คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6 :: ป่าขี้เถ้ากับนกติดไฟ
ร่างกายผมพุ่งพรวดขึ้นไปทันทีเหมือนจรวด หัวโผล่ขึ้นเหนือน้ำ อ้าปากพะงาบๆ สูดลมเข้าปอดอย่างกระหาย รู้สึกถึงสายลมที่พัดผ่านใบหน้า รู้สึกถึงความอุ่นบนรูขุมขนที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มีแสงอาทิตย์พยายามแยงตา มีเสียงอื้ออึงของนก มีเสียงกระทบกันของน้ำ ผมไม่ได้อยู่ที่เดิม ผมอยู่ที่ไหนสักแห่งที่ต่างจากเมื่อครู่
ผมค่อยๆ เบิกตากว้าง ปรับโฟกัสให้ชัด ตีขาเพื่อลอยตัว จากนั้นก็แหงนหน้าหมุนไปดูรอบๆ ผมอยู่ในที่โล่งกว้าง มีท้องฟ้าด้วย! มันปลอดโปร่ง และไร้เมฆ ยิ่งมองมากขึ้น ก็ยิ่งเห็นอะไรชัดขึ้น ผมกำลังลอยตัวอยู่บนแม่น้ำใหญ่ๆ หรืออาจจะเป็นทะเลสาบ ผมไม่แน่ใจ ที่แน่ๆ คือมีฝั่งพื้นดินอยู่ห่างจากผมไม่มากนัก ผมรีบกวักมือในน้ำ ว่ายไปหามัน จนกระทั่งมือคว้าเอาเศษดินของฝั่งได้
ผมขึ้นจากน้ำ คุกเข่าอยู่ตรงนั้นชั่วครู่เพื่อให้น้ำไหลออก รู้สึกถึงของเหลวที่ถ่วงอยู่เสื้อผ้าอยู่ ยังไม่คุ้นชินกับแรงโน้มถ่วงเท่าไหร่นัก ผมสำลักเล็กน้อยก่อนจะเอามือปาดตามใบหน้า แล้วลุกขึ้นยืนตรง จัดผมของตัวเองให้เข้าที่ สิ่งที่เห็นในตอนนี้แทบจะทำให้ผมหยุดหายใจด้วยความทึ่ง
ที่นี่คือที่ไหน? ผมกลับมาที่โลกแห่งความจริงแล้วเหรอ?
ไม่สิ ที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ มันคือโลกออนไลน์!
แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าโลกออนไลน์จะเหมือนโลกแห่งความจริงทุกประการ ผมนึกว่ามันจะเป็นเพียงโลกไร้มิติที่สร้างขึ้นจากมนุษย์ แต่นี่มันไม่ใช่ ทุกๆ อย่างให้ความรู้สึกเหมือนว่าที่นี่มีตัวตน ผมหายใจในนี้ได้ ผมได้กลิ่น รู้สึกถึงทุกอย่างที่นี่ได้ สัมผัสอะไรก็ได้ มันเป็นไปได้จริงๆ เหรอ?
ผมยังไม่อาจทำใจสำหรับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ ตอนนี้ผมยืนอยู่ที่ไหนสักแห่ง เป็นสถานที่ที่แปลกมากๆ มันเหมือนเป็นป่ากว้าง เพียงแต่ต้นไม้ไม่มีใบ ทุกต้นแห้งเหี่ยว ลำต้นเป็นสีดำทมิฬราวถ่านหิน ผมเพิ่งรู้ตัวว่าบนพื้นที่ผมเหยียบอยู่นี่ไม่ใช่ดิน มันเป็นสีเทาซีดเกินกว่าจะเป็นดิน มันคือขี้เถ้า สะสมกองไปทั่วผืนป่า สายลมที่พัดมาบางทีก็ทำให้มันปลิวว่อนอยู่ในอากาศ กระจายไปทั่ว ผมได้กลิ่นเหม็นไหม้ด้วย
พอหันหลังกลับ ผมก็จะเห็นทะเลสาบเมื่อครู่ที่ผมว่ายขึ้นมา สุดของทะเลสาบอีกด้านเป็นภูเขาลูกใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ สูงจนแทบบดบังพระอาทิตย์ ทว่าภูเขาลูกนั้นเองก็เป็นสีดำทมิฬเช่นกัน และตรงปลายภูเขาก็มีควันโผล่พวยพุ่งออกมาจำนวนมาก เหมือนควันจากหัวรถจักรไอน้ำเวลาทำงาน มันดูทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขามในขณะเดียวกัน ผมรู้ว่ามันคืออะไร ผมเคยเจอสารคดีในห้างสรรพสินค้าร้างแล้วเอามาเปิดดูอยู่หลายเรื่อง มีเรื่องนึงที่เกี่ยวกับภูเขาซึ่งระเบิดออกมาเป็นไฟได้ ภูเขาไฟ
เดี๋ยวก่อน มันจะระเบิดหรือ?
ผมเหลียวมองไปรอบตัวจึงเข้าใจทันที สาเหตุที่ทำให้ป่าเป็นเช่นนี้เพราะมันถูกเพลิงไหม้เผาราบ และต้นเหตุของเพลิงก็น่าจะมาจากภูเขาไฟ ผมควรจะไปให้พ้นจากที่นี่น่าจะดีที่สุด แม้จะไม่รู้ว่าต้องไปไหนต่อก็ตาม
ผมย่ำไปบนกองขี้เถ้า มันนุ่มเหมือนเหยียบทราย และเกาะติดใต้รองเท้าทุกครั้งที่ก้าวไป ผมจำต้องอุดจมูกระหว่างเดิน ยังรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเดินเข้ามาในป่า ผมเริ่มจะคิดแล้วว่าบางทีนี่อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาด ขี้เถ้าที่ตลบอบอวลอยู่นี่ทำให้ผมมองไม่เห็นทาง มันสร้างบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายหมอกแต่ไม่ใช่ มันแน่นหนากว่าหมอก ผมอาจหลง แต่ก็คงใช้คำว่าหลงไม่ได้ เพราะผมคิดว่าตัวเองหลงมาตั้งแต่แรกแล้ว หลงมาอยู่ในโลกออนไลน์ สถานที่ซึ่งผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย
ผมนึกย้อนเสียใจที่ไม่ค่อยตั้งใจฟังสิ่งที่พ่อพร่ำสอนมากนัก ก็ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งผมจะต้องเข้ามาอยู่ที่นี่จริงๆ มันไม่ยุติธรรมเลย พวกเขาน่าจะบอกผมก่อน อย่างน้อยก็ให้ผมได้เตรียมตัว เพราะตอนนี้ชีวิตผมกำลังตกที่นั่งลำบากจริงๆ พูดถึงเรื่องเตรียมตัวผมเพิ่งนึกได้ว่าแม่เตรียมของไว้ในกระเป๋าเป้ใหญ่ก่อนจะจากมา มันคือสิ่งสุดท้ายที่แม่ทำให้ผม… ระหว่างยังเดินแบบไม่รู้จุดหมาย ผมจึงลองสำรวจของที่แม่จัดเตรียมไว้ให้ในกระเป๋า
มีถุงนอนหนึ่งใบ อย่างน้อยผมก็มั่นใจได้ว่าตัวเองจะมีที่ซุกหัวนอนคืนนี้ มีอาหารกระป๋องเกือบหมดอายุจำนวนมาก มีมีดพกอันเล็กๆ มีเชือกยาวๆ หนึ่งขด ไฟแช็คสามอัน ขวดพลาสติกเปล่าๆ สำหรับใส่น้ำขวดหนึ่ง แต่สิ่งที่เยอะที่สุดและเป็นสาเหตุที่ทำให้กระเป๋าของผมหนักมากเห็นจะเป็นกองกระสุนสำหรับปืนไรเฟิลที่เราเก็บสำรองไว้ทั้งหมด มิน่าล่ะถึงได้รู้สึกปวดบ่าขนาดนี้ ประมาณไว้ว่าอย่างน้อยๆ คงมีสักหกสิบกว่านัดได้ ไม่รู้มีทางอื่นอีกหรือเปล่าที่จะสามารถเก็บของพวกนี้ได้ตลอดการเดินทางโดยไม่ทำให้หลังผมหักเสียก่อน
ยังมีอีกอย่างหนึ่งที่แม่มอบให้ มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสงสัยมากที่สุด ไม่แน่ใจว่าเอาไว้ใช้ทำอะไร มันคือโทรศัพท์มือถือ เท่าที่ผมจำได้ ตั้งแต่ผมเกิดมา โทรศัพท์มือถือก็เริ่มกลายเป็นสิ่งของที่เชยไปแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่จะชอบติดต่อกันทางแว่นตาอัจฉริยะ ปลอกคอไฮเทค หรือกำไล้ข้อมือล้ำยุคมากกว่า ถึงอย่างนั้นโทรศัพท์ก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่พ่อผมสอนให้ใช้เป็นเช่นกัน ผมหยิบมันขึ้นมาดู รูปร่างสี่เหลี่ยมจับเหมาะมือ พอวางบนฝ่ามือแล้วแทบจะทาบเท่ากันพอดี ผมกดปุ่มเพื่อเปิดแต่มันไม่ติด ต้องเป็นเพราะโดนน้ำเมื่อครู่นี้แน่ ให้ตายสิ! อุตส่าห์ได้ของที่แม่กำชับหนักหนาว่าสำคัญ แต่มันกลับเสียซะได้
แล้วท่ามกลางความเงียบที่ทิ้งตัว ก็เกิดเสียงระเบิดกัมปนาทครั้งใหญ่ขึ้น มันไม่ใช่แค่เสียง มันสั่นสะเทือนไปทั้งแผ่นดิน รู้สึกเหมือนแผ่นโลกจะแยกออกจากกัน ผมหันหลังกลับไปมอง ผมรู้ทันทีว่าจะต้องเป็นภูเขาไฟแน่ มันกำลังระเบิด! ภูเขาไฟลูกนั้นสูงอยู่เหนือหมอกขี้เถ้า เพียงเงยหน้าขึ้นก็จะมองเห็นได้ทุกสิ่ง จากปากปล่อง มีประกายไฟสีส้มใหญ่ๆ กำลังปะทุอยู่ ควันที่พวยพุ่งแปรเปลี่ยนเป็นสีดำสนิท ลาวาสีแดงสดไหลลงมาเป็นทาง มันคงดูสวยงามถ้าไม่ใช่เพราะผมอยู่ใกล้ชิดมันเสียขนาดนี้ เริ่มมีสะเก็ดก้อนลูกไฟกระเด็นออกมา ตอนแรกผมก็ทึ่งอยู่หรอก จนกระทั่งเริ่มกะระยะทางได้ว่าลูกไฟก้อนนั้นจะมาจบลงบริเวณป่า ผมรีบวิ่งทันที
โลกเปลี่ยนไป ผมกำลังอยู่ในสมรภูมิ เริ่มมีลูกไฟก้อนใหญ่ๆ จำนวนมากตกลงมาจากฟากฟ้า และไม่รู้ว่าเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัดหรือเปล่า มันถึงได้หาจุดลงใกล้ๆ บริเวณที่ผมวิ่งผ่านทุกที หรืออาจเป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันไวรัสของโลกออนไลน์ ระเบิดภูเขาไฟเพื่อกำจัดผมเนี่ยนะ? บางทีผมอาจจะไม่ได้อยู่ที่นี่นานอย่างที่คิด
กิ่งไม้รอบด้านเกิดไฟลุกไหม้ทันทีที่มีอุกกาบาตตกลงมาใกล้ๆ ประกายไฟแตกเป็นสะเก็ดปลิวมาหาผม จะมีชีวิตรอดได้อย่างไรเมื่อโลกทั้งโลกต้องการเอาชีวิตผม และผมหมายความตามตัวอักษรจริงๆ เริ่มมาถึงก็เจอไอ้นี่ แล้วต่อไปจะเป็นอะไรล่ะ? โอ้ โลกออนไลน์อันแสนน่าทึ่งและเต็มไปด้วยจินตนาการ
ผมเกลียดควันที่สุด มันอาจทำให้ผมสำลักตายได้ แถมเท้าสองข้างก็คอยแต่จะไปเกี่ยวหรือสะดุดกับกิ่งไม้แห้งๆ อยู่ตลอด ไม่รู้เลยว่าจะโชคดีมีลูกไฟตกมาถึงหัวเมื่อไหร่ ผมรู้สึกทั้งแสบตา แสบคอ และแสบจมูก ความหนักของกระเป๋ากำลังถ่วงผมให้วิ่งช้าลง แต่จะทิ้งมันไปก็ไม่ได้ ช่างเป็นการต้อนรับของโลกออนไลน์ที่ดีเสียจริง
แล้วผมก็ได้ยินเสียงร้องของอะไรบางอย่างดังก้องไปทั่วท้องฟ้า เป็นเสียงเล็ก แหลม ลากยาว แต่ก็ฟังดูเป็นทำนองที่ไพเราะ ผมหันกลับไป มองไปที่ปากปล่องภูเขาไฟ มีอะไรบางอย่างโผล่ขึ้นมาจากตรงนั้น ไม่ใช่ลูกไฟ ไม่ใช่ลาวา หรือควัน แต่เป็นสิ่งที่แม้เพียงเห็นจากไกลๆ ก็รู้ว่ามันสวยงาม มันมีปีก ปีกทั้งสองข้างแผ่ขยายออกเผยให้เห็นรายละเอียดของขนสีส้ม ผมคิดว่ามันเป็นนก แต่ไม่เคยเห็นนกตัวไหนที่งดงามเท่านี้มาก่อน (แน่ล่ะ ไม่เคยเห็นนกตัวไหนออกมาจากปล่องภูเขาไฟด้วย) ทุกครั้งที่มันกระพือปีก เปลวไฟจะโค้งรูปและขยับตามจังหวะ เมื่อมันโผทะยานขึ้น เพลิงก็แผ่ซ่านเป็นลวดลาย หางของมันยาวเป็นริ้วสีแดงโบกสะบัดพร้อมปล่อยสะเก็ดไฟออกมา มันเป็นเหมือนดอกไม้ไฟที่มีชีวิต
ผมยืนทึ่ง ตะลึงกับสิ่งมีชีวิตที่ปรากฎอยู่ต่อหน้า จนกระทั่งมีลูกไฟก้อนหนึ่งเข้ามาในระยะสายตา ผมออกตัววิ่งอีกครั้ง ไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหน ผมคิดว่าผมวิ่งกลับมาทางเดิมด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆ ไฟป่าที่ลามอยู่รอบข้างก็เกิดปฎิกิริยาแปลกประหลาด หางของเปลวไฟกำลังชี้ไปทางเดียวกัน ผมมองกลับไปอีกครั้ง แล้วพบว่านกตัวนั้นกำลังบินมาทางผม! ผมได้แต่ยืนรอ ไม่รู้ว่าทำไม ผมจึงไม่รู้สึกกลัวมัน ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันจะไม่คาบผมไปกิน มันแค่ต้องการบินผ่านหัวผมไป
ผมย้อนนึกไปถึงตอนสมัยเด็ก ก่อนวันสิ้นโลกจริง ตอนที่ผมกับครอบครัวอยู่ที่สนามบิน กำลังจะเดินทางกลับบ้าน ผมได้มีโอกาสเห็นเครื่องบินร่อนผ่านหัวอย่างใกล้ชิด นั่นล่ะคือความรู้สึกตอนนี้นกตัวนั้นบินผ่าน เงาของมันกินพื้นที่เกือบครึ่งป่า ใช่! มันตัวใหญ่ขนาดนั้นเลย แถมทันทีที่มันโฉบผ่าน เพลิงไหม้ที่อยู่รอบๆ ก็เหมือนถูกดูดขึ้นไปรวมกับเปลวไฟที่หางของมันจนหมด ทุกครั้งที่มันกระพือปีก ลมก็จะพัดเอาควันไฟออกไปจนผมมองเห็นทุกอย่างรอบตัวได้ชัดเจน ไม่นานนักนกตัวนั้นก็เปลี่ยนทิศ มันบินขึ้นฟ้า มุ่งขึ้นไปบนนั้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายจากสายตาของผม ไม่รู้ว่ามันไปไหน อาจจะเป็นอวกาศ ถ้าโลกออนไลน์มีอวกาศล่ะก็นะ
อย่างไรก็ตาม ผมยอมรับว่าโลกออนไลน์มีอะไรที่น่าทึ่งกว่าที่คิดจริงๆ แต่คงยังลบล้างความโหดร้ายที่มันคอยโยนมาใส่ผมไม่ได้ ต้องขอบคุณนกยักษ์ติดไฟที่ช่วยปัดเป่าทั้งหมอกและควันออก ผมมองเห็นชายป่าอยู่ไม่ไกลนี่เอง ผมรีบมุ่งไปทันที อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่ต้องปีนไปนอนบนต้นไม้เหี่ยวที่มีแต่ขี้เถ้า
ผมออกมาจากป่าได้สำเร็จ ก้าวมาอยู่บนทางเดินว่างเปล่า ทางเดินสายนี้มีป่าสีดำที่ผมเพิ่งย่ำออกมาเมื่อครู่รายล้อมอยู่สองข้างทาง ผมไม่แน่ใจว่ามันจะพาผมไปไหน พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าโลกออนไลน์มีเมืองของมัน มีทวีปของมัน บางทีก็อาจจะมีเมืองอยู่ใกล้ๆ แถวนี้จริงๆ เพียงแต่เมืองนั้นจะเป็นยังไงผมก็ยังจินตนาการไม่ออก คำว่า ‘เมือง’ จะหมายถึงสถานที่ซึ่งมีตึกระฟ้าจำนวนมากหรือเปล่า? หรือว่าเมืองจะหมายถึงหมู่บ้านธรรมดาๆ ที่มีแต่ชาวนาทำไร่ทำสวนคอยเสกเวทมนต์ฆ่าฟันกันเอง?
ผมกำลังตัดสินใจว่าจะเดินไปทางไหนดี จะเดินไปข้างหน้า หรือจะย้อนทางกลับไปข้างหลัง น่าจะมีแผนที่หรือป้ายบอกทางติดไว้บ้างนะ เป็นถึงโลกออนไลน์ทั้งที จะสร้างป้ายบอกทางสักอันก็แค่เขียนโค้ดใส่โปรแกรมลงไปก็จบ
ในที่สุดผมก็เริ่มตระหนักได้ว่ามีเสียงฝีเท้าของสิ่งมีชีวิตจำนวนมากกำลังวิ่งกระหึ่มมาแต่ไกล ผมหรี่ตามอง เอามือป้องหน้าเพื่อบังแสงแดด แล้วก็เห็นกองทัพของคนจำนวนมากกำลังขี่ม้าวิ่งมาทางนี้ ไม่ใช่สิ! มันไม่ใช่ม้า เป็นอะไรที่เร็วกว่านั้นมาก พุ่งตัวมาราวกับสายลมพัด
มีเสียงร้องแปลกๆ ของสัตว์ที่พวกเขาขี่ มันเป็นตัวอะไรบางอย่างที่มีขนาดเท่าม้า เพียงแต่ขนของมันดูเยอะกว่า เมื่อดูดีๆ แล้วผมคิดว่ามันเป็นหมาป่า เป็นหมาป่ายักษ์ขนเทาดั่งขี้เถ้าในป่า หางยาวส่ายไปมาตามการเคลื่อนไหว ที่หลุดโลกยิ่งกว่าคือหมาป่าพวกนั้นมีเขา เป็นเขาม้วนเข้าหาตัวเอง เหมือนเขาแพะ แต่ละตัวมีอานอยู่ข้างหลัง บางตัวแลบลิ้นในขณะวิ่ง เคลื่อนไหวว่องไวปราดเปรียว
ที่กุมบังเหียนอยู่ข้างหลังพวกมันคือกลุ่มคนที่แต่งตัวคล้ายทหารจากยุคกลาง พวกเขาสวมเกราะเหล็กมันวาวเป็นเงา คล้ายอัศวินหรือนักรบ แต่ละคนตัวสูงขายาว ดูน่าเกรงขาม ใบหน้าของแต่ละคนท่าทางเคร่งเครียด ส่วนใหญ่ไว้หนวด เสริมให้ดูเข้มกว่าเดิมอีก คนที่อยู่หน้าขบวนสุดถือธงริ้วแดงโบกสะบัดกลางอากาศ บนมือและหลังของคนอื่นๆ มีอาวุธหลากหลายชนิดแตกต่างกัน ต่างคนต่างทำท่าเหมือนจะหยิบมันออกมา
พวกทหารขี่หมาป่าพวกนั้นเริ่มส่งเสียงอึกทึกอย่างเดือดดาลเมื่อพวกเขาเห็นผมยืนนิ่งอยู่กลางถนน ผมรีบหลีกทางให้ทันทีเพราะไม่อยากเป็นเหยื่อให้กับหมาป่าที่กำลังแยกเขี้ยวกว้างพวกนั้น แต่ผมคิดผิด พวกเขาไม่ได้กะจะวิ่งผ่านไป พวกเขากำลังตรงเข้ามาหาผม และนั่นไม่ใช่เรื่องดี
“หยุดนะ!!” ทหารคนหนึ่งชี้มาทางผม ส่งเสียงตวาดดังชวนสะดุ้ง
ผมกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ทำอะไรไม่ถูก จนกระทั่งหมาป่าพวกนั้นเข้ามาใกล้เกือบจะประชิดตัว พวกนั้นตีวงล้อมรอบตัวผมเป็นวงกลม หันไปทางไหนก็เจอแต่บุรุษเกราะเหล็กส่งเสียงฮึ่มๆ ใส่ ทหารรั้งบังเหียนให้หยุด แล้วผมก็ติดอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่าที่มีเขาไปโดยปริยาย ทหารแต่ละคนเริ่มหันอาวุธเข้าใส่ผม บางคนพุ่งปลายหอกชี้ใส่หน้า บางคนโก่งคันธนูเล็งเข้าหา บางคนจ่อดาบตรงลำคอ ผมได้แต่ยืนแบมือสองข้างออกเป็นสัญญาณยอมแพ้ ไม่รู้เขาจะเข้าใจผมหรือไม่ ขอเพียงอย่าเพิ่งตัดหัวผมก็พอ
“เจ้าคนแปลกหน้า เจ้าเป็นใคร! มาทำอะไรในเขตป่าหวงห้ามอันศักสิทธิ์แห่งนี้!” ทหารคนหนึ่งชักม้าแทรกออกมาอยู่หน้ากลุ่มแล้วกล่าวด้วยเสียงเปร่งๆ สำเนียงฟังดูโบราณชอบกล คล้ายคนที่กำลังแสดงละครเวทีอยู่ ผมหันไปมอง ‘ป่าศักสิทธิ์’ ที่พวกเขาว่า มันคือป่าขี้เถ้าแห้งเหี่ยวพวกนี้เนี่ยนะ? ผมคิด ทหารคนนึงดูจะไม่ชอบใจที่ผมขยับตัวจึงเสือกหอกเข้ามาทีนึงเป็นการเตือน
“ตอบมา!!” เขาย้ำเสียงเข้ม ทำเอาผมต้องรีบเค้นหัวสมองเพื่อคิดหาข้ออ้างอะไรก็ได้ที่ดูฟังขึ้น
“ผม… หลงทาง” ผมตอบโดยอิงความจริงเล็กน้อย
“โกหก!!” ทหารอีกคนตะคอกใส่ทันทีที่ผมพูดจบ ไม่รู้ว่าเขาได้ฟังที่พูดมั้ย หรือว่าตั้งใจจะพูดแบบนี้เป็นพิธีอยู่แล้วไม่ว่าผมจะตอบอะไรก็ตาม “ถ้ายังไม่บอกความจริง พวกเราจะตัดคอเจ้าซะ!!”
“เจ้าชื่ออะไร?” คนที่โผล่ออกมาหน้าสุดถามอีกครั้ง ผมควรจะบอกชื่อจริงกับเขาดีไหม? แม่กำชับว่าจะต้องไม่มีใครรู้เรื่องของผม จะต้องปิดบังตัวตน แต่แค่เรื่องชื่อของตัวเอง ผมควรจะบอกหรือเปล่า? มันก็เป็นแค่ชื่อ คิดว่าไม่น่าจะมีผลอะไรมากนัก ตราบใดที่ผมไม่บอกเขาว่าผมมาที่นี่เพื่อจะทำลายล้างโลกใบนี้
“อาคินทร์” ผมตอบสั้นๆ
“อาคินทร์ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ตอบข้ามาตามความเป็นจริง” เขาเค้นคำตอบอีกรอบ ผมไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ตรงใจเขาที่สุด ในเมื่อบอกความจริงไปแล้วว่าผมหลงทาง จะให้บอกไปเลยไหมว่าผมมาที่นี่เพราะบังเอิญจะมาปิดระบบโลกออนไลน์ของพวกคุณซะให้สิ้นซาก พวกคุณจะได้เลิกสวมชุดเกราะเพ้อฝัน แล้วกลับไปช่วยสร้างโลกแห่งความเป็นจริงให้มันน่าอยู่ขึ้นเสียที
“ข้าว่าเจ้านี่เป็นหนึ่งในพวกพ่อค้าจอมละโมบที่มาขโมยถ่านหินศักสิทธิ์หวังจะเอาไปขายตามตลาดแน่” ชายคนหนึ่งบอก
“ไม่ใช่!” ชายอีกคนขัด เขาจ้องตาผมเขม็งราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “พวกเราได้รับการแจ้งเตือนเรื่องการมาถึงของอสูรร้ายที่ต้องการจะทำลายโลกใบนี้ มันมีนามว่า ‘ไวรัส’ มีการแจ้งเตือนด้วยเช่นกันว่า เจ้าอสูรตัวนี้จะปรากฎตัวในรูปของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ต้องระวังให้ดี ข้าคิดว่าเราควรตรวจสอบ!”
ผมสะดุ้ง โลกออนไลน์กำลังกระจายข่าวเรื่องของผมจริงๆ ด้วย มันไม่ยอมปล่อยผมให้อยู่เฉยๆ ได้อย่างสบายใจแน่ เอาล่ะ… ต้องใจเย็นๆ เข้าไว้ สูดลมหายใจให้ลึกๆ อย่าทำตัวให้เป็นพิรุจเป็นอันขาด
“มีเหตุผล เจ้านี่หน้าตาแปลกๆ พูดสำเนียงแปลกๆ แถมยังแต่งตัวแปลกๆ อีก แล้วนั่นอะไรน่ะ” ทหารคนหนึ่งชี้มายังปืนสไนเปอร์ไรเฟิลที่ผมสะพายพาดหลัง “เป็นแท่งไม้เท้าที่มีรูปร่างหน้าตาพิลึกชอบกล อาจเป็นอาวุธของอสูรไวรัส ไหนขอดูหน่อยซิ!”
“พอก่อน” ชายซึ่งอยู่หน้าสุด ผู้ที่ผมอนุมานว่าเขาเป็นหัวหน้ากำลังยกมือห้ามคนอื่นๆ แล้วหันกลับมาพูดกับผมอย่างใจเย็น “หากเจ้าเป็นมนุษย์จริง ไหนลองแสดงโทเทมของเจ้าให้ข้าดูหน่อย”
ผมยืนนิ่ง มองหน้าทหารทุกคนสลับไปมา พวกเขาจ้องผมอย่างจดจ่อและรอคอย พวกเขาหมายถึงโทเทมที่พ่อเล่าให้ฟังน่ะเหรอ? แต่… ผมจะมีโทเทมได้ยังไงล่ะ ในเมื่อผมไม่ใช่ผู้เล่น ไม่มีโทเทมเป็นของตัวเอง เดี๋ยวก่อน!... ผมจำที่แม่เคยสั่งเสียไว้ได้ ถ้าพวกมันถามหาโทเทม ให้ใช้โทเทมไฟอันที่ผมได้มาจากผู้เก็บเกี่ยว ใช่แล้ว!
ผมรีบล้วงกระเป๋าตามตัว พยายามหาโทเทมอันนั้น ภาวนาขอให้ยังเก็บไว้กับตัว จนกระทั่งเจอมันอยู่ในกระเป๋ากางเกงข้างซ้าย ผมจึงรีบชูจี้ห้อยคออันนั้นขึ้นตรงหน้า หัวหน้าทหารคว้ามันไปจากมือผมทันที แล้วค่อยๆ พินิจพิเคราะห์มันอยู่เป็นนาที ก่อนจะส่งให้ทหารคนอื่นๆ ดูบ้าง
“ข้าสัมผัสได้ว่าเป็นโทเทมธาตุอัคคี เจ้าก็เป็นคนธาตุอัคคีเช่นกันรึนี่? เจ้าดูไม่เหมือนคนธาตุอัคคีเลย คนเราคงดูกันที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ” เขากล่าว ผมแอบลอบถอนหายใจเบาๆ โล่งอก พวกเขาเชื่อว่ามันเป็นของผม ผมคิดว่าตัวเองโชคดีมากจนกระทั่งเขากล่าวต่อว่า “แต่นั่นก็ยิ่งทำให้ข้าให้อภัยเจ้าไม่ได้ เป็นถึงคนธาตุอัคคี ไฉนจึงฝ่าฝืนกฎรุกร้ำเข้ามาในเขตศักสิทธิ์ที่ชาวอัคคีอย่างพวกเราเคารพ เห็นทีข้าคงต้องจับเจ้าไปขังคุกแล้วรอให้ราชาแห่งอัคคีกลับมา เขาจะตัดสินโทษของเจ้าเอง!”
“เดี๋ยว ไม่!” ผมจะก้าวถอยหลัง แต่ก็มีหอกจ่ออยู่ตรงนั้น ผมไม่อาจทำอะไรได้นอกจากรอให้พวกทหารลงมาบีบแขนผม จับให้คุกเข่ากับพื้น แล้วจากนั้นพวกเขาก็ยึดอุปกรณ์ผมไปหมด ทั้งเป้ ทั้งปืนไรเฟิล โทรศัพท์ของผมด้วย โชคดีที่ไม่ยึดแจ๊กเก็ตไปอีกตัว ไม่อย่างนั้นผมคงคลั่งตาย ไม่มีใครฟังคำอธิบาย พวกเขาค่อยๆ เอาเชือกมามัดมือผมแบบไขว้หลัง จากนั้นก็ตรวจเช็คความแน่นหนา พอพวกทหารพอใจแล้วก็ลากผมไปหลังขบวนสุด
ที่นั่นมีรถลากอยู่คันหนึ่ง ที่ถูกทำให้เป็นคุกกลางแจ้ง ในนั้นมีนักโทษอัดกันอยู่แล้วสองสามคน ผมถูกบังคับให้เข้าไปนั่งในคุกทั้งๆ ที่ยังสับสน ผมพยายามขัดขืน แต่เมื่อมองดาบบนมือพวกนั้นแล้วก็รู้ว่าคงจะดูไม่ฉลาดเท่าไหร่ ผมถูกกำชับให้เงียบเสียง ไม่อย่างนั้นอาจจะไปถึงเมืองโดยที่มีเพียงร่างไร้วิญญาณ ถึงผมไม่แน่ใจว่าเราตายในโลกออนไลน์ได้หรือเปล่า แต่ผมก็ตัดสินใจไม่พูดอะไรไปก่อน
ขบวนค่อยๆ ออกเดินทางไปตามถนนอีกครั้ง พวกเขาใช้หมาป่าเขาแพะสองตัวในการลากรถคุก ดูเหมือนจะตัวใหญ่กว่าตัวอื่นๆ ด้วย อาจมีไว้เพื่อทำให้ไม่มีใครกล้าหนี ซึ่งก็ได้ผล มีทหารสองนายที่กำลังกุมบังเหียนหมาป่าพวกนั้นกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างไปตลอดทาง แม้ผมจะไม่ใช่พวกชอบยุ่งเรื่องคนอื่นแต่ก็อดที่จะแอบฟังไม่ได้
“ช่างเป็นวันที่โกลาหลนัก ผู้คนแตกตื่นกันไปหมด เอาแต่พูดเรื่องการปรากฎตัวของสัตว์ในตำนานประจำธาตุอัคคี” ทหารคนหนึ่งเอนตัวไปข้างๆ เพื่อคุยกับเพื่อนของเขา “ข้าแทบจะไม่เชื่อสายตาเลยด้วยซ้ำตอนที่เห็นนกฟินิกซ์บินขึ้นฟ้าไป”
“เจ้าคิดว่าจะเป็นไปตามคำทำนายหรือเปล่า?” เขาพูดพลางกระทุ้งสีข้างทหารอีกคน
“เจ้าก็อีกคน เจ้าเชื่อในคำทำนายไร้สาระนั่นด้วยรึ? ไม่เอาน่า มันก็เป็นแค่นิทานหลอกเด็ก”
“เจ้าก็รู้ดีว่ามันไม่ใช่! คำทำนายไม่เคยเหลวไหล พวกเราชาวอัคคีก็ได้ยินมาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกเขาแต่งเป็นกลอนเลยด้วยซ้ำ หากเมื่อใดที่นกฟินิกซ์ตื่นจากการหลับไหล พุ่งทะยานออกจากปล่องภูเขาไฟ นั่นจะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงจุดเริ่มต้นแห่งการล่มสลายของโลกใบนี้!” ทหารคนนั้นพูดจบก็แสดงสีหน้าตื่นกลัว ก่อนที่ทั้งคู่จะเปลี่ยนบทสนทนาไปเรื่องอื่น
และนั่นก็เป็นเพียงประโยคสุดท้ายที่ผมได้ยิน ก่อนที่ตัวเองจะจมอยู่ในวังวนแห่งความคิด
ผมกังวลถึงเรื่องราวในอนาคต
เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตผมกันแน่นะ?
แล้วต่อไปจะเป็นยังไง?
ผมได้แต่ตั้งคำถามโดยไม่รู้เลยว่าคำตอบอาจจะเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยอยากจะได้ยินนัก
= = = = = = = = = = = = = =
โปรด ติด ตาม ตอน ต่อ ไป
ความคิดเห็น