู่กับความคิดของตัวเองนานทีเดียวกว่าจะรู้ตัวว่าตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าอีกครั้ง ผมตระหนักว่าผมยังไม่ได้นอนพักผ่อนเลยสักงีบตั้งแต่ทุกอย่างเริ่มต้น ตั้งแต่ผมเจอผู้เก็บเกี่ยวในเมืองร้าง จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ ยังไม่มีเวลาให้ผมได้นอนหลับเลย มันมากเกินไปสำหรับช่วงการตื่นหนึ่งครั้ง ผมคิดว่าผมอยากหลับในรถขนนักโทษ แต่สภาพค่อนข้างจะไม่อำนวย
มีสิ่งมีชีวิตสองอย่างให้ผมได้ชื่นชมตลอดการเดินทางแก้ง่วง อย่างแรกคือสัตว์หน้าตาแปลกๆ แห่งโลกออนไลน์ มีจำพวกนึงที่ปีนป่ายต้นไม้และคอยแอบดูขบวนของเราผ่านไป มันตัวเล็กรูปร่างคล้ายเด็กทารกอายุหนึ่งขวบแต่ผิวสีเขียวและหูแหลม พวกมันสวมเสื้อผ้าที่น่าจะถักจากเถาวัลย์สีน้ำตาล พวกนี้ไวมาก และส่งเสียงจี๊ดๆ เล็กๆ ได้แสบหูอย่างร้ายกาจ แล้วยังมีสัตว์อีกตัวนึงที่ดูเหมือนผีเสื้อ แต่ตัวใหญ่เท่านกอินทรีย์ แล้วทุกๆ ที่ที่มันบินไป มันจะปล่อยละอองอะไรบางอย่างเรืองแสงสีเหลืองในความมืดระยิบระยับ ผมแอบเห็นพวกทหารเอามือปิดจมูกทุกครั้งที่เจอละอองพวกนี้ ผมเลยกลั้นหายใจตาม
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่าสัตว์วิเศษทั้งหลาย เห็นจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่นั่งอยู่ในรถขนนักโทษกับผม พวกเขามีกันสามคน ดูท่าจะไม่รู้จักกันมาก่อน ชายสองและหญิงหนึ่ง คนแรกตัวใหญ่มากจนกินพื้นที่นั่ง เบียดคนข้างๆ จนผมแทบมองไม่เห็น โชคดีที่ไม่ได้นั่งด้านเดียวกับหมอนั่น ส่วนผู้ชายที่ถูกเบียดก็ดูจะผอมโซ สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดวิ่น ทั้งคู่มีรอยเปื้อนถ่านสีดำอยู่เต็มตัวโดยเฉพาะที่มือ ผมเดาว่าพวกเขาคงจะเป็นเหตุผลว่าทำไมทหารจึงเข้าใจผิดเรื่องที่ผมแอบเข้าไปขโมยถ่านหินศักสิทธิ์หรืออะไรสักอย่าง
คนที่ดึงดูดสายตาได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นหญิงสาวที่นั่งข้างๆ ผม เธอดูอ่อนวัย อายุน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่… ขอออกตัวก่อนนะ ถึงผมจะโตมาในโลกที่ล่มสลายและไม่ค่อยได้พบเจอผู้คน แต่ผมก็มักจะได้ดูสิ่งที่เรียกว่าภาพยนต์ และผมรู้ว่าพวกดาราหน้าตาดีๆ เขาเป็นยังไง และผู้หญิงคนนี้ ผมบอกได้เลยว่าเธอคือนางฟ้า ผิวของเธอขาวเนียนละเอียดแทบจะเปร่งประกาย ดวงตาสีเขียวมรกตสวยได้รูป ผมดำหยักศกยาวถึงกลางหลัง สัดส่วนก็โค้งเว้าตามสไตล์นางเอกหนัง รูปร่างอ้อนแอ้นน่าทะนุถนอมเหมือนเจ้าหญิง ดูไม่เข้ากับสถานที่ที่เธอกำลังนั่งอยู่เลย
สิ่งเดียวที่ดูจะขัดกับรูปโฉมอันงดงามเห็นจะเป็นท่าทางและการแต่งตัวของเธอ หญิงสาวสวมเสื้อขาวและกางเกงสีน้ำเงินรัดกุม มีผ้าผูกเอว ใส่รองเท้าบู๊ทสีดำ ดูแล้วเหมือนผู้ชาย แถมยังนั่งถ่างขา หน้าตาบอกบุญไม่รับ อาจเพราะกำลังไม่พอใจที่นักโทษอีกสองคนฝั่งตรงข้ามกำลังทำสายตาแทะโลมเธออยู่ อะไรบางอย่างที่แผ่ออกมารอบๆ บอกผมว่า เธอเป็นคนสวยประเภทที่ไม่ควรไปเตะต้อง ไม่แน่อาจจะบดขยี้กระดูกคุณได้ด้วยมือเปล่า ผมจึงพยายามนั่งตัวตรงและแสร้งมองไปทางอื่นเพราะไม่อยากถูกหมายหัวอีกคน
ยามสนธยาได้มาถึง ขบวนทหารออกมาจากภูมิประเทศภูเขาอันแสนขรุขระ มุ่งเข้าสู่ถนนเรียบที่ปูทางยาวไปถึงจุดหมาย สิ่งแรกที่ผมเห็นเลยคือแสงสว่างดวงเล็กๆ เป็นจุดๆ รวมกันเป็นกระจุกอยู่ไกลๆ สักพักเมื่อเข้าไปใกล้ก็รู้ว่าเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขา และจากตรงนี้ ผมสามารถเห็นสิ่งก่อสร้างอันสุดแสนจะยิ่งใหญ่อลังการได้อย่างชัดเจน มันคือปราสาทสีดำทมิฬ มีหอคอยและป้อมสูงใหญ่มากมาย ไฟที่เห็นเมื่อครู่คือแสงจากหน้าต่างที่ส่องประกายท่ามกลางความมืด
ผมรู้สึกเหมือนลมหายใจตัวเองหลุดลอยเข้าไปอยู่ในเมืองนั้น มันสวยงาม แม้มองจากไกลๆ ก็รู้ได้ว่าสภาปัตยกรรมต่างๆ มีความละเอียดลออในการสร้าง ผมเข้ามาอยู่ในนิยายหรือเปล่า? ความสวยงามของมันแทบจะทำให้ภาพของเมืองรกร้างและโลกที่ล่มสลายกลายเป็นเพียงฝันลางๆ ไม่น่าเชื่อว่าโลกออนไลน์จะสามารถเนรมิตทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างอัศจรรย์ ในขณะที่ทิ้งโลกแห่งความจริงให้เน่าเปื่อยไปเรื่อยๆ
มีป้ายใหญ่ทำจากทองแดงแกะสลักเป็นตัวอักษรสวยงามระหว่างทาง เขียนว่า ‘วัลคาเนีย’ ซึ่งผมเดาว่าคงจะเป็นชื่อของเมืองที่เรากำลังจะไปถึง เมื่อเข้าไปใกล้ก็จะเจอป้อมใหญ่ มีประตูไม้บานเบ้อเร้อสูงเท่ากำแพงเป็นทางเข้าเมือง มีทหารยามสองสามคนกำลังยืนเฝ้ายาม แม้แต่กำแพงก็เป็นสีดำ มันถูกสร้างขึ้นด้วยวัสดุแปลกๆ ที่ไม่ใช่หินหรือปูน พวกยามค่อยๆ ช่วยกันดันประตูเพื่อปล่อยให้ขบวนเราผ่านไป และถึงตอนนั้นแหละ ที่ทัวร์อันแสนจะน่าตกตะลึงเพิ่งเริ่มขึ้น สิ่งแรกที่ผมเห็นคือบ้านเรือนขนาดต่างๆ มีสีดำเช่นกัน ผมคิดว่ามันคือถ่านหิน พวกเขาสร้างอาคารต่างๆ ด้วยถ่านหิน!
เมื่อผ่านเข้าไปเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่ามีผู้คนต่างอายุต่างวัยเดินเพ่นพ่านเต็มถนน ตลอดทางผมยังไม่เคยเจอเด็ก อายุน้อยสุดก็คงเป็นวัยรุ่น ชาวเมืองที่นี่ชอบสวมเสื้อผ้าโทนแดงดำเป็นหลัก พวกเขาไม่มีรูปแบบยูนิฟอร์มตายตัว ผมเดาว่าพวกเขาคงชอบสองสีนั้นจริงๆ เพราะทั้งเมืองเองก็คงคอนเซ็ปต์แบบเดียวกัน บ้านสีดำ และเพลิงสีแดง จุดเด่นที่สุดของที่นี่คือทุกๆ ที่จะมีคบไฟสว่างไสวติดอยู่ ไม่ว่าจะเป็นตามบ้านเรือน หลังคา แม้แต่บนกำแพงก็จะมีคบเพลิงตั้งถี่ๆ จนทำให้ที่นี่ดูเหมือนงานเทศกาลขนาดใหญ่
เราฝ่าถนนใหญ่ของเมืองไปเรื่อยๆ โดยปลายทางน่าจะเป็นปราสาทที่อยู่ใจกลางเมือง ระหว่างทางเราผ่านจุดที่น่าจะเป็นตลาดกลางคืน ที่นี่คึกคักมาก มีพ่อค้าตั้งซุ้มขายของเป็นสิบๆ อย่าง ผมได้กลิ่นขนมปังอบสดใหม่หอมลอยเข้าจมูก ผมหิว มีผลไม้ด้วย มีอยู่ร้านนึงขายอัญมณีสีแดงที่ส่องประกายเมื่อต้องแสงจากคบเพลิง มีป้ายไม้ติดอยู่บนซุ้มว่า ‘ไอเทมทัมทิมแท้ เสริมพลังธาตุอัคคี’ นอกนั้นก็มีการแสดงโชว์เล่นกับไฟของคณะละครที่สามารถแปลงให้ไฟที่พ่นออกมาจากคฑาเปลี่ยนรูปร่างเป็นสัตว์หน้าตาพิลึกต่างๆ
เหมือนคนที่นี่จะชอบเลี้ยงสัตว์อยู่อย่าง มันเป็นตัวคล้ายๆ เต่า เพียงแต่กระดองของมันเป็นก้อนหินสีดำที่มีประกายไฟสีส้มสว่างออกมาตามรอยร้าวหิน สัตว์พวกนี้จะเดินต้วมเตี้ยมตามเจ้าของโดยมีสายจูงอยู่ตรงคอ เวลามันหายใจจะมีควันไฟจางๆ ออกมาจากจมูก ผมเห็นสนามเปิดกว้างที่ล้อมรั้วและมีที่นั่งรอบๆ มีผู้คนกำลังส่งเสียงอะไรบางอย่างข้างสังเวียน เต่ากระดองหินสองตัวกำลังสู้กัน พวกมันพ่นไฟได้ด้วย คนที่นี่ดูจะครื้นเครงและเฮฮากับการพนันว่าเต่าของใครจะชนะ พวกเขาจ่ายกันเป็นเงินเหรียญสีทองแดง
ในที่สุดพวกเราก็มาถึงส่วนของปราสาทถ่านหิน น่าแปลกที่ถ่านหินพวกนี้ไม่ติดไฟเลย ผมเห็นส่วนหน้าของปราสาทได้เพียงแวบเดียวเพราะขบวนของเรารีบอ้อมไปทางด้านหลัง มันพาเราผ่านสวนกว้างที่มีทหารเป็นกลุ่มกำลังเดินสวนสนามเฝ้ายามอยู่มากมาย ไปสู่ส่วนที่เป็นหอคอยสูงชะลูดเกือบเทียบเท่ายอดของปราสาท หอคอยแห่งนี้นี่เองที่เป็นจุดหมายปลายทางของเรา ขบวนหยุดทันที ทหารค่อยๆ เดินมาปลดกุญแจคุกแล้วปล่อยให้เราลงทีละคน พวกเขาถามชื่อเราแล้วเขียนใส่แผ่นกระดาษด้วยปากกาขนนก จากนั้นผมก็ค่อยๆ ถูกนำเข้าไปในหอหอย ระหว่างทางผมยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจ พยายามอธิบายถึงสถานการณ์เรื่องที่ผมอาจถูกเข้าใจผิด ผมมั่นใจว่าระวังคำพูดและเลือกสรรคำที่ดูจะสุภาพที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่วายโดนทหารตะคอกกลับแล้วผลักให้เดินต่อ
เมื่อเข้ามาถึงหอคอยดำ สิ่งแรกที่ผมเห็นคือบันไดเวียนขนาดมหึมา เวียนสูงขึ้นไปข้างบนเรื่อยๆ อาจเป็นสิบๆ ชั้น จนเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด ผมได้แต่เงยหน้ามองพร้อมกับเริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่าต้อนรับอย่างหยาบคาย ทหารเดินนำหน้าและรั้งท้ายขบวน ถือคบเพลิงพาเราขึ้นบันไดไป เมื่อเวียนไปได้สักสี่ชั้นก็จะเริ่มปรากฎคุกคุมขังนักโทษ ทุกห้องมีเจ้าของอยู่ก่อนแล้ว แต่ละห้องจะมีประตูเหล็กแคบๆ ที่มีหน้าต่างเล็กไว้ให้มองเห็นข้างในได้ แต่คงไม่สามารถโผล่หัวออกมาได้เพราะมีซี่กรงเหล็กถี่ๆ ที่ทำให้ลอดออกมาได้แค่นิ้วมือเท่านั้น
บรรยากาศภายในทั้งมืดและอับชึ้น มีกลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่ว แต่ละชั้นที่เราเวียนผ่านไป จะมีเสียงร้องโอดโอยครวญครางของนักโทษ ไม่ก็เสียงก่นด่าอย่างโกรธแค้นเดือดดาล นักโทษบางคนเขย่าประตูอย่างบ้าคลั่งเมื่อเห็นขบวนผู้คุมเดินผ่าน ผมมองสภาพอันน่าเวทนาแล้วตระหนักว่าไม่นานผมก็จะเป็นแบบนั้นเช่นกันถ้าไม่หาทางทำอะไรสักอย่าง
จนกระทั่งเมื่อเราไปถึงชั้นบนสุด ชั้นที่สูงที่สุด ที่นั่นมีคุกเปล่าๆ เหลืออยู่สี่ห้องพอดี ผมและคนอื่นๆ ถูกแก้เชือก จากนั้นก็ถูกจับโยนเข้าไปในห้องกระแทกกับผนังอย่างแรง ผมสงสัยว่านี่ก็คงเป็นอีกธรรมเนียมหนึ่งที่พวกทหารชอบทำ พวกนั้นทำการล็อกประตูโดยใช้กุญแจที่รวมกันอยู่ในพวงใหญ่ๆ ข้างนี้ในแคบกว่าที่คิด มีเพียงพื้นและผนังสีดำเย็นเจี๊ยบ มีหน้าต่างอยู่บานหนึ่งพอให้แสงจันทร์ส่องเข้ามา แต่ก็อยู่สูงสุดเพดานเอื้อมไม่ถึงและเล็กมากเกินไป โชคยังดีที่มีกองฟางกระจุกอยู่ตรงมุมห้องให้พวกเราทิ้งตัวนอนได้ แต่นั่นก็คือสิ่งที่ดีที่สุดของเราแล้ว
ก่อนทหารจากไป พวกเขาจุดคบเพลิงตรงผนัง พอให้พวกเรามองเห็นข้างนอก สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อพวกนั้นลับตาไปคือพยายามหาทางออก ตอนแรกพยายามลอดนิ้วออกทางซี่กรง แต่รูกุญแจอยู่ต่ำเกินไป ต่อมาก็พยายามปีนขึ้นผนังเพื่อคว้าขอบหน้าต่าง แต่พื้นผิวถ่านหินมันลื่นมาก ตบท้ายด้วยการทั้งเตะทั้งกระแทกประตูเหล็กจนหมดแรงเงียบไป
ผมไถลกองลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยหน่ายและหิวโหย ถอนหายใจยาว ทุบกำปั้นลงพื้นหนึ่งทีอย่างเหลืออด แต่แล้วก็ต้องสะบัดมือเพราะรู้สึกเจ็บ ความเงียบก่อตัวขึ้นอย่างน่าอึดอัด เงียบจนอาจได้ยินเสียงเข็มตกและหยดน้ำไหลดัง ติ๋ง ติ๋ง ผมกลอกตามองแสงจันทร์จากหน้าต่าง ไม่รู้เลยว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไหร่ รู้แต่ว่าผมนั่งอยู่อย่างนั้นนานมากจนเริ่มรู้สึกคอแห้ง ผมใกล้จะหลับ
ผมรู้สึกแปลกๆ เป็นอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนเป็นไข้ แต่รุนแรงกว่า มันทำให้ผมนั่งกระสับกระส่ายไปมาอยู่ไม่สุข ผมคิดว่าร่างกายตัวเองกำลังสั่น ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะรู้สึกเหมือนกำลังจะแตกออกเป็นชิ้นๆ ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ มันแปลกมากๆ โดยเฉพาะความรู้สึกมวนท้อง ความเจ็บปวดทำให้ผมเหนื่อยจนอยากสลบไปเสียที
“วันนี้เป็นวันซวยจริงๆ” เสียงหนึ่งเอ่ยทำลายความเงียบ ผมสะดุ้งจากอาการกึ่งหลับกึ่งตื่นแล้วเงี่ยหูฟัง คาดว่าน่าจะเป็นเสียงของนักโทษที่ถูกจับตัวมาด้วยกัน เสียงใหญ่ๆ แบบนี้น่าจะเป็นของชายตัวใหญ่คนนั้น “ข้าก็แค่อยากได้ไอเทมกลับไปขาย”
“ช่าย” อีกเสียงหนึ่งตอบกลับ น่าจะเป็นเสียงของชายตัวผอม “ร้อยวันพันปี ข้าแอบเข้ามาขุดเศษถ่านหินศักสิทธิ์ทุกสัปดาห์ ยังไม่เคยเจอพวกทหารออกมาลาดตระเวน กะว่าจะเอาถ่านหินไปขายตามร้านตีอาวุธ ดาบเพลิงทมิฬขายได้ราคาจะตาย ไม่ต้องพูดถึงโล่ห์ ลูกค้าของข้าจ่ายราคางามเสมอ แล้วคนที่ซื้อจะเป็นใครล่ะ ถ้าไม่ใช่พวกทหารธาตุอัคคี ทำมาเป็นดัดจริตจับตัวข้า พวกเขาน่าจะขอบคุณข้าด้วยซ้ำที่ลงทุนลำบากมานั่งขุดหินหายากพวกนี้”
“เป็นเพราะนกฟินิกซ์นะสิ” ชายตัวใหญ่ว่า “เจ้าก็เห็น ข้าแทบหัวใจวายตอนที่เห็นอะไรบางอย่างบินขึ้นจากปล่องภูเขาไฟพันปีนั่น ข้าไม่เคยเชื่อว่ามันมีอยู่จริงด้วยซ้ำจนกระทั่งวันนี้ พวกทหารถึงได้แห่กันมาจับตัวพวกเรา เหลือเชื่อเลยจริงๆ ออกไปจากคุกได้เมื่อไหร่ ข้าจะไปเล่าให้เมียของข้าฟัง”
“นี่เจ้ายังหวังจะได้กลับไปอยู่อีกรึ การบุกรุกเข้าป่าศักสิทธิ์มีโทษถึงประหารเชียวนะ! โดยเฉพาะราชาอัคคีน่ะ ขึ้นชื่อเรื่องความมุทะลุดุดัน ไม่ยอมโอนอ่อนกับเรื่องแบบนี้ง่ายๆ แน่” ชายตัวเล็กออกอาการหวาดผวา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงคนที่น่าจะเป็นราชาของเมืองนี้
“ข้าล่ะอิจฉาพวกธาตุวารี ธาตุแสง กับธาตุพฤกษาเสียจริง พระราชากับพระราชาชินีของธาตุเหล่านั้นขึ้นชื่อเรื่องความใจดีและมีเมตตา โดยเฉพาะราชาแห่งแสงสว่าง ข้าได้ยินว่าเขามีเวทมนต์ที่ช่วยทำให้รูปลักษณ์ยังคงความอ่อนเยาว์เหมือนเด็กอายุสิบห้าได้แม้วัยจะล่วงเลยมาเกือบห้าสิบปีแล้วก็ตาม” ชายตัวใหญ่ยังคงน้ำเสียงไว้ปกติ ดูเหมือนจะไม่สนเรื่องที่ตัวเองต้องถูกประหารเท่าไหร่ ผมตัดสินใจลุกขึ้นมองลอดผ่านซี่กรงประตู ก็เห็นชายทั้งสองกำลังโผล่หน้าออกมาสนทนาอยู่เช่นกัน
“ต้องราชินีแห่งพฤกษาสิ ความงามของนางไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความเมตตาและความเก่งกาจเลย ข้าฝันอยากจะเจอนางสักครั้ง” ชายตัวเล็กพร่ำเพ้อทำหน้าเยิ้มเหมือนกำลังฝันหวาน
“ก็แน่ล่ะซี นางไม่ใช่มนุษย์ เป็นชาวเผ่านางไม้ต่างหาก ชาวนางไม้ขึ้นชื่อเรื่องรูปโฉมอันงดงามอยู่แล้ว”
“ช่าย ผิดกับราชาอัคคีของเราที่เป็นเผ่าครึ่งอสูร นั่นยิ่งเสริมให้เขากลายเป็นจอมบ้าพลังเข้าไปใหญ่ เจ้าเคยเห็นอาวุธของราชาตอนออกรบไหม? กรงเล็บอัคคีเป็นที่เลื่องชื่อไปทั่วทุกดินแดน อาวุธพิเศษที่ถูกตีขึ้นเพื่อพระองค์โดยเฉพาะ ทรงพลังถึงขนาดที่พระองค์ไม่ต้องใช้โทเทมประจำตัวเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครล่วงรู้ความสามารถโทเทมของท่านเลยแม้แต่คนเดียว”
“ข้าล่ะอิจฉาพวกที่เกิดมาพร้อมโทเทมที่มีความสามารถเหนือผู้อื่นจริงๆ ไม่ยุติธรรมเลย เจ้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันใช่ไหมล่ะ พวกเราเป็นได้เพียงชนชั้นต่ำที่ถูกกดขี่เพียงเพราะมีไม่มีพลังมากพอจะเป็นทหาร หากพวกเราทั้งสี่มีพลังมากพอ การจะแหกคุกออกไปคงไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็อย่างที่เขาว่ากัน คุกน่ะ มีเอาไว้ขังผู้ที่อ่อนแอเท่านั้น” ชายตัวใหญ่ส่งเสียงตัดพ้อเขย่าประตูเหล็กสองสามทีอย่างเหนื่อยหน่าย ก่อนที่สายตาจะมาบรรจบที่ผม
“อ้าว… จะว่าไปแม่นางทั้งสองทำไมจึงทำตัวเงียบเช่นนั้น ไม่มาร่วมวงสนทนาด้วยกันหรอกรึ กลัวอะไรไปล่ะสาวน้อย พวกข้าอยู่ในนี้ ทำร้ายเจ้าไม่ได้หรอก โดยเฉพาะสตรีผมดำผู้นั้น ช่างเลอโฉมเสียจริง เหตุใดจึงถูกจับมาพร้อมกับพวกข้าล่ะ ฮ่าๆ” ชายตัวเล็กส่งเสียงออกสำเนียงแทะโลมอย่างน่ารังเกียจ อย่างเดียวที่สะกิดให้ผมแปลกใจคือเรื่องที่เขาพูดว่า ‘แม่นางทั้งสอง’
“ผม… เป็นผู้ชาย” ผมส่งเสียงออกไปเบาๆ เริ่มเอามือกอดตัวเองไว้เพราะรู้สึกว่าถ้าไม่ทำแบบนั้น ร่างกายผมจะแยกออกเป็นส่วนๆ เอาล่ะ… คราวนี้ผมจริงจังมากๆ ผมไม่เคยรู้สึกปวดไปทั่วตัวแบบนี้มาก่อนเลย แทบจะกลั้นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องออกมาไม่ไหวแล้วด้วยซ้ำ
“อ้าว! เจ้าเป็นบุรุษหรอกรึ? แล้วทำไมจึงไว้ผมยาว” ชายตัวใหญ่ส่งเสียงถามอย่างแปลกใจ ไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อก็มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาอย่างฉับพลันประหนึ่งสายฟ้าฟาด
“ผมยาวแล้วจะทำไม? เหตุใดบุรุษจะไว้ผมยาวไม่ได้?” เสียงโทนทุ้มของหญิงสาวคั่นกลางบทสนทนา ความแข็งกระด้างในน้ำเสียงทำให้ผมสะดุ้ง สำเนียงของเธอไม่เหมือนผู้หญิง ท่าทางทะมัดทะแมงในการพูดทำให้ผมนึกว่าเธอเป็นผู้ชายที่บังเอิญมีเสียงหวานเหมือนผู้หญิงมากกว่า “พวกเจ้าเลิกยึดเอาค่านิยมปัญญาอ่อนของพวกยูนิตี้มาใช้เสียที พวกนั้นชอบล้างสมองให้พวกเราคิดเหมือนกัน ผู้ชายต้องเป็นผู้ชาย ผมสั้น ตัวใหญ่ ดื่มเหล้า เที่ยวกลางคืน ผู้หญิงต้องเป็นผู้หญิง ผมยาว อ่อนน้อมถ่อมตน เป็นแม่บ้าน ห้ามมีปากมีเสียง คิดแบบนั้นมีแต่จะส่งเสริมให้พวกมันควบคุมเราได้ง่ายขึ้น!”
เราทั้งสามสะอึกคำพูดไม่รู้จะกล่าวอะไร สมองแทบจะประมวลสิ่งที่เธอพูดไม่ทัน ใบหน้าของหญิงสาวโผล่ออกมาให้พวกเราได้เห็นบ้าง เธอกำลังทำสีหน้าเรียบๆ จ้องมองพวกเราสามคนสลับกัน
“ใจเย็นๆ ก่อนแม่นาง ข้าก็แค่ไม่ค่อยพบเห็นบุรุษที่ยังไว้ผมยาวตั้งแต่พวกยูนิตี้แผ่ขยายอำนาจเท่านั้น” ชายตัวเล็กแก้ต่างให้ แต่สายตามองตรงไปที่หน้าอกหน้าใจของหญิงสาวอย่างหื่นกระหาย
“อ๋อ ชอบล่ะสิ ลองมองให้นานกว่านี้ ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออก แล้วโปะรูโบ๋ๆ บนหน้านั่นด้วยเกลือ จากนั้นข้าก็จะคว้านสมองของเจ้าออกทางรูนั่น แล้วเอาพริกยัดเข้าไปให้เจ้าแสบจนตาย” หญิงสาวกล่าวเสียงเย็น ยิ้มมุมปาก ทำสายตายั่วยวนแต่เป็นที่ชวนขนลุกของผู้พบเห็น
“แหม เกรงว่าเจ้าจะทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก เราทุกคนติดอยู่ในคุกนี่นา” ชายตัวเล็กส่งเสียงยียวน
“สิบนาที” เธอกล่าว
“อะไรนะ?”
“ข้าสาบานว่าภายในสิบนาที ข้าจะออกไปจากที่นี่ได้ แล้วข้าจะอัดเจ้าให้กระเด็นไปติดอยู่กับกำแพง” เธอบอก ท่าทางดูไม่น่าจะใช่แค่การพูดขู่ เธอตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ เพียงแค่ดูสีหน้าก็รู้แล้ว
“เจ้าจะออกไปอย่างไรกัน?” ชายตัวใหญ่ถาม
“คอยดูแล้วกัน… แต่ก่อนออกไป ข้าอยากจะได้ผู้ช่วยสักคน หนึ่งในพวกเจ้าทั้งสามคน ไหนลองบอกจุดเด่นของพวกเจ้ามาซิ ข้าจะเลือกคนที่ดูมีประโยชน์ที่สุด พาหนีออกไปกับข้าหนึ่งคน”
“เลือกข้าสิแม่นาง” ชายตัวเล็กลดน้ำเสียงอวดดีลงบ้าง หญิงสาวทำให้ทุกคนเชื่อได้จริงๆ ว่าเธอสามารถช่วยให้เราออกไปได้ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง “ข้าน่ะมีความรู้เรื่องการสะเดาะกลอนนะ ข้าเคยแอบเข้าไปขโมยของในบ้านคนอื่นบ่อยครั้ง แม้แต่ประตูของปราสาทข้าก็รู้วิธี ข้าช่วยเจ้าออกไปได้”
“ขอบใจ แต่ข้ารู้เรื่องสะเดาะกลอนดีอยู่แล้ว แถมเจ้าก็ผอมบางอย่างกับไม้เสียบผี ประโยชน์อย่างเดียวคือข้าอาจจะเอาตัวเจ้ามาควงแทงชาวบ้านเล่นเหมือนหอก” เธอบอกปัดอย่างไม่ใยดี แถมยังแอบจิกกัดได้เจ็บแสบ ถ้าไม่ใช่เพราะผมยังคงมีอาการปวดตามตัวอยู่ ผมอาจหัวเราะไปแล้ว
“ต้องข้าสิ ข้าตัวใหญ่ มีพละกำลัง ข้าเคยรับจ้างแบกต้นไม้ทั้งต้นจากป่ามาสร้างบ้าน อีกอย่าง ข้ามีลูกเมียรอข้าอยู่” ชายตัวใหญ่โฆษนาตนเองเต็มที่ หญิงสาวฟังอย่างสนอกสนใจ
“อืม… ฟังดูเข้าท่า เจ้าน่าจะพอล้มทหารเวรได้สักคนสองคน ข้าจะเก็บเจ้าไว้เป็นตัวเลือก” เธอบอก จากนั้นก็หันมาที่ผมบ้าง “แล้วเจ้าล่ะ เจ้าเตี้ย มีอะไรดีกับชาวบ้านเขาบ้าง?”
“ฉันเหรอ? เอ่อ…” ผมพยายามคิด แต่คิดไม่ออก ผมในตอนนี้ไม่มีอะไรติดตัวอยู่เลย ไม่มีอาวุธ ไม่มีสิ่งของ ไม่มีแผนที่ ไม่มีกำลังพอจะไปสู้กับใคร แถมยังมีอาการปวดแปลกๆ นี่อีก มันปวดเกินไปแล้ว ผมเผลอส่งเสียงออกมาด้วยทีนึง “โอย… ฉัน ฉันยิงแม่น แต่ ฉันไม่มีอาวุธ ถ้าเธอพาฉันกลับไปเอาของที่ถูกยึดได้ ฉันก็ช่วยเธอได้”
“ยิงแม่นงั้นรึ? เจ้ายิงธนูเป็นงั้นใช่ไหม?” เธอถาม
“เปล่า ฉัน… ยิงปืนเป็น” ผมพยายามประหยัดคำพูดให้ได้มากที่สุด ขาสองข้างทนไม่ไหว เริ่มจะคุกเข่าทรุดลงไปตรงนั้น
“ปืนเหรอ? เจ้า…พูดเรื่องอะไร? แล้วทำไมเจ้าพูดสำเนียงแปลกๆ เหมือนกับ…” เธอค้างอยู่อย่างนั้นแล้วเงียบไป ย่นคิ้วแล้วจ้องผมเขม็ง เหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง “เจ้าแต่งตัวพึลึก ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน เจ้ามาจากไหน เจ้าเตี้ย”
“ฉันเพิ่งมาถึงที่นี่”
“ที่นี่งั้นรึ?”
“โลกออนไลน์”
“เจ้าพูดว่าอะไรนะ!!” เธออุทานเสียงดัง “พูดใหม่อีกทีซิ!”
“ฉัน… ไม่ไหวแล้ว” ผมล้มลงไปตรงนั้น สายตาเริ่มพร่ามัว สิ่งที่เห็นข้างหน้ามันรวนไปหมด ภาพทุกอย่างซ้อนกันจนไม่อาจแยกออก ผมเห็นมือของตัวเองเริ่มออกอาการแตกเป็นก้อนๆ เหมือนมันจะสลาย แต่ก็ไม่สมบูรณ์ ก้อนข้อมูลยังกระจุกพอให้เห็นเป็นรูปร่างของอวัยวะ ผมปวดหัวจี๊ดรุนแรง อยากจะระเบิดออกมาให้ได้ ร่างกายเริ่มแยกออกเป็นส่วนๆ โปรแกรมในตัวผมไม่เถรียร มันกำลังจะสลายไป!
“ไม่!!!” ผมกรีดร้องเสียงดังเพราะไม่อาจกัดฟันทนได้มากกว่านี้ ทุกอย่างมาถึงขีดสุดแล้ว ผมกำลังจะตาย
“นั่นมัน… ข้าเคยเห็นแบบนั้นมาก่อน! เจ้าคือ…” หญิงสาวพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมไม่ได้ยินอีกต่อไป ผมหลับตา รู้สึกว่าตัวเองไม่มีน้ำหนัก ประสาทสัมผัสปนกันมั่วไปหมด จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตาอยู่บนมือ เท้าอยู่บนหัว ขาต่อกับแขน ผสมปนเปกันไปเพราะตอนนี้ผมคงรูปร่างของตัวเองไว้ไม่ได้ ผมกลายเป็นข้อมูลสี่เหลี่ยมล้านๆ ก้อนที่ลอยอยู่ในอากาศ
มันเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุด ผมเห็นตัวเห็นและชิ้นส่วนของตัวเองลอยอย่างไร้น้ำหนัก แล้วจากนั้นก็เกิดแสงสว่างวาบ ผมมองไม่เห็นอะไรอีก ผมคิดว่ามันคือความผิดพลาด สิ่งประดิษฐ์ของแม่คงผิดพลาด ตัวผมไม่อาจทนสภาพในการเป็นไวรัสได้อย่างที่แม่คิด มันผิดมาตั้งแต่ต้น มันไม่ควรจบแบบนี้เลย ผมยังไม่ทันได้ต่อสู้เลย
“เป็นไปไม่ได้!!” มีเสียงแทรกเข้ามาในโสตประสาตแห่งความว่างเปล่า เป็นเสียงของนักโทษชายทั้งสองที่อุทานเป็นภาษาต่างกัน แต่เสียงที่เด่นชัดที่สุดกลับเป็นเสียงของหญิงสาว แต่เสียงทั้งหมดก็ยังดูอู้อี้ เหมือนผมกำลังฟังเสียงจากในน้ำ จนกระทั่งทุกอย่างรอบตัวเริ่มดังขึ้น หลายๆ อย่างเริ่มชัดขึ้น ผมเห็นภาพมัวๆ กลับมามองเห็นอีกครั้ง ผมกำลังคืนสภาพเดิม ผมมองเห็นมือของตัวเองแล้ว ร่างกายก็กลับมาแล้วด้วย ผมเบิกตากว้างๆ เอามือลูบทั่วตัวเพื่อยืนยันว่าตัวเองยังไม่ตาย แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบว่า…
ผมไม่ได้อยู่ที่เดิม ผมไม่ได้อยู่ในคุก ผมออกมาอยู่ตรงทางเดินนอกคุก ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!?
ผมค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น มองไปรอบๆ นักโทษทั้งสามจ้องผมตาค้าง ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้แต่ผมเองก็ยังไม่เชื่อ ผมมองกลับไปยังห้องขังที่ตัวเองเพิ่งออกมา ประตูยังคงล็อกแน่นหนา ไม่มีใครมาเปิดประตูให้ แล้วผมออกมาได้ยังไง? ผมหายตัวออกมาจากคุกงั้นเหรอ? ผมทำแบบนั้นได้ด้วย!
“ไม่… ไม่ผิดแน่!” หญิงสาวส่งเสียง ผมหันไปหาเธอ “เจ้าคือกลิชเชอร์!! เจ้าคือผู้ใช้บัค!!”
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
ความคิดเห็น