ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Smile คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน! (บทส่งท้าย) จบบริบูรณ์

    ลำดับตอนที่ #7 : ตอนที่ 6 : คืนที่รอยยิ้ม...ฆ่าคน

    • อัปเดตล่าสุด 21 มี.ค. 56


     


            แน่นอนว่าหนังสยองขวัญเป็นอะไรที่ผมโปรดปรานมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าผมจะดูแต่หนังแนวนี้อย่างเดียวหรอกนะ พวกตลก รักโรแมนติกก็ดูบ้าง หรือถ้ามีหนังกระแสแรงๆผมไม่พลาดหรอก แต่ถ้าพูดถึงประเภทหนังที่ผมชอบอันดับสองละก็ ต้องยกให้แนวสืบสวนสอบสวนไปเลย อาจจะไม่มีเลือดสาด สยองขวัญ แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นศพ แถมยังได้อารมณ์ระทึกตอนที่พระเอกกำลังสืบเรื่องราวต่างๆอีก

     

              หนังสืบสวนที่ผมชอบมากที่สุด ก็ต้องยกให้เรื่อง “คดีฆาตกรรม คนเห็นหมี” ที่ตอนจบพระเอกตาย ผู้ร้ายหนีไปได้ และนางเอกติดคุก ถ้าคุณยังไม่เคยดูละก็ เรื่องนี้เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมแนะนำเลยล่ะ

     

              แต่ต่อให้ผมชอบหนังแนวสืบสวนมากขนาดไหนก็ตาม ผมก็ไม่เคยคิดอยากจะเป็นพวกนักสืบ สืบเสาะเรื่องราวบ้าบอๆแบบนั้นหรอกนะ ไม่เคยเลยจริงๆ อาจจะเป็นเพราะผมไม่ได้หัวดีถึงขนาดจะเห็นนู่นนี่ แล้วรู้ว่า เฮ้! นั่นมีดที่คนร้ายใช้ปาดเนยบนขนมปังหลังจากกระชากสร้อยเหยื่อนี่นา….  แต่ก็นะ เทพเจ้าแห่งความโชคร้าย ดูเหมือนจะไม่ได้คิดแบบนั้นสักเท่าไหร่

    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

    “แมต….

     

              ผมหันไปตามเสียงเรียก ในขณะที่ตัวเองกำลังเดินอย่างเหม่อลอยในโถงของโรงเรียนตอนเช้าวันศุกร์ นี่ก็ปาเข้าไปสามวันแล้ว หลังจากที่ผมเจอเหตุการณ์ในห้องน้ำหญิงนั่น ผมบอกตัวเองว่าอย่าเอาตัวไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้เป็นดีที่สุด พวกเราตัดสินใจที่จะเก็บเรื่องวันนั้นไว้ และไม่แจ้งตำรวจ สามสาวนางพญาดูเหมือนจะกลัวกันมาก แต่คงไม่เท่ากับที่พวกญาติๆผมมีปฎิกิริยาตอบสนองต่อตัวอักษรที่เขียนบนกระจกหรอกนะ   

     

              นั่นเป็นอะไรที่น่าสงสัยมากเลยทีเดียว โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นญาติของคุณเอง (ถึงจะเป็นญาติที่เพิ่งรู้จักกันสี่วันก็เถอะ) ผมตัดสินใจสลับกันนั่งโต๊ะกับญาติผม วันแรกนั่งกับกลุ่มเนธาน พวกนี้ถกเถียงเรื่องน่าเบื่อแต่ดูอัจฉริยะเกินวัย ถ้าคุณเคยดูสารคดีประวัติศาสตร์ละก็ คุณอาจจะแปลกใจเพราะตอนนี้เรามีระบบแบบ 3D ให้รับชมที่โรงอาหารแล้ว วันต่อมาผมไปนั่งที่โต๊ะพวกของอเล็กซ์ พวกนี้รัศมีจับซะจนผมต้องเอามือบังแสงออร่าขณะกินข้าว ส่วนมากพวกเขาจะพูดถึงเรื่องภาพยนต์ที่ได้รับรางวัลออสก้า ฝีมือการแสดงของนักแสดงคนนั้นคนนี้ แล้วก็มีเรื่องเคล็ดลับการดูแลตัวเอง ก็ได้ประโยชน์ดีนะ แต่ผมรู้สึกว่าจากที่ตัวเองดูหมองแล้ว ผมกลายเป็นแกะดำไปเลย ส่วนกลุ่มของคริสเตียน พวกนี้เอะอะโวยวายพูดเสียงดัง แล้วก็ชอบเล่นพิเรนๆ มีการปาอาหารใส่กันบ้าง และเรื่องเดียวที่พวกเขาคุยกันก็คือเรื่องจำพวก เครื่องดื่มโปรตีนเสริมกล้ามเนื้อ      สารภาพตามตรงว่าผมเองก็หนักใจไม่น้อย เพราะวันนี้เป็นวันที่สี่ ผมจะไปนั่งกับใครดีล่ะเนี่ย?

     

    “แมต! ได้ยินไหม?”

     

              “เอ้อ ห๊ะ? เอ่อ มีอะไรเหรอ?” เมื่อผมหันไปก็พบว่าเป็นกลุ่มของสามสาวนางพญาที่เดินเฉิดฉายเรียกชื่อผมมาแต่ไกล ผมไม่ค่อยได้คุยกับพวกเธอนับหลังจากวันนั้น แต่ผมก็มีเวลามากพอที่จะได้ข้อมูลเกี่ยวกับสามสาวเพิ่มขึ้น เมแกนคือเจ้าแม่แฟชั่น บ้านเธอสวยล้นฟ้า พ่อของเธอเป็นเจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าสุดหรูชื่อดัง ส่วนเชย์คือสาวแกร่ง นิสัยเธออ่อนหวานแบที่เห็นได้ทั่วไปในละคร พูดได้ว่าเป็นคนอ่อนโยน และนิสัยดี แต่ประวัติที่ผ่านมานั้นโชกโชน เธอชนะการแข่งขันคาราเต้ในเวทีใหญ่ๆตั้งแต่อายุสิบสาม ฝีมือการต่อสู้เป็นที่เลื่องลือ และปัจจุบันเธอเป็นหัวหน้าชมรมศาสตร์ป้องกันตัว แต่ก็นะ ด้วยนิสัยที่นางเอกเกินไป เธอจึงไม่เคยใช้กำลังกับใครให้เห็นเลย ไม่เว้นแม้แต่ตอนในห้องน้ำนั่นส่วนโซอี้ เธอเป็นอัจฉริยะทางด้านอิเล็กทรอนิค ประดิฐเครื่องมือต่างๆที่สุดแสนจะล้ำ สามารถแฮคเข้าคอมพิวเตอร์ใครก็ได้ด้วยเวลาอันสั้น เธอเหมือนจะเป้นเด็กเรียน แต่ไม่ใช่ นี่คือตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เด็กเรียนไม่จำเป็นต้องแต่งตัวเฉิ่มๆ ใส่แว่นหนาๆเสมอไป ที่สำคัญโซอี้ยังครองตำแหน่งรองประธานโรงเรียนด้วย ผมเดาว่าเธอนี่เหละ ที่เนธานแอบชอบ

     

              “คือพวกเราได้ลองปรึกษากันดูในกลุ่มแล้ว พวกเราคิดว่า เราอยากจะเดินหน้าต่อ” เมแกนกล่าวในขณะที่สามสาวตรงไปยังล็อคเกอร์ของแต่ละคน เป็นเรื่องบังเอิญอย่างยิ่ง ที่ล็อคเกอ์ของทั้งสามอยู่ติดกับผมพอดี ถ้าเรียงตามลำดับตำแหน่งก็คือ เมแกน ผม โซอี้ และเชย์ เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าขนลุกเล็กน้อยจริงๆ

     

    “เฮ้ เดี๋ยวๆ! พวกเธอพูดถึงเรื่องอะไรน่ะ? เดินหน้าอะไร?”

     

              “อ้าว” โซอี้ถอดหูฟังที่เสียบกับไอพ็อดของเธอออกแล้วโน้มตัวเข้ามาใกลพร้อมกับพูดเสียงเบา “ก็เรื่องนั้นไงความลับของรอยยิ้มน่ะ! เราตัดสินใจว่าจะเดินหน้า สืบเรื่องนี้ต่อ

     

              “ไม่ๆพวกเธอยังไม่เข็ดกันอีกหรือไง? ฟังนะ ฉันไม่มีทางเอาตัวเองไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นอีกต่อไปแล้ว ผมยื่นคำขาด ไม่เข้าใจเลย ไหงพวกเธอยังยืนยันที่จะให้ผมช่วยพวกเธออีก ผมเจอเรื่องพวกนี้มาพอแล้ว ผมก็แค่อยากมีชีวิตแบบเด็กมัธยมปลายทั่วไปกับเขาบ้าง


    “ได้โปรด..” เชย์เข้ามาใกล้แล้วทำท่าขอร้อง “เธอเป็นความหวังสุดท้ายของพวกเรานะ”


              “ใช่ พวกเราไม่รู้จะทำยังไง เราพยายามมาเป็นเดือนเพื่อที่จะหาทางเข้าใกล้พวกนั้น แล้วตอนนี้เธอก็เข้ามาเธอจะทิ้งพวกเราแบบนี้เหรอ?” โซอี้อ้อนวอนอีกคน


              “ฉันข้อร้องด้วย…. นะ” เมแกนพยายามดัดเสียงอ่อนหวาน แต่ผมกลับรู้สึกว่าเป็นเสียงขู่กรรโชกมากกว่า ผมยืนนิ่งอยู่นานจนกระทั้งคนรอบข้างเริ่มหันมามอง สามสาวพร้อมใจกันประสานสายตาขอร้อง ผมทำตัวไม่ถูกเพราะคนรอบข้างหยุดดูแล้วชี้มาทางผมอย่างสงสัย ให้ตายสิ นี่มันเรื่องสาระชะมัด ผมเกลียดเรื่องพวกนี้ แต่ก็นั่นเหละ เทพเจ้าแห่งความซวยมากจะเป็นฝ่ายชนะเสมอ

     

              “ก็ได้…. ผมตอบเสียงห้วนด้วยสภาพจำยอม สามสาวยิ้มอย่างดีใจ ผมได้แต่ส่ายหน้าเบาๆในขณะที่เดินเข้าเรียนวิชาแรก

     

    “เจอกันที่โรงอาหาร!...” เชย์ตะโกนไล่หลัง ดูเหมือนว่าผมจะได้โต๊ะนั่งตอนพักเที่ยงแล้ว

     

     

    “เธอต้องตั้งใจฟัง.. เรื่องต่อไปนี้สำคัญมาก”


              ผมพยักหน้าเบาๆ ดวงตาจ้องเขม็งอยู่ที่ถาดสตูเนื้อรถชาติจืดชืด พลางยืดขาที่อยู่ใต้โต๊ะโรงอาหาร ช่วงนี้ทั้งสัปดาห์ผมู้สึกว่าตำรวจแทบจะยึดครองโรงเรียนไปแล้ว ทุกๆวันเด็กนักเรียนจะถูกเรียกตัวไปสอบสวน สอบปากคำ มีบางคนเล่าว่าโดนตำรวจซ้อมเพื่อให้สารภาพว่าเขาเป็นคนฆ่าเพื่อน ซึ่งผมคิดว่านั่นมันโม้ทั้งเพ


              “ดูนี่” โซอี้หยิบของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าผ้า ท่าทางระมัดระวังอย่างมาก “นี่คือเครื่องดักฟังขนาดเล็กที่ฉันทำเอง”


              ผมมองดูเจ้าสิ่งของที่มีขนาดเล็กเท่ากระดุม มันมีสีดำและแบนทำจากเหล็ก ด้านหนึ่งมีเข็มเล็กๆที่น่าจะใช้สำหรับกลัดเสื้อ ผมหยิบมันขึ้นมากลิ้งบนมือดูเล่นๆ เจ้านี่น่ะนะ? เครื่องดักฟังแล้วเราจะใช้เครื่องดักฟังไปทำอะไรล่ะเนี่ย?  โซอี้เงียบพักนึงก่อนจะอธิบายต่อ  “เครื่องดักฟังขนาดจิ๋วนี่  จะส่งสัญญาณเสียงมาที่ตัวรับของฉัน” เธอชูแท่งสี่เหลี่ยมรูปร่างคล้ายโทรศัพท์ มีที่เสียบสำหรับหูฟังอยู่ด้วย “แน่นอนว่าความสามารถของมันคงจะสู้กับของที่พวกสายลับใช้กันไม่ได้ แต่ขอบเขตของสัญญาณนี่ส่งไปได้ใกลพอสมควร อย่างมากสุด น่าจะส่งสัญญาณเสียงไปได้ไกลทั่วเมือง นั่นหมายความว่า ไม่ว่าเธอจะอยู่ที่ไหนของเมืองนี้ เราจะได้ยินเสียงของเธอ แต่ยิ่งไกลเท่าไหร่ คุณภาพเสียงก็จะยิ่งลดลง”

     

    “เธอทำนี่เองคนเดียวเหรอ?” ผมเลิกคิ้ว แอบอึ้งเล็กน้อย “แล้วเราจะใช้มันทำอะไรล่ะ?”


              “ก็ใช้ดักฟังไง”เมแกนตอบ “อย่างที่บอก ฉันต้องการให้นายตีสนิทกับพวกญาติๆของนาย ทำให้พวกนั้นไว้ใจ ทำยังไงก็ได้ให้พวกนั้นบอกนายเรื่องความของรอยยิ้ม หรือไม่ ถ้าจะให้ดี ตอนที่พวกนั้นเผลอ นายต้องแอบเอาเครื่องดักฟังนี่ไปติดกับเสื้อ กระเป๋าหรืออะไรก็ได้ บางที เราอาจจะได้ยินอะไรดีๆบ้างก็เป็นได้

     

    “เดี๋ยวๆๆ นี่มันไม่ละเมิดสิทธิส่วนตัวไปหน่อยรึไง? ถ้าเขาจับได้ขึ้นมา คนที่ซวยจะเป็นฉันต่างหาก”

     

              “ไว้ใจพวกเราเถอะน่า ต่อให้พวกนั้นจับได้ ก็ไม่มีใครรู้อยาดีว่าเจ้าเม็ดเล็กๆนี่ จริงๆแล้วคือเครื่องดักฟัง นายอ้างเอาว่าเป็นแค่กระดุมที่หลุดออกมาเฉยๆก็ยังได้ “ เมแกนพยายามกล่อมให้ผมใจเย็นลง หากแต่ว่าเรื่อว่านั่นไม่ช่วยแม้แต่น้อย ทำไมผมถึงต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก น่าจะตอบปฎิเศษไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วนะเนี่ย

     

              “พวกเธอ” ใครบางคนก้าวช้าๆตรงมายังโต๊ะของพวกเรา ผมและสามสาวหันไปมองแล้วก็รู้ทันที คุณตำรวจหมีพูห์นั่นเอง ตลอดทั้งสัปดาห์ พวกเราทั้งสี่มักจะถูกเรียกไปสอบสวนอย่างน้อยวันละครั้งโดยเขาเป็นคนเดียวที่สอบสวนพวกเราทุกครั้ง น่าแปลกประหลาดที่เด็กคนอื่นๆ แค่ถูกสอบสวนเพียงไม่กี่นาทีครั้งเดียวก็ถูกปล่อยตัว มีแต่พวกเราเท่านั้น ที่ถูกเรียกไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า แถมยังโดนสอบสวนนานกว่าคนอื่นอีก  อย่างไรก็ตาม ผมแปลกใจอยู่ไม่น้อย ที่คราวนี้เขาถึงกับบุกมาโรงอาหาร เพื่อมาหาพวกเรา

     

              “วันนี้ฉันมีคำถามที่อยากจะถามพวกเธอเพิ่มเล็กน้อย” นายตำรวจกล่าวสั้นๆ สายตากวาดมองพวกเราทีละคนราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง  ผมรู้สึกขยลุกซู่เพราะไอ้ความรู้สึกเป็นกันเอง และอบอุ่นที่ผมเคยคิดนั้นเริ่มจะจางหายไปทุกที พวกตำรวจเป็นแบบนี้เลยทุกคนหรือเปล่า เวลาที่เขาเจอผู้ต้องสงสัย?

     

              “ฉันเกลียดจริงๆที่ตำรวจอ้วนนั่นทำแบบนี้” เมแกนโพล่งออกมาทันทีเมื่อเห็นว่าเขาเดินจากไปแล้ว “มองไปรอบๆสิ ทุกคนเริ่มจะคิดว่าเราเป็นคนฆ่าพวกนั้นแล้วนะ”   ผมเห็นด้วยกันเธออย่างยิ่ง เพราะนักเรียนเริ่มจะซุบซิบกันเองและพยายามเลี่ยงไม่มองพวกเราเลยสักโต๊ะ ซึ่งนั่นดูไม่เป็นธรรมชาติเท่าไหร่

     

              “แต่ไงก็เหอะ….” ผมเปลี่ยนเรื่องโดนไม่สนใจคนรอบข้าง “เธอจะให้ฉันเริ่มตีสนิทกับใครล่ะ? ฉันหมายถึง สามกลุ่มนี่ ไม่มีใครที่ฉันรู้สึกว่าเข้ากันได้สักคน

     

              “อืม…..” เมแกนทำท่าคิดก่อนจะทำมือส่งสัญญาณเพื่อบอกโซอี้กับเชย์ว่าต้องการระดมสมอง.. หลังจากที่สามสาวปรึกษาโดยเอาหัวชมกันอยู่นาน นี่สุด เชย์ก็บอกว่า   “จากที่พิจารณาดูสามกลุ่ม  กลุ่มของพวกเด็กเรียนน่าจะง่ายที่สุด พวกนี้โกหกไม่เป็นหรอก โดยเฉพาะหัวหน้ากลุ่มก็พล่ามทั้งวัน น่าจะหลุดปากง่ายที่สุด แถมสมาชิกกลุ่มก็มีแค่สี่คน  น่าจะง่ายกับนายมากที่สุดแล้วล่ะ”…..   

     

              หา?  อะไรนะ?  กลุ่มของเนธานน่ะเหรอ? ผมไม่อยากเป็นศพต่อไปเพียงเพราะเกิดอาการทนพิษบาดแผลที่เกิดจากการเบื่อเรื้อรังจนเสียชีวิตหรอกนะ

     

    “เอาล่ะ  งั้นนายน่าจะเริ่มได้เลยนะ!” โซอี้ว่า  


    “ใช่ นายไปนั่งกับพวกนั้นสิ ไปตีสนิทเข้าไว้!” เมแกนเสริม


              “ดูสิ พวกนั้นมองมาทางเธอแล้วนะ เข้าไปเลย อย่าให้เสียโอกาส “ เชย์ที่นั่งข้างๆพยายามลากและผลักใสผมออกมา ผมจำเป็นต้องยกถาดอาหารแล้วลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ เนธานยิ้มเมื่อเห็นผมเดินเข้ามา

     

               “ไงเนธาน จะเป็นอะไรมั้ยถ้าฉันจะนั่งด้วย?”  เนธานเขยิบที่ให้แทนคำตอบ ผมลงไปนั่ง เมื่อมองไปทั่วโต๊ะก็เจอแต่เหล่าเด็กเรียน ผู้ซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตลายเดียวกับของเนธานเปี๊ยบ ผมสงสัยว่ามันเป็นเครื่องแบบประจำกลุ่มหรืออะไร แถมพวกนี้ยังมีทุกอย่างตรงตามลักษณะของเด็กเรียนสากลในหนังทุกประการ ตั้งแต่แต่งตัวเรียบร้อย หวีเรียบๆ ใส่แว่นหนาเตอะ ผมเข้าใจจริงๆว่าเด็กเรียนไม่ได้เป็นแบบนี้ทุกคนหรอก แต่กลุ่มนี้มัน.. เหมือนกันจริงๆ 

     

              “ได้ยินว่าพวกนายจะเอ่อ ไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุดตอนเลิกเรียนจนดึกเลยใช่ไหม?  เผอิญฉันค่อนข้างสนใจน่ะ ฉัน…. อะแฮ่ม   อย่างเข้าร่วมกับพวกนายด้วยจังเลย”  ผมฝืนกัดฟันพูด หลังจากนั้น เนธานและคนในกลุ่มก็ยิ้มแก้มปริกว่าเดิม

     

             “ฉันกะแล้ว! ว่าในที่สุดนายก็จะตัดสินใจอย่างถูกต้อง ฉันรอเวลานี้มานานแล้ว! ฉันดูนายไม่ผิดเลยจริงๆ แมต! ฉันขอกล่าวอย่างเป็นทางการว่า ยินดีต้อนรับนายด้วยความเต็มใจ เอาล่ะ! งั้นเรามาฉลองด้วยการดื่มซุปบำรุงสมองสูตรใหม่ ที่แม่ฉันทำให้ดีกว่า แล้วเรามาคุยเรื่องประวัติศาสตร์ของผู้คิดค้นฝาเปิดกระป๋องน้ำอัดลม และอุดมการณ์แฝงที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ต่อชีวิตประจำวันได้ดีกว่า!!!


              และแล้ว…. ตลอดเที่ยง ผมก็นึกเสียใจจริงๆ ที่เลือกมาเข้ากลุ่มเนธาน หากแต่ไม่รู้เลยว่า ผมจะต้องเสียใจกับเหตุการณ์บางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้

       ----------------------------------------------------------------

     

             “แมต….ถึงเวลาแล้วล่ะ” โซอี้เตือน เธอส่งเครื่องดักฟังอันจิ๋วให้ ผมรับมาแล้วกลัดมันไว้ที่ขอบปกให้ดูเหมือนกระดุม ผมรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ต้องถามอะไร ต้องพูดแบบไหน พวกเนธานถึงจะยอมหลุดปากพูดเรื่องนั้นออกมา นี่ยังไม่พูดถึงเรื่องที่ เนธานจะรู้เรื่องความลับนั่นจริงๆหรือเปล่า ด้วยนะ

     

              “เพื่อความชัวร์ เราสามคนตกลงที่จะตามไปดูเธอห่างๆในห้องสมุดด้วย เราอาจจะช่วยสังเกตสีหน้าและพฤติกรรมที่ผิดสังเกตุของพวกกลุ่มนั้นได้” เชย์กล่าว เธอปัดผมสีแดงที่บังหน้าออกเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวเสริม  “และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ แมต….  อย่ายอมรับถ้าหากโดนจับได้ อย่าทำตัวมีพิรุธ เพราะพวกนี้น่ะ หูไวตาไว อย่าเพิ่งถามอะไรที่น่าสงสัยในช่วงแรก รอให้พวกเธอสนิทกันและสถานการณ์ผ่อนคลายลงก่อน จากนั้นก็ยิงคำถามซะ”

     

             “พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าถ้าเนธานเกิดจับได้ขึ้นมา เขาต้องไม่นับญาติกับฉันอีกแน่ๆ?” ผมพูดขณะมองไปนอกหน้าต่างด้วยความกังวล แม้จะเป็นเวลาห้าโมงเย็น แต่พายุกลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ลมแรงพัดผ่านไปทั่วโถงโรงเรียน ประตูหลายบานถูกพัดตามแรงลมกระทบกำแพงดังปึงปัง เศษกระดาษปลิวว่อนไปทั่ว สามสาวต้องเอามือบังผมไว้ไม่ให้เสียทรง  “ไม่รู้สิพวกเธอมองท้องฟ้าดูมืดครึ้มอย่างกับฟ้าจะถล่ม เป็นลางไม่ดียังไงไม่รู้ ถ้านี่เป็นหนังสยองขวัญละก็ อีกสักประมาณสองสามชั่วโมงโดยเฉลี่ยจะต้องมีคนตายแหงๆ”

     

              “อย่าคิดมากน่ะพวกเราก็อยู่ด้วย จะเป็นอะไรไป” เมแกนตบไหล่ให้กำลังใจเล็กน้อย ก่อนที่เราทั้งสี่จะได้ยินเสียงฝีเท้าเดินมาตามโถงอาคารที่ว่างเปล่า เมแกนดูมีท่าทีเร่งรีบขึ้น “เฮ้! พวกนั้นมาแล้ว เอาล่ะพวกเราไปหลบที่ห้องน้ำหญิงก่อน แมต เธอรีบทำเป็นเดินไปเจอพวกนั้น ให้เหมือนว่า บังเอิญเจอกันพอดี แล้วก็ไปห้องสมุดกับพวกนั้นเลยนะ ส่วนพวกเราจะรอให้ผ่านไปสักสามสิบนาทีก่อนแล้วค่อยตามไป จะได้ไม่มีใครสงสัย”

     

              ผมพยักหน้า สามสาวเดินเข้าห้องน้ำหญิงอย่างรวดเร็ว ส่วนผมสูดหายใจเข้าลึกๆเล็กน้อย พยักหน้ากับตัวเองนิดๆ จากนั้นก็พุ่งตัวเดินไปข้างหน้า แวบนึงที่ผมคิดว่าหากเอาแว่นตาหนาเตอะ กรอบกลมๆแบบที่พวกเขาชอบใส่ จะทำให้ผมดูกลมกลืนขึ้นหรือเปล่า แต่คิดอีกที มันช่างเป็นความคิดที่แย่มาก อยู่เฉยๆผมก็ดูเอ๋อพออยุ่แล้วมั้ง..

     

              “แมต! เนธานกับเหล่าเพื่อนในกลุ่มที่แต่งตัวเป็นขบวนการเด็กเรียนอะไรสักอย่าง หยุดอยู่ตรงหน้าผม “กำลังหานายพอดีเลย เดี๋ยวจะไปห้องสมุดด้วยกันใช่ไหม?   งั้นก่อนอื่นฉันต้องแนะนำเพื่อนๆในกลุ่มก่อนนะ” พูดจบเนธานก็แนะนำเด็กเรียกในกลุ่มที่เหลือ แต่ผมรู้สึกตื่นเต้นจนแทบจะจำชื่อใครไม่ได้เลย รู้แต่ว่ามีทั้งหมดสี่คน ชายสอง หญิงสอง ชายคนนึงใส่แว่นตาสี่เหลี่ยม ชายอีกคนใส่แว่นตากลมๆ หญิงคนนึงใส่กระโปรงยาวแต่สีแดงฉูดฉาด แต่หญิงอีกคนใส่กระโปรงสั้น สีดำเรียบร้อย…. คิดว่าน่าจะจำได้ไม่ยากหรอก   เนธานเดินนำผมไปยังห้องสมุดตรงชั้นสามที่เขาเคยพาผมมาดูผ่านๆแล้ว แม้ห้องสมุดแห่งนี้จะไม่ใหญ่เท่าห้องสมุดโรงเรียนเก่า แต่คุณภาพหนังสือก็นับว่าดีมากเลยทีเดียว มีตู้หนังสือใหญ่มากมายที่เรียงราย และโต๊ะไม้จำนวนมาก ผมรู้สึกถึงบรรยากาศคุ้นๆชอบกล ที่แย่คือบรรยากาศนี่มาพร้อมกับความอึดอัดในอดีต

     

              พอเดินเข้ามา ก็พบกับบรรณนารักษ์หญิงคนหนึ่งที่อายุน่าจะสักห้าสิบกว่า เธอดูจะคุ้นเคยกับพวกเนธานเป็นอย่างดี เหล่าคนในกลุ่มยิ้มและทักทายเธอ หญิงสูงอายุกล่าวกับพวกเราสั้นๆว่า “คืนนี้ดึกเหมือนเดิมใช่ไหม?”   เนธานพยักหน้า ผมเพิ่งจะรู้ว่าปกติพวกแม่ของเด็กกลุ่มนี้ ดูจะไม่ซีเรียสเองที่พวกเขากลับบ้านดึกๆเอาเสียเลย แต่ก็อย่างว่าเหละ พวกเขามาอ่านหนังสือกันนี่เนอะ  และแล้วเนธานและเพื่อนๆก็นั่งลงตรงโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ไกลสุดๆ เรียกว่าเป็นโต๊ะที่หลบอยู่ในหลืบมุมห้องห้องสมุดเลยก็ว่าได้ เงียบสงบไม่มีเสียงรบกวน เหมาะที่จะเป็นแหล่งซ่องสุมของเด็กเรียนจริงๆ   ทุกคนนั่งลงด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม เก้ามีจำนวนเท่ากับคนในกลุ่มของเนธานพอดี ผมจึงเดาว่าโต๊ะนี่น่าจะเป็นโต๊ะประจำของพวกเขา ชายที่ใส่แว่นกลมๆ เดินไปลากเก้าอี้อีกตัวมาเพิ่มให้สำหรับผม ส่วนหญิงที่ใส่กระโปรงสั้นสีดำ เอาสเปรย์ระงับกลิ่น(?) มาฉีดทั่วบริเวณจากนั้นก็เช็ดโต๊ะซะสะอาดเอี่ยมอ่อง

     

              “ก่อนอื่นเลย…. ฉันต้องขอกล่าวต้อนรับสมาชิกใหม่ในกลุ่มเราอย่างเป็นทางการเพื่อนพี่ชาย น้องชาย.. คนใหม่ของฉัน.. แมต ฟิตซ์!”  เนธานกล่าวต้อนรับด้วยเสียงเบา ส่วนคนที่เหลือก็ยิ้มให้เงียบๆ คงเพราะที่นี่เป็นห้องสมุด

     

              “ฉันคิดว่านายคงยังไม่รู้ถึงรายละเอียดของกิจกรรมที่เราทำมากนัก  ฉันจะขออธิบายเลยก็แล้วกัน  ทุกๆชั่วโมง เราจะมีประเด็นให้ถกเถียงกัน แต่ละประเด็นฉันจะเป็นคนกำหนดเอง โดยประเด็นต่างๆฉันก็จะเอามาจากสมุดจดเล่มนี้..” เนธานชูสมุดจดเล่มเล็กปกหนังสีน้ำตาลเข้มให้ดู “ยกตัวอย่างเช่นชั่วโมงนี้ ประเด็นที่เราจะถกเถียงกันก็คือ “ระบบการศึกษาที่บกพร่อง มีผลกับสภาพจิตใจของผู้เรียนอย่างไร”    พอท้ายชั่วโมงเราก็จะสรุปผมการถกเถียง จากนั้นชั่วโมงต่อไป ฉันก็จะเมประเด็นใหม่ ทำแบบนี้จนสักสี่ทุ่ม พวกเราก็จะแยกย้ายกลับบ้าน   และกฎข้อเดียวที่นายต้องจำไว้ก็คือ อย่าใช้อารมณ์มาเกี่ยวข้องเด็ดขาด ส่วนเรื่องเสียงดัง ไม่ต้องกังวล เพราะตำแหน่งของโต๊ะในห้องนี้ เป็นตำแหน่งเดียวที่เก็บเสียงได้มากที่สุด ฉันเคยทดลองมาแล้วล่ะ”

     

    ผมพยักหน้า พยายามทำเป็นเข้าใจถึงสิ่งที่เขาพูด เนธานมักจะพูดอะไรแบบเร็วและรัวเสมอ ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไรต่อ การถกเถียงประเด็นต่างๆก็ดำเนินขึ้น ผมได้แต่นั่งเอ๋อ แต่ละคนใช้ศัพท์ยากๆ ทางวิชาการที่ผมต้องใช้เวลานานในการตีความ  ผมรู้สึกใบ้กินทุกครั้งที่พวกเขาพยายามถามถึงความคิดเห็นของผม แต่ผมก็เอาตัวรอดมาได้จากการจำเอาคำที่พวกรายการต่างๆชอบพูดกันเวลาวิจารณ์เรื่องนู้นนี้   ผมเริ่มจะคิดแล้วว่าชีวิตของคนช่างต่างกับหนังสยองขวัญเหลือเกิน ในหนังจะบอกกันโต้งๆไปเลยว่าพวกนี้เรียนเก่ง จับนักแสดงมาแต่งตัวให้เรียบร้อย จากนั้นก็ให้พวกเขามาโดนฆ่าเป็นรายแรกๆ  แต่ในชีวิตจริงดูพวกเขาสิ พวกเขาไม่ใช่แค่เด็กเรียนเก่ง แต่เด็กพวกนี้มีความรักและความพยายามในสิ่งที่ตนเองทำ เด็กเรียนในชีวิตจริงไม่ได้น่าสมเพศ หรือน่าอิจฉาแบบในหนังเลย พวกเขาดูน่าทึ่งเสียมากกว่า

     

    “เอาล่ะ…. ก็จบไปแล้วสำหรับประเด็นแรกของพวกเราในชั่วโมงนี้” เนธานกล่าวสรุปอย่างพอใจ ผมรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจี๊ดๆ ไม่เคยต้องใช่สมองคิดอะไรมากแบบนี้มาก่อนเลย  นี่เรายังมีอีกตั้งหลายชั่วโมง แล้วผมจะไปรอดหรือเปล่าเนี่ย? ไม่นานนัก ก่อนที่เนธานจะเริ่มเข้าสู่ประเด็นใหม่ผมก็สังเกตเห็นว่า สามสาวนางพญาเข้ามานั่งในห้องสมุดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ พวกเธอพยายามอยู่ตรงจุดห่างๆ เพื่อให้ถูกสงสัยน้อยที่สุด สายตาของเมแกนส่งสัญญาณให้ผมเริ่มทำหน้าที่ได้แล้ว

     

              “เอ่อ เนธาน” ผมแทรกขัดจังหวะกลางกลุ่ม “ฉันมีเรื่องอะไรบางอย่างน่ะ ที่ฉัน….  แบบ แอบสงสัยมานานแล้ว” 


    “เรื่องอะไรหรือ? นายถามพวกเรามาได้เลย ฉันรู้ทุกเรื่องอยู่แล้ว รับประกัน” ทุกคนทำหน้า ท่าทางสนใจ

              ในสิ่งที่ผมจะถาม
    ในเมื่อพวกเขาเสนอมา ผมก็จะสนองตอบ ไหนๆก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถามเลยแล้วกัน

              “ฉันมาอยู่ที่นี่ได้สัปดาห์นึงแล้วได้ยินเรื่องต่างๆมาก็เยอะ   มีบางเรื่องที่ฉันไม่เข้าใจ เกี่ยวกับ” ผมเว้นจังหวะเล็กน้อยเพื่อ สังเกตสีหน้าของทุกคน “ความลับของรอยยิ้ม….” ผมพูดไปในที่สุด  ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น บรรยากาศมาคุแปลกๆก็ก่อตัวขึ้นรอบๆ ทุกคนทำสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด และดูหวาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด ต่างคนต่างมองหน้ากันและกัน  มีลับลมคมในอะไรบางอย่างผมบอกได้เลย พวกเขาต้องมีเรื่องปิดบังอยู่แน่

     

              “แมตไม่ว่า นายจะได้ยินเรื่องพวกนั้นมายังไงนะฉันขอยืนยันเลยว่า เรื่องพวกนี้มันเหลวใหลทั้งเพ เป็นเรื่องมั่วๆที่รุ่นพี่แต่งขึ้นเพื่อหลอกให้รุ่นน้องกลัวเล่นๆน่ะ” เนธานตอบ แต่คำพูดช่างขัดแย้งกับท่าทางแข็งๆของเขาเหลือเกิน เหล่าสามสาวที่แกล้งทำเป็นนั่งอ่านหนังสืออยู่ไกลๆทำท่าเอือมระอา ดูเหมือนพวกเธอจะไม่มีทางได้ข้อมูลอะไรมาง่ายๆแน่

     

              “อย่ามัวแต่พูดถึงนิทานหลอกเด็กเลย มาคุยเรื่องสาระกันดีกว่า!” เด็กหญิงใส่กระโปรงยาวสีแดงพยายามเบี่ยงประเด็น

              “ใช่งั้นเรามาดูประเด็นต่อไปที่เราจะถกเถียงกันเลยดีกว่า” เนธานพยายามทำเสียงให้ดูร่าเริงจนน่าขนลุก เขาหยิบสมุดเล่มเล็กสีน้ำตาลเพื่อดูหัวข้อของประเด็นถัดไป

     

    “ประเด็นถัดไปของพวกเราก็คือ….

    “พวกเธอ อยากลองตายโดยมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าไหม?”

     

              “อะไรนะ???” ผมเงยหน้า มองเนธานด้วยความงุนงน พยายามทบทวนสิ่งที่ตัวเองได้ยิน “นายล้อเล่นหรือเปล่าเนี่ย?”   คนอื่นๆก็มีท่าทางสับสนไม่แพ้กัน แม้แต่เนธานที่เป็นคนอ่านหัวข้อเองก็ดูเหมือนไม่เชื่อสายตาตัวเอง

     

               “นี่มันอะไรกัน?” เนธานพยายามเพ่งมองไปที่ตัวอักษรสีแดงบนหน้ากระดาษของเขา “ใครมาเขียนอะไรในสมุดบันทึกของฉัน? จำได้ว่าไม่ได้เขียนซะหน่อย แล้วนี่อะไรเนี่ย ลงท้ายชื่อว่า….” เขาเงียบไป   “รอยยิ้ม????”

     

              “อะไรนะ!” ผมสะดุ้ง ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วโน้มตัวลงดูสิ่งที่เขียนไว้ใช่จริงๆ รูปแบบตัวอักษร และสัญลักษณ์รอยยิ้มที่ลงท้ายข้อความ มันแอบมาเขียนในสมุดของเนธานตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?  คนในกลุ่มแอบซุบซิบอะไรบางอย่าง พวกเขามีท่าทีหวาดระแวง เนธานพลิกไปยังหน้าต่อไปมีตัวอักษรเขียนในหน้านั้นเช่นกัน

     

    อะไรอยู่ใต้โต๊ะเอ่ย? รอยยิ้ม J

     

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า!!!!

              เสียงหัวเราะอันแสนพรั่นพรึง ดังมาจากที่ไหนสักแห่ง เป็นเหมือนเสียงของเด็กหลายคนที่กำลังเล่นสนุก แต่เสียงนั้นเริ่มทุ้มต่ำลงเรื่อย ทุกคนตกใจกลัว รวมถึงผมเองก็ผวาเล็กน้อยกับเสียงไร้ที่มา ฟังดูแล้ว คิดว่าน่าจะเปิดจากเทปมากกว่า โดยสัญชาติญาณ ผมและเนธานก้มลงดูใต้โต๊ะทันที เมื่อหยีตาดู ก็พบกล่องใบเล็กๆ ขนาดพอที่จะใส่หัวคนลงไปได้ บนตัวกล่องถูกห่อด้วยกระดาษห่อของขวัญลายการ์ตูน ที่มีสัญลักษณ์ของรอยยิ้มอยู่เต็มไปหมด ผมและเนธานมองหน้ากัน เขาทำท่าเหมือนไม่อยากจะแม้แต่มองดูเจ้ากล่องนั่น ผมจึงตัดสินใจหยิบกล่องขึ้นมาบนโต๊ะ

     

              “นั่นมันอะไร?” เด็กชายที่ใส่แว่นกรอบสี่เหลี่ยมถาม  ผมไม่ตอบ ฉีกกระดาษห้องของขวัญออก แล้วเปิดฝากล่องลังกระดาษเพื่อดูสิ่งที่อยู่ข้างใน แม้ว่าคนอื่นๆจะทำท่าพยายามห้ามไม่ให้ผมเปิด แต่ก็สายไปเสียแล้ว

     

              ตามที่คาด ในกล่องมีเครื่องอัดเสียง ที่ถูกตั้งเวลาให้ดังเอาไว้ตอนนี้โดยเฉพาะ ช่างเป็นเวลาที่เหมาะเหม็งเกินไป รอยยิ้มมันรู้ได้ยังไงว่าพวกเราจะอ่านข้อความนั่นตอนไหน?... คิดอีกที มันเขียนไว้ที่สมุดจดหัวข้อสนทนาของเนธาน และเขาต้องอ่านมันทุกๆชั่วโมงใหม่ มันก็เลยกะเวลาถูกงั้นสินะ…  แต่อีกสิ่งหนึ่งที่ถูกเก็บไว้ในกล่องลังนี่สิเล่มที่หนามากๆ หนาเท่ากับหนังสือสิบเล่มรวมกันเลยด้วยซ้ำ  บนหน้าปกหนังสือเขียนว่า

     

    “คู่มือวิธีการสร้างรอยยิ้มให้บุคคลรอบข้าง”

     

              “ขอฉันดูหน่อย” เด็กชายแว่นกลม แย่งหนังสือจากมือผม เขารีบเปิดหนังสือเล่มนั้นดูอย่างวิตกกังวล ก่อนที่จะอ่านสิ่งที่เจ้ารอยยิ้มเขียนไว้ในหน้าแรกของบทที่หนึ่งในเล่ม

     

    รีบเปิดไฟเร็ว! รอยยิ้ม J

     

    “หมายความว่ายังไง?” เนธานสงสัย “รีบเปิดไฟ?  ไฟไหน?”

                                                                                                                                                                   

    พรึ่บ!!!!

     

              แสงไฟดับลง เหลือเพียงความมืดเข้ามาแทนที่ ไม่นานทุกคนก็พร้อมใจกันประสานเสียงดังด้วยความตกใจ ผมรู้สึกถึงความเคลื่อนไหวรอบตัว ทุกคนกำลังตื่นตระหนก พวกเขาวิ่งวุ่นไปทั่ว แม้แต่เนธานก็พยายามควานหาโทรศัพท์แล้วเปิดมันเพื่ออาศัยแสงในการมองเห็น

     

              “เดี๋ยว!.... เก็บโทรศัพท์นั่นซะ” โซอี้ซึ่งนั่งอยู่ไกลๆตะโกนมาจากจุดไหนสักแห่ง   ผมซึ่งกำลังจะเปิดโทรศัพท์บนมือจึงชะงักลง แต่สำหรับคนอื่น เสียงเตือนของผู้หญิงที่ไหนไม่รู้คงจะไม่มีค่าเท่ากับแสงไฟในเวลาอันน่าหวาดหวั่น แสงไฟริบหรี่จากโทรศัพท์รุ่นเก่าๆ ค่อยๆฉายแสงบอกตำแหน่งของแต่ละคน

     

              “โทรศัพท์ของนายล่ะ เนธาน?” เด็กผู้หญิงที่สวมกระโปรงสั้น สีดำถาม เธอเป็นคนที่อยู่ไกลจากผมที่สุด  แสงจางๆเผยให้เห็นเนธานที่เหมือนกำลังก้มหาอะไรบางอย่าง ผมเข้าใจว่าเขาคงทำโทรศัพท์ตก ผมซึ่งยืนนิ่งจึงก้มลงไปช่วยเขาหาด้วยคน แสงของโทรศัพท์เนธานตั้งอยู่คล้ายลูกไฟดวงเล็กๆตรงใต้โต๊ะ ผมเอื้อมมือไปหยิบ

     

    กรี๊ดดดดดดดด!!

     

              เสียงกรีดร้องดังขึ้น ผมสะดุ้งตกใจจนหัวโขกกับขอบโต๊ะ แล้วแสงไฟจากโทรศัพท์ของเด็กหญิงกระโปรงสั้น สีดำ ก็ดับวูบลง เหลือแสงไฟน้อยๆอีกสามดวง แสงเหล่านั้นสั่นไปมาบ่งบอกถึงความกลัวของผู้ถือโทรศัพท์ เนธานลุกขึ้นท่าทางตั้งใจจะโกนถามหาเด็กผู้หญิงคนนั้น

     

              “อ๊ะ!!!  เดี๋ยวนะ! ฉันเห็น….. เสียงของเด็กผู้ชายที่น่าจะใส่แว่นสี่เหลี่ยมดังตะกุกตะกัก  ผมจ้องมองแสงเขาด้วยความอยากรู้ปนความกลัว ผมรอฟังว่าเขาจะพูดอะไรต่อ แต่เสียงที่ตามมากลับเป็นเพียงเสียง “ฉึก!” พร้อมกันนั้น แสงไฟสีขาวจากโทรศัพท์ก็เปลี่ยนเป็นสีแดงทึบ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะแสงมันเปลี่ยนสี แต่มันเป็นเพราะของเหลวสีแดงที่เลอะจออยู่ต่างหาก จากนั้นแสงที่เปื้อนเลือดก็ค่อยๆร่วงลงพื้น กระแทกสองสามที แล้วก็ดับไป ผมตัวแข็งทื่อเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไร จากนั้นก็รีบดึงแขนของเนธานให้เข้ามาหลบอยู่ใต้โต๊ะด้วยกัน

     

              ทั้งผมและเขาต่างรู้สึกกลัว ราวกับมีดแหลมๆกำลังจ่อคอแน่น หรือไม่ก็คงกำลังมีคนบีบคอเราอยู่จริงๆ เพราะผมแทบจะไม่หายใจเลย เพราะกลัวว่า “อะไร” ที่อยู่กับเราในนี้จะได้ยินเสียงที่เราพ่นลมออกทางจมูก 

     

              แสงไฟอีกสองดวง ที่ยังคงเหลืออยู่แยกย้ายไปคนละทาง แต่เสียงของเด็กผู้หญิงสวมกระโปรงยาวสีแดงเท่านั้น ที่กำลังครางสั่นด้วยความหวาดผวา แสงของเธอเคลื่อนไปเร็วๆจนมันหยุด ผมเดาว่าเธอกำลังวิ่งไปเจอกับกำแพง และแสงที่ดูเหมือนลังเลใจอยู่ก็เคลื่อนไหวในลักษณะแปลกๆ มันเคลื่อนเข้าและออกกับกำแพงห้อง และทุกๆครั้งก็จะมีเสียงของบางอย่างถูกกระแทกแรงๆ  


    ผมพอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จากเสียงอู้อี้ที่ดังก้องอยู่ มันคงเอาโทรศัพท์นั่นยัดเข้าปากของเธอ แล้วจับหัวเธอกระแทบใส่กำแพงจนโทรศัพท์นั่นแหลกละเอียดอยู่ข้างใน แล้วแสงนั้นก็ดับลง

     

              เหลือเพียงแสงไฟสุดท้ายของเด็กชายใส่แว่นกรอบกลม เนธานพยายามส่งสัญญาณในความมืดให้เขามาซ่อนตัวกับพวกเรา  เด็กชายคนนั้นรู้ตัวว่าแสงนั่นเป็นตัวที่นำฆาตกรมา เขาจึงรีบปิดโทรศัพท์ แล้วพยายามคลำทางเข้ามาหาพวกเรา ผมและเนธานรอให้เขาเดินมาถึงด้วยความระทึก โดยเฉพาะผมที่กำลังกัดฟันแน่นจนรู้สึกปวดกราม  แล้วจู่ๆความเงียบก็เข้ามาแทนที่ มันดำเนินไปเรื่อยๆในขณะที่เรารอให้เด็กชายที่สวมแว่นกรอบกลมคลานมาถึง ซึ่งมันใช้เวลานานเกินไป เกินไปมาก

     

              แต่พวกเราก็ไม่ต้องรอนานมาก เพราะของเหลวเย็นเยียบที่จู่ๆก็กระเซ็นใส่หน้าของผมก็เป็นคำตอบได้อย่างดี ไม่รู้จะมีเด็กกี่คนบนโลกที่จะไม่รู้เลยว่าสิ่งนี้มันคืออะไร ในเมื่อกลิ่นคาวชวนผวาที่เป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ลอยคละคลุ้งไปทั่ว


              แล้วแสงจากโทรศัพท์ของเด็กชายแว่นกรอบกลมก็ถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้แสงนั่นกลับฉายให้เห็นผู้ที่กำลังถือมันอยู่ เป็นใบหน้าอันแสนวิปลาส ที่มีเพียงรอยกรีดเป็นเส้นโค้งตรงตำแหน่งปาก…. มันคือรอยยิ้ม!!

     

              ผมกับเนธานรีบหุบขาและแขนเขามาชิดไว้ใกล้ลำตัวให้ได้มากที่สุด แม้แต่เนธานก็ยังรีบเอามืออุดปาก ใครจะรู้ว่าใต้โต๊ะอ่านหนังสือของห้องสมุด ตอนนี้กำลังเป็นสถานที่อันแสนโง่เง่าที่จะใช้หลบฆาตกรมากที่สุดในโลก มันอยู่ตรงนั้น!! ไม่ไกลจากพวกเรา ขอเพียงแค่มันหันซ้ายมานิดๆ ก็จะพบกับพวกเราที่กำลังจับขาโต๊ะแน่น

     

              เนธานเตะมือผม เขากำลังส่งสัญญาณ ดูเหมือนเขาจะกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัวเป็นเวลานานมากไป  และตอนนี้เขาต้องการที่จะถอนหายใจออก และเสียงถอนหายใจในตอนนี้ก็อาจเทียบได้กับเสียงของระเบิดปรามาณู แต่ความเจ็บจากแรงระเบิด อาจเทียบไม่ได้กับความเจ็บของคมมีดที่กำลังรอเวลาเสียบผ่านเนื้อนุ่มๆของผม

     

              เขาพยายามกลั้นหายใจต่ออีกนิด ส่วนผมได้เพียงแต่นั่งนิ่ง ภาวนาขอให้มันง่วนกับโทรศัพท์เครื่องนั้นนานกว่านี้อีกหน่อย…. เดี๋ยวสิ…. มันกำลังทำอะไร? ผมเพ่งมอง ลักษณะท่าทางที่เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ ท่าทางที่กดปุ่มเลื่อนลงไปเรื่อยๆแบบนั้น

     

    มันกำลังหารายชื่อ?

     







     

    “กรี๊งงงงงง!!!!

              โทรศัพท์ของเนธานที่ผมกำลังนั่งทับใต้โต๊ะอยู่ตลอดส่งเสียงพร้อมกับสั่นระรัว บ้าจริง! ผมเงยหน้าไปมองรอยยิ้มอีกครั้ง และพบว่าแสงไฟของมันกำลังเคลื่อนที่เข้ามาหาพวกเราอย่างรวดเร็ว เร็วพอๆกับมีดเล่มยาวบนมือที่แกว่งไปมาอย่างสนุกสนาน แต่ทั้งหมดอาจจะเทียบไม่ได้กับเสียงหัวเราะที่ดังก้องกังวาลไปทั่ว และเพียงแค่ได้ฟังเสียงอันแสนวิปริตนี้ ผมก็รู้สึกราวกับถูกฆ่าไปแล้วรอบหนึ่ง

     

    แต่อย่าเพิ่งเสียใจไป เพราะตอนนี้มันกำลังเข้ามาฆ่าผมรอบที่สอง
    ซึ่งเป็นการฆ่าจริงๆ ไม่ใช่การฆ่าด้วยเสียงหัวเราะ
    !!!


    -------------------------------------------------------------
    ติดตามตอนต่อไป



    (ในที่สุดก็ปิดเทอมแล้ววว มาต่อได้แล้วนะคร้าบบ)// จุดพรุ

     
     
    KiT Ta
    THE'KITTA .

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×