คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : กักบริเวณท้ายชั่วโมงที่ 1 :: เราต้องหนี!!...
ถ้าคิดว่าคุณเดาได้ จงคิดใหม่อีกครั้ง!!
KiT
Ta
ขอขอบคุณธีมสวยๆจากคุณTHE'KITTA
.ด้วยครับ
"เราต้องหนี..."
ลีออนกล่าวสั้นๆน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าผมจะสังเกตเห็นความกลัวในแววตาของเขา
เราทั้งห้านั่งรวมกลุ่มอยู่หน้าประตูเหล็กของห้องสมุด ความรู้สึกในตอนนี้ยากจะบรรยาย มันช่างอึดอัด หวาดผวา เศร้าโศก เย็นยะเยือก ทุกอย่างถาโถมเข้ามาในเวลาเดียวกัน ต่างคนต่างก้มหน้าต่ำ มองพื้น สภาพตอนนี้ยิ่งกว่าหมดหวัง เราติดอยู่ในห้องปิดตาย ที่มี “ศพ” ของเพื่อนเราคนนึง นอนอยู่ปลายสุดของห้อง คุณไม่มีทางจะเข้าใจจนกว่าคุณจะเห็นเพื่อนของคุณกลายเป็นซากเนื้อไร้วิญญาณอยู่ตรงหน้า แน่นอนว่าผมเองก็ไม่ได้ชอบเกลมากนัก แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณยังเป็นมนุษย์(ที่ปกติ)อยู่ละก็ คุณจะต้องสะเทือนใจแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เราจะหนียังไง?” ลิลลี่เสียงสั่น เธอนั่งกอดเข่าแน่น สีหน้าดูราวกับจะร้องไห้ เรสซ์นั่งข้างเธอและโอบไหล่ลิลลี่เหมือนต้องการจะปลอบ แต่ความจริงแล้วคนที่น่าจะเจ็บปวดที่สุดคือเรสซ์เอง เกลถือเป็นเพื่อนที่สนิทที่สุดของเธอ เป็นคนที่เธอไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ติดหนึบยิ่งกว่าคู่แฝด สนิทกันราวกับพี่น้องเลยก็ว่าได้ แม้เรสซ์จะพยายามทำเป็นเข้มแข็งยังไง ความเศร้าก็ยังแสดงออกมาผ่านการกระทำ
“ถ้าพวกนายยังนั่งเฉยแบบนี้ ให้ตายยังไงก็ออกไปไหนไม่ได้แน่...” เจนเซ่นพูด มือข้างนึงปิดแผลที่แขนซึ่งเกิดจากขวานของแม่มดเฉี่ยวเอา อันที่จริงคุณอาจจะเข้าใจเจนเซ่นผิด แน่นอนว่าเขาชอบแกล้งผม ชอบพูดจาแย่ๆกับผม ชอบใช้กำลังกับผม(พูดไปก็แอบแค้นนิดนึง) แต่นิสัยโดยแท้กับคนอื่นของเจนเซ่นนั้น เขาเป็นหนุ่มอารมณ์ดี เข้ากับคนง่าย ฉลาด ใจดี เป็นพ่อพระ ตลก อบอุ่น เป็นที่พึ่งพาของเพื่อน ดูเหมือนจะไม่ใช่เขาเลยใช่ไหม? เชื่อเถอะว่าเขากระทำกับคนอื่นแบบนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าแค่กับผมเท่านั้น ที่เขาจะกลายเป็นพวกชอบใช้กำลัง มันแปลกไหมล่ะ? คล้ายกับว่าพออยู่กับคนอื่นเขาเป็นอีกคน พออยู่กับผมเขาก็กลายเป็นอีกคน เหมือนมีผีมาสิง ยังกับหุ่นยนต์ที่เปลี่ยนโหมดโดยอัตโนมัติ เมื่อเจอหน้านาย “แมต ฟิตซ์”
“ใช่.... นายพูดถูก” ลีออนกล่าวอย่างราบเรียบ ดวงตาของเขามองไปยังผนังว่างเปล่าเหมือนกำลังครุ่นคิด ในเวลานี้ ผู้ที่อัจฉริยะด้านความรู้รอบตัวอย่างลีออนนี่เหละ เหมือนจะเป็นผู้ที่พึ่งพาได้มากที่สุด รองลงมาก็คือเจนเซ่น อัจฉริยะทางด้านการใช้ร่างกาย ส่วนคนที่อัจฉริยะด้านศิลปะ และด้านดนตรีอย่างลิลลี่กับเรสซ์นั้นคงจะช่วยอะไรไม่ค่อยได้ ไม่ต้องพูดถึง “คนไม่อัจฉริยะ” อย่างผมหรอกนะ...
“ฉันว่า... ให้เวลาลีออนลองคิดหาทางออก ส่วนพวกเราที่เหลือก็แยกย้ายไปสำรวจทั่วห้องดู เราอาจจะเจออะไรที่พอจะช่วยได้บ้าง ดีไหม?” เจนเซ่นออกความคิด ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย ในที่สุดพวกเราก็ลุกขึ้นยืน แล้วแยกย้ายไปช้าๆ ในขณะที่ลีออนยังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วเราจะหาอะไรล่ะ? อะไรที่พอจะงัดประตูเหล็กกล้าหนักเป็นตันออกได้? แต่ช่างเหอะ.. บางทีการได้ทำอะไรบ้างยังรู้สึกดีกว่าการนั่งเฉย...
ผมเปิดหน้าต่างออกแล้วโผล่หน้าออกไปดู ความสูงระดับเก้าชั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะลงไปด้วยทางนี้ ต่อให้หาเชือกหรืออะไรยาวๆมาต่อกันก็ไม่มีทางที่จะลงไปถึงชั้นล่างได้...
ว่าแต่ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆแบบนี้นะ... คุณรู้สึกไหม?.... แหงล่ะ คงไม่ แต่ผมมั่นใจว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ บางอย่างที่ไร้เหตุผล บางอย่างที่ไม่ปกติ และบางอย่างที่หายไป? ผมไม่มั่นใจว่าอะไร ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้องสมุดนี้ ลางสังหรณ์ที่เกิดจากการดูหนังสยองขวัญ พยายามเหลือเกินที่จะบอกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างมากกว่าที่คิด บางอย่างที่ไม่ใช่อย่างที่มันเป็น ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผมมองออกว่า “ผีอีเมี๊ยว” จากในหนังไม่ใช่ผีจริง แต่เป็นฆาตกรที่ปลอมตัวมา หลอกฆ่าเหยื่อทีละคน อะไรประมาณนั้น... หรือจะบอกว่า “แม่มดใจร้าย” ไม่ใช่แม่มดจริงๆงั้นเหรอ? ไม่มีทาง... งั้นจะอธิบายยังไงกับข้อความที่ส่งเข้ามาได้ทั้งๆที่ไม่มีสัญญาณ? แม่มดเข้ามาและออกจากที่นี่ทางไหน ที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์คนรวยแบบในหนังซะหน่อยถึงจะมีทางลับเข้าออกไปได้ ไหนจะฝันที่พวกเราเห็นเมื่อเช้าอีก เธอทำได้ยังไง?....
“เจนเซ่น! ฟิตซ์! มาทางนี้สิ” เรสซ์ซึ่งยืนอยู่ข้างลิลลี่เรียกให้พวกเราเดินไปหา เธอชี้ไปที่ผนัง ด้านที่เต็มไปด้วยกองตู้หนังสือล้มระเนระนาด เรียงกันไปถึงสุดห้อง
“ช่องแอร์นี่นา...ใช่แล้ว!!... ถ้าเราปีนออกไปได้ละก็!”เจนเซ่นดูมีความหวัง
“เอ่อ....ไม่อยากจะดับฝันหรอกนะ แต่เราไม่รู้แผนผังของช่องแอร์พวกนี้ซะหน่อย ทางมันคดเคี้ยว มีหลายแยกยิ่งกว่าเขาวงกต จะแน่ใจได้ยังไงว่าเราจะออกไปได้ ไม่ตายเป็นอาหารหนูอยู่ในนั้น?” ผมพูด
“แต่เราไม่ลองก็ไม่รู้นี่!” ลิลลี่เหมือนกับพยายามจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
“ไปเรียกลีออนมา... เราจะโหวตกันว่าจะออกไปทางนี้ดีหรือเปล่า” เจนเซ่นใช้ผม
“เดี่ยวสิ พวกนายก็ได้ไปตั้งสามเสียงแล้ว แบบนี้ยังไงเราก็ต้องออกทางนี้อยู่ดีน่ะสิ!” ไม่ยุติธรรมเลย ให้ตายเถอะ... ผมไม่ได้เรื่องมากหรืออะไรหรอกนะ แต่นี่ไม่ใช่หนังสายลับที่จะปีนออกไปโดยที่ไม่ขาดอากาศหายใจตายในนั้นได้ซะหน่อย... ยังไงก็ตามผมจำใจต้องไปตามลีออนที่หน้าประตูมา เขายังดูเหมือนยังคิดอะไรอยู่ ผมบอกให้เขาไปรวมกลุ่มกับพวกเราที่หน้าช่องแอร์
“ฉัน... คิดว่าเรามีเปอร์เซ็นต์น้อยที่จะหาทางออกเจอนะ” ลีออนไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เห็นมะ! ขนาดอัจฉริยะยังบอกเลยว่าเรามีโอกาสรอดน้อย
“งั้นนายหาทางอื่นได้หรือยังไง...” เรซส์พูด ลีออนเงียบ ใบหน้าไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ
“เราจะออกทางนี้เหละ... ถ้านายไม่เห็นด้วยก็อยู่ที่นี่ไปก่อนก็ได้ สมมุติว่าเราออกไปได้ จะค่อยให้คนมาช่วยทีหลัง แต่จะเกิดอะไรขึ้นกับพวกนาย ฉันไม่รับประกันนะ...” คำพูดของเจนเซ่นหนักแน่นราวกับคำตัดสินของผู้พิพากษา ผมแทบเถียงไม่ออก ยกเว้นลีออนแล้ว คนอื่นเห็นด้วยกับเขาทั้งนั้น ผมไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตามเขาเข้าไป
“ฟังนะ” เจนเซ่นหันมาพูดกับทุกคน ในขณะที่เท้าเหยียบอยู่บนซากตู้หนังสือ “เราจะใช้แสงของโทรศัพท์ในการนำทาง ให้ตามกันมาติดๆ ห้ามเหม่อ ห้ามหันไปมองทางอื่น ห้ามหยุด อย่าทำให้เราเสียขบวน ชั้นจะส่งเสียงบอกทุกครั้งที่มีการเลี้ยว โอเคนะ!”....ผม....รู้สึก....ตื่นเต้น... ไม่ใช่ความตื่นเต้นแบบ.. ตื่นเต้นที่จะได้ทำสิ่งใหม่ๆ หรือลองได้ของใหม่ๆหรอกนะ แต่ตื่นเต้นเพราะความ “กลัว” ต่างหาก หัวใจเต้นรัวเหมือนกับเสียงกลอง แค่มองรูสี่เหลี่ยมแคบๆ มืดๆ ก็อยากจะสลบลงตรงนั้น ถ้าหากผมติดอยู่ในนั้นละก็... คงอีกหลายวันกว่าคนอื่นจะได้กลิ่นเน่าของซากศพพวกเรา ไม่นานหลังจากนี้สักปีสองปี นักเรียนใหม่ก็คงจะสร้างตำนาน “ผีช่องแอร์” มาขู่รุ่นน้องเป็นแน่
“ฉันจะเป็นคนนำ ให้ผู้หญิงตามฉันขึ้นมาก่อน ส่วนพวกนายรั้งท้าย...”
ไม่นะ ไหงฉันต้องรั้งท้ายขบวนด้วยล่ะ!... แต่ไม่ทันที่ผมจะโต้แย้งใดๆ เจนเซ่นก็กระโดดขึ้นไปในช่องสี่เหลี่ยมอันมืดมิด โดยมีผมกับลีออนช่วยดันให้เขาเข้าไปได้ ผมมองดูร่างของเขาค่อยๆหายเข้าไปในนั้นราวกับถูกดูดกลืน ลิลลี่ตามขึ้นไป ส่วนเรสซ์ก็ปีนขึ้นเป็นคนต่อมา เมื่อทั้งสามคนเข้าไปได้สักพัก ผมกับลีออนก็ตัดสินใจว่าใครจะขึ้นหลัง เขามองตาผมครูนึงก่อนจะยอมให้ผมขึ้นไปก่อน ผมจึงค่อยๆปีนตามไปอย่างช้าๆ
มืดจัง....
เพียงโผล่หัวเข้าไปผมก็พบว่ากลิ่นในนี้เหม็นสุดๆ เหมือนกับมีอะไรตายหมกอยู่ข้างในเป็นเวลานาน แสงโทรศัพท์ของพวกที่อยู่ข้างหน้าทำให้ผมมองเห็นสภาพของช่องแอร์ มันคือกล่องเหล็กสีเทาเล็กๆ ที่แสนจะอึดอัด แม้จะมีแสงไฟ แต่ทางข้างหน้ากลับมืดมิด ความหนาวเย็นจับตัวกันข้างในจนผิวเหล็กมีเกล็ดน้ำแข็งติดอยู่รอบด้าน เมื่อผิวหนังของผมสัมผัสผนังเหล็กก็รู้สึกเย็นวาบเหมือนเอาตัวไปจุ่มในถังน้ำแข็ง อากาศข้างในแทบจะไม่มี ผมได้ยินเสียงของทุกคนหายใจฟืดฟาดอย่างลำบาก และเมื่อลีออนตามขึ้นมาได้เป็นคนสุดท้าย เจนเซ่นก็ส่งเสียงพูด
“ขึ้นม..คร...แล้...ช... มั้..?”เสียงนั้นดูขาดๆหายๆ อาจเป็นเพราะความทึบและแคบของช่องแอร์จึงทำให้เสียงดังอู้อี้ ผมได้ยินไม่ถนัด แต่ไม่ทันที่จะได้ตั้งตัวอะไร เรสซ์ที่อยู่ข้างหน้าก็เริ่มคลาน ผมใช้มือที่ถือโทรศัพท์อยู่คลานตามไป ในนี้ขยับตัวลำบากมาก บรรยากาศตอนนี้ย่ำแย่เป็นที่สุด หากคุณลองจิตนาการถึงการที่ต้องคลานอยู่ในรูแคบๆ มืด เย็นเฉียบ ไร้อากาศหายใจ เหม็น อึดอัด คุณอาจจะเข้าใจผม เรากำลังคลานไปเรื่อยๆ... สู่ความว่างเปล่าถอยกลับไม่ได้ต้องไปต่ออย่างเดียว โดยที่ไม่รู้ว่าจะออกไปได้ไหม หรืออาจต้องติดอยู่ในนี้ตลอดไป ยิ่งคลานไปก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับว่าผนังกำลังบีบตัวแคบเข้ามา ความกลัวเริ่มครอบงำจิตใจ
ผมอยากออกไป
ผมอยากออกไป
ผมอยากออกไป
“เลี้ยว...า...” เสียงทุ้มดังมาจากข้างหน้า ผมพยายามทบทวนว่าที่ได้ยินเมื้อกี้คืออะไร เรากำลังเลี้ยวใช่ไหม? เลี้ยวไปไหนล่ะ ขวาหรือซ้าย? ผมรีบใช้โทรศัพท์ส่อง เรสซ์หยุดแปปนึงเหมือนว่าเธอตั้งท่าจะเลี้ยว เรามาถึงทางสามแยก เจนเซ่นกับลิลลี่เลี้ยวไปแล้ว ผมรอดูว่าเธอจะเลี้ยวไปทางไหน? ในวินาทีนั้นเองที่ผมมองหน้าจอโทรศัพท์แวบนึง บนหน้าจอกำลังส่งข้อความเตือน...
“แบตเตอร์รี่หมด!”
เดี๋ยว?... อะไรนะ ไม่ๆ อย่าเพิ่งหมดสิ!! เดี๋ยวก่อน! ในเสี้ยววินาทีนั้นเองที่แสงจากโทรศัพท์ดับวูบลง ความมืดเข้ามาแทนที่ มองไปทางไหนก็เห็นเพียงสีดำอันว่างเปล่า ผมพยายามมองหาแสงจากโทรศัพท์ของเรสซ์ แต่เมื่อเธอเลี้ยวไป แสงนั้นก็หายไปด้วย ผมหยุดอยู่อย่างนั้น ในหัวขาวโพลน คิดอะไรไม่ออก พวกเขาไปทางไหน?
“เรสซ์!! ลิลลี่!! เจนเซ่น!!” ผมพยายามตะโกนให้ดังที่สุด แต่ความทึบของที่นี่ทำให้เสียงนั้นเบาและสั้น
“นาย..หยุดทำไมแล้วทำไมไฟถึงดับล่ะ...” เสียงของลีออนดังจากข้างหลัง ผมฟังไม่ค่อยถนัด แต่พอจับใจความได้ โทรศัพท์ของลีออนพังตอนที่เขาล้มลงในห้องสมุด โอ... ไม่นะ... ตอนนี้เรามืดแปดด้านจริงๆ
“เรา...คลาดกับคนอื่นแล้วใช่ไหม?” เขาถาม ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าใช่.. ฝันร้ายกลายเป็นจริง ผมติดอยู่ในความมืด... ไร้ทางออก... และจะติดอยู่ในนี้ตลอดไป ไม่มีอะไรกิน ในที่สุดก็จะเหนื่อยแล้วล้มลง กลายเป็นซากบวมอืดอยู่ในนี้..
หายใจไม่ออก...
“จะไปทางไหนดี? ขวาหรือซ้าย?” ผมถามเขา ไม่ว่าทางไหนก็ดูน่ากลัวราวกับว่ามันเป็นหลุมดำที่พร้อมจะกลืนกินเราเข้าไปทุกเมื่อ
“ซ้าย....” ลีออนตอบเบาๆ น้ำเสียงไม่มั่นใจ ผมต้องเสี่ยงดวง เราต้องไปต่อ... ยิ่งอยู่นิ่งๆก็ยิ่งรู้สึกว่าเหล็กรอบด้านกำลังบีบตัวเข้าหาจนเคลื่อนที่ไม่ได้ ผมเริ่มคลาน และเลี้ยวตัวไปทางซ้าย ใช้สัมผัสจากความเย็นบอกเอาว่าตรงไหนคือช่องเลี้ยว ลีออนคลานตามมาช้าๆ สายตาผมเพ่งมองเข้าไป ในความมืด....
ผมเห็นเงา...
เงาตะคุ่ม...
เหมือนหัวคน...
คนที่กำลังคลานมาทางผม... ใช่คนอื่นหรือเปล่า?.. ผมกำลังจะส่งเสียงทัก ในขณะที่เงานั้นเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว...
เดี๋ยวสิ?
ถ้าเป็นคนอื่นๆจริง เขาก็ต้องคลานถอยหลังมาสิ... ในนี้มันแคบเกินกว่าจะบิดตัวหันกลับไปข้างหลังได้ แต่เงานี้... หัวของมันกำลังเคลื่อนมาหาผม.....เคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ... จนโครงหน้าชัดเจนขึ้น...
"ลีออน!!! ถอย!! ถอยเร็วเข้า!!!"
ผมตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เขาสะดุ้งแล้วรีบคลานถอยหลัง ผมถอยตาม! แต่ช้าเกินไป! มันกำลังเข้ามาใกล้ ผมได้ยินเสียงของ “เหล็ก” ที่มันถือกระทบกับพื้นช่องแอร์อย่างต่อเนื่อง สายตาที่ชินกับความมืดทำให้เห็นว่ามันคือมีดเล่มยาวเปื้อนเลือด!... ในความมืด ผมมองเห็นรอยยิ้มของมัน รอยยิ้มของแม่มด!!... มันวิปริต และเหี้ยมโหด ตาเบิกโพลงจนน่ากลัว ใบหน้านั้นกระชั้นชิดเข้ามาเรื่อยๆ ผมแทบจะหัวใจวาย! ...ช่วยด้วย!!
แม่มดหยุดแปปนึงก่อนจะเงื้อมีดอย่างรวดเร็วแล้วจ้วงปลายแหลมๆเข้ามา ผมรีบถอยให้เร็วขึ้นอีก ในขณะที่มีดนั้นตวัดเฉี่ยวหน้าผม จนต้องกรีดร้องเสียงดัง
“ไม่!! อย่าเข้ามา!!”
เราถอยเร็วขึ้นอีก เร็วขึ้น เร็วขึ้น และเร็วขึ้น แต่แม่มดกลับคลานตามมาโดยไม่เหน็ดเหนื่อย มันอ้าปากขึ้นเผยให้เห็นเขี้ยวแหลม ดูเหมือนกำลังจะกินผม ลองจินตนาที่จะต้องเห็นใบหน้านี้อยู่ห่างจากผมไม่กี่คืบตลอดเวลาในความมืดสิ ผมแทบจะอยากตายดีกว่าต้องติดอยู่อย่างนี้
โครม!!
เสียงของลีออนตกลงไปข้างหลัง ดูเหมือนเราจะถอยมาถึงทางออก แสงไฟจากข้างหลังส่องให้เห็นหน้าของเธอชัดยิ่งขึ้น หัวใจเต้นแรงสุดขีด ในที่สุดขาที่คลานถอยหลังก็สัมผัสความว่างเปล่า ผมตกลงมาจากช่องแอร์อย่างแรงดัง “ตุ๊บ ” ไม่มีเวลาให้ร้องเจ็บปวด เราทั้งคู่กับมาอยู่ในห้องสมุดอีกครั้ง เรากลับมาถึงทางตันอย่างแท้จริง!
“ทำยังไงดี? เราจะหนีไปทางไหน?” ร่างกายผมสั่นไปทั่วตัว เสียงคลานจากช่องแอร์กำลังดังเข้ามาใกล้ ลีออนเองก็กลัวเช่นกัน เขามองไปรอบๆอย่างลนลาน ผมหวังให้เขารีบคิดออกโดยไว เพราะตอนนี้เรากำลังจะถูกฆ่า!...
“ใช่!!.... นั่นยังไงล่ะ!!” ลีออนตะโกนเสียงดัง เขาชี้ไปยังตู้ควบคุมแผงวงจรไฟฟ้าที่ติดอยู่บนเคาน์เตอร์ข้างประตูเหล็ก ผมหันกลับมามองเขาอย่างสงสัย เขาจึงรีบอธิบาย
“ถ้าฉันแก้แผงวงจรนั่นได้ บางทีเราอาจจะแก้ระบบ“ล็อคประตูอัติโนมัติ” ของห้องนี้ได้ ประตูก็จะเปิด!!” เจ๋ง!! ทำไมนายไม่คิดให้ออกก่อนหน้านี้เล่า! โธ่เอ้ย
“แผงวงจรนั้นซับซ้อนมาก ฉันไม่แน่ใจ อาจต้องใช้เวลานาน ไฟฟ้าอาจลัดวงจรจนทำให้เกิดไฟไหม้ได้” เขาอธิบาย
“งั้นฉันต้องทำไงเล่า!?”ผมรีบถาม เพราะหน้าของแม่มดค่อยๆโผล่ออกมาจากช่องแอร์ เธอยิ้มเหี้ยมน่าสยดสยอง
“ฉันต้องการเวลา... ฟังนะ!! นายต้องล่อแม่มดไว้จนกว่าฉันจะเปิดประตูได้” เขากล่าวก่อนจะรีบวิ่งไปที่แผงวงจรโดยไม่รีรอ ปล่อยให้ผมยืนตัวแข็ง นาฬิกาของห้องสมุดดังขึ้นเพื่อบอกว่านี่เพิ่งจะหมดเวลาการกักบริเวณชั่วโมงแรกไปเท่านั้นเอง
ตุบ!!
แม่มดลงมาจากช่องแอร์ เธอลุกขึ้นพร้อมกับจ้องตาผมอย่างโหดเหี้ยมผมจะไม่พูดว่า “ถ้านี้เป็นหนังสยองขวัญ....” อีกต่อไป เพราะตอนนี้นี่เหละ คือหนังสยองขวัญอย่างแท้จริง
ไม่!!!!!
ความคิดเห็น